ท่านพ่อ!!
ฟู่ลี่อิ๋งคิดว่าตัวเองได้ยินสิ่งที่เด็กชายพูดไม่ผิด ไคไคน้อยเรียกบุรุษหน้าด้านคนนี้ว่าท่านพ่อ
“ไคไค เจ้าเรียกคนคนนี้ว่าท่านพ่อเหรอ” นางถามเด็กชายในขณะที่มมือของนางก็ยังลูบหลังปลอบใจเด็กชายตัวน้อย
“ขอรับพี่สาว บุรุษที่หล่อ ๆ ตรงหน้าท่านผู้นี้เป็นบิดาข้าเอง” เขาผละออกมาจากอกของพี่สาวและผายมือแนะนำตัวบิดาของตนให้กับนางรู้จัก
ฟู่ลี่อิ๋งมุมปากกระตุก แสดงว่าเมื่อครู่บุรุษกะล่อนผู้นี้หลอกลวงนางงั้นสิ นางส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายให้แก่เขา แต่กลับถูกบุรุษเจ้าเล่ห์ส่งยิ้มยียวนกลับมา ประสบการณ์ชีวิตของนางยังน้อยนัก โดนเขาหลอกนิดหน่อยก็หลงเชื่อเอาเสียง่าย ๆ
“ลูกไค ดูเหมือนพี่สาวแสนสวยของเจ้าจะไม่พอใจเท่าไหร่ที่พ่อไปช่วยนางออกมา” เว่ยเจิ้งหยางพูดทำนองน้อยใจ
เว่ยเจี้ยนไคหันกลับไปมองหน้าของบิดา
“แล้วท่านได้แกล้งอะไรนางหรือเปล่า นางจึงไม่พอใจท่าน”
สิ่งที่บุตรชายถามกลับเล่นเอาใบหน้าของบุรุษทรงอำนาจเหลือสามนิ้วเจ้าลูกตัวแสบฉลาดเฉลียวเกินไปแล้ว
“คิกคิก” ฟู่ลี่อิ๋งกลั้นขำเอาไว้แทบไม่ได้ ที่แท้จุดอ่อนของคนผู้นี้ก็คือไคไคน้อยของนางนี่เอง
“ไคไค ข้าโดนบิดาเจ้ากลั่นแกล้ง” นางตีหน้าเศร้าเล่าความจริง
“แกล้งอย่างไรกัน พี่สาวเล่ามาเถิดข้าไปฟ้องเสด็จปู่กับเสด็จลุงไท่จื่อให้ลงโทษเขา” เพราะไคไคน้อยรู้ว่าคนที่จะกำราบบิดาเขาได้คือสองคนนี้เท่านั้น
“เอ๊ะ!!”
“เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว” ผู้เป็นบิดาต้องอุ้มบุตรชายออกมาจากที่นอน เพื่อยับยั้งไม่ให้เขาพูดมากความไปกว่านี้
เสด็จปู่ เสด็จลุงไท่จื่อคือสิ่งใด? นางฟังแล้วไม่คล้ายจะเข้าใจ คนตัวเล็กรู้สึกหัวหมุนไปหมด
ไม่นานฟู่ซิ่งก็มาถึงจวนพักร้อนของเว่ยอ๋อง เขาถือวิสาสะเข้าไปยังเรือนที่ได้ยินว่าบุตรสาวพักอยู่ในทันที
“อิ๋งอิ๋ง” ผู้เป็นบิดาเอ่ยนามของบุตรสาวอยู่นอกเรือน
เมื่อได้ยินเสียงของบิดา นางก็รีบวิ่งลงจากเตียงออกไปนอกเรือนในทันที
“ท่านพ่อ” คนตัวเล็กถลาไปกอดบิดาเอาไว้ ส่วนผู้เป็นบิดาก็กอดนางเอาไว้แนบแน่น
“โธ่ เอ๊ยลูกพ่อ บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” ฟู่ซิ่งคลายอ้อมกอดจากนาง พร้อมกับสำรวจว่าร่างกายของบุตรสาวบุบสลายตรงไหนหรือไม่
“ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ลูกไม่เป็นอะไร” นางเอ่ยให้บิดาคลายกังวล “ท่านพ่อ ท่านพ่อเจ้าขา ท่านต้องจัดการคนพวกนั้นให้ลูกนะเจ้าคะ” พูดจบก็เบะปาก จะร้องไห้อีกรอบ
“มีคนจัดการให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว” มือสากของบิดาประคองใบหน้าสวยงามของบุตรสาวและคอยเช็ดซับน้ำตาให้แก่นาง
โชคดีจริง ๆ ที่อิ๋งอิ๋งไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้ และโชคดีจริง ๆ ที่ได้เว่ยอ๋องมาช่วยเหลือนางเอาไว้ จากนี้ไปคงจะต้องมีเรื่องราวได้ยุ่งเกี่ยวกับพัวพันกันอีกแน่ แต่เอาเถอะเวลานี้นางปลอดภัยก็ดีมากแล้ว เรื่องของวันหน้าก็เป็นเรื่องของวันหน้า เรื่องของวันนี้ก็เป็นเรื่องของวันนี้
“ใครหรือเจ้าคะ” ผู้เป็นลูกสาวทำหน้าฉงน
ฟู่ซิ่งยิ้มและผายมือไปยังบุรุษตัวสูงใหญ่ที่ยืนอุ้มเด็กชายอยู่ด้านหลัง
“กระหม่อมขอบพระทัยเว่ยอ๋องที่ให้การช่วยเหลือบุตรสาวของข้า และขอบพระทัยที่เป็นธุระจัดการพวกสารเลวพวกนั้นแทนข้า”
“ฟู่โหวอย่าได้มากพิธี ข้าสิต้องขอบคุณนาง ถ้าไม่ได้นางป่านนี้ ข้าก็คงไม่ได้พบหน้าบุตรชาย” เขาปรายตามองไปทางนางอย่างอารมณ์ดี ยิ่งเห็นสีหน้างุนงงตื่นตระหนกของเจ้าตัวเล็กชุดสีชมพู ยิ่งอารมณ์ดี
“......” ฟู่ลี่อิ๋งเอ่ยสิ่งใดไม่ออก คำพูดคล้ายกับจะติดค้างอยู่ในลำคอ ไอ้เจ้าบุรุษกะล่อนผู้นี้เป็นถึงอ๋องเชียวหรือ คนตัวเล็กกลอกตาไปมาอย่างเอือมระอา
“อิ๋งอิ๋งขอบพระทัยท่านอ๋องสิ” ฟู่ซิ่งต้องเตือนให้บุตรสาวอยู่ในอาการสำรวม
“หากนางไม่เต็มใจ ฟู่โหวก็อย่าได้บังคับนางเลย” เว่ยเจิ้งหยางกล่าวเสียงเรียบ
“เห็นไหมเจ้าคะ ท่านพ่อ ท่านอ๋องยังไม่เห็นบังคับข้าเลย” เจ้าของใบหน้างดงามสะบัดหน้าหนีไม่ใส่ใจ เมื่อครู่เขาก็ล่วงเกินนาง โกหกนางถือว่าหายกันก็แล้วกัน
“อิ๋งอิ๋ง” ผู้เป็นบิดารู้สึกเสียหน้า ที่นางกระทำตัวไร้มารยาท หลังจากนี้ หากสืบสาวราวเรื่องได้ความว่าอย่างไรแล้ว ค่อยมาสั่งสอนมารยาทกับนางเสียใหม่ ไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก่ดัดยาก หากในวันข้างหน้า นางไม่เหลือใครอย่างน้อยก็เหลือมารยาทไว้คุ้มกาย
ไคไคน้อยเห็นพี่สาวกำลังถูกตำหนิก็เอ่ยปากช่วยเหลือ ด้วยความที่ว่าสำนึกในบุญคุณ
“ท่านโหว อย่าว่าพี่สาวเลยขอรับ เป็นเพราะท่านพ่อของข้า กลั่นแกล้งนาง ล่วงเกินนาง ทำท่าทางคล้ายกับพวกผีชีกอเจ้าชู้ พี่สาวจะไม่ขอบคุณก็ไม่แปลก โชคดีแค่ไหนแล้วที่นางยังเห็นแก่หน้าข้า ไม่ใช้มีดปาดคอท่านพ่อของข้าไปเสียก่อน”
