Share

บทที่ 7

Author: อิงเซี่ย
ซูมั่วเงยหน้าพลางจ้องเขาเขม็ง เธอกำมือแน่น

เฮอะ...

เพื่อให้คนที่เขารักได้กินข้าว ถึงกับให้ตัวเธอที่เจ็บหนักลงครัว เธอดูเบาฟู่อี้ชวนแล้วจริง ๆ เขาไม่มีความเป็นคนเลยสักนิด

“พวกนายสั่งดิลิเวอรี่ไม่เป็นหรือไง? ถ้าคิดว่าไม่ดี ภัตตาคารก็นำอาหารมาส่งให้ได้ นายก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินสักหน่อย” ซูมั่วเอ่ยปาก

ฟู่อี้ชวนเม้มปากเล็กน้อย ดึงสายตาออกมาจากหลังเท้าของซูมั่ว เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา เป็นตอนนั้นเองที่เย่ซินหย่าพูดออกมา

“เดิมทีฉันตั้งใจมาเยี่ยมมั่วมั่ว เลยอยากทำกับข้าวให้เธอกิน ถ้าสั่งกับข้าวมาจากภัตตาคารก็ดูจะไม่จริงใจเท่าไรน่ะสิ...”

“งั้นเธอทำ?” ซูมั่วว่ากลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ฉันไม่ค่อยคุ้นกับครัวแบบในประเทศ เมื่อกี้นี้ก็ทำจานแตกไปใบแล้ว ทำให้อี้ชวนต้องเป็นห่วงฉันอยู่ตั้งนาน” เย่ซินหย่าพูดอย่างใสซื่อพลางกะพริบตาปริบ ๆ

“เอาอย่างนี้แล้วกันมั่วมั่ว เดี๋ยวฉันเป็นลูกมือ คอยช่วยส่งผักส่งของให้เธอ แบบนี้ก็เหมือนฉันทำเองแล้วได้ไหม?”

เธอแย้มยิ้มสดใส ทว่าในสายตาของซูมั่วแล้วกลับดูเสแสร้งเหลือเกิน

ดูแล้ววันนี้ เย่ซินหย่าคนนี้อยากจะทรมานเธอให้ได้สักรอบหนึ่งเป็นแน่ ด้วยการให้เธอเข้าครัวทั้งที่มีบาดแผล

“ไม่จำเป็น เดี๋ยวฉันทำให้เธอเอง” ซูมั่วว่า

กินเสร็จก็รีบกลับไปซะ จะให้ดีที่สุดก็ออกไปทั้งหญิงร้ายชายชั่วเลย เธอไม่อยากจะวนเวียนอยู่รอบ ๆ พวกเขาอีก

“ไม่เอาสิ ฉันช่วยเธอเอง พวกเราทำด้วยกันนะ” เย่ซินหย่าว่า หลังจากนั้นก็ออกคำสั่งกับฟู่อี้ชวนอีกครั้ง

“อี้ชวน นายไปตั้งโต๊ะ~ แล้วก็เทน้ำผลไม้ไว้นะ~”

เธอจัดแจงอย่างชัดเจน ราวกับว่าเธอต่างหากที่เป็นคุณผู้หญิงของบ้านหลังนี้ ส่วนซูมั่วเป็นแค่แม่บ้านทำอาหารคนหนึ่ง

เมื่อก่อนซูมั่วต้องเจ็บปวดและหึงหวงแน่ ทว่าตอนนี้เธอไม่เป็นแบบนั้นแล้ว มีเพียงสีหน้าเรียบเฉยเท่านั้น

ตั้งแต่ชั่วขณะที่เย่ซินหย่ากลับประเทศ และฟู่อี้ชวนวิ่งแจ้นไปหา ในใจของเธอก็สูญสิ้นความรู้สึกต่อเขาแล้ว

ที่ด้านหลัง ทั้งสองคนพูดจาจู๋จี๋กัน เธอไม่ได้หันกลับไปมอง ฟู่อี้ชวนว่าง่ายกับเย่ซินหย่าจริง ๆ เขาจัดโต๊ะกินข้าว ทั้งสองจู๋จี๋หวานชื่น

เย่ซินหย่าออดอ้อน พลางเอื้อมมือไปคล้องแขนฟู่อี้ชวนไว้ เธอต้องการให้ซูมั่วเห็น ให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าคนที่ฟู่อี้ชวนรักก็คือตัวเธอเอง

