ตอนที่ 2
เหยาเหยา
ลมหนาวจากหุบเขาพัดเอื่อย ๆ จนเหยาเหยาต้องกอดตัวเองไว้แน่น ผ้าผืนบางบนร่างไม่ใช่ชุดที่เธอเคยสวมใส่มาก่อน แม้ว่าสีสันนั้นจะยังสดใสและเนื้อผ้าก็ดูเหมือนว่าจะเนื้อดีไม่น้อย แต่มันกลับขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านการกรีด ฉีก ดึงจนบัดนี้มันดูสะบักสะบอมไม่น้อย
“ยังไงก็หมายความว่านี่คือร่างของฮั่วเฉาซี.. สตรีน่ารังเกียจผู้นั้นสินะ”
เธอพึมพำเบา ๆ ปล่อยเสียงหลุดลอยไปกับลม ดวงตายังคงจับจ้องที่มือทั้งสองข้าง นิ้วเรียวยาวที่ไม่ใช่ของเธอ เส้นเลือดใต้ผิวหนังซีดขาวเหมือนเลือดยังไหลเวียนไม่เต็มที่ เธอลุกขึ้นยืนอีกครั้งแม้ร่างกายจะยังโอนไปเอนมา แต่สุดท้ายการจะมานั่งร้องไห้รอความตายเป็นครั้งที่สองก็คงจะไม่ได้
“ถ้าไม่ใช่ฝันก็แปลว่าฉันต้องอยู่ต่อให้ได้.. แต่ทำไมกันนะ ทำไมต้องเป็นร่างกายของสตรีผู้นี้กัน”
เธอกัดฟันแน่น ยกชายผ้าที่ขาดหลุดลุ่ยขึ้นมาผูกไว้หลวม ๆ กันโป๊พอเป็นพิธี ก่อนจะเริ่มก้าวเท้าออกจากสุสานจุดที่คล้ายจะเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตเก่า และเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่
สองเท้าเปลือยเปล่าเหยียบลงบนดินชื้น แต่เวลานี้เธอไม่สนใจอะไรแล้ว ขอแค่รีบออกให้ห่างจากหลุมศพเหล่านี้ก็พอ แม้ว่าหินจะบาดจนเลือดซิบ แม้ฝุ่นจะติดจนรู้สึกแสบ เธอก็ยังคงก้าวไปข้างหน้า
"หาที่ที่มีคนก่อนแล้วกัน"
ท่ามกลางแสงจันทร์เสี้ยวสลัว สองเท้าของนางยังคงเดินตลอดไม่หยุดพัก ผ่านพุ่มไม้รก ผ่านกอไผ่และแนวต้นสน เสื้อผ้าบนร่างกายเธอหลุดลุ่ยจนแทบปิดไม่มิด แขนเสื้อขาดเป็นริ้วเผยให้เห็นท้องแขนมีรอยขีดข่วนจากเล็บเลอะฝุ่นเลอะโคลน ดูจากสภาพเสื้อผ้ากับรอยช้ำรอบลำคอ รอยเขียวคล้ำบนต้นแขน
“โดนโจรขุดขึ้นมาแน่ ๆ”
เสียงที่เปล่งออกมาเบาหวิวแต่ชัดเจนจนตัวเธอเองยังสะอึก โจรขุดศพที่เห็นในนิยาย มักจะขุดศพขึ้นมาเพื่อล้วงเครื่องประดับ ทองคำ หรือแม้แต่นำร่างกายของศพไปขายให้กับกลุ่มลัทธิมืด แต่ก็ไม่คิดว่าจะประสบพบเจอจริง ๆ กับตัวเอง ไม่สิ.. ร่างกายที่ตัวเองกำลังใช้งานอยู่ตอนนี้ มือเล็กกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ มือหนึ่งยกขึ้นลูบผมตัวเองที่ยุ่งเหยิงคล้ายโดนกระชาก ก่อนปล่อยแขนลงข้างตัว
