ผู้เป็นเจ้าของจวนส่งสายตาเชิงตำหนิไปให้บุตรสาวคนรองหนึ่งที ฟู่เหยาเหยาเห็นบิดาดุ นางก็ทำหน้าสลดนิ่งเงียบ หันไปขออภัยแขกของบิดาจากนั้นก็หมุนกายออกไปจากเรือนต้อนรับในทันที
เมื่อได้กลับมาอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง ฟู่ซิ่งจึงเริ่มสนทนากับลู่เจียงต่อ
“สตรีเมื่อครู่คือบุตรสาวคนรองของข้า ตอนที่นางเดินเข้ามาตราหยกประจำกายยังคงเหน็บเอาไว้ที่เอว ผู้ที่เกิดเรื่องในเวลานี้ย่อมไม่ใช่เหยาเหยา” เห็นว่าบุตรสาวคนรองปลอดภัยเขาก็คลายกังวล
“งั้นก็แสดงว่าเป็น บุตรสาวคนโตของท่าน...” ลู่เจียงรู้สึกประหลาดใจ เพราะได้ยินชื่อเสียงในด้านไม่ดีของนางมาบ้างไม่มากก็น้อย นางไม่น่าจะเป็นคนดีเช่นนั้น
กลับกันเมื่อฟู่ซิ่งรู้ว่าเป็นบุตรสาวคนโต ก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่ว่านางไปก่อเรื่องอะไรหรอกใช่ไหม
“อิ๋งอิ๋งไปก่อเรื่องอะไรให้ท่านอ๋องไม่สบายใจหรือไม่” เขาทั้งเป็นห่วง ทั้งกังวลเนื่องด้วยรู้นิสัยของบุตรสาวดีกว่าใคร
“ไม่ ๆ ท่านโหวอย่าเพิ่งคิดในแง่ร้าย คุณหนูไม่ได้ไปก่อเรื่องไม่ดี นางทำสิ่งที่ดีต่างหาก” จากนั้นลู่เจียงจึงเริ่มเล่าความเป็นไปความเป็นมาที่เกิดขึ้นให้กับผู้เป็นเจ้าของเรือนฟังทันที “เรื่องมีอยู่ว่า นางได้ช่วยเหลืออ๋องน้อย เว่ยเจี้ยนไคโอรสเพียงองค์เดียวของเว่ยอ๋องเอาไว้ จนได้รับบาดเจ็บ เวลานี้นางนอนสลบไม่ได้สติอยู่ที่จวนพักร้อนของท่านอ๋อง”
สิ่งที่องครักษ์หนุ่มเล่าออกมา ยิ่งฟังฟู่ซิ่งยิ่งไม่เข้าใจ สตรีอย่างบุตรสาวเขานั่นหรือ จะมีน้ำใจยื่นมือไปช่วยผู้อื่น
“นางทำเช่นนั้นจริง ๆ หรือ?” ผู้เป็นบิดาถามให้แน่ใจอีกครั้งเพราะเกรงว่าตัวเองจะได้ยินผิดไป ด้วยเพราะบุตรสาวไม่ได้มีนิสัยเช่นนั้น
“เป็นจริงขอรับ โชคดีที่เว่ยอ๋องไปช่วยนางออกมาได้ทัน ไม่เช่นนั้นคุณหนูคงถูกพวกสารเลวพวกนั้นจับไปขายหอนางโลมนางโลม” ลู่เจียงเล่าความจริงทั้งหมดโดยมิได้ปิดบัง
สีหน้าของผู้เป็นบิดาซีดเผือด เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน สองมือกำหมัดแน่น โชคดีที่นางได้เว่ยอ๋องเข้าไปช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นเขาจะไปสู้หน้าภรรยาในปรโลกได้อย่างไรกันหากปล่อยให้อิ๋งอิ๋งเกิดเรื่อง
“พ่อบ้านฟู่ สั่งคนไปตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ส่วนข้าจะไปกับองครักษ์ลู่เพื่อไปรับนางกลับบ้าน”
------------------------
ความรู้ทางการแพทย์ของเว่ยอ๋องไม่เป็นรองใคร เขาตรวจอาการของนางดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่าร่างกายนางไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ก็จะมีแต่เพียงร่างกายอ่อนแอเกินไปก็เท่านั้น ที่สลบไปแล้วยังไม่ฟื้นก็คงจะเป็นเพราะเหนื่อยและอ่อนแรง สตรีตัวเล็กที่ดูไร้พิษสงยามหลับก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูดีไม่น้อย
