Share

บทที่ 7

Author: อิงเซี่ย
ซูมั่วเงยหน้าพลางจ้องเขาเขม็ง เธอกำมือแน่น

เฮอะ...

เพื่อให้คนที่เขารักได้กินข้าว ถึงกับให้ตัวเธอที่เจ็บหนักลงครัว เธอดูเบาฟู่อี้ชวนแล้วจริง ๆ เขาไม่มีความเป็นคนเลยสักนิด

“พวกนายสั่งดิลิเวอรี่ไม่เป็นหรือไง? ถ้าคิดว่าไม่ดี ภัตตาคารก็นำอาหารมาส่งให้ได้ นายก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินสักหน่อย” ซูมั่วเอ่ยปาก

ฟู่อี้ชวนเม้มปากเล็กน้อย ดึงสายตาออกมาจากหลังเท้าของซูมั่ว เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา เป็นตอนนั้นเองที่เย่ซินหย่าพูดออกมา

“เดิมทีฉันตั้งใจมาเยี่ยมมั่วมั่ว เลยอยากทำกับข้าวให้เธอกิน ถ้าสั่งกับข้าวมาจากภัตตาคารก็ดูจะไม่จริงใจเท่าไรน่ะสิ...”

“งั้นเธอทำ?” ซูมั่วว่ากลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ฉันไม่ค่อยคุ้นกับครัวแบบในประเทศ เมื่อกี้นี้ก็ทำจานแตกไปใบแล้ว ทำให้อี้ชวนต้องเป็นห่วงฉันอยู่ตั้งนาน” เย่ซินหย่าพูดอย่างใสซื่อพลางกะพริบตาปริบ ๆ

“เอาอย่างนี้แล้วกันมั่วมั่ว เดี๋ยวฉันเป็นลูกมือ คอยช่วยส่งผักส่งของให้เธอ แบบนี้ก็เหมือนฉันทำเองแล้วได้ไหม?”

เธอแย้มยิ้มสดใส ทว่าในสายตาของซูมั่วแล้วกลับดูเสแสร้งเหลือเกิน

ดูแล้ววันนี้ เย่ซินหย่าคนนี้อยากจะทรมานเธอให้ได้สักรอบหนึ่งเป็นแน่ ด้วยการให้เธอเข้าครัวทั้งที่มีบาดแผล

“ไม่จำเป็น เดี๋ยวฉันทำให้เธอเอง” ซูมั่วว่า

กินเสร็จก็รีบกลับไปซะ จะให้ดีที่สุดก็ออกไปทั้งหญิงร้ายชายชั่วเลย เธอไม่อยากจะวนเวียนอยู่รอบ ๆ พวกเขาอีก

“ไม่เอาสิ ฉันช่วยเธอเอง พวกเราทำด้วยกันนะ” เย่ซินหย่าว่า หลังจากนั้นก็ออกคำสั่งกับฟู่อี้ชวนอีกครั้ง

“อี้ชวน นายไปตั้งโต๊ะ~ แล้วก็เทน้ำผลไม้ไว้นะ~”

เธอจัดแจงอย่างชัดเจน ราวกับว่าเธอต่างหากที่เป็นคุณผู้หญิงของบ้านหลังนี้ ส่วนซูมั่วเป็นแค่แม่บ้านทำอาหารคนหนึ่ง

เมื่อก่อนซูมั่วต้องเจ็บปวดและหึงหวงแน่ ทว่าตอนนี้เธอไม่เป็นแบบนั้นแล้ว มีเพียงสีหน้าเรียบเฉยเท่านั้น

ตั้งแต่ชั่วขณะที่เย่ซินหย่ากลับประเทศ และฟู่อี้ชวนวิ่งแจ้นไปหา ในใจของเธอก็สูญสิ้นความรู้สึกต่อเขาแล้ว