“คนที่เกิดใหม่ในร่างคนอื่นที่อ่านนิยายมามีแต่ไปเกิดเป็นคุณหนู ฮูหยิน ฮองเฮา ลูกสาวขุนนาง.. แล้วเหตุใดยัยเหยาเหยาผู้มาต้องมาเกิดเป็นศพ มิหนำซ้ำยังเป็นศพของคนไม่ดีด้วยนะ! ควรดีใจดีไหมนะ”
ปากก็พร่ำบ่นไปตลอดทาง ปะปนไปกับเสียงฝีเท้าที่ลากไปกับดินที่เริ่มแผ่วช้าลงเรื่อย ๆ ฝุ่นทางกรวดแห้งกรังเกาะข้อเท้าจนตอนนี้เธอไม่แน่ใจแล้วว่าเหนื่อยเพราะเดินมานาน หรือเหนื่อยเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะไปที่ไหนกันแน่
ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยามที่พยายามลากสังขารเดินไปข้างหน้า แสงจันทร์เริ่มลอยขึ้นสูง ส่องให้เห็นแนวหลังคาเรียงกันเป็นกลุ่มก้อนอยู่ไม่ไกล
“หมู่บ้าน.. เจอหมู่บ้านแล้ว”
เสียงครางในลำคอเบาหวิวจนเกือบกลืนไปกับเสียงลมที่พัดเฉียดใบหู สองเท้าเร่งก้าวไปด้านหน้าเท่าที่แรงจะมี พาให้ตัวเองเข้าไปใกล้หมู่บ้านนั้น เมื่อมาถุงก็พบกับหมู่บ้านที่มีบ้านไม้เล็ก ๆ เรียงราย ประตูไม้เก่า ๆ ปิดสนิท ไฟจากตะเกียงในบ้านยังสว่างอยู่จาง ๆ ทำให้นางรีบเดินไปเคาะประตูอย่างคนที่ต้องการขอความช่วยเหลือ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขอโทษค่ะ.. มีใครอยู่ไหม”
เธอรออยู่นานแต่ประตูบ้านกลับไม่เปิดออกต้อนรับ ใบหูได้ยินเสียงฝีเท้าที่ขยับเดินอยู่ในบ้านแต่กลับไม่มีใครตอบ ไม่มีแม้แต่เงาคนแง้มหน้าต่างมามองด้วยซ้ำ
เธอสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอย่างหมดแรง ไม่ได้แปลกใจหรืออะไรนักเพราะหากเป็นเธอก็คงไม่เปิดต้อนรับใครก็ไม่รู้ยามค่ำคืนเช่นกัน สุดท้ายสองเท้าก็พาร่างกายเดินเซไปเรื่อยจนมาถึงท้ายหมู่บ้าน ตรงมุมหนึ่งมีโรงไม้เก่า ๆ คล้ายโรงเก็บของหรือที่เก็บผลผลิตของชาวบ้านในฤดูเก็บเกี่ยว
บานประตูไม้เปิดแง้มอยู่เล็กน้อย มือเล็กถือวิสาสะดันมันเข้าไปเบา ๆ กลิ่นฟางแห้งผสมกลิ่นฝุ่นตีขึ้นจมูก เธอกวาดมองรอบ ๆ ก่อนที่สายตาจะไปหยุดที่กองฟางหนา แม้มันจะไม่ใช่ที่นอนนุ่มนิ่ม แต่คืนนี้มันก็คือที่พักพิงแห่งเดียวที่เธอมี
สองเท้าเดินเข้าไปช้า ๆ แล้วทิ้งตัวลงไปตรงนั้น โดยไม่พูดอะไรอีก ดวงตาคู่นี้หลับลงอย่างเหนื่อยล้า เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร้องไห้ออกมาตอนไหน รู้ตัวอีกทีน้ำตาก็ไหลซึมลงกับกองฟางโดยไร้เสียงสะอื้นเสียแล้ว มือเล็กกำเสื้อที่หลวมโพรกไว้แน่น สะโพกเบียดกับฟางแหลมอย่างไม่ใส่ใจ
ฮึก!
