แชร์

บทที่ 6

ผู้เขียน: อิงเซี่ย
ฟู่อี้ชวนนอนหลับไม่สนิทจนถึงฟ้าสาง ตอนนี้กระเพาะของเขาถูกบำรุงอย่างดีจนเรื่องมากไปเสียแล้ว ทำให้พอกินยาก็ทำได้แค่บรรเทาอาการเล็กน้อย ไม่ถึงขึ้นเป็นปกติหรือสบาย

เขาตาลุกขึ้มาตั้งแต่ก่อนนาฬิกาปลุกจะดังนานแล้ว สุดท้ายในตอนที่จะเปิดประตูก็เจอกับซูมั่วที่เปิดประตูจากห้องเยื้อง ๆ กันเข้าพอดี

“เธอจะทำอะไรน่ะ?” เขาถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

“ข้าวเช้า” ซูมั่วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ปิดประตูแล้วเดินโซเซไปทางห้องครัว

ฟู่อี้ชวนได้แต่ชะงักอยู่กับที่ เมื่อก่อนเขาตื่นมาก็กินเลย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายต้องตื่นขึ้นมาเตรียมให้ตั้งแต่ตีห้า

มองแผ่นหลังของซูมั่วที่เดินขากะเผลกแล้ว เขาจึงพูดออกไป “...ไม่ต้องทำแล้ว”

ซูมั่วหยุดฝีเท้า พลางหันหน้าไปมองด้านหลัง

เธอคอยปรนนิบัติฟู่อี้ชวนมาสองปี เมื่อก่อนต่อให้เป็นไข้สูงก็ต้องถูกปลุกให้ลุกขึ้นมาทำกับข้าว หาวิธีมาทรมานเธอ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาบอกไม่ให้เธอทำ

ก้มหน้ามองเท้าของตัวเอง คิดว่าฟู่อี้ชวนเกิดใจดีขึ้นมาเพราะเขาเป็นคนทำให้เธอเจ็บตัวแบบนี้ ที่ไหนได้อีกฝ่ายกลับพูดขึ้นมาอีกว่า

“ข้าวเย็นก็ไม่ต้องทำ ฉันจะออกไปกินกับซินหย่า”

ขณะเดียวกันกับที่พูดจบ เขาก็ก้าวออกจากประตูไปโดยไม่หันมามอง

ซูมั่วมองไปทางประตู กระตุกมุมปากเล็กน้อย พลางคิดเย้ยหยันตัวเอง

เหอะ ๆ เกิดใจดีขึ้นมาที่ไหนกัน เธอคิดมากไปเองชัด ๆ

ไม่ต้องทำกับข้าวก็ดี เธอจะได้อยู่ว่าง ๆ สบาย ๆ อย่างมีความสุข ก็คอยปรนนิบัติดูแลจนรำคาญนานแล้วนี่นะ

หลังกลับไปนอนหลับมาอีกตื่น ตอนแปดโมงก็ลุกขึ้นมาเปลี่ยนยาที่แผลบนตัว ท้ายที่สุดจึงเห็นว่ายาแก้โรคกระเพาะในกล่องปฐมพยาบาลหายไป

เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อเช้าตอนเปิดประตูไม่ได้ปลดล็อก เมื่อวานนี้ลืมล็อกอย่างนั้นเหรอ? ส่วนยาแก้โรคกระเพาะก็หายไปก่อนหน้านี้นานแล้ว?

เธอไม่ได้คิดอะไรมาก หลังเปลี่ยนยาเสร็จก็หอบหิ้วแล็บท็อปไปนั่งอยู่บนพรมในห้องรับแขก

ช่วงเช้าซูมั่วเข้าระบบเว็บไซต์การศึกษาเพื่อทบทวนเนื้อหาที่เคยเรียนในมหาวิทยาลัย ช่วงบ่ายจึงเริ่มฝึกจริงด้วยการเขียนโค้ด ขณะเดียวกันก็ออกแบบตัวละครและสร้างฉากบนแท็บเล็ตวาดภาพ