ที่ด้านหลัง ทั้งสองคนพูดจาจู๋จี๋กัน เธอไม่ได้หันกลับไปมอง ฟู่อี้ชวนว่าง่ายกับเย่ซินหย่าจริง ๆ เขาจัดโต๊ะกินข้าว ทั้งสองจู๋จี๋หวานชื่น

เย่ซินหย่าออดอ้อน พลางเอื้อมมือไปคล้องแขนฟู่อี้ชวนไว้ เธอต้องการให้ซูมั่วเห็น ให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าคนที่ฟู่อี้ชวนรักก็คือตัวเธอเอง

ข้าง ๆ กัน ฟู่อี้ชวนก้มหน้า ดึงมือออกอย่างเงียบเชียบ

“ขอโทษนะอี้ชวน พอฉันได้อยู่ข้าง ๆ นายแล้วมักจะนึกถึงเมื่อก่อนที่เรายังคบกันอยู่ เลยไม่รู้ตัวอยากคล้องแขนนายขึ้นมา” เย่ซินหย่ากัดปากพลางกล่าวขอโทษ

“ไม่เป็นไร” ฟู่อี้ชวนว่า

เขามองเข้าไปด้านในห้องครัว เห็นว่าซูมั่วไม่ได้เอียงตัวเลยสักนิด ราวกับว่าไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาสองคน

เย่ซินหย่าเข้าไปในครัวแล้ว ขณะที่เธอล้างผักก็พูดจ้อเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันไปเรื่อง พลางกำชับซูมั่วเกี่ยวกับเรื่องรสชาติที่ฟู่อี้ชวนชอบ

พอคำพูดนี้ไปเข้าหูฟู่อี้ชวน ก็รู้สึกเหมือนกำลังบอกให้ซูมั่วเรียนรู้วิธีเอาใจเขา ในใจพลันเกิดความเอือมระอาขึ้นมา

“ไม่ต้องบอกฉันหรอก ฉันทำข้าวให้เขากินมาสองปีแล้ว” ซูมั่วตอกกลับไปอย่างสุดจะทานทน

เธอจะไม่รู้เรื่องรสชาติที่ฟู่อี้ชวนชอบ? จนต้องให้เย่ซินหย่ามาบอกเชียวเหรอ?

ภายนอกดูเหมือนจะเป็นการกำชับด้วยความหวังดีไม่มีพิษมีภัยอะไร ทว่าในความจริงแล้วกลับกำลังโอ้อวดถึงช่วงเวลาสามปีที่เธอกับเขาคบกันให้อีกฝ่ายฟังต่างหาก

ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา เย่ซินหย่าก็มีสีหน้าเจ็บปวด เธอมองไปทางฟู่อี้ชวน พลางพูดอย่างปวดใจ

“ขอโทษนะ ฉันลืมไป อี้ชวนคงจะคุ้นกับรสชาติอาหารที่เธอทำนานแล้ว...”

“จะเป็นไปได้ยังไง!” ฟู่อี้ชวนพูดตัดบทเธอ แล้วรีบร้อนคัดค้านเสียงดังทันที

“กับข้าวที่หล่อนทำอย่างมากที่สุดก็กินแล้วไม่ตายแค่นั้น รสชาติจืดชืดเหมือนกินดิน!”

ครั้นได้ยินประโยคนี้ ซูมั่วพลันกำมือที่จับตะหลิวไว้แน่น

รสชาติจืดชืดเหมือนกินดิน... เธอคอยดูแลเรื่องอาหารการกินของอีกฝ่ายมาสองปี สิ่งที่ได้มากลับเป็นคำวิจารณ์แบบนี้น่ะเหรอ

เธอไม่อยากเถียง และไม่อยากแย้งอะไรทั้งสิ้น ถือเสียว่าอาหารที่เธอมาตลอดสองปีนี้คือทำให้หมากินแล้วกัน

