เข้าสู่ระบบรถยนต์ค่อย ๆ ชะลอตัวลงเมื่อขับเข้ามาจอดในโรงจอดรถ แม้จะจอดนิ่งแล้วแต่ว่าเครื่องยนต์ยังคงทำงานเงียบ ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง แทนที่นทีจะดับเครื่องยนต์เขากลับเลือกที่จะให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปอีกหน่อย สายตาของเขามองไปยังคนร่างบางที่ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเบาะฝั่งผู้โดยสาร สิ่งเดียวที่ยังบอกว่าหล่อนมีชีวิตอยู่มีเพียงแค่ลมหายใจที่สม่ำเสมอเท่านั้น
ตอนแรกนทีตั้งใจที่จะปลุกเธอ แต่เขากลับเลือกที่จะมองดูเงียบ ๆ เสียอย่างนั้น เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องมานั่งรอคนหลับแบบนี้ ทั้งที่เขามีสิทธิ์เต็มที่ว่าจะให้เธออยู่หรือไป แต่การที่เห็นอัจฉราหลับสงบแบบนั้น แม้จะไม่เข้าใจแต่เขาก็ไม่คิดที่จะหาคำตอบเพื่อทำความเข้าใจเช่นกัน ดวงตาคู่เฉียบยังคงราบเรียบเหมือนเคย แต่สายตาของเขาในยามนี้กลับกำลังจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของหญิงสาว ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือมากกว่านั้นก็ตาม นทีสังเกตหล่อนตั้งแต่เรือนผมสีแดง คิ้วเรียวสวยที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ใต้ตาที่แดงช้ำจาง ๆ ทั้งสองข้าง ปลายจมูกรั้นนิด ๆ ตลอดไปจนถึงกลีบปากอิ่มที่แย้มออกจากกันเล็กน้อย ยอมรับโดยไม่ต้องหาข้ออ้างเลยว่าอัจฉราเป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยจนมากเกินไปด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากเปรียบเทียบในความรู้สึกของนที หญิงสาวก็ไม่ได้ต่างไปจากหนังสือนิยายเล่มหนึ่ง มีดีแค่ปกหนังสือ สวยแต่รูป แต่เนื้อหาซ้ำซากจำเจ... ไม่ได้ ‘พิเศษ’ อะไรนักในความรู้สึกของเขา ราวกับว่าเจ้าของร่างที่กำลังถูกสายตาของเขาประเมินอยู่จะรู้สึกตัวเสียแล้ว อัจฉราขยับตัวเล็กน้อยอย่างไม่สบายตัว เปลือกตาหนาหนักกระพือเปิดขึ้นมาช้า ๆ ภาพที่เห็นทำให้นทีเบือนสายตาไปทางอื่นแทน ไม่ต้องการให้หล่อนรู้ว่าเขาแอบมองเธออยู่เมื่อครู่ แสงไฟจากโรงรถส่องกระทบเข้ามา เผยเห็นใบหน้าและแววตาที่ยังคงอ่านยากเหมือนเดิม ขณะที่อัจฉราลืมตาตื่นขึ้นมาพอดีพร้อมกับความรู้สึกงุนงง และหนักอึ้งที่ศีรษะเล็กน้อย หญิงสาวหรี่ตาลงอีกครั้งเมื่อต้องแสงไฟสลัว คิ้วขมวดเข้าหากันบ่งบอกถึงความไม่สบายตัวชัดเจน ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะรู้ตัวว่ารถยนต์ที่เคยเคลื่อนไหวในความทรงจำสุดท้าย ตอนนี้หยุดนิ่งอยู่กับที่แล้ว นัยน์ตาสียางไม้ไหววูบเบา ๆ ด้วยความสับสนและประหลาดใจ เมื่อหล่อนลืมตาขึ้นเห็นว่าตนอยู่ที่ไหน แม้จะมืดแต่ก็จำได้อย่างชัดเจนด้วยความคุ้นเคย “เธอไม่ได้บอกฉันว่าจะให้ไปส่งที่ไหน...” นทีเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ว่าหนักแน่นและทรงอำนาจตามแบบฉบับของเขา ชายหนุ่มสังเกตเห็นความงุนงงในดวงตาของอัจฉราผ่านหางตาของเขา แม้จะไม่ได้มองเธอตรง ๆ ก็ตาม