ร่างสูงเผลอจ้องมองนาง ตาไม่กะพริบ เส้นผมดำขลับ ผิวกายขาวเนียนละเอียดประดุจหยกขาว ที่บุตรชายบอกเอาไว้ ว่านางงดงามเกินกว่าสตรีชาววังนับว่าไม่เกินจริง
จ้องมองนางอย่างเพลิดเพลินอยู่ครู่ใหญ่ สตรีขี้เซาผู้นี้ก็ดูคล้ายกับกำลังจะตื่น แพรขนตากะพริบถี่ ๆ ผู้เป็นเจ้าของดวงตากลมโตสีดำสนิทก็ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้า ๆ
สตรีตัวเล็กบิดขี้เกียจอยู่บนที่นอนสองสามครั้ง จมูกของนางยังคงได้กลิ่นน้ำหมักอยู่จาง ๆ คงเป็นเพราะนางถูกจับเอาไปขังไว้ในห้องสกปรกโสโครกนั่นอยู่นาน ทำให้มีกลิ่นพวกนั้นติดตัวมาบ้าง เมื่อรับรู้ได้ถึงความนุ่มนิ่มของฟูกนอน ก็ทำให้นางเบาใจไปได้เปลาะหนึ่ง แสดงว่าบิดาของนางคงไปช่วยเหลือนางออกมาแล้ว
แต่เมื่อลืมตาขึ้นกลับพบบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งจ้องใบหน้าของนางตาไม่กะพริบ คนตัวเล็กตกใจจนตัวสั่น
“เจ้าเป็นใคร” ฟู่ลี่อิ๋งดีดตัวขึ้นมานั่งพร้อมกับขยับเข้าไปด้านในสุดของเตียง
“ข้าเป็นใครงั้นหรือ” บุรุษตัวสูงทวนคำถามของนาง ท่าทางยียวนกวนประสาท
“ใช่!! ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร” เจ้าตัวน้อยบอบบางเชิดใบหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่งแต่ก็แฝงไปด้วยความหวั่นเกรง
ท่าทางของนางดูหวาดกลัว เนื้อตัวสั่นเทาประดุจกระต่ายน้อยที่กำลังถูกล่า เว่ยเจิ้งหยางจึงคิดเรื่องสนุกออก
“ข้าก็เป็นว่าที่สามีเจ้าอย่างไรล่ะ ข้าซื้อเจ้ามาจากหอนางโลมในราคาแพงลิบลิ่ว” เขากอดอกขยับตัวเข้าไปใกล้นางขึ้นเรื่อย ๆ
“ไม่ ข้าไม่ใช่ภรรยาเจ้า” ร่างเล็กแบบบางน้ำตาไหลริน “ข้า...ข้าเป็นคุณหนูใหญ่จวนโหว ข้าจะไม่แต่งกับคนธรรมเช่นเจ้าหรอกนะ” นางกอดตัวเอง น้ำตาก็ยังคงไหลพรากไม่หยุด
“ข้านี่นะหรือคนธรรมดา” เขานึกขันในหล้านี้มีแค่เพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่เหนือเขา สีหน้าของเว่ยเจิ้งหยางเริ่มขุ่นมัว
“ใช่...” นางพินิจพิจารณาใบหน้าของบุรุษตรงหน้าให้ถ้วนถี่ ในหัวก็คิดต่อรอง ไม่ได้สิอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ นางจะอวดดีเย่อหยิ่งไม่ได้ “ขะ...ข้า ไม่สิ คุณชาย ปล่อยข้ากลับบ้านเถิด ข้าเป็นแค่สตรีธรรมดา” ฟู่ลี่อิ๋งพยายามสะกดเสียงสะอื้นของตัวเองเอาไว้และต่อรองกับบุรุษตรงหน้าด้วยเหตุผล
“ข้าซื้อเจ้ามาตั้งแพง ปล่อยไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน”
“แพงเหรอ แพงขนาดไหนกันเชียว ที่บ้านข้ามีเงินเยอะ....” นางรีบเอามือปิดปากตัวเองไม่ให้บุรุษตรงหน้ารู้ว่าบ้านนางร่ำรวยแค่ไหน
“ที่บ้านเจ้ามีเงินเยอะแค่ไหนกันเชียว” เขาขยับเข้าไปประชิดตัวนางเรื่อย ๆ ชายหนุ่มทำจมูกฟุดฟิด “แต่เจ้าตัวเหม็นมากเลย น่าเสียดายจริงๆ ซื้อมาแพงเกินไป”