พอเย่ซินหย่าได้ยินฟู่อี้ชวนพูดแบบนั้นแล้วก็ดีใจ และเริ่มพูดกำชับไม่หยุดอีกครั้ง

“พูดทำไมเยอะแยะ? เธอไม่สมควรได้รู้หรอก” ฟู่อี้ชวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ฉันอยากให้ต่อไปมั่วมั่วคอยดูแลนายให้ดีไม่ใช่หรือไงเล่า” เย่ซินหย่ามองกลับไป แลบลิ้นแล้วพูดออกมา

หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาทำสีหน้าเศร้าสร้อย พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหงาหงอยว่า

“ชีวิตนี้ฉันคงไม่มีหวังกับนายแล้วล่ะ ไม่ว่าใครจะได้อยู่ข้างกายอี้ชวน ฉันก็อยากให้นายมีความสุขทั้งนั้น”

ฟู่อี้ชวนมองเธอ ในใจพลันผุดความเสียใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เคยเป็นผู้หญิงที่เขารักที่สุด และตอนนี้ก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ทว่าเขากลับแต่งงานสร้างครอบครัวกับคนอื่นไปแล้ว

“หย่ากันเถอะ” ทันใดนั้น ซูมั่วก็หันหน้ามาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ฟู่อี้ชวนพลันชะงักไปทันที มองตรงไปที่เธอทั้งอย่างนั้น

“หย่าแล้วเย่ซินหย่าก็จะได้มีหวังไง นายเองก็จะได้ครองรักกับเธอไปชั่วชีวิต” ซูมั่วมองตรงเข้าไปในดวงตาของฟู่อี้ชวน พลางกล่าวอย่างเย็นชา

น้ำเสียงเรียบเฉย ท่าทางเย็นชาห่างเหิน เหล่านี้ทำให้ฟู่อี้ชวนรู้สึกไม่คุ้นตา เหมือนกับว่าในสายตาของซูมั่วนั้นเขาเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง

เมื่อก่อนในดวงตาคู่นั้นล้วนมีแต่เขา เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ไม่ว่าเขาจะตะคอกหรือทำหน้าเอือมระอาแค่ไหน อีกฝ่ายก็จะมีแต่ทำให้ดีขึ้นในครั้งต่อไปด้วยความระมัดระวัง ทว่าตอนนี้...

“หย่าเหรอ? ตอนแรกไม่ใช่เธอหรือไงที่วางแผนเพื่อให้ได้แต่งงานกับฉันน่ะ? พอว่าจะหย่าก็อย่าได้งั้นสินะ เธอคิดว่าฉันนี่เป็นคนที่คิดจะเรียกให้มาก็มา ไล่ให้ไปก็ไปอย่างนั้นเหรอ?”

ฟู่อี้ชวนตะคอกออกมาเสียงดังลั่น ในน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่เขาก็ไม่ทันรู้ตัว ทั้งยังรู้สึกร้อนรนไปพร้อม ๆ กัน

ซูมั่วมองผู้ชายที่บ้าคลั่งตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล แล้วพูดขึ้นอีกครั้งว่า

“นายชอบเย่ซินหย่าไม่ใช่หรือไง? พอหย่าแล้ว นายก็จะได้แต่งงานกับเธอ”

เดิมทีคิดว่าจะรอให้ถึงสองสามวันสุดท้ายก่อนถึงกำหนดสัญญาเสียก่อนค่อยพูด วันนี้กลับได้จังหวะพูดถึงเรื่องนี้พอดี

พูดไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็มีประโยชน์ดี จะได้จัดก่อนล่วงหน้า ถึงเวลานั้นจะได้ไม่เสียเวลา ทว่าเธอนึกไม่ถึงเลยว่าฟู่อี้ชวนจะปฏิเสธ ทั้งยังโกรธเกรี้ยว และมันก็ทำให้เธอไม่ค่อยเข้าใจนัก

“เลิกคิดเรื่องหย่าไปได้เลย จะบอกให้เธอรู้ไว้นะ ต่อให้ตาย เธอก็อย่าคิดว่าจะได้อิสระ!” ดวงตาของทั้งสองข้างของฟู่อี้ชวนเคร่งขรึมระคนเย็นชา เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

ซูมั่วกัดริมฝีปาก ในใจรู้สึกเศร้ารันทด

ที่แท้ การไม่หย่าก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง...