คำพูดของเด็กน้อยทำเอาผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ได้แต่ยืนแข็งค้างทำสิ่งใดไม่ถูก ล่วงเกิน กลั่นแกล้ง ผีเจ้าชู้ ปาดคอ แต่ละอย่างนั้นน่าขนลุกทั้งสิ้น
ฟู่โหวมองหน้าเว่ยอ๋อง เว่ยอ๋องมองหน้าบุตรชาย ไคไคน้อยมองหน้าพี่สาว ฟู่ลี่อิ๋งมองหน้าบิดา
“ที่จริง ถ้าพี่สาวถูกบิดาข้าล่วงเกินไปแล้ว งั้นก็ให้นางแต่งเข้ามาเป็นหวางเฟย มาเป็นมารดาของข้าเพื่อเป็นการรับผิดชอบดีหรือไม่” ไคไคน้อยพูดไปตามที่ตัวเองคิด อย่างที่บุรุษพึงแสดงความรับผิดชอบ ภาพที่เขาเห็นเมื่อครู่ตอนที่ไปแยกทั้งสองออกจากกันเด็กชายจำได้ดี
นางต้องถูกบิดาของเขาทำให้เสื่อมเสียเกียรติ บิดาเขาก็เป็นลูกผู้ชายพอ ตบแต่งกันไปเลยดีหรือไม่ จะได้ไม่ถูกผู้คนนินทา
ฟู่ลี่อิ๋งกลับเข้าไปหาไคไคน้อยอีกครั้ง
“ไคไค เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เมื่อครู่พ่อของเจ้าไม่ได้ทำอะไรข้าทั้งสิ้น เอ่อ...เป็นเพราะพี่สาวพูดเสียงเบาเกินไป เขาก็เลยเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อที่จะได้ฟังข้าให้ถนัดก็เท่านั้น ส่วนตัวของพี่สาวเอง ยังไม่อยากแต่งงาน ปีหน้าข้าก็อายุครบ 18 ปี ตั้งใจว่าจะออกจากบ้านไปอยู่อารามชีรับใช้พระพุทธองค์” นางรีบปฏิเสธ
พอได้ยินว่าพี่สาวไม่อยากแต่งงานเข้ามาเป็นมารดาของเขา ไคไคน้อยก็ทำหน้าสลด
“พี่สาว ท่านรังเกียจที่บิดาข้าแต่งงานแล้วใช่หรือไม่ ท่านรังเกียจที่จะมาเป็นมารดาข้าใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่เช่นนั้นสักหน่อย” นางโบกไม้โบกมือปฏิเสธ
“เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ลูกไค ให้พ่อของเจ้าได้ลองคบหาพี่สาวดูก่อนสักเดือนสองเดือน ชายหญิงแต่งงานกันเร็วเกินไปไม่ดีหรอก” เว่ยเจิ้งหยางต้องรีบตัดบทก่อนที่การสนทนานี้จะเลยเถิดเกินไป “เอาเช่นนี้ ฟู่โหวและคุณหนูกลับไปพักผ่อนก่อน นางน่าจะเหนื่อยมากแล้วมีอะไรค่อยไปว่ากันอีกทีก็แล้วกัน”
ฟู่ซิ่งไม่รอให้เว่ยอ๋องพูดซ้ำสองรีบลากแก้วตาดวงใจออกจากจวนพักร้อนในทันที
