Share

บทที่ 7

Author: อิงเซี่ย
ซูมั่วเงยหน้าพลางจ้องเขาเขม็ง เธอกำมือแน่น

เฮอะ...

เพื่อให้คนที่เขารักได้กินข้าว ถึงกับให้ตัวเธอที่เจ็บหนักลงครัว เธอดูเบาฟู่อี้ชวนแล้วจริง ๆ เขาไม่มีความเป็นคนเลยสักนิด

“พวกนายสั่งดิลิเวอรี่ไม่เป็นหรือไง? ถ้าคิดว่าไม่ดี ภัตตาคารก็นำอาหารมาส่งให้ได้ นายก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินสักหน่อย” ซูมั่วเอ่ยปาก

ฟู่อี้ชวนเม้มปากเล็กน้อย ดึงสายตาออกมาจากหลังเท้าของซูมั่ว เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา เป็นตอนนั้นเองที่เย่ซินหย่าพูดออกมา

“เดิมทีฉันตั้งใจมาเยี่ยมมั่วมั่ว เลยอยากทำกับข้าวให้เธอกิน ถ้าสั่งกับข้าวมาจากภัตตาคารก็ดูจะไม่จริงใจเท่าไรน่ะสิ...”

“งั้นเธอทำ?” ซูมั่วว่ากลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ฉันไม่ค่อยคุ้นกับครัวแบบในประเทศ เมื่อกี้นี้ก็ทำจานแตกไปใบแล้ว ทำให้อี้ชวนต้องเป็นห่วงฉันอยู่ตั้งนาน” เย่ซินหย่าพูดอย่างใสซื่อพลางกะพริบตาปริบ ๆ

“เอาอย่างนี้แล้วกันมั่วมั่ว เดี๋ยวฉันเป็นลูกมือ คอยช่วยส่งผักส่งของให้เธอ แบบนี้ก็เหมือนฉันทำเองแล้วได้ไหม?”

เธอแย้มยิ้มสดใส ทว่าในสายตาของซูมั่วแล้วกลับดูเสแสร้งเหลือเกิน

ดูแล้ววันนี้ เย่ซินหย่าคนนี้อยากจะทรมานเธอให้ได้สักรอบหนึ่งเป็นแน่ ด้วยการให้เธอเข้าครัวทั้งที่มีบาดแผล

“ไม่จำเป็น เดี๋ยวฉันทำให้เธอเอง” ซูมั่วว่า

กินเสร็จก็รีบกลับไปซะ จะให้ดีที่สุดก็ออกไปทั้งหญิงร้ายชายชั่วเลย เธอไม่อยากจะวนเวียนอยู่รอบ ๆ พวกเขาอีก

“ไม่เอาสิ ฉันช่วยเธอเอง พวกเราทำด้วยกันนะ” เย่ซินหย่าว่า หลังจากนั้นก็ออกคำสั่งกับฟู่อี้ชวนอีกครั้ง

“อี้ชวน นายไปตั้งโต๊ะ~ แล้วก็เทน้ำผลไม้ไว้นะ~”

เธอจัดแจงอย่างชัดเจน ราวกับว่าเธอต่างหากที่เป็นคุณผู้หญิงของบ้านหลังนี้ ส่วนซูมั่วเป็นแค่แม่บ้านทำอาหารคนหนึ่ง

เมื่อก่อนซูมั่วต้องเจ็บปวดและหึงหวงแน่ ทว่าตอนนี้เธอไม่เป็นแบบนั้นแล้ว มีเพียงสีหน้าเรียบเฉยเท่านั้น

ตั้งแต่ชั่วขณะที่เย่ซินหย่ากลับประเทศ และฟู่อี้ชวนวิ่งแจ้นไปหา ในใจของเธอก็สูญสิ้นความรู้สึกต่อเขาแล้ว

ที่ด้านหลัง ทั้งสองคนพูดจาจู๋จี๋กัน เธอไม่ได้หันกลับไปมอง ฟู่อี้ชวนว่าง่ายกับเย่ซินหย่าจริง ๆ เขาจัดโต๊ะกินข้าว ทั้งสองจู๋จี๋หวานชื่น

เย่ซินหย่าออดอ้อน พลางเอื้อมมือไปคล้องแขนฟู่อี้ชวนไว้ เธอต้องการให้ซูมั่วเห็น ให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าคนที่ฟู่อี้ชวนรักก็คือตัวเธอเอง