ที่จะได้ทรมานเธอไปชั่วชีวิต กักขังเธอไว้เป็นวัวเป็นม้ารับใช้อยู่ข้างกายเขา ขณะเดียวกันก็ต้องมองเขานอกกายนอกใจ ไปพลอดรักกับเย่ซินหย่า...

ซูมั่วหมุนตัวกลับไป ขอบตาร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่

ฟู่อี้ชวนเกลียดชังเธอถึงขั้นไหนกันนะ สองปีมานี้ ถึงจะไม่มีความดีแต่ก็มีความชอบอยู่ไหม?

เขาถึงกับ... เกลียดเธอเข้ากระดูกดำขนาดนี้

ข้างกันนั้น เย่ซินหย่าได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เธอไม่นึกเลยว่าฟู่อี้ชวนจะไม่ยอมหย่า ทั้งยังตะโกนเสียงดังลั่น แม้ว่าสิ่งที่พูดออกไปจะเป็นคำพูดร้ายกาจ ทว่ากลับดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยซูมั่วไปเลยสักนิด

เธอเกร็งไปหมดทั้งตัว อดตัวสั่นสะท้านไม่ได้เพราะความโกรธและความกลัว เธอกลัวว่าฟู่อี้ชวนจะหลงรักซูมั่วเข้าจริง ๆ

“อี้ชวน อย่าโมโหสิ ต้องโทษที่ฉันไม่ดี เป็นฉันที่พูดผิดเอง ฉันไม่ได้อยากแยกพวกเนายสองคนออกจากกันเลยนะ” เย่ซินหย่ามองชายหนุ่มพลางพูดขอโทษด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้
Continue to read this book for free
Scan code to download App
Comments (1)
goodnovel comment avatar
Sanit Ronnatee
นากดอกนี่โง่ยอมให้เขาแกล้งอยู่ได้ ..พ่อแม่ให้ร่างกายเลือดเนื้อยังยอมเขาอยู่เหลอ..ทรยศต่อกายจังนะ
VIEW ALL COMMENTS

Latest chapter

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 540

    ได้ยินชื่อ ‘ประธานฟู่’ ทุกคนก็เข้าใจทันทีว่าที่แท้ก็เป็นสามีตามมาที่บริษัทนี่เองงั้นก็เอาเถอะ ดูท่าคงไม่ใช่ผู้ชายคนที่สี่ ยังเป็น ‘ผู้ชายสามคนแย่งผู้หญิงคนเดียว’ เหมือนเดิมทุกคนแทบไม่กินแล้ว เที่ยงวันนี้กินข่าวลือก็อิ่มแล้ว ยังไงปกติพนักงานทั่วไปอย่างพวกเขาจะมีโอกาสเห็น ‘ดราม่าตระกูลไฮโซ’ แบบสด ๆ อย่างนี้ต่อหน้าได้ที่ไหนกัน?“ผมไม่ได้บ้า ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไร พูดอะไรอยู่” ดวงตาทั้งสองของฟู่อี้ชวนมองตรงไปที่ซูมั่วอยู่ที่เดิม และพูดด้วยด้วยความใจเย็น “คุณคบกับหลีเชินแล้วงั้นเหรอ? คบกันนานแค่ไหนแล้ว??” ฟู่อี้ชวนถามด้วยความหึงหวงซูมั่วเบื่อจนเกินอธิบาย เธอหันหน้าหนีไป แม้แต่คำตอบยังขี้เกียจจะตอบเธอไปคบกับหลีเชินตั้งแต่เมื่อไหร่? ไปเอาข่าวมาจากไหน??ฟู่อี้ชวนยังบอกตัวเองไม่ได้บ้า นี่มันเสียสติระยะสุดท้ายชัด ๆ!เห็นซูมั่วไม่ตอบเขา ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาแล้ว ฟู่อี้ชวนเลยถือว่านี่คือ ‘การยอมรับโดยปริยาย’ ทันที ความหึงหวงกำลังจะกลืนกินเขาจนหมดเขาพยายามสูดหายใจลึก ๆ พยายามอดทนไว้ เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดของซูมั่วผิดที่ไอ้สารเลวหลีเชินที่ล่อลวงเธอ ฉวยโอกาสเข้ามาแทนที่ผิดที่เมื่