เสียงสะอื้นไห้ดังเบา ๆ ก่อนสติจะดับวูบ ร่างกายที่เหนื่อยล้าเกินจะฝืนปล่อยให้จิตหลุดไปในห้วงนิทราในยุ้งฉางเก่า ๆ
แสงแดดในยามเช้าสาดลอดผ่านหน้าต่างไม้ เข้ามากระทบลงบนใบหน้าขาวซีด แสงอุ่นแต่ร่างกายกลับเย็นเฉียบ กลิ่นยาสมุนไพรลอยจาง ๆ คลุกเคล้ากับกลิ่นฟางแห้งที่ลอยมาจากนอกเรือน เธอลืมตาขึ้นช้า ๆ กวาดตามองรอบห้อง
แต่ยังไม่ทันได้สำรวจจนทั่ว เสียงของประตูไม้ถูกเลื่อนเปิดออก มีเสียงไม้ลั่นเบา ๆ ตามน้ำหนักเท้าของชายหนุ่มที่เดินเข้ามาพร้อมถ้วยหนึ่งใบ ชายหนุ่มบ้านนาอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี ผิวคล้ำแดดแต่แววตาคู่นั้นดูซื่อไม่เลว เขาเหลือบมองเหยาเหยาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเรียบ ๆ
“ท่านตื่นแล้วเหรอ.. ตากับยายบอกให้ข้านำยามาให้ท่าน” เหยาเหยายังนิ่งเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่ที่ไหนและตัวเองควรจะเป็นใคร
“ข้าเจอเจ้าที่ยุ้งฉางท้ายหมู่บ้านเมื่อคืน ตอนนั้นเจ้าหมดสติไปแล้วข้าเลยให้หลานชายอุ้มเจ้ามาที่นี่” เสียงแหบแห้งของยายดังแทรกเข้ามาจากหลังชายหนุ่ม
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่เห็นสภาพแบบนั้นแล้วจะปล่อยไปก็กระไรอยู่ เจ้าพักอยู่ที่นี่ก่อน เมื่ออาการดีขึ้นแล้วค่อยว่ากัน”
น้ำเสียงนั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ายายหวังอะไร ไม่ใช่น้ำเสียงของคนที่สงสัย ไม่ได้ขับไสไล่ส่ง มีแต่ความรู้สึกห่วงใยในยามที่ฟัง เหยาเหยาเงยหน้ามองทั้งสอง แววตาเธอสั่นระริกคล้ายคนที่เจอเกาะกลางทะเลในวันที่ว่ายน้ำจนหมดแรง
“ขอบคุณ.. นะคะ”
คำว่าขอบคุณหลุดออกมาด้วยเสียงสั่น ๆ ยายไม่พูดอะไรมีเพียงแค่ยิ้มให้อย่างเอ็นดู ก่อนที่ท่านจะค่อย ๆ วางผ้าชุบน้ำบนหน้าผากเธอเบา ๆ
“เจ้าพักก่อนเถอะ หน้าตาก็ดูเรียบร้อย พูดจาก็ไม่หยาบกระด้าง ท่าทางจะไม่ใช่โจรผู้ร้ายหรอกเนอะ”
“ไม่ใช่.. ไม่ใช่โจรเจ้าค่ะ”
“ยายหยอกเล่น.. แล้วแม่หนูชื่ออะไรงั้นหรือ”
“ชื่อเหรอ..” เหยาเหยานิ่งเงียบพลางใช้ความคิด นางควรจะบอกชื่อไหนกับยายดีนะ จะละทิ้งเหยาเหยาแล้วใช้ชีวิตของฮั่วเฉาซีต่อไปในโลกนี้ หรือจะถือวิสาสะละทิ้งฮั่วเฉาซีแล้วใช้ชีวิตในนามเหยาเหยาต่อไปดี
“หรือได้รับบาดเจ็บจนจำอะไรไม่ได้หรือเปล่า ไหน! ยายขอดูหน่อย”
“เหยาเหยา.. ข้าชื่อเหยาเหยาเจ้าค่ะท่านยาย”