เขาพูดจบก็ผินหน้าไปทางตัวบ้านหลังใหญ่ ก่อนจะถอดเข็มขัดนิรภัยออก และปลดล็อกประตูรถยนต์ซีดานคันหรูด้วยเสียง ‘คลิก’ เบา ๆ อัจฉราสะดุ้งเบา ๆ หลังจากที่เสียงทุ้มดังขึ้น หล่อนหันไปทางนที ดวงตาที่ฉายแววตาอ่อนล้าอย่างปิดไม่มิดมองเขาเงียบ ๆ สายตามองตามเขาออกไปนอกหน้าต่าง บ้านหลังใหญ่ที่คุ้นเคยดีตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น อัจฉราไม่ทันพูดอะไร เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเตรียมตัวจะลงจากรถแล้ว เธอจึงละสายตาไปจากเขาและรีบปลดเข็มขัดนิรภัยออก ขณะที่กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากัน พร้อมกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝื่อน “ขอโทษนะคะ... ที่เนยไม่ได้บอก” อัจฉราเอ่ยปากพูดเป็นครั้งแรกหลังจากที่ตื่นนอน ทำให้น้ำเสียงของหล่อนแหบพร่าเล็กน้อย แต่รู้สึกผิดและเกรงใจจนต้องรีบเอ่ยปากขอโทษเขา กลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายลำบากใจเพราะความสะเพร่าของเธอเอง “แต่เดี๋ยวเนยเรียกรถกลับเองก็ได้ค่ะ ขอบคุณที่ให้เนยติดรถมาด้วยนะคะ...” “เรียกรถ?... ดึกขนาดนี้น่ะเหรอ” นทีเอ่ยขัดขึ้นมาฉับพลันเมื่ออัจฉราพูดจบ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว สายตาของเขาตวัดมองเธอที่ตอนนี้นั่งตัวเกร็ง ผิดไปจากท่าทีผ่อนคลายก่อนหน้านั้นตอนที่เธอหลับอยู่อย่างสิ้นเชิง เขาผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ คิ้วที่เคยขมวดเข้าหากันก่อนหน้าคลายออกจนสีหน้ากลับมาเรียบนิ่งอีกครั้ง “ไม่ต้องเรียกรถ... ดึกแล้วนอนค้างที่นี่ไปก่อน... พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที” นทีพูดขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของเขากลับมาเป็นปกติ พูดจบเขาก็ไม่รอให้อีกฝ่ายได้แย้งอะไรอีก เขาละสายตาไปจากเธอ พร้อมกันนั้นก็เปิดประตูลงจากรถไปทันที ก่อนจะหันกลับไปมองอัจฉราที่ยังคงนั่งเงียบ สีหน้าของเธอแทบจะเก็บความสับสนและประหลาดใจเอาไว้ไม่ได้เลย “ลงมาสิ” น้ำเสียงของนที แม้จะราบเรียบแต่ก็แฝงไปด้วยความกดดันบางอย่างที่อัจฉราสัมผัสถึงได้ ทำให้เธอไม่กล้าขัดใจ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเบา ๆ พยักหน้า ก่อนจะรีบเปิดประตูลงจากรถไปตามคำสั่งของเขา อัจฉราปิดประตูลงอย่างเบามือ นทีมองการกระทำนั้นด้วยความรู้สึกพึงพอใจอย่างประหลาด อย่างน้อยหล่อนก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ไม่ว่าจะเป็นด้วยความกลัว กดดันหรือเกรงใจ แต่ผลลัพธ์มันก็ออกมาเหมือนกันอยู่ดี... นั่นคือเธอฟังคำสั่งของเขา อากาศเย็นในคืนหลังจากที่ฝนตกหนักทำให้ร่างบางที่ยังสวมเสื้อผ้าเปียก ๆ ตัวสั่นเล็กน้อยจนต้องกอดครุยที่เอาติดมือมาด้วยแน่นเพื่อคลายหนาว ขณะที่หล่อนเดินอ้อมรถมาอยู่ตรงหน้าเขา แต่ก็รักษาระยะห่างเอาไว้อย่างเหมาะสม “หึ...” เสียงทุ้มแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ มุมปากกระตุกเล็กน้อย