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 539

    หลังจากนั้นแรงดึงอย่างแรงให้เธอหันไป เสียการทรงตัว ส้นสูงยืนไม่มั่นคง มืออีกข้างก็เลยไปยันที่หน้าอกบนชุดสูทของฟู่อี้ชวน“มันเป็นใคร?” ฟู่อี้ชวนจับจ้องเธออย่างไม่ละสายตาด้วยดวงตาคมกริบ ก่อนจะถามด้วยความอดทนอีกครั้งซูมั่วเงยหน้าขึ้น สบตากับดวงตาที่ทั้งดุร้ายและเต็มไปด้วยความอยากครอบครอง ดวงตาดำคล้ำยิ่งขับให้ใบหน้าดุร้ายมากขึ้นไปอีก“เขาเป็นใคร? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ?” ซูมั่วพูดด้วยความโมโห จ้องเขาด้วยสายตาเย็นชาหลี่หยวนรีบวิ่งเข้ามาแทรก พยายามดึงมือฟู่อี้ชวนด้วยความเกรงใจและพูดว่า“ที่นี่เป็นที่สาธารณะนะ เราต้องระวังผลกระทบด้วย…”แต่ฟู่อี้ชวนไม่ฟังใช้มืออีกข้างดันหลี่หยวนออกไป พร้อมทั้งก้าวเข้ามาใกล้ซูมั่วมากขึ้น จนเกิดความกดดันหลังจากนั้นเอียงศีรษะทำท่าจะโน้มลงไป เขากำลังจะจูบ…“เพียะ!” เสียงตบมือดังสนั่น ซูมั่วรู้สึกขยะแขยงมากจึงตบออกไปแก้มของฟู่อี้ชวนร้อนผ่าว เขาแทบจำไม่ได้เลยว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ซูมั่วตบเขาแต่เขาไม่ได้โกรธ เพียงแค่รู้สึกเจ็บใจ“ผู้ชายคนนั้นมีสิทธิ์อะไรถึงกล้ามาจีบกับคุณ?!” ฟู่อี้ชวนกัดฟันถามด้วยความไม่พอใจซูมั่วแทบจะหัวเราะออกมาเพราะความโม