ข้าง ๆ กัน ฟู่อี้ชวนก้มหน้า ดึงมือออกอย่างเงียบเชียบ

“ขอโทษนะอี้ชวน พอฉันได้อยู่ข้าง ๆ นายแล้วมักจะนึกถึงเมื่อก่อนที่เรายังคบกันอยู่ เลยไม่รู้ตัวอยากคล้องแขนนายขึ้นมา” เย่ซินหย่ากัดปากพลางกล่าวขอโทษ

“ไม่เป็นไร” ฟู่อี้ชวนว่า

เขามองเข้าไปด้านในห้องครัว เห็นว่าซูมั่วไม่ได้เอียงตัวเลยสักนิด ราวกับว่าไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาสองคน

เย่ซินหย่าเข้าไปในครัวแล้ว ขณะที่เธอล้างผักก็พูดจ้อเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันไปเรื่อง พลางกำชับซูมั่วเกี่ยวกับเรื่องรสชาติที่ฟู่อี้ชวนชอบ

พอคำพูดนี้ไปเข้าหูฟู่อี้ชวน ก็รู้สึกเหมือนกำลังบอกให้ซูมั่วเรียนรู้วิธีเอาใจเขา ในใจพลันเกิดความเอือมระอาขึ้นมา

“ไม่ต้องบอกฉันหรอก ฉันทำข้าวให้เขากินมาสองปีแล้ว” ซูมั่วตอกกลับไปอย่างสุดจะทานทน

เธอจะไม่รู้เรื่องรสชาติที่ฟู่อี้ชวนชอบ? จนต้องให้เย่ซินหย่ามาบอกเชียวเหรอ?

ภายนอกดูเหมือนจะเป็นการกำชับด้วยความหวังดีไม่มีพิษมีภัยอะไร ทว่าในความจริงแล้วกลับกำลังโอ้อวดถึงช่วงเวลาสามปีที่เธอกับเขาคบกันให้อีกฝ่ายฟังต่างหาก

ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา เย่ซินหย่าก็มีสีหน้าเจ็บปวด เธอมองไปทางฟู่อี้ชวน พลางพูดอย่างปวดใจ

“ขอโทษนะ ฉันลืมไป อี้ชวนคงจะคุ้นกับรสชาติอาหารที่เธอทำนานแล้ว...”

“จะเป็นไปได้ยังไง!” ฟู่อี้ชวนพูดตัดบทเธอ แล้วรีบร้อนคัดค้านเสียงดังทันที

“กับข้าวที่หล่อนทำอย่างมากที่สุดก็กินแล้วไม่ตายแค่นั้น รสชาติจืดชืดเหมือนกินดิน!”

ครั้นได้ยินประโยคนี้ ซูมั่วพลันกำมือที่จับตะหลิวไว้แน่น

รสชาติจืดชืดเหมือนกินดิน... เธอคอยดูแลเรื่องอาหารการกินของอีกฝ่ายมาสองปี สิ่งที่ได้มากลับเป็นคำวิจารณ์แบบนี้น่ะเหรอ

เธอไม่อยากเถียง และไม่อยากแย้งอะไรทั้งสิ้น ถือเสียว่าอาหารที่เธอมาตลอดสองปีนี้คือทำให้หมากินแล้วกัน

พอเย่ซินหย่าได้ยินฟู่อี้ชวนพูดแบบนั้นแล้วก็ดีใจ และเริ่มพูดกำชับไม่หยุดอีกครั้ง

“พูดทำไมเยอะแยะ? เธอไม่สมควรได้รู้หรอก” ฟู่อี้ชวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ฉันอยากให้ต่อไปมั่วมั่วคอยดูแลนายให้ดีไม่ใช่หรือไงเล่า” เย่ซินหย่ามองกลับไป แลบลิ้นแล้วพูดออกมา

หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาทำสีหน้าเศร้าสร้อย พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหงาหงอยว่า

“ชีวิตนี้ฉันคงไม่มีหวังกับนายแล้วล่ะ ไม่ว่าใครจะได้อยู่ข้างกายอี้ชวน ฉันก็อยากให้นายมีความสุขทั้งนั้น”

ฟู่อี้ชวนมองเธอ ในใจพลันผุดความเสียใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เคยเป็นผู้หญิงที่เขารักที่สุด และตอนนี้ก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ทว่าเขากลับแต่งงานสร้างครอบครัวกับคนอื่นไปแล้ว