ตอนที่ 13ทำไมท่านพ่อท่านแม่ไม่ใส่เสื้อผ้าละเสียงพร่าต่ำหลุดออกมาจากริมฝีปากของซูอวี่ ก่อนที่เขาจะปล่อยให้หญิงสาวบรรเลงเพลงรักไปตามอารมณ์ เฉาซีปรือตามองเล็กน้อยก่อนที่เธอจะโน้มตัวลงมาจูบเขาอย่างเร่าร้อนและรุนแรงเสียงของเนื้อกระทบเนื้อดังก้องในห้องที่เงียบสงัด จังหวะเร่งเร้าราวกับพายุที่ซัดโหมจนทุกสิ่งหลอมละลายกลายเป็นหนึ่ง ช่างเป็นค่ำคืนที่แสนยาวนานที่ไม่มีใครหยุดยั้งไฟที่โหมกระพือบนเตียงได้แสงแดดอุ่นในยามเช้าตรู่สาดลอดผ่านช่องหน้าต่างไม้เข้ามากระทบบนเตียงใหญ่ ร่างเปล่าเปลือยสองร่างยังคงกอดกันแนบแน่น เสื้อผ้าถูกเหวี่ยงกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางมีเพียงกลิ่นกายอ่อน ๆ ที่ยังคงคลุ้งอยู่เต็มห้องด้านนอกนั้นมีเสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ที่วิ่งเข้ามาพร้อมเสียงเจื้อยแจ้ว โดยมีหว่างตันที่เดินตามสองแฝดเข้ามา ทันทีที่ประตูเปิดออกชายหนุ่มก็ชะงักตัวแข็งทื่อ สองแฝดที่เดินตามหลังเข้ามาก็ยื่นหน้าออกไปมองข้างในก่อนตาโตเป็นไข่ห่านพร้อมกัน"ท่านอา!" ไป๋จื้อร้องเสียงหลงขณะที่ไป๋ฮวายกมือปิดปากอย่างตกใจหว่างตันรีบหันหลังกลับแล้วปิดประตูบานนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มลงพูดเสียงเบาแทบเป็นกระซิบ"ชู่! อย่าส่งเสียงดั
"ขืนปล่อยไว้แบบนี้ นางได้ไข้ขึ้นจนไม่ฟื้นเป็นแน่!" เขากอดเธอเอาไว้แน่นจนแทบหายใจไม่ออก และด้วยความลังเลเพียงเสี้ยววินาที ซูอวี่ก็กัดฟันแน่นอย่างหมดทางเลือก จากนั้นก็ค่อย ๆ ปลดเสื้อผ้าของเฉาซีออกอย่างระมัดระวังจนเหลือเพียงร่างกายที่เปลือยเปล่า แล้วดึงเธอมากอดเอาไว้แบบเนื้อแนบเนื้อ ดึงร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอดแน่น ๆ ให้ผิวกายของทั้งสองสัมผัสกันโดยตรงความร้อนจากตัวเขาจึงซึมซาบเข้าสู่ร่างที่เย็นเยียบของนางอย่างรวดเร็ว เขากระชับแขนให้แน่นขึ้นแล้วก้มหน้าฝังลงที่ซอกคอเฉาซีอย่างลืมตัว เสียงลมหายใจร้อน ๆ รินรดผิวเนียนขาว"อดทนหน่อย.." เขากระซิบแผ่วข้างหู ราวกับจะปลอบโยนทั้งตัวนางและตัวเขาเอง ร่างทั้งสองแนบชิดกันใต้ผ้าห่มผืนหนา ผิวเนื้ออุ่นร้อนของซูอวี่โอบกอดเฉาซีแน่นในอ้อมแขน เสียงลมหายใจของนางยังคงขาดห้วงเป็นระยะและร่างเล็กก็ยังสั่นเพราะพิษไข้และในขณะที่เขากำลังหักห้ามอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตนอยู่นั้น ริมฝีปากนุ่มของเฉาซีได้ขบเม้มลงบนลำคอเขาเบา ๆ สัมผัสนุ่มหยุ่นแตะแผ่วจนซูอวี่สะดุ้งเฮือก กล้ามเนื้อในส่วนที่เขาไม่อยากให้ตื่นนั้นได้แข็งขืนขึ้นทันทีด้วยสัญชาตญาณดิบ“เจ้าจะทำอะไรของเจ้า..” เขาคำร