ตลอดระยะเวลาสองปีมานี้ เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ไปโผล่หน้าในแวดวงสังคม ทำให้อาจจะลืมเลือนความรู้ทางสาขาวิชาที่ค่อนข้างซับซ้อนไปบ้าง แต่ฝีมือการวาดภาพไม่ได้ตกไปไหน ยิ่งไปกว่านั้นเธอได้รับรายได้พิเศษจากการรับคำสั่งซื้อของลูกค้าเป็นบางครั้งบางคราว และสะสมจำนวนแฟนคลับไว้จำนวนหนึ่ง

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดี๋ยวเดียวก็ตะวันตกดินแล้ว ซูมั่วลุกขึ้นไปรินน้ำ เตรียมสั่งดิลิเวอรี่ ตอนนี้เองที่กลอนประตูดังขึ้น

เธอหันไปมอง วินาทีถัดมา บานประตูถูกผลักออก ใบหน้าของเย่ซินหย่าโผล่มาอยู่เบื้องหน้าเธอ

“มั่วมั่ว ฉันมาเยี่ยมเธอแล้วนะ~ อาการบาดเจ็บของเธอดีขึ้นบ้างหรือยัง?” เย่ซินหย่าฉีกยิ้มให้ ฟู่อี้ชวนเดินตามอยู่ด้านหลังเธอ ในมือยังคงถืออาหารไว้

ซูมั่วเผยสีหน้าเย็นชา หมุนตัวไปทางอื่น

ต้องขอบคุณใครบางคนเสียจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเย่ซินหย่า เธอจะถูกลวกจนบาดเจ็บเหรอ สุดท้ายตอนนี้ยังมีหน้ามาถึงบ้านอีก เป็นหวังดีด้วยมีเจตนาแอบแฝงเหรอ?

“มั่วมั่ว...” เห็นว่าซูมั่วไม่สนใจตัวเอง เย่ซินหย่าจึงพูดออกมาอย่างน้อยใจ

“นี่มันท่าทีแบบไหนกัน ซินหย่าหวังดีมาเยี่ยมเธอ แถมยังจะมาทำกับข้าวมาให้เธอกิน อย่ามาทำตัวไม่รู้จักดีรู้จักชั่วนะ” ฟู่อี้ชวนขมวดคิ้ว พลางกล่าวตำหนิ

ซูมั่วหันกลับไป ยิ้มเย็นชาพลางว่า

“พวกเธอตามสบายเลย ฉันไม่อยากอาหาร ไม่กิน”

เธอเดินไปเก็บแล็ปท็อปบนโต๊ะในห้องรับแขก ฟู่อี้ชวนโมโห แต่เย่ซินหย่าเขย่าแขนเขาพลางออดอ้อน “อี้ชวน มั่วมั่วบาดเจ็บอยู่นะ นายดีกับเธอหน่อยสิ พวกเราไปทำกับข้าวกันเถอะ ไว้ทำเสร็จแล้วค่อยไปเรียกเธอ~”

ซูมั่วทำเป็นไม่ได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนแสนน่าสะอิดสะเอียนของเธอ หอบหิ้วแล็ปท็อปกลับห้องไปด้วยตัวเอง

เย่ซินหย่าหิ้ววัตถุดิบทำกับข้าวไปที่ห้องครัว ฟู่อี้ชวนมองซูมั่วที่เดินผ่านหน้าตัวเองไป พลางขมวดคิ้วถาม “เธอใช้แล็ปท็อปทำอะไร?”

“เบื่อ ๆ เลยเอามาดูละคร” ซูมั่วตอบโดยไม่หันกลับไป

“แล้วทำไมจะต้องมีแท็ปเล็ตอีก?” เขาถามขึ้นมาอีก

“ใช้วางมือ” ซูมั่วว่า

นี่กำลังโกหกกันอยู่ชัด ๆ ใช้วางมือ แต่ก็ยังมีสายชาร์จ?