ข้าง ๆ กัน ฟู่อี้ชวนก้มหน้า ดึงมือออกอย่างเงียบเชียบ

“ขอโทษนะอี้ชวน พอฉันได้อยู่ข้าง ๆ นายแล้วมักจะนึกถึงเมื่อก่อนที่เรายังคบกันอยู่ เลยไม่รู้ตัวอยากคล้องแขนนายขึ้นมา” เย่ซินหย่ากัดปากพลางกล่าวขอโทษ

“ไม่เป็นไร” ฟู่อี้ชวนว่า

เขามองเข้าไปด้านในห้องครัว เห็นว่าซูมั่วไม่ได้เอียงตัวเลยสักนิด ราวกับว่าไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาสองคน

เย่ซินหย่าเข้าไปในครัวแล้ว ขณะที่เธอล้างผักก็พูดจ้อเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันไปเรื่อง พลางกำชับซูมั่วเกี่ยวกับเรื่องรสชาติที่ฟู่อี้ชวนชอบ

พอคำพูดนี้ไปเข้าหูฟู่อี้ชวน ก็รู้สึกเหมือนกำลังบอกให้ซูมั่วเรียนรู้วิธีเอาใจเขา ในใจพลันเกิดความเอือมระอาขึ้นมา

“ไม่ต้องบอกฉันหรอก ฉันทำข้าวให้เขากินมาสองปีแล้ว” ซูมั่วตอกกลับไปอย่างสุดจะทานทน

เธอจะไม่รู้เรื่องรสชาติที่ฟู่อี้ชวนชอบ? จนต้องให้เย่ซินหย่ามาบอกเชียวเหรอ?

ภายนอกดูเหมือนจะเป็นการกำชับด้วยความหวังดีไม่มีพิษมีภัยอะไร ทว่าในความจริงแล้วกลับกำลังโอ้อวดถึงช่วงเวลาสามปีที่เธอกับเขาคบกันให้อีกฝ่ายฟังต่างหาก

ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา เย่ซินหย่าก็มีสีหน้าเจ็บปวด เธอมองไปทางฟู่อี้ชวน พลางพูดอย่างปวดใจ

“ขอโทษนะ ฉันลืมไป อี้ชวนคงจะคุ้นกับรสชาติอาหารที่เธอทำนานแล้ว...”

“จะเป็นไปได้ยังไง!” ฟู่อี้ชวนพูดตัดบทเธอ แล้วรีบร้อนคัดค้านเสียงดังทันที

“กับข้าวที่หล่อนทำอย่างมากที่สุดก็กินแล้วไม่ตายแค่นั้น รสชาติจืดชืดเหมือนกินดิน!”

ครั้นได้ยินประโยคนี้ ซูมั่วพลันกำมือที่จับตะหลิวไว้แน่น

รสชาติจืดชืดเหมือนกินดิน... เธอคอยดูแลเรื่องอาหารการกินของอีกฝ่ายมาสองปี สิ่งที่ได้มากลับเป็นคำวิจารณ์แบบนี้น่ะเหรอ

เธอไม่อยากเถียง และไม่อยากแย้งอะไรทั้งสิ้น ถือเสียว่าอาหารที่เธอมาตลอดสองปีนี้คือทำให้หมากินแล้วกัน

พอเย่ซินหย่าได้ยินฟู่อี้ชวนพูดแบบนั้นแล้วก็ดีใจ และเริ่มพูดกำชับไม่หยุดอีกครั้ง

“พูดทำไมเยอะแยะ? เธอไม่สมควรได้รู้หรอก” ฟู่อี้ชวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ฉันอยากให้ต่อไปมั่วมั่วคอยดูแลนายให้ดีไม่ใช่หรือไงเล่า” เย่ซินหย่ามองกลับไป แลบลิ้นแล้วพูดออกมา

หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาทำสีหน้าเศร้าสร้อย พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหงาหงอยว่า

“ชีวิตนี้ฉันคงไม่มีหวังกับนายแล้วล่ะ ไม่ว่าใครจะได้อยู่ข้างกายอี้ชวน ฉันก็อยากให้นายมีความสุขทั้งนั้น”

ฟู่อี้ชวนมองเธอ ในใจพลันผุดความเสียใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เคยเป็นผู้หญิงที่เขารักที่สุด และตอนนี้ก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ทว่าเขากลับแต่งงานสร้างครอบครัวกับคนอื่นไปแล้ว