ตอนที่ 12รื้อฟื้นความหลังซูอวี่คำรามเสียงต่ำดวงตาเย็นเยียบราวกับคมมีด เขากระชากแขนเธอขึ้นมาด้วยแรงที่ทำให้ไหล่แทบหลุด"ข้าไม่ใช่ผู้ชายพวกนั้นที่เจ้าจะมาใช้มารยาได้!"เขาขบกรามแน่นดวงตาวาววับด้วยความโกรธ เฉาซีได้แต่กัดฟันแน่น เธอเจ็บ.. เจ็บแทบจะขาดใจ แต่กลับไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้สักคำ เพราะกลัวว่าเสียงของตัวเองนั้นจะสั่นจนดูน่าสมเพช"อ๊ะ!" แต่เพราะแรงกระชากนั้นทำให้เฉาซีถึงกับเบ้หน้าแล้วหลุดเสียงครางออกมาเพราะความระบม"หุบปาก ถ้าไม่อยากให้คนทั้งเรือรู้เรื่องของเจ้า!" ซูอวี่กดเสียงต่ำลงด้วยความหยามเหยียด ทำให้เฉาซีได้แต่ขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินลากขาเป๋ ๆ ตามเขาอย่างทุลักทุเลเหมือนเศษผ้าที่โดนลมซัดจนกระทั่งขึ้นไปถึงดาดฟ้าเรือ หว่างตันที่ยืนอยู่ที่นั่นเบิกตาเล็กน้อย มองนางสลับกับซูอวี่อย่างไม่เข้าใจ"ออกเรือ!" ซูอวี่สั่งออกไปด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ แต่ทันทีที่คำสั่งถูกปล่อยออกมาเรือลำนี้ก็เริ่มขยับเคลื่อนออกจากท่าเขายังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยแขนนางให้เป็นอิสระ หลังจากที่เรือเริ่มเคลื่นตัวสองเท้าของเขาก็ก้าวฉับไปด้านใน มือหนายังคงลากเธอเข้าไปในห้องส่วนตัวทันทีที่บานประตูเปิดออก ฮั่วเฉาซีพยายามต
เสียงสิ่งของตกลงน้ำดังขึ้นพร้อมเสียงกรีดร้องของต้าซู ทำให้เธอเงยหน้าพรวดขึ้นทันที ก่อนจะมองตามสายตาของไป๋จื้อไปก็พบว่าเป็นไป๋ฮวาที่พลัดตกลงไปในน้ำ ส่วนหว่างตันนั้นกำลังคว้าตัวไป๋จื้อไว้ได้"เสี่ยวซู!" เฉาซีร้องลั่นไม่รอช้า เธอพุ่งตัวกระโดดตามลงน้ำไปทันทีน้ำเย็นเฉียบปะทะใบหน้าจนรู้สึกแสบตาไม่น้อย แต่เวลานี้เธอกลับสนใจเพียงรีบมองหาตัวเสี่ยวซูให้เจอก่อน แต่ยังถือว่าโชคดีอยู่บ้างที่ไป๋ฮวานั้นเคยถูกฝึกให้ว่ายน้ำอยู่บ้าง เฉาซีที่เห็นเด็กน้อยลอยคออยู่ก็พุ่งเข้าไปคว้าเอาไว้แน่นตูม!!!เมื่อหันไปมองตามเสียงก็เห็นว่าเป็นซูอวี่ที่กระโดดตามลงมา เฉาซีรีบยื่นไป๋ฮวาให้ซูอวี่รับตัวไว้แล้วรีบอุ้มขึ้นไปโดยที่มีหว่างตันรอรับตัวที่ขอบเรือถึงแม้ว่าในโชคร้ายจะยังมีโชคดี แต่ในโชคดีก็ยังมีโชคร้ายปะปนอยู่เช่นกัน เพราะตอนที่เฉาซีกำลังจะว่ายน้ำตามขึ้นไป เท้าของเธอกลับรู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างดึงไว้เธอพยายามตะเกียกตะกายดึงเท้าออกแต่ไม่หลุดง่าย ๆ เมื่อลองดำน้ำลงไปดูก็พบว่ามันคือโขดหินสองลูกที่มีเชือกเก่า ๆ พันอยู่‘บ้าเอ๊ย!’ เฉาซีสบถในใจพยายามแกะเชือกออกด้วยความร้อนรน แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไงมันกลับไม่ขาดออก
ตอนที่ 11เถาอวี้หลังจากนั้นหลายชั่วยาม นางได้ขัดพื้นจนมือนั้นซีดช้ำ เฉาซีปาดเหงื่อออกจากใบหน้าด้วยชายเสื้อหยาบ ๆ ท้องฟ้าเบื้องหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่น และแสงจากตะเกียงในเรือก็ถูกจุดขึ้นทีละดวงเฉาซีเกาะราวที่ท้ายเรือเอาไว้พร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ใบหูได้ยินเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังเข้ามาใกล้ เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นหญิงสาวร่างเล็กในชุดผ้าหยาบเดินเข้ามาหา"เจ้า.. ชื่ออะไรงั้นหรือ" สตรีผู้นี้ถามขึ้นเสียงเบา แต่แววตากลับฉายความเป็นมิตร"เฉาซี" เธอตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำให้หญิงสาวผู้นั้นผงกศีรษะเบา ๆ เป็นการตอบรับ"ข้าชื่ออาเซี่ย.. ได้เวลาอาหารแล้วเฉาซีเจ้าตามข้ามาเถอะ" อาเซี่ยพูดขึ้นก่อนจะจับข้อมือเธอเล็กน้อยให้เดินตามไป“อาเซี่ย.. ข้ายังไม่ได้เก็บของ” เธอเบี่ยงตัวมามองก็พบว่าข้าวของยังกองอยู่ที่เดิม“งั้นข้าช่วย” เมื่อพูดจบสตรีผู้นี้ก็เดินไปหยิบ ๆ จับ ๆ วางตรงนี้ไว้ตรงนี้อย่างคล่องแคล่ว แค่พริบตาที่ท้ายเรือนั้นก็สะอาดเรียบร้อย“งั้นเราไปกินข้าวกันเถอะ” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นก่อนจะจูงมือเธอให้ตามไป เฉาซีเดินตามไปเรื่อย ๆ ผ่านบันไดไม้ลงมาด้านล่างจนถึงห้องโถงเล็ก ๆ ใต้ท้อ
ตอนที่ 10ทาสบนเรือน้ำเสียงของนางหนักแน่น ทำให้หว่างตันได้แต่ยืนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกสุดท้ายเขาก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปรื้อของบนรถขนสินค้า ควานหาอยู่พักหนึ่งก่อนจะหยิบห่อผ้าขนาดพอเหมาะ จากนั้นก็เดินกลับมาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แล้วยื่นมันให้เฉาซี“อย่างนั้นคุณหนูรับนี่ไว้นะขอรับ เอาไว้บังแดด” เฉาซีรับห่อผ้ามาแบบไม่พูดไม่จา แต่ก็ยอมกางมันไว้เพื่อบังหัวตัวเองขณะนั้นเองซูอวี่ก็พาไป๋จื้อและไป๋ฮวามาถึงลานด้านหน้า