“หย่ากันเถอะ” ทันใดนั้น ซูมั่วก็หันหน้ามาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ฟู่อี้ชวนพลันชะงักไปทันที มองตรงไปที่เธอทั้งอย่างนั้น

“หย่าแล้วเย่ซินหย่าก็จะได้มีหวังไง นายเองก็จะได้ครองรักกับเธอไปชั่วชีวิต” ซูมั่วมองตรงเข้าไปในดวงตาของฟู่อี้ชวน พลางกล่าวอย่างเย็นชา

น้ำเสียงเรียบเฉย ท่าทางเย็นชาห่างเหิน เหล่านี้ทำให้ฟู่อี้ชวนรู้สึกไม่คุ้นตา เหมือนกับว่าในสายตาของซูมั่วนั้นเขาเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง

เมื่อก่อนในดวงตาคู่นั้นล้วนมีแต่เขา เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ไม่ว่าเขาจะตะคอกหรือทำหน้าเอือมระอาแค่ไหน อีกฝ่ายก็จะมีแต่ทำให้ดีขึ้นในครั้งต่อไปด้วยความระมัดระวัง ทว่าตอนนี้...

“หย่าเหรอ? ตอนแรกไม่ใช่เธอหรือไงที่วางแผนเพื่อให้ได้แต่งงานกับฉันน่ะ? พอว่าจะหย่าก็อย่าได้งั้นสินะ เธอคิดว่าฉันนี่เป็นคนที่คิดจะเรียกให้มาก็มา ไล่ให้ไปก็ไปอย่างนั้นเหรอ?”

ฟู่อี้ชวนตะคอกออกมาเสียงดังลั่น ในน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่เขาก็ไม่ทันรู้ตัว ทั้งยังรู้สึกร้อนรนไปพร้อม ๆ กัน

ซูมั่วมองผู้ชายที่บ้าคลั่งตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล แล้วพูดขึ้นอีกครั้งว่า

“นายชอบเย่ซินหย่าไม่ใช่หรือไง? พอหย่าแล้ว นายก็จะได้แต่งงานกับเธอ”

เดิมทีคิดว่าจะรอให้ถึงสองสามวันสุดท้ายก่อนถึงกำหนดสัญญาเสียก่อนค่อยพูด วันนี้กลับได้จังหวะพูดถึงเรื่องนี้พอดี

พูดไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็มีประโยชน์ดี จะได้จัดก่อนล่วงหน้า ถึงเวลานั้นจะได้ไม่เสียเวลา ทว่าเธอนึกไม่ถึงเลยว่าฟู่อี้ชวนจะปฏิเสธ ทั้งยังโกรธเกรี้ยว และมันก็ทำให้เธอไม่ค่อยเข้าใจนัก

“เลิกคิดเรื่องหย่าไปได้เลย จะบอกให้เธอรู้ไว้นะ ต่อให้ตาย เธอก็อย่าคิดว่าจะได้อิสระ!” ดวงตาของทั้งสองข้างของฟู่อี้ชวนเคร่งขรึมระคนเย็นชา เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

ซูมั่วกัดริมฝีปาก ในใจรู้สึกเศร้ารันทด

ที่แท้ การไม่หย่าก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง...

ที่จะได้ทรมานเธอไปชั่วชีวิต กักขังเธอไว้เป็นวัวเป็นม้ารับใช้อยู่ข้างกายเขา ขณะเดียวกันก็ต้องมองเขานอกกายนอกใจ ไปพลอดรักกับเย่ซินหย่า...

ซูมั่วหมุนตัวกลับไป ขอบตาร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่

ฟู่อี้ชวนเกลียดชังเธอถึงขั้นไหนกันนะ สองปีมานี้ ถึงจะไม่มีความดีแต่ก็มีความชอบอยู่ไหม?

เขาถึงกับ... เกลียดเธอเข้ากระดูกดำขนาดนี้

ข้างกันนั้น เย่ซินหย่าได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เธอไม่นึกเลยว่าฟู่อี้ชวนจะไม่ยอมหย่า ทั้งยังตะโกนเสียงดังลั่น แม้ว่าสิ่งที่พูดออกไปจะเป็นคำพูดร้ายกาจ ทว่ากลับดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยซูมั่วไปเลยสักนิด

เธอเกร็งไปหมดทั้งตัว อดตัวสั่นสะท้านไม่ได้เพราะความโกรธและความกลัว เธอกลัวว่าฟู่อี้ชวนจะหลงรักซูมั่วเข้าจริง ๆ