“หย่ากันเถอะ” ทันใดนั้น ซูมั่วก็หันหน้ามาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ฟู่อี้ชวนพลันชะงักไปทันที มองตรงไปที่เธอทั้งอย่างนั้น

“หย่าแล้วเย่ซินหย่าก็จะได้มีหวังไง นายเองก็จะได้ครองรักกับเธอไปชั่วชีวิต” ซูมั่วมองตรงเข้าไปในดวงตาของฟู่อี้ชวน พลางกล่าวอย่างเย็นชา

น้ำเสียงเรียบเฉย ท่าทางเย็นชาห่างเหิน เหล่านี้ทำให้ฟู่อี้ชวนรู้สึกไม่คุ้นตา เหมือนกับว่าในสายตาของซูมั่วนั้นเขาเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง

เมื่อก่อนในดวงตาคู่นั้นล้วนมีแต่เขา เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ไม่ว่าเขาจะตะคอกหรือทำหน้าเอือมระอาแค่ไหน อีกฝ่ายก็จะมีแต่ทำให้ดีขึ้นในครั้งต่อไปด้วยความระมัดระวัง ทว่าตอนนี้...

“หย่าเหรอ? ตอนแรกไม่ใช่เธอหรือไงที่วางแผนเพื่อให้ได้แต่งงานกับฉันน่ะ? พอว่าจะหย่าก็อย่าได้งั้นสินะ เธอคิดว่าฉันนี่เป็นคนที่คิดจะเรียกให้มาก็มา ไล่ให้ไปก็ไปอย่างนั้นเหรอ?”

ฟู่อี้ชวนตะคอกออกมาเสียงดังลั่น ในน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่เขาก็ไม่ทันรู้ตัว ทั้งยังรู้สึกร้อนรนไปพร้อม ๆ กัน

ซูมั่วมองผู้ชายที่บ้าคลั่งตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล แล้วพูดขึ้นอีกครั้งว่า

“นายชอบเย่ซินหย่าไม่ใช่หรือไง? พอหย่าแล้ว นายก็จะได้แต่งงานกับเธอ”

เดิมทีคิดว่าจะรอให้ถึงสองสามวันสุดท้ายก่อนถึงกำหนดสัญญาเสียก่อนค่อยพูด วันนี้กลับได้จังหวะพูดถึงเรื่องนี้พอดี

พูดไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็มีประโยชน์ดี จะได้จัดก่อนล่วงหน้า ถึงเวลานั้นจะได้ไม่เสียเวลา ทว่าเธอนึกไม่ถึงเลยว่าฟู่อี้ชวนจะปฏิเสธ ทั้งยังโกรธเกรี้ยว และมันก็ทำให้เธอไม่ค่อยเข้าใจนัก

“เลิกคิดเรื่องหย่าไปได้เลย จะบอกให้เธอรู้ไว้นะ ต่อให้ตาย เธอก็อย่าคิดว่าจะได้อิสระ!” ดวงตาของทั้งสองข้างของฟู่อี้ชวนเคร่งขรึมระคนเย็นชา เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

ซูมั่วกัดริมฝีปาก ในใจรู้สึกเศร้ารันทด

ที่แท้ การไม่หย่าก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง...

ที่จะได้ทรมานเธอไปชั่วชีวิต กักขังเธอไว้เป็นวัวเป็นม้ารับใช้อยู่ข้างกายเขา ขณะเดียวกันก็ต้องมองเขานอกกายนอกใจ ไปพลอดรักกับเย่ซินหย่า...

ซูมั่วหมุนตัวกลับไป ขอบตาร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่

ฟู่อี้ชวนเกลียดชังเธอถึงขั้นไหนกันนะ สองปีมานี้ ถึงจะไม่มีความดีแต่ก็มีความชอบอยู่ไหม?

