แชร์

บทที่ 7

ผู้เขียน: อิงเซี่ย
ซูมั่วเงยหน้าพลางจ้องเขาเขม็ง เธอกำมือแน่น

เฮอะ...

เพื่อให้คนที่เขารักได้กินข้าว ถึงกับให้ตัวเธอที่เจ็บหนักลงครัว เธอดูเบาฟู่อี้ชวนแล้วจริง ๆ เขาไม่มีความเป็นคนเลยสักนิด

“พวกนายสั่งดิลิเวอรี่ไม่เป็นหรือไง? ถ้าคิดว่าไม่ดี ภัตตาคารก็นำอาหารมาส่งให้ได้ นายก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินสักหน่อย” ซูมั่วเอ่ยปาก

ฟู่อี้ชวนเม้มปากเล็กน้อย ดึงสายตาออกมาจากหลังเท้าของซูมั่ว เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา เป็นตอนนั้นเองที่เย่ซินหย่าพูดออกมา

“เดิมทีฉันตั้งใจมาเยี่ยมมั่วมั่ว เลยอยากทำกับข้าวให้เธอกิน ถ้าสั่งกับข้าวมาจากภัตตาคารก็ดูจะไม่จริงใจเท่าไรน่ะสิ...”

“งั้นเธอทำ?” ซูมั่วว่ากลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ฉันไม่ค่อยคุ้นกับครัวแบบในประเทศ เมื่อกี้นี้ก็ทำจานแตกไปใบแล้ว ทำให้อี้ชวนต้องเป็นห่วงฉันอยู่ตั้งนาน” เย่ซินหย่าพูดอย่างใสซื่อพลางกะพริบตาปริบ ๆ

“เอาอย่างนี้แล้วกันมั่วมั่ว เดี๋ยวฉันเป็นลูกมือ คอยช่วยส่งผักส่งของให้เธอ แบบนี้ก็เหมือนฉันทำเองแล้วได้ไหม?”

เธอแย้มยิ้มสดใส ทว่าในสายตาของซูมั่วแล้วกลับดูเสแสร้งเหลือเกิน

ดูแล้ววันนี้ เย่ซินหย่าคนนี้อยากจะทรมานเธอให้ได้สักรอบหนึ่งเป็นแน่ ด้วยการให้เธอเข้าครัวทั้งที่มีบาดแผล

“ไม่จำเป็น เดี๋ยวฉันทำให้เธอเอง” ซูมั่วว่า

กินเสร็จก็รีบกลับไปซะ จะให้ดีที่สุดก็ออกไปทั้งหญิงร้ายชายชั่วเลย เธอไม่อยากจะวนเวียนอยู่รอบ ๆ พวกเขาอีก

“ไม่เอาสิ ฉันช่วยเธอเอง พวกเราทำด้วยกันนะ” เย่ซินหย่าว่า หลังจากนั้นก็ออกคำสั่งกับฟู่อี้ชวนอีกครั้ง

“อี้ชวน นายไปตั้งโต๊ะ~ แล้วก็เทน้ำผลไม้ไว้นะ~”

เธอจัดแจงอย่างชัดเจน ราวกับว่าเธอต่างหากที่เป็นคุณผู้หญิงของบ้านหลังนี้ ส่วนซูมั่วเป็นแค่แม่บ้านทำอาหารคนหนึ่ง

เมื่อก่อนซูมั่วต้องเจ็บปวดและหึงหวงแน่ ทว่าตอนนี้เธอไม่เป็นแบบนั้นแล้ว มีเพียงสีหน้าเรียบเฉยเท่านั้น

ตั้งแต่ชั่วขณะที่เย่ซินหย่ากลับประเทศ และฟู่อี้ชวนวิ่งแจ้นไปหา ในใจของเธอก็สูญสิ้นความรู้สึกต่อเขาแล้ว

ที่ด้านหลัง ทั้งสองคนพูดจาจู๋จี๋กัน เธอไม่ได้หันกลับไปมอง ฟู่อี้ชวนว่าง่ายกับเย่ซินหย่าจริง ๆ เขาจัดโต๊ะกินข้าว ทั้งสองจู๋จี๋หวานชื่น

เย่ซินหย่าออดอ้อน พลางเอื้อมมือไปคล้องแขนฟู่อี้ชวนไว้ เธอต้องการให้ซูมั่วเห็น ให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าคนที่ฟู่อี้ชวนรักก็คือตัวเธอเอง