นทีเห็นภาพนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึก ขบขันระคนสมเพชนิด ๆ เขาไม่รู้หรอกว่าอัจฉราไปเจออะไรมาบาง แต่หล่อนที่เขาเห็นในวันนี้ มันไม่เหมือนเธอในเมื่อก่อนเลยแม้แต่น้อย เธอที่เชิดหน้า เธอที่เป็นห่านแต่ชูคอเหมือนหงส์ เธอที่แทบจะเข้าหาเขาทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นถอยห่างราวกับกลัวว่าเขาจะทำอะไร... หรือไม่ก็เริ่มรู้สึกเจียมตัวขึ้นมาบ้างแล้ว อัจฉราชะงักไปเล็กน้อย หล่อนสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากและได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของนที แม้จะแค่แวบเดียวก็ตาม นั่นทำให้อัจฉรางุนงงอย่างช่วยไม่ได้ เธอไม่เข้าใจว่าเขาหัวเราะเรื่องอะไรกันแน่ แต่ยังไม่ทันจะได้หาคำตอบ หญิงสาวต้องตกใจซ้ำสอง เมื่อจู่ ๆ ชายหนุ่มก็ขยับเดินเข้ามาใกล้เธอ การเคลื่อนไหวที่กะทันหันนั้นทำให้อัจฉราไม่ทันตั้งตัว หล่อนยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ หัวใจดวงน้อยพลันเต้นผิดจังหวะ ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างและฉายแววสับสนระคนตื่นตระหนก ทว่า... สิ่งที่เธอคิดกับสิ่งที่เขาทำมันดันไม่ใช่อย่างที่คิดเลยแม้แต่น้อย เมื่อชายหนุ่มไม่ได้เดินมาหาเธอ แต่เขาเพียงแค่เดินผ่านหน้าเธอไปเฉย ๆ เพื่อไปเปิดประตูหลังรถก็เท่านั้น “กินอะไรหรือยัง...” นทีถาม คำถามของเขาทำให้คนที่พึ่งจะหน้าแตกไปไม่ถึงนาทีถึงกับเลิกคิ้วด้วยความสงสัยอย่างเก็บอาการไม่อยู่อีกต่อไป นทีหันกลับไปหาเธอโดยที่ในมือของเขามีปิ่นโตอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทำตาโตกะพริบตาปริบ ๆ แทนที่จะตอบเขา ชายหนุ่มก็ไม่ถามอีก แต่ยื่นปิ่นโตไปให้เธอต้องรับไปอย่างช่วยไม่ได้ “ขอบคุณค่ะ... แต่ว่า... แต่ว่าคุณนทีไม่เก็บไว้ทานเองเหรอคะ” อัจฉราตอบกลับเสียงแผ่ว น้ำเสียงหวานสั่นนิด ๆ นั้นแฝงไปด้วยความลังเลผสมกับความเกรงใจ ทั้งที่ความจริงหัวใจของหล่อนมันกำลังเต้นแรง เพราะการกระทำง่าย ๆ แต่ไม่คาดคิดของนทีจะตายอยู่แล้ว มือบางกำหูปิ่นโตแน่นด้วยความประหม่าและข่มใจ เตือนตัวเองว่าที่เขาทำ ไม่ใช่เพราะว่าเขารู้สึกอะไรด้วย ไม่ควรปล่อยใจให้คิดเข้าข้างตัวเองไปไกล... แต่รู้ทั้งรู้มันก็อดรู้สึกอะไรไม่ได้เลยอยู่ดี “ไม่ล่ะ... ฉันไม่ชอบเท่าไหร่... เธอเอาไปกินเถอะ” นทีตอบกลับเสียงเรียบ เขาสังเกตเห็นความประหม่าในท่าทีของอัจฉรา เห็นแม้กระทั่งพวงแก้มที่เริ่มขึ้นสีเลือดฝาด เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำมันทำให้อัจฉราคิดไปไกลแค่ไหน แต่เขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับการย้ำเตือนหรือขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจน เพราะคนที่คิดจะข้ามเส้นมาตั้งแต่แรกมันคือเธอ... ไม่ใช่เขาอยู่แล้ว หลังจากประโยคนั้นนทีก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย เขามองหญิงสาวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังให้เธอและเดินตรงไปยังตัวบ้านทันที