“อี้ชวน อย่าโมโหสิ ต้องโทษที่ฉันไม่ดี เป็นฉันที่พูดผิดเอง ฉันไม่ได้อยากแยกพวกเนายสองคนออกจากกันเลยนะ” เย่ซินหย่ามองชายหนุ่มพลางพูดขอโทษด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 100

    อันที่จริงเขาก็อับจนหนทางแล้วเช่นกัน ทางคุณท่านต่างหากที่ติดต่อกับคุณนายได้ เพียงแต่น่าเสียดายที่ประธานฟู่คว้ามาไม่ได้ช่วงเช้ามีผู้จัดการถือแผนงานผลิตภัณฑ์เข้ามาหาฟู่อี้ชวน ทว่าพอพูดคุยกันได้พักหนึ่ง ถึงรู้ตัวว่าประธานฟู่มีอาการใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งยังตาบวมแดง จึงมีแต่ต้องออกไปก่อน“ผู้ช่วยหลี่ คุณรู้ไหมว่าประธานฟู่เป็นอะไรไป?” ผู้จัดการเอ่ยถามหลี่หยวนที่อยู่ในออฟฟิศผู้ช่วย“เอ่อ อกหักละมั้ง” หลี่หยวนเงยหน้าขึ้นจากคอมพิวเตอร์ แล้วตอบไปโดยไม่รู้ตัวจากนั้นก็รู้ว่าที่ตัวเองพูดออกไปนั้นไม่ค่อยพูดต้องเท่าไร เพราะคุณนายกับประธานฟู่แต่งงานกันแล้ว ไม่ได้เป็นแฟนกัน ดังนั้นก็น่าจะเป็น...ใช่แล้ว รักพังเฮ้อ ผู้ชายที่เพิ่งหย่าร้างมามักเลี่ยงอาการซึมเซาและความรู้สึกพังไม่เป็นท่าไม่ได้ แถมประธานฟู่ก็เป็นคนทำพังด้วยน้ำมือตัวเองด้วย หลี่หยวนมีแต่ส่ายหน้าและถอนหายใจให้กับเรื่องนี้ผู้ช่วยคนอื่น ๆ ได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ชะงักค้างระคนตกใจ ผู้จัดการเองก็เผยสีหน้าประหลาดใจ ได้แต่พึมพำออกมาว่า“นายช่วยไปปลอบหน่อยสิ ไม่งั้นได้กระทบต่อความคืบหน้าของงานเกินไปแน่”หลี่หยวนยิ้มอ่อนพลางพยักหน้าเล็

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 99

    “คุณซูมีความเชี่ยวชาญในความรู้เฉพาะทาง ยิ่งกว่านั้นในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยยังได้นำทีมร่วมการแข่งขันใหญ่อยู่หลายครั้ง ฉันคิดว่าคุณเหมาะกับตำแหน่งผู้อำนวยการค่ะ”ซูมั่วได้ยินแบบนั้นก็เม้มปาก เธอหันหน้าไปมองรุ่นพี่เล็กน้อยพลางกล่าวว่า“ขอโทษนะคะ แต่ความสามารถของฉันยังมีข้อจำกัดอยู่ เกรงว่าจะไม่มีความสามารถที่จะรับตำแหน่งนี้ ให้ฉันเข้าไปเป็นพนักงานในฝ่ายออกแบบก็พอแล้วค่ะ”เหล่าเจ้าหน้าที่สัมภาษณ์งานได้ยินเธอปฏิเสธแล้ว ก็อดแปลกใจขึ้นมาชั่วขณะไม่ได้“ขอบคุณพวกคุณที่ยอมรับความสามารถของฉันนะคะ การแข่งขันในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยเป็นการแข่งขันแบบกลุ่ม ผู้รับผิดชอบหลักก็คือประธานโจวของพวกคุณค่ะ ฉันเป็นแค่ผู้ช่วยเท่านั้น จะแอบอ้างผลงานไม่ได้หรอกค่ะ” ซูมั่วพูดต่อ“ฉันรู้จักข้อด้อยของตัวเองดีค่ะ นี่เป็นการเข้าทำงานครั้งแรกของฉัน ยังมีหลายส่วนที่จำเป็นต้องฝึกฝน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความสามารถในการนำทีมเลยค่ะ ถ้าต้องเลื่อนตำแหน่ง ฉันก็อยากเริ่มตั้งแต่ตำแหน่งเริ่มต้นค่ะ”เมื่อฟังอีกฝ่ายพูดประโยคนี้จบ เหล่าเจ้าหน้าที่สัมภาษณ์ต่างก็ชื่นชมในการพูดความจริงและความจริงใจของเธอ ดังนั้นจึงเบนสายตาไปยัง