ข้าง ๆ กัน ฟู่อี้ชวนก้มหน้า ดึงมือออกอย่างเงียบเชียบ

“ขอโทษนะอี้ชวน พอฉันได้อยู่ข้าง ๆ นายแล้วมักจะนึกถึงเมื่อก่อนที่เรายังคบกันอยู่ เลยไม่รู้ตัวอยากคล้องแขนนายขึ้นมา” เย่ซินหย่ากัดปากพลางกล่าวขอโทษ

“ไม่เป็นไร” ฟู่อี้ชวนว่า

เขามองเข้าไปด้านในห้องครัว เห็นว่าซูมั่วไม่ได้เอียงตัวเลยสักนิด ราวกับว่าไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาสองคน

เย่ซินหย่าเข้าไปในครัวแล้ว ขณะที่เธอล้างผักก็พูดจ้อเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันไปเรื่อง พลางกำชับซูมั่วเกี่ยวกับเรื่องรสชาติที่ฟู่อี้ชวนชอบ

พอคำพูดนี้ไปเข้าหูฟู่อี้ชวน ก็รู้สึกเหมือนกำลังบอกให้ซูมั่วเรียนรู้วิธีเอาใจเขา ในใจพลันเกิดความเอือมระอาขึ้นมา

“ไม่ต้องบอกฉันหรอก ฉันทำข้าวให้เขากินมาสองปีแล้ว” ซูมั่วตอกกลับไปอย่างสุดจะทานทน

เธอจะไม่รู้เรื่องรสชาติที่ฟู่อี้ชวนชอบ? จนต้องให้เย่ซินหย่ามาบอกเชียวเหรอ?

ภายนอกดูเหมือนจะเป็นการกำชับด้วยความหวังดีไม่มีพิษมีภัยอะไร ทว่าในความจริงแล้วกลับกำลังโอ้อวดถึงช่วงเวลาสามปีที่เธอกับเขาคบกันให้อีกฝ่ายฟังต่างหาก

ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา เย่ซินหย่าก็มีสีหน้าเจ็บปวด เธอมองไปทางฟู่อี้ชวน พลางพูดอย่างปวดใจ

“ขอโทษนะ ฉันลืมไป อี้ชวนคงจะคุ้นกับรสชาติอาหารที่เธอทำนานแล้ว...”

“จะเป็นไปได้ยังไง!” ฟู่อี้ชวนพูดตัดบทเธอ แล้วรีบร้อนคัดค้านเสียงดังทันที

“กับข้าวที่หล่อนทำอย่างมากที่สุดก็กินแล้วไม่ตายแค่นั้น รสชาติจืดชืดเหมือนกินดิน!”

ครั้นได้ยินประโยคนี้ ซูมั่วพลันกำมือที่จับตะหลิวไว้แน่น

รสชาติจืดชืดเหมือนกินดิน... เธอคอยดูแลเรื่องอาหารการกินของอีกฝ่ายมาสองปี สิ่งที่ได้มากลับเป็นคำวิจารณ์แบบนี้น่ะเหรอ

เธอไม่อยากเถียง และไม่อยากแย้งอะไรทั้งสิ้น ถือเสียว่าอาหารที่เธอมาตลอดสองปีนี้คือทำให้หมากินแล้วกัน

พอเย่ซินหย่าได้ยินฟู่อี้ชวนพูดแบบนั้นแล้วก็ดีใจ และเริ่มพูดกำชับไม่หยุดอีกครั้ง

“พูดทำไมเยอะแยะ? เธอไม่สมควรได้รู้หรอก” ฟู่อี้ชวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ฉันอยากให้ต่อไปมั่วมั่วคอยดูแลนายให้ดีไม่ใช่หรือไงเล่า” เย่ซินหย่ามองกลับไป แลบลิ้นแล้วพูดออกมา

หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาทำสีหน้าเศร้าสร้อย พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหงาหงอยว่า

“ชีวิตนี้ฉันคงไม่มีหวังกับนายแล้วล่ะ ไม่ว่าใครจะได้อยู่ข้างกายอี้ชวน ฉันก็อยากให้นายมีความสุขทั้งนั้น”

ฟู่อี้ชวนมองเธอ ในใจพลันผุดความเสียใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เคยเป็นผู้หญิงที่เขารักที่สุด และตอนนี้ก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ทว่าเขากลับแต่งงานสร้างครอบครัวกับคนอื่นไปแล้ว

“หย่ากันเถอะ” ทันใดนั้น ซูมั่วก็หันหน้ามาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ฟู่อี้ชวนพลันชะงักไปทันที มองตรงไปที่เธอทั้งอย่างนั้น