“ใช่ไหมล่ะ ข้าตัวเหม็นมาก งั้นก็ปล่อยข้ากลับบ้าน จากนั้นข้าจะไปขอเงินท่านพ่อมาคืนเจ้า” ฟู่ลี่อิ๋งเจรจาพาที ริมฝีปากเล็กพูดจาเจื้อยแจ้วในขณะที่ขอบตาก็เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งคราบน้ำตา
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ ให้เว่ยเจิ้งหยางขยับเข้าไปใกล้ชิดนางมากขึ้น ยิ่งเห็นนางตัวสั่นยิ่งสนุก ตอนที่กำลังจะยื่นหน้าเข้าไปจุมพิต กลับถูกเสียงเล็ก ๆ อันคุ้นเคยห้ามปราม
“ท่านพ่อ ท่านจะทำอะไรพี่สาว” เด็กชายวิ่งเข้ามาผลักบิดาออกไปได้ทันก่อนที่เขาจะทำอะไรกับพี่สาวคนสวย
“ไคไค” เมื่อเห็นว่าเป็นเด็กชายตัวน้อยที่นางเพิ่งช่วยเหลือ ฟู่ลี่อิ๋งก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครา “เจ้าปลอดภัย”
“ใช่แล้วข้าปลอดภัย” เด็กชายซุกใบหน้าแนบกับอกของพี่สาว ท่าทางสนิทสนมชิดเชื้อ
ส่วนเว่ยเจิ้งหยางก็รู้สึกโล่งอกที่เขายังไม่ได้ล่วงเกินนาง แต่ก็รู้สึกเสียดายอยู่ลึก ๆ
จนถึงตอนนี้ฟู่ลี่อิ๋งก็ยังไม่ได้ยินข่าวคราวของฟู่เหยาเหยาคล้ายกับว่านางหายไปจากโลกนี้อย่างไรอย่างนั้น อากาศในเมืองหลวงเริ่มหนาวขึ้นทุกวัน ๆ รวมไปถึงท้องของนางที่โตขึ้นเรื่อย ๆ การยืนเดินนั่งนอนของนางล้วนลำบากไปเสียหมด หลายครั้งที่ฟู่ลี่อิ๋งลุกขึ้นมานั่งร้องห่มร้องไห้กลางดึกเพียงเพราะอยากกินบะหมี่เนื้อรสเผ็ดทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านางไม่คอยชอบความเผ็ดของมัน ฟู่ลี่อิ๋งคิดถึงวันที่ที่พระสวามีเคยพาไปกิน คิดถึงเมื่อตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆ ส่วนเว่ยจงหมิงเองก็ตามใจและเข้าใจได้ไท่จื่อเฟยตั้งครรภ์ท้องแรกอีกทั้งยังไม่มีประสบการณ์ไม่มีผู้ใดสอนนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางจะกลัว กังวลและหวั่นใจไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นหน้าที่ของเขาที่เป็นสามีที่จะคอยให้ความอุ่นใจ อยู่เคียงข้างนางให้นางอบอุ่นใจในบางวันที่เว่ยจงหมิงต้องไปทำงานไกล ๆ ก็จะได้ไคไคน้อยมาอยู่เป็นเพื่อนคอยเล่านู่นเล่านี้ให้นางฟังไม่มีเบื่อถึงตอนนี้ฟู่ลี่อิ๋งถึงเพิ่งสังเกตว่าไคไคน้อยสูงขึ้นมาก จากที่เคยสูงกว่าเอวนางนิดหนึ่งตอนนี้หัวของเขาอยู่ในระดับไหล่นางเสี
หลังจากได้ยินเรื่องที่ฟู่เหยาเหยาหย่ากับเว่ยเจิ้งหยาง ฟู่ลี่อิ๋งก็ไม่สบายใจนัก นางไปถามกับพี่ชายว่าสาเหตุที่เขามาที่เมืองหลวง ใช่เรื่องเพราะเรื่องนี้หรือไม่ คราแรกเขาอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดจนสุดท้ายนางก็คาดคั้นเอาคำตอบออกมาจากปากเขาได้ในที่สุดเมื่อได้ยินทุกอย่างที่นางอยากจะฟัง ฟู่ลี่อิ๋งจึงลากพี่ชายไปสืบความที่จวนเว่ยอ๋องด้วยกัน