จนถึงตอนนี้ฟู่ลี่อิ๋งก็ยังไม่ได้ยินข่าวคราวของฟู่เหยาเหยาคล้ายกับว่านางหายไปจากโลกนี้อย่างไรอย่างนั้น อากาศในเมืองหลวงเริ่มหนาวขึ้นทุกวัน ๆ รวมไปถึงท้องของนางที่โตขึ้นเรื่อย ๆ การยืนเดินนั่งนอนของนางล้วนลำบากไปเสียหมด หลายครั้งที่ฟู่ลี่อิ๋งลุกขึ้นมานั่งร้องห่มร้องไห้กลางดึกเพียงเพราะอยากกินบะหมี่เนื้อรสเผ็ดทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านางไม่คอยชอบความเผ็ดของมัน ฟู่ลี่อิ๋งคิดถึงวันที่ที่พระสวามีเคยพาไปกิน คิดถึงเมื่อตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆ ส่วนเว่ยจงหมิงเองก็ตามใจและเข้าใจได้ไท่จื่อเฟยตั้งครรภ์ท้องแรกอีกทั้งยังไม่มีประสบการณ์ไม่มีผู้ใดสอนนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางจะกลัว กังวลและหวั่นใจไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นหน้าที่ของเขาที่เป็นสามีที่จะคอยให้ความอุ่นใจ อยู่เคียงข้างนางให้นางอบอุ่นใจในบางวันที่เว่ยจงหมิงต้องไปทำงานไกล ๆ ก็จะได้ไคไคน้อยมาอยู่เป็นเพื่อนคอยเล่านู่นเล่านี้ให้นางฟังไม่มีเบื่อถึงตอนนี้ฟู่ลี่อิ๋งถึงเพิ่งสังเกตว่าไคไคน้อยสูงขึ้นมาก จากที่เคยสูงกว่าเอวนางนิดหนึ่งตอนนี้หัวของเขาอยู่ในระดับไหล่นางเสี
หลังจากได้ยินเรื่องที่ฟู่เหยาเหยาหย่ากับเว่ยเจิ้งหยาง ฟู่ลี่อิ๋งก็ไม่สบายใจนัก นางไปถามกับพี่ชายว่าสาเหตุที่เขามาที่เมืองหลวง ใช่เรื่องเพราะเรื่องนี้หรือไม่ คราแรกเขาอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดจนสุดท้ายนางก็คาดคั้นเอาคำตอบออกมาจากปากเขาได้ในที่สุดเมื่อได้ยินทุกอย่างที่นางอยากจะฟัง ฟู่ลี่อิ๋งจึงลากพี่ชายไปสืบความที่จวนเว่ยอ๋องด้วยกัน เนื่องด้วยไม่อยากไปเหยียบที่นั่นเพียงลำพังเว่ยเจิ้งหยางเมื่อได้ยินว่าไท่จื่อเฟยมาถึงที่นี่ก็ละทิ้งทุกอย่างรีบมาหานาง แต่เมื่อออกมาถึงกลับพบว่านางไม่ได้มาตามลำพัง เรื่องราวที่เคยคิดเข้าข้างตัวเองก็สลายหายไป นางมาที่นี่พร้อมกับฟู่หมิงจือ สีหน้าท่าทางของโหวน้อยดูกังวล ส่วนฟู่ลี่อิ๋งดูเย็นชาเห็นหน้าของเว่ยเจิ้งหยาง หญิงสาวก็เริ่มพูดคุยเขาเรื่องทันทีโดยไม่อ้อมค้อม“ข้าได้ยินจากไท่จื่อบอกว่าท่าหย่ากับน้องสาวของข้าแล้ว”เว่ยเจิ้งหยางเลิกคิ้วเล็กน้อย “ใช่แล้ว ข้าหย่ากับนางไปตั้งแต่วันที่กลับมาจากจวนเสนาบดีสี”“เรื่องสำคัญเช่นนี้ ไม่เห็