“หย่าแล้วเย่ซินหย่าก็จะได้มีหวังไง นายเองก็จะได้ครองรักกับเธอไปชั่วชีวิต” ซูมั่วมองตรงเข้าไปในดวงตาของฟู่อี้ชวน พลางกล่าวอย่างเย็นชา

น้ำเสียงเรียบเฉย ท่าทางเย็นชาห่างเหิน เหล่านี้ทำให้ฟู่อี้ชวนรู้สึกไม่คุ้นตา เหมือนกับว่าในสายตาของซูมั่วนั้นเขาเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง

เมื่อก่อนในดวงตาคู่นั้นล้วนมีแต่เขา เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ไม่ว่าเขาจะตะคอกหรือทำหน้าเอือมระอาแค่ไหน อีกฝ่ายก็จะมีแต่ทำให้ดีขึ้นในครั้งต่อไปด้วยความระมัดระวัง ทว่าตอนนี้...

“หย่าเหรอ? ตอนแรกไม่ใช่เธอหรือไงที่วางแผนเพื่อให้ได้แต่งงานกับฉันน่ะ? พอว่าจะหย่าก็อย่าได้งั้นสินะ เธอคิดว่าฉันนี่เป็นคนที่คิดจะเรียกให้มาก็มา ไล่ให้ไปก็ไปอย่างนั้นเหรอ?”

ฟู่อี้ชวนตะคอกออกมาเสียงดังลั่น ในน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่เขาก็ไม่ทันรู้ตัว ทั้งยังรู้สึกร้อนรนไปพร้อม ๆ กัน

ซูมั่วมองผู้ชายที่บ้าคลั่งตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล แล้วพูดขึ้นอีกครั้งว่า

“นายชอบเย่ซินหย่าไม่ใช่หรือไง? พอหย่าแล้ว นายก็จะได้แต่งงานกับเธอ”

เดิมทีคิดว่าจะรอให้ถึงสองสามวันสุดท้ายก่อนถึงกำหนดสัญญาเสียก่อนค่อยพูด วันนี้กลับได้จังหวะพูดถึงเรื่องนี้พอดี

พูดไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็มีประโยชน์ดี จะได้จัดก่อนล่วงหน้า ถึงเวลานั้นจะได้ไม่เสียเวลา ทว่าเธอนึกไม่ถึงเลยว่าฟู่อี้ชวนจะปฏิเสธ ทั้งยังโกรธเกรี้ยว และมันก็ทำให้เธอไม่ค่อยเข้าใจนัก

“เลิกคิดเรื่องหย่าไปได้เลย จะบอกให้เธอรู้ไว้นะ ต่อให้ตาย เธอก็อย่าคิดว่าจะได้อิสระ!” ดวงตาของทั้งสองข้างของฟู่อี้ชวนเคร่งขรึมระคนเย็นชา เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

ซูมั่วกัดริมฝีปาก ในใจรู้สึกเศร้ารันทด

ที่แท้ การไม่หย่าก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง...

ที่จะได้ทรมานเธอไปชั่วชีวิต กักขังเธอไว้เป็นวัวเป็นม้ารับใช้อยู่ข้างกายเขา ขณะเดียวกันก็ต้องมองเขานอกกายนอกใจ ไปพลอดรักกับเย่ซินหย่า...

ซูมั่วหมุนตัวกลับไป ขอบตาร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่

ฟู่อี้ชวนเกลียดชังเธอถึงขั้นไหนกันนะ สองปีมานี้ ถึงจะไม่มีความดีแต่ก็มีความชอบอยู่ไหม?

เขาถึงกับ... เกลียดเธอเข้ากระดูกดำขนาดนี้

ข้างกันนั้น เย่ซินหย่าได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เธอไม่นึกเลยว่าฟู่อี้ชวนจะไม่ยอมหย่า ทั้งยังตะโกนเสียงดังลั่น แม้ว่าสิ่งที่พูดออกไปจะเป็นคำพูดร้ายกาจ ทว่ากลับดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยซูมั่วไปเลยสักนิด

เธอเกร็งไปหมดทั้งตัว อดตัวสั่นสะท้านไม่ได้เพราะความโกรธและความกลัว เธอกลัวว่าฟู่อี้ชวนจะหลงรักซูมั่วเข้าจริง ๆ