ทิ้งให้หล่อนยืนอยู่ข้างหลังท่ามกลางความหนาวและเสียงฟ้าร้องที่กระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าฝนห่าใหญ่กำลังตั้งเคล้ามาอีกแล้ว และสมดั่งใจ ไม่ต้องรอนานพายุที่พึ่งจะซาไปเมื่อครู่ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับฝนเม็ดใหญ่ที่โปรยปรายลงมา อัจฉราสะดุ้งเฮือกเมื่อหยดน้ำสัมผัสผิว สายตาที่มองแผ่นหลังของชายหนุ่มจำต้องแหงนหน้ามองฟ้าสั้น ๆ ก่อนที่จะรีบเดินตามหลังชายหนุ่มไปติด ๆ แต่ต่อให้ฝนจะตกลงมาอย่างไร หล่อนก็ไม่กล้าวิ่งแซงหน้าเขาไปอยู่ดี เป็นการกระทำเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นจากความเคยชินของสถานะที่ต่างกันสุดขั้วระหว่าง ‘เจ้านาย’ กับ ‘คนใช้’ อย่างเธอ “มัวแต่เดินตามหลังอยู่แบบนั้น อยากเปียกอีกรอบหรือไง” เสียงทุ้มของนทีดังขึ้นข้างหน้า ร่างสูงใหญ่ของเขาหยุดยืนกะทันหันเมื่อมาถึงชานบ้านแล้ว ซึ่งมีหลังคาคุ้มอยู่ไม่ให้เปียกฝน สีหน้าของเขายังคงอ่านยากเหมือนเดิม แต่แววตาของเขากลับฉายแววบางอย่างซึ่งคล้ายกับความ ‘หงุดหงิด’ ออกมาราง ๆ “รีบเข้ามา...” พูดเสร็จเขาก็เดินเข้าบ้านไปก่อนเธอ ทิ้งให้อัจฉรายืนสับสนอยู่คนเดียว กับความกดดันที่รับรู้ได้ผ่านน้ำเสียงของเขาเมื่อครู่ สายตามองตามร่างใหญ่ที่หายเข้าไปในบ้านแล้วจนลับตา ฝนก็ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอเริ่มเปียกอีกครั้ง ทำให้เธอตัดสินใจรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ทันที หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ ตัวสั่นงกด้วยความหนาวเย็น เธอกัดริมฝีปากที่สั่นระริก ก่อนจะวางปิ่นโตใบน้อยเอาไว้บนคอนโซลข้างประตูและหันกลับไปปิดประตูไม้บานคู่สีขาวให้สนิทและล็อกเรียบร้อย รู้ดีว่าถ้าหากนทีกลับบ้านมาแล้วก็ย่อมไม่มีใครนอกเหนือจากเขาแล้ว หลังจากที่จัดการกับประตูเสร็จหล่อนก็หันกลับไปมองรอบ ๆ บ้านอีกครั้ง แต่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับไปไหน ตอนนี้อัจฉรายังตัวเปียกอยู่ ดูมอมแมมอย่างกับลูกนกตกน้ำ ดวงหน้ากลับมาซีดอีกครั้งด้วยความหนาวเย็นจนจับสั่น เรือนผมสีแดงลู่ไปตามกรอบหน้าและลำคอ สีบางส่วนก็หลุดจนเปื้อนคอเสื้อสีอ่อนไปแล้วด้วย สายตาพยายามมองหาทางที่จะเลาะไปยังห้องคนใช้ที่อยู่หลังบ้าน ก่อนจะถอดรองเท้าผ้าใบที่เปียกน้ำออกไป เพราะไม่อยากทำให้พื้นหินอ่อนมันวับใต้เท้าเปื้อนไปมากกว่านี้ ทว่าจังหวะที่กำลังก้มลงไปหยิบรองเท้าเสียงทุ้มคุ้นหูก็ดังขึ้นก่อน “อยากปอดบวมตายหรือไง?” นทีถาม พร้อมกันนั้นผ้าขนหนูผืนหนาสีขาวสะอาดจากในมือของเขาก็ถูกโยนไปให้หญิงสาวที่ยืนตัวสั่นงก จนเธอต้องยื่นมือออกมารับเอาไว้ด้วยสัญชาตญาณ ดวงตาคู่คมตอนนี้เหมือนจะดูดุกว่าเดิมอย่างไม่รู้ตัวมองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า กว่าจะรู้ตัวว่าคำพูดเมื่อครู่มันแรงไปก็ช้าเกินไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะเอ่ยคำขอโทษแต่อย่างใด