เนื่องด้วยไม่อยากไปเหยียบที่นั่นเพียงลำพังเว่ยเจิ้งหยางเมื่อได้ยินว่าไท่จื่อเฟยมาถึงที่นี่ก็ละทิ้งทุกอย่างรีบมาหานาง แต่เมื่อออกมาถึงกลับพบว่านางไม่ได้มาตามลำพัง เรื่องราวที่เคยคิดเข้าข้างตัวเองก็สลายหายไป นางมาที่นี่พร้อมกับฟู่หมิงจือ สีหน้าท่าทางของโหวน้อยดูกังวล ส่วนฟู่ลี่อิ๋งดูเย็นชาเห็นหน้าของเว่ยเจิ้งหยาง หญิงสาวก็เริ่มพูดคุยเขาเรื่องทันทีโดยไม่อ้อมค้อม“ข้าได้ยินจากไท่จื่อบอกว่าท่าหย่ากับน้องสาวของข้าแล้ว”เว่ยเจิ้งหยางเลิกคิ้วเล็กน้อย “ใช่แล้ว ข้าหย่ากับนางไปตั้งแต่วันที่กลับมาจากจวนเสนาบดีสี”“เรื่องสำคัญเช่นนี้ ไม่เห็
แสงอาทิตย์ลอดเข้ามาในห้องนับแล้วเท่ากับแปดครั้ง สีฮูหยินกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างดีใจ นางหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสะใจ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง จากนี้ไปจะไม่มีเว่ยจงหมิงอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้วในขณะที่นางกำลังดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แสงไฟในคุกก็สว่างไสวประดุจกลางวัน สีฮูหยินที่อยู่ในความมืดมานานนับสัปดาห์ต้องหลับตาและใช้แขนเสื้อของตนเองปกป้องดวงตาของตัวเอง ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้นนางจึงจะสามารถลืมตาขึ้นได้สิ่งที่สตรีวัยกลางคนเห็นเมื่อลืมตาขึ้นพบกับบุรุษที่นางเกลียดที่สุดผู้หนึ่งในชีวิต เว่ยจงหมิงนั่งอยู่บนคานหาม แบบสี่คนแบก ชายหนุ่มนั่งอยู่บนนั้นเส้นผมดำขลับถูกปล่อยสยายยาวสอดรับกับใบหน้าหล่อเหลา เขาสวมเสื้อผ้าสีขาวสบาย ๆ ท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับสิ่งใด และดูไม่เจ็บไม่ป่วย“ทำไมเจ้ายังมีชีวิตอยู่” สีฮูหยินได้เห็นหน้าของเว่ยจงหมิงก็เริ่มมีปฏิกิริยาแห่งโทสะ“องค์หญิงเออร์น่าคงตกใจมาก ที่เห็นว่าข้ายังมีชีวิตอยู่” เว่ยจงหมิงหยิบองุ่นขึ้นมากินในขณะที่สนทนากับนาง“ไม่!!!
อากาศยามเช้าหลังจากฝนหยุดตกสดชื่นปลอดโปร่ง เสียงวิหคบินวนขับขานดังกังวานไปทั่วทั้งพื้นที่ เช้าวันนี้นางรู้สึกว่าตัวเองสดชื่นกว่าทุกวัน อาจจะเป็นเพราะยาบำรุงของท่านซุน ที่ช่วยให้นางผ่อนคลายและหลับสบายมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ที่พระสวามีป่วยฟู่ลี่อิ๋งก็ย้ายออกไปนอนห้องนอนเล็กที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันเพราะนางไม่อยากรบกวนคนป่วยเกรงว่าตนเองจะนอนดิ้นและทำให้เขาลำบาก รอให้เว่ยจงหมิงฟื้นและหายดีก่อนค่อยกลับมาร่วมห้องทีหลังก็ได้ทุก ๆ วันฟู่ลี่อิ๋งจะมานั่งเฝ้าพระสวามีในห้อง นี่ก็ผ่านมา 7 วันนับตั้งแต่เขาถูกพิษ เว่ยจงหมิงก็ไม่ฟื้นสักที วันนี้ก็เช่นกันนางมานั่งข้างเตียงพูดคุยกับเขาดังเช่นเคยมือเรียวเล็กจับมือของเขามาสัมผัสที่หน้าท้องแบนราบของตนเอง“ท่านพี่ เมื่อไหร่ท่านจะฟื้นกันนะ” ร่างเล็กพึมพำ “ท่านรู้หรือไม่ว่าไคไคน้อยกำลังจะมีน้องชายน้องสาวแล้วนะ” ฟู่ลี่อิ๋งกระซิบแผ่วเบาสีหน้าของเว่ยจงหมิงดูดีกว่าหลายวันที่ผ่านมา วิธีการของท่านซุนออกจะประหลาดไปบ้างแต่ก็ได้ผล หนำซ้ำยังได้ยาบำร