“อี้ชวน อย่าโมโหสิ ต้องโทษที่ฉันไม่ดี เป็นฉันที่พูดผิดเอง ฉันไม่ได้อยากแยกพวกเนายสองคนออกจากกันเลยนะ” เย่ซินหย่ามองชายหนุ่มพลางพูดขอโทษด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
ความคิดเห็น (1)
goodnovel comment avatar
Sanit Ronnatee
นากดอกนี่โง่ยอมให้เขาแกล้งอยู่ได้ ..พ่อแม่ให้ร่างกายเลือดเนื้อยังยอมเขาอยู่เหลอ..ทรยศต่อกายจังนะ
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทล่าสุด

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 460

    แต่เมื่อดูจากผลแพ้ชนะคืนนี้แล้ว ดูเหมือนเธอจะกังวลมากเกินไปนอกจากเพื่อนสนิทจะถูกเอาเปรียบไปบ้าง ก็ถือเป็นว่าทำผลงานได้ดีที่สุดในงานซูมั่วคุยเป็นเพื่อนเธอ จนกระทั่งเธอกลับถึงบ้าน จึงเพิ่งวางสายหลีโย่วเข้าบ้าน สีหน้าที่โกรธเกรี้ยวทั้งหมดถูกเก็บไว้ หลังจากตอบแม่แบบส่ง ๆ ก็ขึ้นไปชั้นบนหลีเชินโผล่มาตรงหน้า ถือแก้วน้ำอยู่ แล้วถาม“เป็นยังไงบ้าง? คืนนี้มีแขกผู้ชายที่ถูกใจไหม?”หลีโย่วตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พี่ พี่รู้ไหมว่าพี่เหมือนอะไร?”หลีเชิน “?”“เหมือนแม่เล้าที่คอยเรียกลูกค้าให้พวกสาว ๆ ในสมัยโบราณมากเลย” หลีโย่วพูดด้วยรอยยิ้มหลีเชิน “...”“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ ฉันเป็นห่วงเธอ และคิดถึงอนาคตที่มีความสุขของเธออยู่นะ” หลีเชินพูด“เธอคิดว่าถ้าเธอชอบใครแล้วฉันจะยอมให้เธอแต่งงานเลยเหรอ? ฉันยังต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเองก่อน ถ้าไม่ผ่านด่านฉันก็ไม่ได้”หลีโย่วเบะปาก ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ขณะที่กำลังจะเดินจากไป ก็ได้ยินพี่ชายเธอถามอีกครั้ง“คืนนี้เจิ้งเซวียนก็ไปงานเลี้ยงเรือสำราญนั่นด้วย พวกเธอเจอกันไหม?”“เจอกัน” หลีโย่วตอบ“ไม่ได้เจอกันหกปี เลยคุยกันเรื่อยเปื่อย หลังจากฉันกลับมาเขาก

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 459

    ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องแกล้งเขา และเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดต่อเธอด้วยคิดดูแล้ว ดูเหมือนว่าทุกการกระทำ และทุกคำพูดของหลีโย่วก็ล้วนไม่ได้มีปัญหาความแปลกใจตอนที่เห็นตนปรากฏตัว ก็เพราะว่าจำเขาได้ จึงเดินตามเขาออกไปทันทีตนยื่นน้ำผลไม้ให้เธอ เธอก็รับไปดื่มอย่างไม่มีความระแวดระวัง เพราะรู้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายเธอบอกว่าไม่ได้คบใคร บอกว่ามีพี่ชายที่เข้มงวด แล้วยังบอกว่าเขาอายุเท่า ๆ กับพี่ชายของเธอ ทุกอย่างก็สอดคล้องกันหมดเจิ้งเซวียน ‘...เพราะงั้นเป็นเขาเองที่มีปัญหา ใครใช้ให้ไม่ถามชื่ออีกฝ่ายก่อนล่ะ? กลับตั้งใจหว่านเสน่ห์แล้วค่อยถามอีกที’ที่ผ่านมาจีบหญิงไม่เคยพลาด ในที่สุดวันนี้ก็พลาด เหมือนคนเดินอยู่ริมน้ำ รองเท้าจะไม่เปียกได้ยังไง?เจิ้งเซวียนปิดหน้าอย่างหมดแรง สุดท้ายผ่านไปสิบนาทีเต็ม ๆ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็สตาร์ตรถเตรียมตัวกลับบ้านสิ่งเดียวที่ทำให้เขาสบายใจได้ก็คือหลีโย่วจะไม่บอกพี่ชายของเธอ และเขาก็ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับเพื่อนสนิทตัวต่อตัวแล้วถูกจัดการขณะเดียวกัน บนถนนที่กว้างขวางรถเฟอร์รารีเปิดประทุนขับเร็วมาก ทับเส้นจำกัดความเร็วเสียงลมหวีดหวิวข้างหู ก็ยังไ