แสงอาทิตย์ลอดเข้ามาในห้องนับแล้วเท่ากับแปดครั้ง สีฮูหยินกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างดีใจ นางหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสะใจ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง จากนี้ไปจะไม่มีเว่ยจงหมิงอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้วในขณะที่นางกำลังดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แสงไฟในคุกก็สว่างไสวประดุจกลางวัน สีฮูหยินที่อยู่ในความมืดมานานนับสัปดาห์ต้องหลับตาและใช้แขนเสื้อของตนเองปกป้องดวงตาของตัวเอง ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้นนางจึงจะสามารถลืมตาขึ้นได้สิ่งที่สตรีวัยกลางคนเห็นเมื่อลืมตาขึ้นพบกับบุรุษที่นางเกลียดที่สุดผู้หนึ่งในชีวิต เว่ยจงหมิงนั่งอยู่บนคานหาม แบบสี่คนแบก ชายหนุ่มนั่งอยู่บนนั้นเส้นผมดำขลับถูกปล่อยสยายยาวสอดรับกับใบหน้าหล่อเหลา เขาสวมเสื้อผ้าสีขาวสบาย ๆ ท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับสิ่งใด และดูไม่เจ็บไม่ป่วย“ทำไมเจ้ายังมีชีวิตอยู่” สีฮูหยินได้เห็นหน้าของเว่ยจงหมิงก็เริ่มมีปฏิกิริยาแห่งโทสะ“องค์หญิงเออร์น่าคงตกใจมาก ที่เห็นว่าข้ายังมีชีวิตอยู่” เว่ยจงหมิงหยิบองุ่นขึ้นมากินในขณะที่สนทนากับนาง“ไม่!!!
อากาศยามเช้าหลังจากฝนหยุดตกสดชื่นปลอดโปร่ง เสียงวิหคบินวนขับขานดังกังวานไปทั่วทั้งพื้นที่ เช้าวันนี้นางรู้สึกว่าตัวเองสดชื่นกว่าทุกวัน อาจจะเป็นเพราะยาบำรุงของท่านซุน ที่ช่วยให้นางผ่อนคลายและหลับสบายมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ที่พระสวามีป่วยฟู่ลี่อิ๋งก็ย้ายออกไปนอนห้องนอนเล็กที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันเพราะนางไม่อยากรบกวนคนป่วยเกรงว่าตนเองจะนอนดิ้นและทำให้เขาลำบาก รอให้เว่ยจงหมิงฟื้นและหายดีก่อนค่อยกลับมาร่วมห้องทีหลังก็ได้ทุก ๆ วันฟู่ลี่อิ๋งจะมานั่งเฝ้าพระสวามีในห้อง นี่ก็ผ่านมา 7 วันนับตั้งแต่เขาถูกพิษ เว่ยจงหมิงก็ไม่ฟื้นสักที วันนี้ก็เช่นกันนางมานั่งข้างเตียงพูดคุยกับเขาดังเช่นเคยมือเรียวเล็กจับมือของเขามาสัมผัสที่หน้าท้องแบนราบของตนเอง“ท่านพี่ เมื่อไหร่ท่านจะฟื้นกันนะ” ร่างเล็กพึมพำ “ท่านรู้หรือไม่ว่าไคไคน้อยกำลังจะมีน้องชายน้องสาวแล้วนะ” ฟู่ลี่อิ๋งกระซิบแผ่วเบาสีหน้าของเว่ยจงหมิงดูดีกว่าหลายวันที่ผ่านมา วิธีการของท่านซุนออกจะประหลาดไปบ้างแต่ก็ได้ผล หนำซ้ำยังได้ยาบำร