ทว่าซูมั่วทำตัวเฉยชากับเขาเกินไป เธอเริ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อวาน และเรื่องนี้ก็ทำให้ฟู่อี้ชวนกระวนกระวายขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

“อี้ชวน~ รีบเข้ามาช่วยฉันเด็ดผักหน่อยสิ~” เย่ซินหย่าโผล่หน้าออกมาจากห้องครัว พลางเอ่ยเรียกน้ำเสียงเปี่ยมความรู้สึก

ฟู่อี้ชวนขานรับแล้วเดินเข้าไป เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ซูมั่วที่กำลังกลับเข้าห้องล้วนได้ยินและได้เห็นทั้งสิ้น

เธอแค่นเสียงร้องเหอะเย้ยหยันตัวเองอย่างเย็นชา เพิ่งได้เห็นเป็นบุญตาเลยจริง ๆ ฟู่อี้ชวนเองก็มีวันที่ต้องลงครัวกับเขาอยู่เหมือนกัน

เมื่อก่อนล้วนเป็นเธอที่ทำทั้งนั้น ถึงขั้นที่ต้องยกข้าวไปส่งถึงมือเขาด้วยซ้ำ เขาไม่เคยช่วยเลยสักครั้ง

ดังนั้นมันจะไปมีสุภาพบุรุษมักอยู่ห่างจากห้องครัวที่ไหนกัน ก็ยังล้างมือทำน้ำซุปเข้มข้นให้คนรักเหมือนเดิม

อันที่จริงประตูห้องค่อนข้างกันเสียง แต่ซูมั่วยังคงได้ยินเสียงพูดของเย่ซินหย่าอยู่ดี ถ้าไม่รู้ว่าก่อนคงคิดว่าเธอจงใจทำ ไหนยังจะเสียงโป๊งเป๊งสารพัดอีก ราวกับกำลังระเบิดครัวอยู่อย่างไรอย่างนั้น

บ้านถูกคนนอกเข้ามายึดครองเสียแล้ว ทั้งยังบุกเข้ามาทำเหมือนบ้านของตัวเองอย่างโจ่งแจ้งอีก ซูมั่วไม่สนใจสักนิด แค่รู้สึกว่าเสียงดังไปสักหน่อย

เดิมทีคิดอยากจะดูวิดีโอการศึกษาต่ออีกอย่างเงียบสงบ ทว่าตอนนี้พลันมีเกิดเสียงร้องตกใจ

ซูมั่วใส่เฮดโฟนด้วยความรำคาญ ทว่าบานประตูกลับถูกตบจนเสียงดังปึงปัง

“ซูมั่ว ออกมา” ฟู่อี้ชวนเรียกเธอ

ซูมั่วกำหมัดแน่น เธออุตส่าห์ปลีกตัวออกมาให้พื้นที่พวกเขาสองคนแล้วไง ทำไมยังจะตามมากวนเธออยู่ได้?

เสียงทุบประตูยังคงดังต่อไป ดูเหมือนว่าถ้าเธอไม่ออกไป ฟู่อี้ชวนก็จะไม่เลิกรา

ซูมั่วลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ อยู่หลายครั้ง พลางคิดในใจเงียบ ๆ ว่า

ยังเหลืออีกยี่สิบแปดวัน อดทนอีกนิดเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว...

เมื่อเปิดประตู ประโยคแรกที่ฟู่อี้ชวนพูดก็คือ

“ลงไปทำกับข้าวที ซินหย่าไม่คุ้นกับเตาในประเทศ จานกระเบื้องหล่นแตกจนเกือบบาดเธอแล้ว”

ซูมั่วหมดคำจะพูด สองอย่างที่พูดออกมานี่มันเกี่ยวกันไหม? ทำจานของเธอแตก ได้รับบาดเจ็บเลยมาหาเธอ?

“ฉันก็เจ็บตัวอยู่นะ” ซูมั่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ในที่สุดตอนนี้ฟู่อี้ชวนก็ดูเหมือนจะนึกขึ้นมาได้ เขาก้มหน้ามองเท้าของซูมั่ว

เธอคิดว่าเขาจะรู้จักดีชั่ว พอจะยังมีมนุษยธรรมกับเขาอยู่บ้าง เพราะอย่างไรแล้วเมื่อเช้านี้เขาก็บอกเธอแล้วว่าไม่ต้องทำกับข้าว ทว่ากลับได้ประโยคต่อมาแทนเสียนี่

“มือเธอไม่ได้บาดเจ็บนี่ ยืนทำกับข้าวอยู่ตรงนั้นเฉย ๆ ไม่ได้หรือไง?”
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
ความคิดเห็น (1)
goodnovel comment avatar
Aom
จะทนเพื่อ 28 วัน
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทล่าสุด