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 458

    “ไปให้พ้นเลย เอาแต่พูดเรื่องไม่ดีอยู่ได้” หวังคุนด่าพลางยิ้มเจิ้งเซวียนมองหลีโย่ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแบบพี่ชายพูด“เสี่ยวโย่วจื่อก็อยู่เล่นที่นี่ต่อเถอะ ฉันไปก่อนนะ วันหลังจะนัดรวมตัวกับพี่ชายเธอด้วย”“ฉันก็จะไปเหมือนกันค่ะ อยู่นานพอสมควรแล้ว ไปรายงานพี่ชายได้แล้วค่ะ” หลีโย่วยิ้มอย่างซุกซนเจิ้งเซวียนเข้าใจว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร สรุปคือวันนี้หลีเชินบังคับให้เธอมางานนี้นึกถึงตอนที่เธอบอกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์ออกไปข้างนอกคนเดียวไม่ได้ พี่ชายเธอเข้มงวดมาก ซึ่งก็ตรงกับนิสัยของหลีเชินจริง ๆ เพราะงั้น...ทำไมเขาถึงนึกเชื่อมโยงไม่ได้ตั้งแต่แรกกันนะ?ในใจเจิ้งเซวียนเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย รู้สึกว่าวันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูฤกษ์ดูยาม เขาไม่ได้ขายหน้าขนาดนี้มานานแล้วจริง ๆ แถมยังเป็นต่อหน้าน้องสาวอีก...“งั้นเดี๋ยวฉันไปส่งเธอกลับบ้านนะ” เจิ้งเซวียนเก็บความคิด และพูดด้วยรอยยิ้มบาง“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันขับรถมาเอง แต่เราออกไปพร้อมกันก็ได้ค่ะ” หลีโย่วพูดทั้งสองคนเดินคู่กันออกมาจากงาน ลงจากเรือสำราญ จากนั้นก็ไปที่ลานจอดรถในช่วงเวลานี้ มีแค่เสียงพื้นรองเท้าที่ก้าวเดินของทั้งคู่เท่านั้น

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 457

    เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับ...หลีเชินเขาหันคอที่แข็งทื่อไปช้า ๆ มองใบหน้าที่แฝงด้วยรอยยิ้มหวานจาง ๆ ของหญิงสาวกระแสเวลาที่ยาวนานหกปีเหมือนย่อลงในชั่วขณะนี้ ภาพของหญิงสาวที่สดใสมีเสน่ห์ตรงหน้า ซ้อนทับกับเด็กสาวที่สวมแว่นกรอบดำทั้งยังอวบเล็กน้อยเมื่อสมัยมัธยมปลายเขาก็ว่าอยู่ว่าทำไมตอนนั้นถึงรู้สึกคุ้นตานัก ที่แท้ก็เพราะสาเหตุนี้...“หลี...หลีโย่ว” จ้องมองอย่างนิ่งงันไปหลายวินาที เจิ้งเซวียนจึงเพิ่งพูดอ้ำอึ้งอย่างตกตะลึงเห็นเพียงหญิงสาวพยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าที่ยิ่งหวานและจริงใจ กลับทำให้หัวใจของเจิ้งเซวียนกระตุก ต้องฝืนรักษารอยยิ้มไว้อย่างยากลำบาก ไม่ให้กระอักเลือดออกมาการจีบสาวในวันนี้ไม่ใช่แค่ล้มเหลว แต่โคตรจะล้มเหลวเพราะเหตุไม่คาดฝันหลีโย่ว เสี่ยวโย่วจื่อ เด็กสาวคนนั้นที่เขามองว่าเป็นน้องสาวมาตลอด ผลคือเขากลับ...หยอดเธอ อยากจีบเธอมาเป็นแฟนจิตสำนึกถูกประณาม เขาถูกตอกตรึงไว้บนเสาแห่งความอับอายทางศีลธรรมแต่เขารู้สึกว่าตนคงไม่ต้องรอให้ถูกจิตสำนึกของตัวเองฆ่าตายหรอก เพราะถ้าหลีเชินรู้ว่าเขาจะจีบน้องสาวของอีกฝ่าย คงฟันตนตายก่อนในมีดเดียวแน่“เสี่ยวโย่วจื่อ...” เจิ้งเซ