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 98

    เขาเอียงหน้ามองเธอ หญิงสาวแต่งหน้าอ่อน ๆ ริมฝีปากเป็นสีแดงทว่าไม่ได้จัดจ้าน ทั่วทั้งร่างดูเรียบ ๆ สะอาดตา มองแล้วก็ยิ่งงดงามเป็นธรรมชาติราวกับไม่ใช่คนของโลกนี้“ไม่แปลกเลยสักนิด สวยมาก” โจวจิ่งอันไม่หวงแหนคำชื่นชมของตัวเองเลยแม้แต่น้อย“ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเธอเป็นถึงดาวของสาขาเราเชียวนะ แถมยังฉลาดยอดเยี่ยม คนมาจีบนี่ต่อแถวกันยาวเหยียดจนล้อมเมืองหลวงได้หลายรอบเลย” โจวจิ่งอันว่ายิ้ม ๆ“รุ่นพี่ไม่ต้องมาล้อฉันเลย” ซูมั่วพูดอย่างเขิน ๆ เล็กน้อยโจวจิ่งอันได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย มองหญิงสาวที่มีนิสัยขี้เขินแล้ว ราวกับได้ย้อนกลับไปสมัยเรียนมหาวิทยาลัยอันที่จริงเขาอยากใช้โอกาสนี้ถามซูมั่วเหลือเกินว่ามีแฟนหรือยัง แต่ก็รู้สึกว่าพวกเขาทั้งคู่เพิ่งได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันมานาน หากถามคำถามแบบนี้ไปมันออกจะบุ่มบ่ามไปจริง ๆ เลยคิดว่ารอก่อนอีกหน่อยแล้วกันขณะที่คุยกันอยู่นั้น ลิฟต์ก็มาถึงชั้นสิบสองแล้ว โจวจิ่งอันเป็นฝ่ายเสนอตัวนำทาง พร้อมกับแนะนำไปด้วยในขณะเดียวกัน“ดูนี่ ตรงนี้เป็นป้ายชื่อบริษัทของพวกเรา ติ่งเซิ่งเทคโนโลยี ถึงมันจะดูเชยไปสักหน่อย แต่ก็เป็นการเอาฤกษ์เอาช

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 97

    บนที่นั่งข้างคนขับหลี่หยวนได้ยินเสียงร้องไห้และเสียงตะโกนของประธานฟู่แล้ว เลยอดขมวดคิ้วไม่ได้ พลางถอนหายใจอยู่ในใจถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นอย่างวันนี้ แล้วจะทำแบบนั้นตั้งแต่แรกไปทำไม?หลายวันก่อนเขาเคยเตือนประธานฟู่ไปแล้ว ว่าต้องเผชิญหน้ากับหัวใจของตัวเอง แต่ตอนนั้นประธานฟูยังยืนหยัดพูดอย่างหนักแน่นว่าตัวเขาไม่มีทางเสียใจทีหลังบ้านใหญ่ไม่ว่าหลานชายจะขอร้องอย่างไร ร้องไห้อย่างไร ทว่าครั้งนี้คุณท่านฟู่ใจแข็งไม่หวั่นไหวความอยากจับคู่ให้ที่เกิดขึ้นไม่นานก่อนหน้านี้ถูกทำลายย่อยยับไปหมดแล้ว เขาตัดสายทิ้งอย่างไร้เยื่อใย สุดท้ายก็ได้แต่ทิ้งคำพูดไว้ว่า“แกไม่คู่ควรกับมั่วมั่วสักนิด”ที่นั่งด้านหลังภายในตัวรถ ฟู่อี้ชวนกดต่อสายออกไปอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรคุณปู่ก็ไม่รับสายทั้งนั้น ส่วนเขาก็เริ่มใจสลายอย่างสุดซึ้ง จะรู้สึกเสียใจสำนึกผิดต่อเรื่องที่ได้ทำลงไปก็สายไปเสียแล้วชายหนุ่มที่ปกติหยิ่งในศักดิ์ศรีทั้งยังเย็นชา ตอนนี้กำลังร้องไห้เศร้าโศก เหมือนกับหมาน้อยน่าสงสารที่ถูกทิ้งไว้ข้างทาง เขากอดศีรษะตัวเองร้องไห้จนเสียงเหือดแห้งขณะเดียวกัน ณ ตึกซีบีดีที่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางธุรกิจซูมั่วลงม