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 460

    แต่เมื่อดูจากผลแพ้ชนะคืนนี้แล้ว ดูเหมือนเธอจะกังวลมากเกินไปนอกจากเพื่อนสนิทจะถูกเอาเปรียบไปบ้าง ก็ถือเป็นว่าทำผลงานได้ดีที่สุดในงานซูมั่วคุยเป็นเพื่อนเธอ จนกระทั่งเธอกลับถึงบ้าน จึงเพิ่งวางสายหลีโย่วเข้าบ้าน สีหน้าที่โกรธเกรี้ยวทั้งหมดถูกเก็บไว้ หลังจากตอบแม่แบบส่ง ๆ ก็ขึ้นไปชั้นบนหลีเชินโผล่มาตรงหน้า ถือแก้วน้ำอยู่ แล้วถาม“เป็นยังไงบ้าง? คืนนี้มีแขกผู้ชายที่ถูกใจไหม?”หลีโย่วตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พี่ พี่รู้ไหมว่าพี่เหมือนอะไร?”หลีเชิน “?”“เหมือนแม่เล้าที่คอยเรียกลูกค้าให้พวกสาว ๆ ในสมัยโบราณมากเลย” หลีโย่วพูดด้วยรอยยิ้มหลีเชิน “...”“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ ฉันเป็นห่วงเธอ และคิดถึงอนาคตที่มีความสุขของเธออยู่นะ” หลีเชินพูด“เธอคิดว่าถ้าเธอชอบใครแล้วฉันจะยอมให้เธอแต่งงานเลยเหรอ? ฉันยังต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเองก่อน ถ้าไม่ผ่านด่านฉันก็ไม่ได้”หลีโย่วเบะปาก ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ขณะที่กำลังจะเดินจากไป ก็ได้ยินพี่ชายเธอถามอีกครั้ง“คืนนี้เจิ้งเซวียนก็ไปงานเลี้ยงเรือสำราญนั่นด้วย พวกเธอเจอกันไหม?”“เจอกัน” หลีโย่วตอบ“ไม่ได้เจอกันหกปี เลยคุยกันเรื่อยเปื่อย หลังจากฉันกลับมาเขาก

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 459

    ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องแกล้งเขา และเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดต่อเธอด้วยคิดดูแล้ว ดูเหมือนว่าทุกการกระทำ และทุกคำพูดของหลีโย่วก็ล้วนไม่ได้มีปัญหาความแปลกใจตอนที่เห็นตนปรากฏตัว ก็เพราะว่าจำเขาได้ จึงเดินตามเขาออกไปทันทีตนยื่นน้ำผลไม้ให้เธอ เธอก็รับไปดื่มอย่างไม่มีความระแวดระวัง เพราะรู้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายเธอบอกว่าไม่ได้คบใคร บอกว่ามีพี่ชายที่เข้มงวด แล้วยังบอกว่าเขาอายุเท่า ๆ กับพี่ชายของเธอ ทุกอย่างก็สอดคล้องกันหมดเจิ้งเซวียน ‘...เพราะงั้นเป็นเขาเองที่มีปัญหา ใครใช้ให้ไม่ถามชื่ออีกฝ่ายก่อนล่ะ? กลับตั้งใจหว่านเสน่ห์แล้วค่อยถามอีกที’ที่ผ่านมาจีบหญิงไม่เคยพลาด ในที่สุดวันนี้ก็พลาด เหมือนคนเดินอยู่ริมน้ำ รองเท้าจะไม่เปียกได้ยังไง?เจิ้งเซวียนปิดหน้าอย่างหมดแรง สุดท้ายผ่านไปสิบนาทีเต็ม ๆ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็สตาร์ตรถเตรียมตัวกลับบ้านสิ่งเดียวที่ทำให้เขาสบายใจได้ก็คือหลีโย่วจะไม่บอกพี่ชายของเธอ และเขาก็ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับเพื่อนสนิทตัวต่อตัวแล้วถูกจัดการขณะเดียวกัน บนถนนที่กว้างขวางรถเฟอร์รารีเปิดประทุนขับเร็วมาก ทับเส้นจำกัดความเร็วเสียงลมหวีดหวิวข้างหู ก็ยังไ