เขาไม่สนใจเธอ... อัจฉราเป็นผู้หญิงที่เขาไม่อยากเข้าไปมีบทบาทในชีวิตของหล่อนด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมว่าครั้งนี้เขากลับเมินเฉยหล่อนไม่ได้ง่าย ๆ เหมือนกับที่ผ่านมาตลอดก็ไม่รู้ เขาไม่รู้ว่าเพราะเธอเป็นคนคุ้นเคย หรือเป็นเพราะเธอคือพี่สาวของคนที่เขาเคยมีความรู้สึกดี ๆ ด้วยครั้งหนึ่ง หรืออาจเป็นเพราะเขารู้สึก ‘สมเพช’ เธอจนอดที่จะดูแคลนเธอไม่ได้กันแน่ หรือแค่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความอยาก... อยากที่จะเป็นคนที่ได้ ‘เฝ้ามอง’ เธอในตอนที่หล่อนกำลังค่อย ๆ พังลง ในตอนที่เปลือกที่เคยห่อหุ้มหล่อนเอาไว้ค่อย ๆ กะเทาะหลุดลอกไป ตลอดจนเผยออกให้เห็น ‘เนื้อแท้’ ที่เป็น ‘อัจฉรา’ จริง ๆ จนกลายเป็นสิ่งที่เธอซ่อนเอาไว้ภายใต้หน้ากากที่เธอสวมมาตลอดกันแน่ มันเป็นความรู้สึกที่จู่ ๆ ก็ทำให้นทีรู้สึกอยากเป็นคนนั้นซึ่ง ‘มีสิทธิ์’ จะได้เห็น... และมันต้องเป็นเขาเท่านั้นในครั้งนี้คำพูดรู้ทันของนทีตัดผ่านความเงียบขึ้นมา ทำให้อัจฉราใจหายวาบ สะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจผสมอาย เพราะลืมไปเสียสนิทว่าคนปากร้าย ตาดี หูไว สมกับที่ประกอบวิชาชีพทนายความอันลือชื่อของเขาจริง ๆกระนั้นอัจฉราก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรอีกแล้ว เธอสะกดกลั้นความเจ็บใจเอาไว้ ความอดทนประเภทนั้นทำให้นทีต้องหัวเราะ ‘หึ’ ออกมา มองร่างเล็กกลับเข้าไปในครัว เทข้าวต้มที่เหลืออยู่แทบเต็มชามลงถังขยะตามคำสั่งอย่างน่าพึงพอใจคนร่างบางเดินวนรอบราวกับหนูติดจั่น แต่เป็นหนูที่ยังละทิ้งหน้าที่ของตนเองไปไม่ได้เสียที กลีบปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากัน หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งยังปวดหัวตุบ ๆ อย่างไม่สบายตัวจนต้องสะบัดหัวเบา ๆ เดินไปที่อ่างล้างจานทุกอย่างอยู่ในสายตาของนที ซึ่งกำลังจิบน้ำเปล่าเงียบ ๆ อยู่ที่เดิม ความอ่อนแอของอัจฉราเริ่มชัดเจนมากขึ้น เธอฝืนร่างกายทำงานหนักตลอดทั้งวันและคืนจนเห็นผล ทว่านทีไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยที่ใช้เธอขนาดนี้ ทั้งที่เห็นอยู่ว่าสภาพของหญิงสาวเกินจะรับไหวแล้วกระทั่งชามเซรามิกลื่นฟองสบู่ในมือของหล่อนร่วงลงพื้นเสียงดัง ‘เพล้ง!’ กระเบื้องสีขาวแตกเป็นชิ้นเ
อัจฉรายกหม้อข้าวต้มลงจากเตาด้วยมือที่สั่นนิด ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา สุดท้ายก็ทำเสร็จเสียที เธอตักข้าวต้มใส่ชาม โรยต้นหอมและกระเทียมเจียว แล้วนำไปวางลงบนโต๊ะอาหาร ดวงตาที่อ่อนล้าอย่างชัดเจนกวาดมองห้องโล่งหรูที่เงียบผิดปกติ ทีวีจอใหญ่ยังคงเปิดค้างเอาไว้ ฉายรายการข่าวรอบดึก แต่คนที่เคยนั่งดูอยู่ตรงนั้น ตอนนี้ไร้วี่แววของตัวตน หญิงสาวไม่รู้ว่าเขาหายไปเมื่อไหร่ ทว่าการไม่เห็นก็ใช่ว่าความหนักอึ้งในอากาศจะหายไป อัจฉราเผลอเม้มปากเล็กน้อย ยังคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกร้อนผ่าวเหนือริมฝีปากจากเหตุการณ์ก่อนหน้า ตรึงตราอย่างยากที่จะลืมเลือน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามปฏิเสธที่จะรู้สึกถึงมันอยู่ดี หล่อนส่ายหัวเบา ๆ สูดหายใจเข้าลึก เรียกสติให้หยุดเพ้อเสียที “ก็แค่จูบ... จะไปคิดมากทำไม ขนาดจูบกับหมายังไม่เห็นต้องคิดอะไรเลย” แม้ว่าความรู้สึกปวดหนึบผสมกับความขุ่นเคืองมันยังคงกัดเซาะหัวใจของเธออยู่ก็ตาม... “.....” ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มหยัน คำพูดของอัจฉรากระทบเข้าสู่โสตประสาทชัดเจนเลยทีเดียว นทียืนอยู่ที่ตีนบันไดทางลงจากช
แกร๊ก “เข้ามา” เจ้าของห้องออกคำสั่งอย่างราบเรียบ ร่างสูงเข้าไปในห้องขนาดกว้างครอบคลุมทั้งชั้นก่อน ประตูที่เปิดกว้างเผยให้เห็นด้านในที่ตกแต่งด้วยโทนสีดำ เทาเข้ม และสีขาว พื้นหินอ่อนวาววับสะท้อนแสงไฟสีนวลจากทั่วทุกมุมห้อง สอดคล้องกับตัวตนของผู้เป็นเจ้าของเพนท์เฮาส์แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ‘ทำไมต้องพามาที่นี่ด้วย... ในเมื่อทุกทีก็เห็นกลับบ้านตลอด’ อัจฉรามองเข้าไปข้างในห้องของนที ก็อดคิดคิดในใจไม่ได้ เธอไม่ได้ตื่นเต้นกับความหรูหราของสถานที่เลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เป็นเมื่อก่อนคงจะดีใจมากที่ได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่เปรียบเสมือนโลกอีกใบของเขา แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม... ก็เหมือนที่เธอมองนทีไม่เหมือนก่อนเช่นกัน สายตาจ้องมองแผ่นหลังกว้างตรงหน้าด้วยความขุ่นเคืองผสมกับความหวาดหวั่นเล็กน้อย จนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างแผ่วเบาเรียกสติ ทำใจดีสู้เสือ ก่อนจะยอมเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง เสียงประตูปิดลงอย่างแผ่วเบาเบื้องหลัง แต่อัจฉราก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ภาพสะท้อนของคนตัวเล็กที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังบนกระจกหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน ทำให้เผลอกระตุกยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะนทีคาดหวังว่าจะได้เห็นอ
“คุณนที... พูดบ้าอะไรออกมา... รู้ตัวบ้างไหม” น้ำเสียงของอัจฉราแผ่วเบา หัวของเธอรู้สึกตื้อไปหมดจนเกือบจะประมวลผลไม่ทัน แววตาที่สั่นระริกและชุ่มชื้นไปด้วยน้ำตา บัดนี้จ้องลึกลงไปที่ดวงตาคู่คม ราวกับจะหาคำตอบว่าใครกันที่พ่นข้อเสนออันแสนจะหยาบคายนั้นออกมา นทีหัวเราะ ‘หึ’ ในลำคอ เขาไม่ละสายตาไปจากแววตาฉ่ำน้ำที่มองมายังเขา เหมือนเป็นการตอบคำถามที่เธออยากรู้โดยที่ไม่ต้องอธิบาย ว่าคน ‘หยาบคาย’ คนนั้น มันก็คือตัวตนของเขาเอง... ด้านที่ไม่เคยเผยให้ใครได้รู้จักมาก่อน “รู้สิ... แต่ถ้าอยากได้ยินอีกครั้งก็จะย้ำให้... ฉันอยากให้เธอ ‘มอง’ แค่ฉัน ‘คนเดียว’ เท่านั้น... เหมือนที่เธอเป็นมาตลอด... อย่าลืมตัวสิ เนย” เสียงทุ้มพร่าว่าพลางเลื่อนมือที่กุมอยู่หลังคอที่ร้อนระอุของหญิงสาว เคลื่อนมาช้า ๆ จนถึงปลายคางเชิด แล้วเชยคางหล่อนให้สบตากับเขาชัด ๆ ก่อนจะไล่สายตามองริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้บวมเจ่ออย่างน่าพึงพอใจ “แต่นั่นมันไม่เกี่ยวกัน! นั่นมันเรื่องของเนย เนยรับผิดชอบเองได้ คุณนทีมีสิทธิ์อะไรมาสั่ง” น้ำเสียงของอัจฉราเจือไปด้วยความสั่นเครือ แม้ว่าจะพยายามเป็นเข้มแข็ง แต่หัวใจของเธอกลับเต้นไม่หยุด ยังคง