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 538

    เขาอ้างอิงคำพูดด้านบนของซูมั่ว แล้วตอบกลับว่า[ก็มีเสียมารยาทจริง ๆ คุณไม่อยากรู้เหรอว่าตอนคุณเมาทำอะไรหรือพูดอะไรไปบ้าง?ฉันมีบันทึกเสียงอยู่ สามารถช่วยให้เธอนึกขึ้นมาได้]เมื่อเห็นสองประโยคนั้น เสียงดัง ‘ปึ้ง’ ซูมั่วรู้สึกสมองว่างเปล่าเมื่อคืนหลังจากเมาจนภาพตัดเธอทำอะไรไปบ้าง? คงไม่ใช่ว่าเมาแล้วเสียสติหรอกนะ…คงไม่ไปกอดหลีเชินร้องไห้ใช่ไหม? จบเห่แล้ว…แล้วยังมีบันทึกเสียงอีก…หลีเชินเป็นคนแบบนี้ได้ยังไงกัน!เดิมซูมั่วก็เป็นคนขี้อายอยู่แล้ว เมื่อครู่กว่าจะหายหน้าแดง ตอนนี้กลับแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้งราวกับกุ้งสุกเธอสงสัยว่าที่หลีเชินส่งเธอกลับบ้านก็เพื่อดูเธอทำเรื่อง ‘น่าอาย’ และหลังจากนั้นผู้ชายเจ้าเล่ห์คนนั้นก็อัดเสียง บางทีอาจจะถ่ายวิดีโอไว้ เพื่อเอามาแกล้งเธอนิ้วมือของเธอสั่นขณะพิมพ์ถามว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เป็นเพราะอายและละอายตั้งแต่เล็กจนโตเธอไม่เคยรู้สึกอับอายแบบนี้มาก่อน ยิ่งอยู่ต่อหน้าผู้ชายที่ชอบแกล้งเธอที่สุดแล้วด้วย นี่เป็นการยื่นมีดให้อีกฝ่ายไม่ใช่เหรอ?แต่ขณะที่เธอกำลังพิมพ์ข้อความนั้น ไม่ไกลออกไป ชายคนหนึ่งสวมชุดสูทสีน้ำเงินเข้มเห็นเ

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 537

    ผ้าเช็ดมือที่เปียกชื้นหลีโย่วไม่น่าจะแยกไม่ออก จนเอาผ้าเช็ดมือของเธอไปใช้เช็ดหน้าให้เธอแล้วทำไมเมื่อเช้าเธอถึงไม่คิดถึงตรงจุดนี้??!!แล้วตกลงเป็นใครกันแน่ คนขับรถหรือ…หลีเชิน?คาดเดาในใจเพียงสองวินาที ซูมั่วเม้มริมฝีปากแน่นหวังว่าจะเป็นคนขับรถนะ อย่างน้อยคนขับรถก็น่าจะสมเหตุสมผลมากกว่า เพราะต้องเป็นคนที่ทำงานบริการถึงจะใส่ใจละเอียดขนาดนี้แต่…การมาเช็ดหน้าให้เธอมัน ‘ละเอียดเกินไป’ หรือเปล่า?ยังไงอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชาย ชายหญิงแตกต่างกัน จริง ๆ แล้วแค่มาส่งเธอกลับเข้าบ้านก็น่าจะพอแล้วแต่เขาก็มีความหวังดี ซูมั่วไม่ควรจะไป ‘คาดเดา’ อะไรเพิ่มเติม แต่ในสมองเธอก็ยังนึกถึงเหตุการณ์ในตอนเช้าที่ตัวเองตื่นขึ้นมาเสื้อผ้ายังไม่ได้ถอด ยังอยู่ครบเรียบร้อย สายชุดชั้นในหรืออะไรอื่น ๆ ก็ไม่ได้บิดเบี้ยว ดังนั้นน่าจะไม่ได้มีเรื่องไม่เหมาะสมเกิดขึ้นแค่คิดว่าคนแปลกหน้าคนหนึ่งเอาผ้าเช็ดมือมาเช็ดมือเช็ดหน้าให้เธอ ก็รู้สึก…แปลก ๆ นิดหน่อยขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น มาถึงชั้นร้านอาหารแล้ว ซูมั่วไม่ได้รอข้อความจากหลีโย่ว แต่ปรากฏว่าแจ้งเตือนโทรศัพท์เด้งขึ้นมา…เป็นข้อความจากหลีเชิน[นี่ก็เป็นครั