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 458

    “ไปให้พ้นเลย เอาแต่พูดเรื่องไม่ดีอยู่ได้” หวังคุนด่าพลางยิ้มเจิ้งเซวียนมองหลีโย่ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแบบพี่ชายพูด“เสี่ยวโย่วจื่อก็อยู่เล่นที่นี่ต่อเถอะ ฉันไปก่อนนะ วันหลังจะนัดรวมตัวกับพี่ชายเธอด้วย”“ฉันก็จะไปเหมือนกันค่ะ อยู่นานพอสมควรแล้ว ไปรายงานพี่ชายได้แล้วค่ะ” หลีโย่วยิ้มอย่างซุกซนเจิ้งเซวียนเข้าใจว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร สรุปคือวันนี้หลีเชินบังคับให้เธอมางานนี้นึกถึงตอนที่เธอบอกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์ออกไปข้างนอกคนเดียวไม่ได้ พี่ชายเธอเข้มงวดมาก ซึ่งก็ตรงกับนิสัยของหลีเชินจริง ๆ เพราะงั้น...ทำไมเขาถึงนึกเชื่อมโยงไม่ได้ตั้งแต่แรกกันนะ?ในใจเจิ้งเซวียนเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย รู้สึกว่าวันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูฤกษ์ดูยาม เขาไม่ได้ขายหน้าขนาดนี้มานานแล้วจริง ๆ แถมยังเป็นต่อหน้าน้องสาวอีก...“งั้นเดี๋ยวฉันไปส่งเธอกลับบ้านนะ” เจิ้งเซวียนเก็บความคิด และพูดด้วยรอยยิ้มบาง“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันขับรถมาเอง แต่เราออกไปพร้อมกันก็ได้ค่ะ” หลีโย่วพูดทั้งสองคนเดินคู่กันออกมาจากงาน ลงจากเรือสำราญ จากนั้นก็ไปที่ลานจอดรถในช่วงเวลานี้ มีแค่เสียงพื้นรองเท้าที่ก้าวเดินของทั้งคู่เท่านั้น

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 457

    เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับ...หลีเชินเขาหันคอที่แข็งทื่อไปช้า ๆ มองใบหน้าที่แฝงด้วยรอยยิ้มหวานจาง ๆ ของหญิงสาวกระแสเวลาที่ยาวนานหกปีเหมือนย่อลงในชั่วขณะนี้ ภาพของหญิงสาวที่สดใสมีเสน่ห์ตรงหน้า ซ้อนทับกับเด็กสาวที่สวมแว่นกรอบดำทั้งยังอวบเล็กน้อยเมื่อสมัยมัธยมปลายเขาก็ว่าอยู่ว่าทำไมตอนนั้นถึงรู้สึกคุ้นตานัก ที่แท้ก็เพราะสาเหตุนี้...“หลี...หลีโย่ว” จ้องมองอย่างนิ่งงันไปหลายวินาที เจิ้งเซวียนจึงเพิ่งพูดอ้ำอึ้งอย่างตกตะลึงเห็นเพียงหญิงสาวพยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าที่ยิ่งหวานและจริงใจ กลับทำให้หัวใจของเจิ้งเซวียนกระตุก ต้องฝืนรักษารอยยิ้มไว้อย่างยากลำบาก ไม่ให้กระอักเลือดออกมาการจีบสาวในวันนี้ไม่ใช่แค่ล้มเหลว แต่โคตรจะล้มเหลวเพราะเหตุไม่คาดฝันหลีโย่ว เสี่ยวโย่วจื่อ เด็กสาวคนนั้นที่เขามองว่าเป็นน้องสาวมาตลอด ผลคือเขากลับ...หยอดเธอ อยากจีบเธอมาเป็นแฟนจิตสำนึกถูกประณาม เขาถูกตอกตรึงไว้บนเสาแห่งความอับอายทางศีลธรรมแต่เขารู้สึกว่าตนคงไม่ต้องรอให้ถูกจิตสำนึกของตัวเองฆ่าตายหรอก เพราะถ้าหลีเชินรู้ว่าเขาจะจีบน้องสาวของอีกฝ่าย คงฟันตนตายก่อนในมีดเดียวแน่“เสี่ยวโย่วจื่อ...” เจิ้งเซ