เขาเหลือตามองเฉาซีที่นั่งอยู่บนรถขนงาในสภาพใบหน้าหน้าบูดบึ้ง มีเพียงห่อผ้าสีน้ำตาลตุ่น ๆ บังแดดบนซูอวี่ขมวดคิ้วแน่นแต่ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เขาเพียงหันไปมองลูก ๆ ที่กำลังหันมองแม่ของตัวเองนิ่ง ๆ ก่อนจะดึงมือเด็กทั้งสองเดินตรงไปยังรถม้าที่เตรียมไว้ด้านข้าง“ต้าซู เสี่ยวซู ขึ้นรถลูก” เขาพูดออกมาเบา ๆ แต่ก็ทำให้ไป๋จื้อและไป๋ฮวารีบปีนขึ้นรถม้าอย่างว่าง่าย และตามด้วยซูอวี่ที่ขึ้นตามไปนั่งก่อนจะสั่งเสียงเย็นเฉียบ“ออกเดินทางได้” คนบังคับรถม้ารีบรั้งบังเหียนทันที มีเสียงเกือกม้ากระทบพื้นดินดังกรอบแกรบตามหลังเป็นระยะหลังจากฝ่าพื้นดินที่เริ่มชื้นแฉะเพราะฝนโปรยมาได้ครึ่งวัน ขบวนค
หว่างตันยังคงยืนประหนึ่งหุ่นไม้ข้างประตูไม่ไหวติง เขามองคุณชายซูสลับกับเฉาซีนิ่ง ๆ แต่เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดขึ้นที่ขมับฮั่วเฉาซีไม่สนใจอะไร เธอลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ดวงตาที่เคยอ่อนโยนเวลามองเด็ก ๆ ตอนนี้เต็มไปด้วยเพลิงโทสะ ก่อนจะหยิบจานอาหารในส่วนของผู้ใหญ่ที่เธอสั่งมาถือไว้มือเรียวจับจานไว้แน่นก่อนจะเทกุ้งผัดซอสเต้าหู้ยี้เทลงไปทางหน้าต่างโดยไม่ลังเลซูอวี่เบิกตากว้างเล็กน้อย แต่ยังพยายามนิ่งเอาไว้ เดิมทียังคิดว่าเธอแค่ขู่เล่น แต่หลังจากนั้นจานที่สองอย่างหมูสามชั้นต้มซีอิ๊ว จานที่สามตับผัดต้นหอม จานที่สี่น้ำแกงกระดูกหมูตุ๋นยาจีนชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกเทออกไปพร้อมของโปรดทีละจาน“เดี๋ยวก่อน นี่เจ้า!” เขาก้าวเข้าใกล้เธอหนึ่งก้าวแต่เฉาซีก็เทจานสุดท้ายอย่างไม่แยแส เมื่ออาหารส่วนของผู้ใหญ่ถูกเททิ้งจนหมด สองเท้ารีบหันหลังแล้วเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปจากห้องโดยไม่ปริปากแม้แต่คำเดียวกระโปรงของชุดเดินทางสะบัดตามจังหวะฝีเท้าฉับ ๆ ซูอวี่ยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนหันขวับไปทางหว่างตัน“แล้วเหตุใดเจ้าถึงยังยืนเป็นท่อนไม้อยู่นั่น หา!! เห็นนางเดินออกไปไม่คิดจะตามหรืออย่างไร!” คำพูดที่ดูเหมื