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 96

    “ดังนั้น... ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง??!” ทางนั้น แม้ว่าจะได้รับคำตอบแล้ว ทว่าคุณปู่ฟู่ยังคงไม่อยากเชื่ออยู่ดี“ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องจริงเท่านั้นนะครับ ยังมีเรื่องอื่นอีก” หลี่หยวนว่า“เอาแบบนี้ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมเขียนข้อมูลแล้วส่งไปให้คุณท่าน”พอพูดจบ การสนทนาก็จบลง หลี่หยวนพิมพ์เรื่องราวที่คุณนายได้รับความทุกข์เท่าที่เขารู้แล้วส่งไปให้ทางนั้น ทั้งยังมีเรื่องที่ประธานฟู่พาเมียน้อยเข้าบ้านอีกถึงอย่างไรตอนนี้ทั้งคู่ก็หย่ากันแล้ว เขาคิดว่าคุณท่านฟู่ยังคงเข้าข้างคุณนายอยู่ น่าจะเรียกร้องความยุติธรรมคืนมาให้คุณนายได้บ้างไม่มากก็น้อยภายในรถเงียบผิดปกติ ที่เบาะด้านหลัง ฟู่อี้ชวนกำลังนั่งเหม่ออยู่อย่างนั้น ดวงตาทั้งสองข้างดูอ่อนล้าและล่องลอยเขายังคงไม่เชื่อว่าตัวเองหย่ากับซูมั่วแล้ว ขณะเดียวกันก็กำลังคิดทบทวนความจริงในสองปีที่ผ่านมาคุณปู่เป็นคนบังคับให้ซูมั่วแต่งงานกับเขา ตั้งแต่ต้นจนจบซูมั่วล้วนไม่มีความผิดเลย แต่เขากลับเกลียดเธอมาสองปีเต็มเพราะเรื่องนี้!!ฟู่อี้ชวนอยู่ในสภาพสองมือกุมใบหน้า สะอึกอยู่ในลำคอ ดวงตาร้อนผ่าว ในใจเศร้าสร้อยฝืดเฝื่อนในสมองผุดเรื่องร้ายกาจทั้งหมดที่เขาทำไว้ก

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 95

    “มั่วมั่ว อี้ชวนมันสำนึกผิดแล้วนะ หลายวันนี้ก็เอาแต่ตามหาเธอ” คุณท่านฟู่เอ่ยปาก“เดี๋ยวปู่จะให้คนจัดการผู้หญิงคนนั้นเอง มั่วมั่วให้อภัยอี้ชวนสักครั้งเถอะนะ? ให้โอกาสเขาสักครั้ง”“ที่จริงอี้ชวนก็รักเธอนะ แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ตัว เมื่อครู่ก็เข้ามาบอกปู่ว่าไม่อยากหย่ากับเธอ แถมยังร้องไห้ด้วยนะ ปู่รับปากเลย ว่าต่อไปเขาจะเป็นสามีที่ดี”อีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์ ครั้นได้ฟังคำพูดนี้ของคุณท่านฟู่แล้ว สีหน้าของซูมั่วก็เย็นชาขึ้นทันที ไม่มีคลื่นอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้นเธอน่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณปู่ฟู่ไม่มีทางจัดการปัญหาเรื่องการหย่าไม่ได้ เธอไม่น่ารับสายนี้เลยมาพูดขอร้องแทนฟู่อี้ชวน?เหอะ เรื่องอย่างพวกโลกถล่ม มนุษยชาติล่มสลาย พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกอะไรพวกนี้ยังน่าเชื่อกว่าฟู่อี้ชวนเสียอีก“คุณปู่ฟู่ คุณบอกให้ฉันให้โอกาสเขาสักครึ่ง แต่ว่านะคะ ฉันเองก็อยากขอโอกาสให้ฉันได้มีชีวิตบ้างสักครั้ง” ซูมั่วกล่าวฟากคุณท่านฟู่ เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ชะงักทันที ไม่รู้ว่าซูมั่วหมายความว่าอย่างไร“คุณเคยเห็นตุ่มน้ำที่ใหญ่เท่ากำปั้นไหมคะ? เวลาเดินก็รู้สึกเหมือนเหยียบย่ำลงบนปลายมีด”“ไหนยังจะกระดูกก้

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status