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 456

    “เธอเรียนเต้นมาตั้งแต่เด็กเลยเหรอ? รู้จักการเต้นหลายประเภทแถมยังเชี่ยวชาญหมดเลยด้วย เหมือนเป็นนักเต้นมาตั้งแต่เกิดเลย”“ฉันเคยเต้นกับคู่เต้นผู้หญิงคนอื่นนะ แต่ท่วงท่าของพวกเธอไม่คล่องแคล่วเท่าเธอ และยิ่งไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเธอด้วย”“ตอนเพลงเร็วจังหวะเธอก็ดีมาก เข้าถึงอารมณ์เพลงได้เร็ว รอยยิ้มก็สดใสเปล่งประกาย เหมือนสาวน้อยชาวทิเบตที่มีความกระตือรือร้นใต้ภูเขาหิมะเลย”......เขาชม แต่หญิงสาวไม่ได้ตอบกลับ รู้ว่าอีกฝ่ายอาย เขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดโปงในฐานะนักล่าฝ่ายรุกคนหนึ่ง เมื่อบรรยากาศค่อย ๆ คืบหน้า มือซ้ายของเขาก็ขยับเล็กน้อย แล้วเป็นฝ่ายจับมือที่นุ่มนิ่มของอีกฝ่ายในขณะเดียวกันมืออีกข้างที่โอบหลังเอวไว้หลวม ๆ ก็วางลงไปอย่างแผ่วเบา พร้อมพาเธอหมุนวงใหญ่รอบหนึ่งเมื่อเพลงวอลซ์จบลง ทั้งสองคนเข้าขากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ รับลมทะเล และพูดคุยเรื่อยเปื่อย ตอนนี้คืบหน้าไปอีกก้าวแล้ว“อายุเท่าไรแล้ว?” เจิ้งเซวียนถาม “ยังเรียนอยู่หรือเปล่า?”“ยี่สิบสี่แล้ว” หญิงสาวตอบเจิ้งเซวียนแปลกใจเล็กน้อย แล้วพูด“ดูไม่ออกเลยจริง ๆ ฉันนึกว่าเธอเพิ่งบรรลุนิติภาวะ ยังเป็นนักศึกษาอยู่ซะอีก”ประโยคน

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 455

    “ดื่มเถอะ ฉันเป็นคนซื่อตรง ไม่ใช้วิธีต่ำทรามแบบนั้นหรอก”หญิงสาวได้ยินแบบนี้ก็จิบสองอึกจนชุ่มคอ จากนั้นก็นั่งลงเงียบ ๆ“เมื่อกี้มองออกว่าเธอเหนื่อยกับการรับมือ ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้นัดแนะกันมาก่อน แต่กลับร่วมมือกันได้ดีทีเดียว” เจิ้งเซวียนพิงราวกั้นพลางมองเธอแล้วพูด“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงของเธอแผ่วลงเล็กน้อย เจิ้งเซวียนที่ฟังความผิดปกติไม่ออก ยิ้มบางและพูด“แค่ช่วยเหลือเล็กน้อย ช่วยเธอได้ฉันก็ดีใจ”บทสนทนาดูเหมือนจะจบลงตรงนี้ แต่เจิ้งเซวียนเป็นใคร เขาสร้างหัวข้อสนทนาได้ง่ายเหมือนจับวางอยู่แล้ว“ฉันเห็นการเต้นเพลงแรกของเธอ จังหวะแปดนับที่สาม ถ้าหมุนเพิ่มอีกครึ่งรอบอาจจะสวยกว่านี้นะ” เขาพูดเขาไม่ได้ใช้ถ้อยคำสวยหรูเพื่อชมเอาใจเธอ และยิ่งไม่ได้บอกว่าท่าเต้นของเธอได้มาตรฐานแค่ไหน และรูปร่างของเธอเย้ายวนแค่ไหนแต่ชี้ให้เห็นถึง ‘ปัญหา’ ราวกับกำลังพูดเรื่องการเต้นรำอย่างบริสุทธิ์ใจเพราะวิธีจีบผู้หญิงที่ไม่เคยมีความรักกับผู้หญิงที่เคยมีความรักนั้นแตกต่างกันมาก การชมอย่างผลีผลามและเจตนาที่ชัดเจนเกินไปมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายตกใจจนหนีไปกลับกันการชี้แนะอย่างจริงใจ และรุกอย่างช้า ๆ จ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status