เสียงหัวเราะ ‘หึ’ ดังออกมาจากลำคอ ยอมรับว่าเขาถูกใจไม่น้อยเลยที่ทำให้อัจฉราหางโผล่จนได้ แววตาที่เยือกเย็นหันกลับมามองเธอช้า ๆ เป็นแววตาของนักล่าอย่างไม่ปิดบังเช่นกัน “บ้าเหรอ... หึ... กล้า... กล้าดีนักนะ เนย” สิ้นประโยคฝ่ามือใหญ่ก็กระแทกลงบนแผงควบคุมลิฟต์อย่างจัง เสียงดังจนคนร่างบางสะดุ้งโหยง ถอยหลังไปประชิดกับผนังที่เย็นเฉียบโดยสัญชาตญาณ พร้อมกันนั้นลิฟต์ก็ค้างทันที ชายหนุ่มกดปุ่มหยุดการทำงานเอาไว้ โดยที่สายตาไม่ละไปจากอัจฉราเลย รอยยิ้มร้ายกาจแบบที่น้อยคนจะได้เห็นนักปรากฏขึ้น ขณะที่ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้คนตัวเล็กกว่าที่พยายามชูคอหวังจะฉก แต่มันไม่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อยเหมือนลูกแมวที่พยายามข่วนกลับมากกว่า “คุณนที... จะทำอะไร... ถอยออกไปนะ!” อัจฉราส่งเสียงขู่อีกฝ่าย แต่กลับสั่นและไร้น้ำหนักอย่างน่าเจ็บใจ ผู้ชายที่รักและเทิดทูนในใจมาตลอดตอนนี้กลับแยกเขี้ยวใส่ น่ากลัวและพร้อมที่จะกัด หญิงสาวขยับหนีเขาไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่มีพื้นที่ให้ไป ก่อนจะต้องตกใจเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาประชิดกะทันหัน ปึง! เสียงฝ่ามือหนากระแทกเข้ากับกำแพงข้างศีรษะ แรงพอที่จะทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวและลิฟต
“คุณนที” “.....” “เจ็บไหม... เนยขอโทษนะ” น้ำเสียงหวานแผ่วดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบของรถยนต์ที่ยังคงขับฝ่าฝนไปด้วยความเร็วคงที่ สายตาของหญิงสาวฉายแวววูบไหวเล็กน้อย เมื่อเอ่ยประโยคที่ทั้งถามและขอโทษ ทว่านทีกลับยังคงนิ่งเฉย เขาไม่ตอบคำถามของเธอหรือว่าแสดงปฏิกิริยาอะไรนอกเหนือไปจากความเงียบที่มีเท่านั้น ใบหน้าหล่อยังคงเรียบเฉย แววตาอ่านไม่ออกภายใต้แสงไฟที่สะท้อนผ่านมาเป็นระยะ เผยให้เห็นมุมปากที่มีรอยแผลสด อัจฉรามองเสี้ยวหน้านั้นด้วยความรู้สึกผิดที่ล้นหัวใจ แม้ว่าเมื่อกลางวันจะรู้สึกเคืองเขามากแค่ไหนก็ตาม ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เธอไม่รู้ว่านทีเขาแค่ผ่านมาเพราะความบังเอิญหรือเปล่า แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือเขาต้องมาเจ็บตัวเพราะเธอ ดวงตาสียางไม้สั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ยอมตอบคำถามของเธอ แทนที่จะเร่งเร้าเขาต่อไป หญิงสาวเลือกที่จะละสายตามองออกข้างทางแทน เธอไม่กล้าแล้ว... แม้จะทั้งความกังวลและห่วงแค่ไหน แต่ก็รู้ตัวดีว่าไม่ได้มีสิทธิ์ไปก้าวก