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 536

    จนถึงตอนนี้ เรื่องราววนกลับมาเป็นวงกลมในเรื่องธุรกิจถือว่าเขาทำได้ไม่เลว แต่ในเรื่องการอบรมเลี้ยงดูลูกหลานนั้นเขากลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงคนเราอายุมากขึ้น ก็ไม่ได้รั้นเหมือนแต่ก่อนแล้ว เขามักจะคิดทบทวนอยู่บ่อย ๆ ว่าเหมือนเขาจะเข้มงวดกับลูกชายและหลานชายมากเกินไป ถึงขั้นบังคับเรื่องการแต่งงานของพวกเขาแต่บางครั้ง เขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเพราะฟู่ปั๋วหมิงไม่มีทั้งความสามารถและพรสวรรค์อะไร เขาจึงหาคนที่มีความสามารถทางธุรกิจมาช่วย เพื่อช่วยให้ลูกชายสามารถยืนหยัดในตำแหน่งได้อย่างมั่นคงเป็นเขาเองที่มีตาไม่มีแวว ไม่รู้จักคุณค่า ถูกผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีสามารถสนับสนุนอะไรเขาได้พูดหลอกล่อไม่กี่คำก็ไปแล้วตอนนี้ชีวิตก็ไม่ใช่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ หรอกเหรอ? เรียกได้ว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงพอมาถึงฟู่อี้ชวน เย่ซินหย่าก็เป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจคนหนึ่ง แต่เขากลับรักเธอจนแทบบ้าซูมั่วเป็นผู้หญิงที่ดีขนาดนั้นเขากลับไม่รู้จักถนอม จนหย่าขาดกันไปแล้ว ถึงค่อยกลับไปตามง้อสุดท้ายฟู่อี้ชวนกลับโทษเขา และพูดถ่อยคำหยาบคาบทิ่มแทงใจเขาถ้าจะพูดถึงการแต่งงานตามข้อตกลงนี้เขาเองก็รู้สึกผิด แต่ก็แค่ก

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 535

    “ใช่ ผมยังคิดว่าจะโดนประธานฟู่ด่าด้วยซ้ำ หลี่หยวนก็เป็นคนฉลาดนัก ไม่ยอมช่วยพูดเรื่องนี้เลย ยังไงก็ตามยังไม่เห็นข้อดีของงานนี้เลย แต่มีข้อเสียเต็มไปหมด” โจวเฉิงถอนหายใจแล้วพูดอีกทั้งโปรเจกต์เล็ก ๆ ของติ่งเซิ่งที่เดียว กลับต้องให้เขาเป็นคนนำทีมด้วยตัวเองเดิมทีเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ระดับผู้จัดการมาเข้าร่วมเลย หาหัวหน้าทีมมาทำก็พอแล้ว ส่วนเขาก็รับผิดชอบเซ็นชื่อแต่บังเอิญว่า นี่เป็นคำสั่งของประธานฟู่ ไม่เพียงแต่ผู้จัดการต้องติดตามตลอดกระบวนการ ประธานฟู่ก็จะติดตามไปด้วยเขาเสียใจภายหลังจริง ๆ ที่ตอนนั้นแย่งงานกับผู้จัดการคนอื่น ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ผู้บังคับบัญชาสูงสุดมันจะง่ายขนาดนั้นได้ยังไง“ผมเอาคำพูดไปบอกแล้ว แล้วก็ห้ามแล้วด้วย แต่ประธานฟู่ไม่ฟังเลยผมก็จนปัญญา เปลี่ยนให้พระเจ้ามาก็คงห้ามไม่อยู่” โจวเฉิงถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกล่าวในเวลานั้น ที่โรงพยาบาลเอกชนพ่อบ้านนำเนื้อหาที่ได้รับจากโทรศัพท์ถ่ายทอดให้ชายชราที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ฟัง ชายชรามีสีหน้าเฉยเมย และแค่นเสียงเย็นชาว่า“เขาจะไปแล้วฉันยังจะจัดการได้อีกเหรอ? โตแล้วปีกกล้าขาแข็ง แม้แต่ฉันที่เป็นปู่ก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาแ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status