เสี่ยวหลงติดตามท่านเหลียงออกเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อติดตามเรียนรู้วิชาการตัดเย็บเสื้อผ้าจากเหลียงเหลียนฮ่าวและฝากตัวเป็นลูกศิษย์ แต่เมื่อหลายวันก่อนตอนเดินทาง ในวันที่พายุฝนโหมกระหน่ำ คณะเดินทางของท่านเหลียงผ่านไปพบกับสตรีผู้หนึ่ง นางนอนกลายเป็นซากคล้ายกับศพอยู่ในเส้นทางที่พวกเขาผ่านสภาพของนางไม่ต่างอะไรจากซากศพบาดแผลบนใบหน้าฉกรรจ์น่ารังเกียจ สัตว์และแมลงตอมไต่จนบาดแผลเน่าเฟะเหม็นคลุ้งเหลียงเหลียนฮ่าวใช้ไม้เขี่ย ๆ เห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่จึงพาตัวไปด้วยกันถือว่าเอาบุญ ตอนที่ช่วยเหลือเสี่ยวหลงเห็นตราหยกสีชมพูคล้าย ๆ กับชิ้นที่ไท่จื่อเฟยมี ก็เดา ๆ เอาไว้ว่าสตรีอัปลักษณ์ผู้นี้น่าจะเป็นผู้ใด แต่ก็ไม่ได้บอกเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟังกระดูกบนร่างกายของสตรีอัปลักษณ์หักอยู่หลายส่วน ท่านหมอที่ติดตามมากับคณะของเหลียงเหลียนฮ่าวใช้วิธีการเอาไม้ไผ่มาดามนางเอาไว้ทั้งร่าง ฟู่เหยาเหยาตื่นขึ้นมาอีกทีพบว่าร่างกายของตนเองกำลังถูกวางเอาไว้บนเกวียนบรรทุกสิ่งของ แขนขาถูกมัดเอาไว้กับไม้ไผ่ขยับไปไหนไม่ได้
เจ้างูสีขาวตัวเล็ก ๆ ดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อยที่มันถูกผู้เป็นนายปลุกให้ตื่น มันสะบัดหัวไปมาและค่อย ๆ ยืดตัวชูคอขึ้นทำท่าทางคล้ายกับบิดขี้เกียจ แต่เมื่อเห็นหน้าผู้เป็นนายมันก็รีบกระโดดออกจากกระปุกสีขาวขึ้นไปหยอกล้อคลอเคลียท่าทางเหมือนกับลูกสุนัขตัวเล็ก ๆฟู่ลี่อิ๋งเห็นแล้วก็พูดสิ่งใดไม่ออก สัตว์มีเกล็ดลิ้นยาวพวกนั้นสามารถมองให้น่ารักได้ด้วยหรือ นางรู้สึกขนลุก แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดสิ่งใดออกมา ปล่อยให้ท่านซุนรักษาไปตามวิธีการของเขา แม้จะทำให้คนที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกคล้ายจะเป็นลมอยู่ตลอดเวลาก็ตามงูเทพหิมะเมื่อเห็นแมงป่องสีรุ้งมันก็คล้ายกับทำตาโตด้วยความดีใจ ซุนจงปล่อยมันลงกับพื้นพร้อม ๆ กับแมงป่องสีรุ้ง ทั้งงูและแมงป่องลงต่อสู้กัน เจ้าแม่งป่องพยายามใช้หางพิษของตนเองต่อสู้กับเจ้างูเทพหิมะแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้ต่อความปราดเปรียวของเจ้าตัวเล็กสีขาวทันทีที่แมงป่องสีรุ้งสิ้นท่า เจ้าตัวเล็กสีขาวก็เขมือบเจ้าแมงป่องตัวสีรุ้งที่นอนหมดแรง เข้าไปทั้งร่างอย่างเชื่องช้า เจ้าของร่างเล็กแบบบางต้องหลับตาขยับไปหลบอยู่เบื้องหลังของ