เสี่ยวหลงติดตามท่านเหลียงออกเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อติดตามเรียนรู้วิชาการตัดเย็บเสื้อผ้าจากเหลียงเหลียนฮ่าวและฝากตัวเป็นลูกศิษย์ แต่เมื่อหลายวันก่อนตอนเดินทาง ในวันที่พายุฝนโหมกระหน่ำ คณะเดินทางของท่านเหลียงผ่านไปพบกับสตรีผู้หนึ่ง นางนอนกลายเป็นซากคล้ายกับศพอยู่ในเส้นทางที่พวกเขาผ่านสภาพของนางไม่ต่างอะไรจากซากศพบาดแผลบนใบหน้าฉกรรจ์น่ารังเกียจ สัตว์และแมลงตอมไต่จนบาดแผลเน่าเฟะเหม็นคลุ้งเหลียงเหลียนฮ่าวใช้ไม้เขี่ย ๆ เห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่จึงพาตัวไปด้วยกันถือว่าเอาบุญ ตอนที่ช่วยเหลือเสี่ยวหลงเห็นตราหยกสีชมพูคล้าย ๆ กับชิ้นที่ไท่จื่อเฟยมี ก็เดา ๆ เอาไว้ว่าสตรีอัปลักษณ์ผู้นี้น่าจะเป็นผู้ใด แต่ก็ไม่ได้บอกเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟังกระดูกบนร่างกายของสตรีอัปลักษณ์หักอยู่หลายส่วน ท่านหมอที่ติดตามมากับคณะของเหลียงเหลียนฮ่าวใช้วิธีการเอาไม้ไผ่มาดามนางเอาไว้ทั้งร่าง ฟู่เหยาเหยาตื่นขึ้นมาอีกทีพบว่าร่างกายของตนเองกำลังถูกวางเอาไว้บนเกวียนบรรทุกสิ่งของ แขนขาถูกมัดเอาไว้กับไม้ไผ่ขยับไปไหนไม่ได้
เจ้างูสีขาวตัวเล็ก ๆ ดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อยที่มันถูกผู้เป็นนายปลุกให้ตื่น มันสะบัดหัวไปมาและค่อย ๆ ยืดตัวชูคอขึ้นทำท่าทางคล้ายกับบิดขี้เกียจ แต่เมื่อเห็นหน้าผู้เป็นนายมันก็รีบกระโดดออกจากกระปุกสีขาวขึ้นไปหยอกล้อคลอเคลียท่าทางเหมือนกับลูกสุนัขตัวเล็ก ๆฟู่ลี่อิ๋งเห็นแล้วก็พูดสิ่งใดไม่ออก สัตว์มีเกล็ดลิ้นยาวพวกนั้นสามารถมองให้น่ารักได้ด้วยหรือ นางรู้สึกขนลุก แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดสิ่งใดออกมา ปล่อยให้ท่านซุนรักษาไปตามวิธีการของเขา แม้จะทำให้คนที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกคล้ายจะเป็นลมอยู่ตลอดเวลาก็ตามงูเทพหิมะเมื่อเห็นแมงป่องสีรุ้งมันก็คล้ายกับทำตาโตด้วยความดีใจ ซุนจงปล่อยมันลงกับพื้นพร้อม ๆ กับแมงป่องสีรุ้ง ทั้งงูและแมงป่องลงต่อสู้กัน เจ้าแม่งป่องพยายามใช้หางพิษของตนเองต่อสู้กับเจ้างูเทพหิมะแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้ต่อความปราดเปรียวของเจ้าตัวเล็กสีขาวทันทีที่แมงป่องสีรุ้งสิ้นท่า เจ้าตัวเล็กสีขาวก็เขมือบเจ้าแมงป่องตัวสีรุ้งที่นอนหมดแรง เข้าไปทั้งร่างอย่างเชื่องช้า เจ้าของร่างเล็กแบบบางต้องหลับตาขยับไปหลบอยู่เบื้องหลังของ