ตอนที่ 9เกือบจะดีอยู่แล้วเชียวซูอวี่หรี่ตาขึ้นช้า ๆ เขามองภาพตรงหน้าแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว ฮั่วเฉาซีสตรีที่ร้ายกาจผู้นั้นกำลังคีบหมูตุ๋นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ถ้วยของไป๋ฮวา ก่อนจะหันไปคีบอีกชิ้นให้ไป๋จื้ออย่างเอาใจใส่ เด็กทั้งสองไม่ได้มีทีท่าว่ากลัวหรือระแวดระวังเหมือนก่อนนี้เลยแม้แต่น้อย แววตาของเด็ก ๆ แม้จะยังมีความระวังซ่อนอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่ความหวาดกลัว เขาหรี่ตามองทั้งสามคนอยู่แบบนั้นไม่ขยับความจริงแล้วซูอวี่นั้นตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่หญิงสาวย่องออกจากห้องไป เดิมทีเขาคิดว่านางจะหนีหรือก่อเรื่องก่อราว แต่ก็ไม่ได้ร้อนใจอะไรเพราะเขาสั่งให้หว่างตัวและยอดฝีมืออีกสามสี่คนคอยจับตาดูอยู่ก่อนแล้ว แต่ที่น่าแปลกใจก็คือนอกจากที่นางจะไม่หนีแล้วยังกลับเข้ามาในห้องพร้อมอาหารชุดใหญ่แต่เพราะอยากรู้ว่านางจงใจจะทำอะไรจึงเลือกที่จะหลับตานิ่ง แล้วก็อย่างที่คิดเพราะเธอนั้นเลือกที่จะเข้าหาเด็ก ๆ จริง ๆ ในตอนที่นางตักข้าวต้มให้นั้นหากต้าซูหรือเสี่ยวซูรับมากินเขาก็จะลุกขึ้นไปห้ามทันที แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาเคยสอนเด็ก ๆ ก็ยังไม่ลืมไปเสียทีเดียว เพราะต้าซูนั้นสามารถทำให้นางทดสอบอาหารให้ดูก่อนกินได้“ส่วนท่านก็เลิ
เธอบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะจัดแจงถ้วยแต่ละชุดให้เข้าที่ เป็นจังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสียงขยับตัวดังมาจากบนเตียง เด็ก ๆ ขยี้ตา ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้น ดวงตาของทั้งสองมองตรงไปที่โต๊ะอาหารที่เพิ่งถูกจัดไว้ใหม่ แต่แววตานั้นไม่ได้มีความตื่นเต้นเหมือนเด็กทั่วไปเลยสักนิดไป๋ฮวาเกาะแขนพี่ไว้แน่นอย่างไม่มั่นใจ ขณะที่ไป๋จื้อขมวดคิ้วแน่น นิ้วเล็ก ๆ กำชายเสื้อของตัวเองแน่นหนึบ ภาพในหัวของเด็กชายย้อนกลับมาอย่างไม่รู้ตัวเสียงหัวเราะของชายแปลกหน้าเคล้ากลิ่นสุราคละคลุ้งในห้อง แม่เลี้ยงของเขาหัวเราะคิกคักก่อนจะนำจานอาหารที่ตัวเองกับชายผู้นั้นกินเหลือโยนลงพื้นอย่างไม่แยแส ในจานนั้นเหลือเพียงน้ำมันขลุกขลิกกับผักเหี่ยว ๆ ไม่กี่ชิ้น“กินให้หมด อย่าเสแสร้งว่าหิวอีก!”และนั่นคืออาหารที่พวกเขาได้รับในแต่ละวัน วันไหนที่เขากับน้องไม่ยอมกิน มือนั้นก็จะฟาดลงมาบนแผ่นหลังแรง ๆ ไม่ได้เพื่ออบรมสั่งสอน แต่เพื่อระบายอารมณ์ล้วน ๆเด็กชายเม้มปากแน่นกำลังจะหันไปบอกน้องว่าไม่ต้องรีบกิน แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน“ตื่นแล้วเหรอ มากินข้าวได้แล้ว”เฉาซีย่อตัวลงนั่งข้างโต๊ะ ริมฝีปากคล