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 456

    “เธอเรียนเต้นมาตั้งแต่เด็กเลยเหรอ? รู้จักการเต้นหลายประเภทแถมยังเชี่ยวชาญหมดเลยด้วย เหมือนเป็นนักเต้นมาตั้งแต่เกิดเลย”“ฉันเคยเต้นกับคู่เต้นผู้หญิงคนอื่นนะ แต่ท่วงท่าของพวกเธอไม่คล่องแคล่วเท่าเธอ และยิ่งไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเธอด้วย”“ตอนเพลงเร็วจังหวะเธอก็ดีมาก เข้าถึงอารมณ์เพลงได้เร็ว รอยยิ้มก็สดใสเปล่งประกาย เหมือนสาวน้อยชาวทิเบตที่มีความกระตือรือร้นใต้ภูเขาหิมะเลย”......เขาชม แต่หญิงสาวไม่ได้ตอบกลับ รู้ว่าอีกฝ่ายอาย เขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดโปงในฐานะนักล่าฝ่ายรุกคนหนึ่ง เมื่อบรรยากาศค่อย ๆ คืบหน้า มือซ้ายของเขาก็ขยับเล็กน้อย แล้วเป็นฝ่ายจับมือที่นุ่มนิ่มของอีกฝ่ายในขณะเดียวกันมืออีกข้างที่โอบหลังเอวไว้หลวม ๆ ก็วางลงไปอย่างแผ่วเบา พร้อมพาเธอหมุนวงใหญ่รอบหนึ่งเมื่อเพลงวอลซ์จบลง ทั้งสองคนเข้าขากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ รับลมทะเล และพูดคุยเรื่อยเปื่อย ตอนนี้คืบหน้าไปอีกก้าวแล้ว“อายุเท่าไรแล้ว?” เจิ้งเซวียนถาม “ยังเรียนอยู่หรือเปล่า?”“ยี่สิบสี่แล้ว” หญิงสาวตอบเจิ้งเซวียนแปลกใจเล็กน้อย แล้วพูด“ดูไม่ออกเลยจริง ๆ ฉันนึกว่าเธอเพิ่งบรรลุนิติภาวะ ยังเป็นนักศึกษาอยู่ซะอีก”ประโยคน

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 455

    “ดื่มเถอะ ฉันเป็นคนซื่อตรง ไม่ใช้วิธีต่ำทรามแบบนั้นหรอก”หญิงสาวได้ยินแบบนี้ก็จิบสองอึกจนชุ่มคอ จากนั้นก็นั่งลงเงียบ ๆ“เมื่อกี้มองออกว่าเธอเหนื่อยกับการรับมือ ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้นัดแนะกันมาก่อน แต่กลับร่วมมือกันได้ดีทีเดียว” เจิ้งเซวียนพิงราวกั้นพลางมองเธอแล้วพูด“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงของเธอแผ่วลงเล็กน้อย เจิ้งเซวียนที่ฟังความผิดปกติไม่ออก ยิ้มบางและพูด“แค่ช่วยเหลือเล็กน้อย ช่วยเธอได้ฉันก็ดีใจ”บทสนทนาดูเหมือนจะจบลงตรงนี้ แต่เจิ้งเซวียนเป็นใคร เขาสร้างหัวข้อสนทนาได้ง่ายเหมือนจับวางอยู่แล้ว“ฉันเห็นการเต้นเพลงแรกของเธอ จังหวะแปดนับที่สาม ถ้าหมุนเพิ่มอีกครึ่งรอบอาจจะสวยกว่านี้นะ” เขาพูดเขาไม่ได้ใช้ถ้อยคำสวยหรูเพื่อชมเอาใจเธอ และยิ่งไม่ได้บอกว่าท่าเต้นของเธอได้มาตรฐานแค่ไหน และรูปร่างของเธอเย้ายวนแค่ไหนแต่ชี้ให้เห็นถึง ‘ปัญหา’ ราวกับกำลังพูดเรื่องการเต้นรำอย่างบริสุทธิ์ใจเพราะวิธีจีบผู้หญิงที่ไม่เคยมีความรักกับผู้หญิงที่เคยมีความรักนั้นแตกต่างกันมาก การชมอย่างผลีผลามและเจตนาที่ชัดเจนเกินไปมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายตกใจจนหนีไปกลับกันการชี้แนะอย่างจริงใจ และรุกอย่างช้า ๆ จ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status