เขาถึงกับ... เกลียดเธอเข้ากระดูกดำขนาดนี้

ข้างกันนั้น เย่ซินหย่าได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เธอไม่นึกเลยว่าฟู่อี้ชวนจะไม่ยอมหย่า ทั้งยังตะโกนเสียงดังลั่น แม้ว่าสิ่งที่พูดออกไปจะเป็นคำพูดร้ายกาจ ทว่ากลับดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยซูมั่วไปเลยสักนิด

เธอเกร็งไปหมดทั้งตัว อดตัวสั่นสะท้านไม่ได้เพราะความโกรธและความกลัว เธอกลัวว่าฟู่อี้ชวนจะหลงรักซูมั่วเข้าจริง ๆ

“อี้ชวน อย่าโมโหสิ ต้องโทษที่ฉันไม่ดี เป็นฉันที่พูดผิดเอง ฉันไม่ได้อยากแยกพวกเนายสองคนออกจากกันเลยนะ” เย่ซินหย่ามองชายหนุ่มพลางพูดขอโทษด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 254

    กระดูกก้นกบ...บริเวณนั้นคงผ่าตัดยากสินะ?กระดูกร้าว...นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง?ตำแหน่งนั้น หรือว่าฟู่อี้ชวนตั้งใจจะใช้เท้าเตะท้องซูมั่ว แต่ซูมั่วพลิกตัวหลบ เลยถูกเตะเข้าที่ก้นกบ?มือที่ยันคางของหลีเชินกำแน่นขึ้นเขารู้ว่าซูมั่วผอมแค่ไหน ถ้าว่ากันตามแรงของฟู่อี้ชวน แค่เตะอย่างเดียว หากเตะอีกสักสองทีก็คงตายคาที่ได้เลย“เดี๋ยวนะ ทำไมนายใส่ใจอาการบาดเจ็บของลูกความฉันขนาดนี้” คำพูดของเจิ้งเซวียนดังขึ้นอย่างกะทันหันโดยเฉพาะคำว่า ‘ใส่ใจ’ สองพยางค์นี้ที่เตือนสติเขา เพราะเมื่อครู่หลีเชินก็เพิ่งใส่ใจผู้หญิงบางคนไป แถมก่อนจะพูดถึงเธอยังพูดเบี่ยงไปถึงน้องสาวเขาก่อนด้วยทันใดนั้น เจิ้งเซวียนที่มีประสบการณ์โชกโชนด้านความรักก็เข้าใจทันที และเบิกตากว้างพลางพูด“คนที่นายชอบคือซูมั่วเหรอ??”คำพูดนี้เสียงดังลั่น ดึงสติของหลีเชินกลับมา จากนั้นก็ปฏิเสธทันที“นายพูดเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย เป็นทนายกลับปล่อยข่าวลือ รู้ทั้งรู้ว่าผิดกฎหมาย”“งั้นนายบอกฉันมาสิว่าผู้หญิงที่นายนึกถึงจนว้าวุ่นเมื่อกี้คือเธอหรือเปล่า?” เจิ้งเซวียนหรี่ตา และถามหลีเชินชะงักไปครึ่งวินาที และช่องว่างในจังหวะนั้น เจิ้งเซวียนก็ชี้ข

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 253

    หลีเชินมองเขา สีหน้านิ่งค้าง จากนั้นเม้มริมฝีปากแน่น นิ้วที่จับแก้วเหล้าแน่นขึ้นหลายส่วน“รีบบอกฉันเร็วสิ พี่สะใภ้ชื่ออะไร? เป็นคนจากวงการไหน? ฉันรู้จักไหม?” เจิ้งเซวียนตื่นเต้นขึ้นมา จิตวิญญาณความอยากรู้อยากเห็นลุกโชนได้ยินคำพูดนี้ หลีเชินก็เหมือนมีเส้นขีดสีดำที่หน้าผาก พูดอย่างจริงจัง“พี่สะใภ้อะไรกัน พวกเราเคยเจอกันแค่สองสามครั้งเอง”“แสดงว่าเป็นรักแรกพบน่ะสิ~” เจิ้งเซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม“ดูท่าอีกฝ่านจะรูปร่างหน้าตาไม่เลวเลยสิ? เป็นสาวสวย มีเสน่ห์โดดเด่น” เจิ้งเซวียนพูดต่อหลีเชิน “...”ในหัวเขาผุดใบหน้าของซูมั่วขึ้นมา ความจริงแล้วเจิ้งเซวียนก็เดาไม่ผิด เพียงแต่...“ไม่ใช่อย่างที่นายคิด” หลีเชินพูดแก้ทันทีเจิ้งเซวียนยิ้มโดยไม่พูด ยักคิ้วขึ้น ดวงตาคล้ายสุนัขจิ้งจอกยกขึ้น สีหน้าแสดงความรู้สึกว่า ‘ฉันรู้ ฉันเข้าใจฉัน รับทราบแล้ว’หลีเชิน “...”“ไม่ใช่จริง ๆ ฉันกับเธอไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ก็แค่ช่วงนี้ได้ติดต่อกันทางอ้อมบ่อยขึ้น” หลีเชินพูดอีกครั้งจาก ‘อดีตภรรยาของฟู่อี้ชวน’ มาจนถึง ‘เพื่อนของน้องสาว’ และยังเป็นพนักงานของบริษัทคู่ค้า กระทั่งงานที่เจิ้งเซวียนรับมาด้วยถึงยั

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 252

    หลีเชินสั่งอาหารแล้ว ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะทอดถอนใจอะไรนักเพราะในมุมมองของเขาต่อให้เจิ้งเซวียนไม่ได้อยู่ในวงการธุรกิจแล้ว แต่ตราบใดที่อยากเจอหลีโย่ว ก็ไปหาที่บ้านเขาโดยตรงได้นี่?พวกเขาสองคนก็ไม่ได้เจอกันนานแล้วเหมือนกัน เพื่อนเก่ากลับมาพบกันจึงดื่มไปหลายแก้วเจิ้งเซวียนเล่าเรื่องการก่อตั้งธุรกิจตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเขา หลีเชินก็ฟังไป สำนักงานกฎหมายปั๋วเหวินในตอนนี้ถือว่าอยู่ในอันดับท็อปสามของเมืองจิงจากหนุ่มคาสโนวาที่เริ่มต้นจากศูนย์ มีผลงานได้แบบนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว ถึงอย่างไรเมื่อก่อนเจิ้งเซวียนก็รู้จักแต่จีบสาวและสำมะเลเทเมา“แล้วนายล่ะ หลังจากเรียนต่อต่างประเทศแล้วกลับมารับช่วงต่อธุรกิจของตระกูล ทั้งยังไม่มีพี่น้องมาแก่งแย่งกัน หลังจากตั้งหลักได้แล้วก็ควรสร้างครอบครัวนะ” เจิ้งเซวียนพูด“นายคิดแทนฉันไกลไปหน่อยนะ” หลีเชินกล่าว“ไม่ใช่ว่าวันนี้ฉันยังต้องทำงานล่วงเวลาอยู่เลยเหรอ? ตระกูลหลีต้องก้าวไปอีกขั้น ส่วนเรื่องอื่นตอนนี้ยังไม่ได้คิด”เจิ้งเซวียนได้ยินก็ยิ้ม หลีเชินเป็นเพื่อนที่มีความพยายามที่จะก้าวหน้าที่สุดของเขา เป็นแบบอย่างของทายาทที่ยอดเยี่ยมของตระกูล เมื่อก่อนเขาก

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 251

    [เธอพูดอะไรเนี่ย? ขายหน้าอะไร? ฉันทำอะไร?]หลีโย่วเห็นข้อความนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเวียนหัวขึ้นมานี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าอีคิวของพี่ชายเธอน่าเป็นห่วง ไม่เคยมีความรักไม่ได้หมายความว่าจะกลายเป็นชายแท้แบบนี้ได้นะ!เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าสัปดาห์ก่อนที่ติ่งเซิ่งไม่ใช่ว่าไปแกล้งหยอกล้อมั่วมั่วอย่างกับปลากระดี่ได้น้ำเหรอ??นี่มันขัดแย้งเกินไปจริง ๆ เธอจึงตอบกลับ[ซูมั่วเป็นผู้หญิงนะ! พี่แช่งให้เธอเป็นริดสีดวงเนี่ยนะ? นี่มันสมเหตุสมผลเหรอ? นี่มันสุภาพเหรอ? นี่เป็นคำที่พี่พูดได้เหรอ?]ภายในห้องทำงานหลีเชินมองโทรศัพท์ แล้วเม้มปากเงียบ ๆเขาไม่ได้แช่งเสียหน่อย ก็แค่วิเคราะห์จากมุมมองทางการแพทย์ ว่านั่งชักโครกนาน ๆ เสี่ยงเป็นริดสีดวงได้ง่ายจริง ๆ ซึ่งไม่ค่อยดีต่อผู้หญิงหลีโย่วคิดว่านี่ไม่สุภาพเหรอ? แต่เรื่องอาการป่วยแบบนี้ เกี่ยวอะไรกับความสุภาพล่ะ?เขาก็ไม่ได้พูดคำหยาบอะไร ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตัวเองไม่ได้มีปัญหาตรงไหนเขาส่งข้อความอธิบายสิ่งที่คิดออกไปครั้งหนึ่ง กลับทำให้หลีโย่วอึ้งไปเลยเธออ่านครั้งที่สองแบบคำต่อคำ เพื่อยืนยันความคิดของพี่ชาย“มั่วมั่ว...” หลีโย่วเงยหน้าขึ้นมาพูด“ดูเห

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 250

    พี่ชายเธอกระเหี้ยนกระหือรือจะมาเต๊าะคนอื่น เธอรู้สึกขายขี้หน้าเพื่อนสนิทจะตายอยู่แล้ว สามารถคัดชื่อเขาออกจากทะเบียนบ้านได้ไหมเนี่ย!“ไม่น่าจะใช่หรอกมั้ง นี่ก็ผ่านมาสิบหกนาทีแล้ว” เสียงของหลีเชินดังมาหลีโย่ว “!!!”เธอใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้ว รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าพี่ชายของเธอช่างเป็นที่อัปยศต่อชื่อเสียงของตระกูลหลี ทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสีย!ยังไม่ทันจะได้สวนกลับไป ผู้ชายที่ปลายสายก็พูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง แถมยังแฝงความห่วงใยอยู่หลายส่วน“ถ้ายังไม่ออกมาจริง ๆ ลองพาเธอไปโรงพยาบาลดูสิว่าอาหารเป็นพิษหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นนั่งนาน ๆ เดี๋ยวก็เป็นริดสีดวงกันพอดี”ฝั่งตรงข้าม เมื่อได้ยินดังนั้น ซูมั่วก็กำหมัดแน่นในทันที ลมหายใจติดขัดอยู่ในลำคอ แทบจะขาดอากาศหายใจนี่มันคนประเภทไหนกัน!เธอก็รู้อยู่แล้วว่าไอ้คนสารเลวหลีเชินคนนี้ถ้าไม่ได้แขวะเธอสักหน่อยคงไม่ยอมเลิกรา!เธอรู้สึกว่าขณะที่ฟ้องหย่า ก็น่าจะฟ้องหลีเชินขึ้นศาลไปพร้อมกันได้เลย ในข้อหาก่อกวนโดยไม่มีเหตุอันควรและล่วงเกินทางวาจา!“ภูตผีปีศาจจงหายไป! ออกไปจากร่างพี่ชายฉันเดี๋ยวนี้!” หลีโย่ว

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 249

    “ใช่สิคะ พี่มันพวกหัวขโมย” หลีโย่วสวนพี่ชายกลับหลีเชินไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเธอ จึงตัดเข้าประเด็นทันทีว่า“แล้วซูมั่วล่ะ? เธออยู่ข้าง ๆ หรือเปล่า?”หลีโย่วเงยหน้าขึ้นไปมอง ซูมั่วสบตากับเธอแล้วรีบโบกมือและส่ายหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความต่อต้านและไม่ยอมรับเธอเข้าใจความหมายของเพื่อนสนิท จึงพูดว่า“มั่วมั่วไปเข้าห้องน้ำพอดี”หลีเชินได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบไปสองวินาที แล้วเอ่ยขึ้นว่า“ไปจริงเหรอ? หรือว่าไม่อยากจะพูด”ซูมั่ว “...”ทำไมถึงถามคำถามนี้ออกมา ในเมื่อคุณก็พูดเหตุผลออกมาเองแล้วไม่ใช่เหรอ?นี่ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเธอไม่อยากจะยุ่งกับเขา หรือจะต้องมาปะทะคารมกันตรงนี้?เมื่อเข้าใจสายตาที่พูดไม่ออกของเพื่อนสนิท หลีโย่วก็ยกมือขึ้นเคาะประตูกระจกห้องครัว แกล้งทำเป็นเรียกคน แล้วตอบพี่ชายกลับไปว่า“ไปจริง ๆ ค่ะ พี่มีธุระอะไรรีบพูดมาเลย เดี๋ยวฉันเอาไปบอกให้”“เรื่องเต๊าะไม่ต้องพูดถึงเลยนะคะ มันขายขี้หน้าตระกูลหลี แล้วตอนนี้ฉันก็เปิดอัดเสียงอยู่ ถ้าพี่กล้าพูดฉันจะส่งให้พ่อกับแม่”หลีเชิน “...”เขาอยากจะถามว่าเขาเป็นคนแบบนั้นเหรอ? แต่พอคิดถึง ‘ประวัติ’ ที่ตัวเองเคยก่อไว้ ก็ไม่ก

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status