ว่านชิงอีหยิบประคำหยกเจ็ดสีออกมาสวมใส่ ก่อนจะรับรู้ถึงพลังบางอย่างไหลเวียนทั่วร่างก่อนจะหายไป จากนั้นนางก็หยิบสิ่งของที่อยู่ในยามออกมา มีข้าวสารเสก สายสิญจน์ ยันต์ มีดอาคม และหนังสือเก่าโบราณเล่มหนึ่ง พอนางเปิดขึ้นมาอ่านตัวอักษรในหนังสือ ก็ลอยมาเข้าตัวนางจนหมด จากนั้นหนังสือก็หายไป
“ปิงปิงแปลกมากเลยหนังสือหายไปแล้ว” “ก็ไม่แปลกนี่เจ้าค่ะ ก็ท่านเป็นเทพผู้พิทักษ์ ย่อมมีอะไรเหนือกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว” ปิงปิงอธิบายอย่างคล่องแคล่ว แต่จู่ๆ ก็มีบ่าวรับใช้หญิงเดินเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัว “คุณหนูสามท่านอยากจะชำระร่างกายเลยหรือไม่ ข้าจะได้เตรียมน้ำเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้หญิงยืนก้มหน้าเนื้อตัวสั่น ว่านชิงอีสังเกตเห็นว่าดวงตาของนางบอดหนึ่งข้าง จึงลุกเดินเข้าไปหา “เจ้าเงยหน้าขึ้น” บ่าวรับใช้หญิงยิ่งตัวสั่นมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เป็นอะไรตัวสั่นมากขนานนี้กลัวข้าเหรอ?” ว่านชิงอีกล่าวจบก็เอื้อมมือไปสัมผัสตัวนางเพื่อปลอบขวัญ แต่ทันใดภาพต่างๆ ในความทรงจำก็วิ่งแล่นเข้ามา ภาพที่ว่านชิงอีตบหน้าและสาดน้ำแกงใส่หน้าบ่าวรับใช้คนนี้ จนนางตาบอดเพราะน้ำแกงเผ็ดร้อนจากเครื่องเทศ นี่มันอะไรกัน!ร่างนี้ร้ายกาจได้ขนานนี้เลยหรือ? ว่านชิงอียกมือไปสัมผัสกับดวงตาของนางอย่างรู้สึกผิด "ข้าขอโทษด้วยนะ” จู่ๆ ปลายนิ้วของว่านชิงอีก็เปล่งแสงไปดวงตาของบ่าวคนนั้น จากที่นางตาบอดดวงตาก็เริ่มหายดี และกลับมามองเห็นอีกครั้ง ว่านชิงอีเองก็ตกใจกับความพิเศษของตน นางสามารถรักษาคนตาบอดให้หายได้เลยเหรอ บ่าวนางนั้นตกใจและดีใจที่จู่ๆ ดวงตาก็กลับมาหายดี ก่อนจะรีบคุกเข่าคำนับว่านชิงอีด้วยความซาบซึ้ง “คุณหนู ขอบคุณเจ้าค่ะๆ” นางพูดขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างดีใจ ว่านชิงอีเองก็ดีใจไม่แพ้กันที่สามารถลบความผิดที่ร่างนี้ได้กระทำเอาไว้ “เจ้าชื่ออะไร?” “เสี่ยวหมานเจ้าค่ะ” “ต่อไปก็มาคอยดูแลข้าอยู่ที่เรือนนี้ เจ้าไม่ต้องกลัวข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าอีกแล้ว ข้าต้องขอโทษกับเรื่องที่ข้าได้ทำผิดต่อเจ้า” ว่านชิงอีกล่าวขึ้นอย่างอ่อนโยน “เจ้าค่ะ” เสี่ยวหมานดีใจมากที่ดวงตาหายดี เรื่องต่างๆ ในอดีตจึงไม่คิดจะใส่ใจ “เจ้าไปเตรียมน้ำเถอะข้าก็อยากแช่น้ำอุ่นอยู่เหมือนกัน” “เจ้าค่ะ” เสียวหม่านรีบออกไปจัดการอย่างร่าเริงและคล่องแคล่ว ว่านชิงอียกยิ้มการได้ช่วยเหลือคนอื่น มันทำให้จิตใจรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขได้จริงๆ “คุณหนูท่านเทพมากเจ้าค่ะ” ปิงปิงยกนิ้วให้นางอย่างเยินยอนายสาวเต็มที่ “ข้าก็แปลกใจในความสามารถนี้เหมือนกัน แต่ก็ดีข้าจะได้รู้สึกผิดน้อยลงหน่อย ร่างนี้ร้ายกาจไม่เบาเลยนะปิงปิง ไม่รู้ว่ามีอีกมากน้อยแค่ไหน ที่นางได้ไปทำร้ายคนอื่นไว้” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างหนักใจ “ข้าว่านี่ก็คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ท่านได้มาอยู่ในร่างนี้” “ตามเช็ดตามล้างสิ่งที่นางทำไว้นะหรือเฮ้อ!แค่คิดข้าท้อไว้รอแล้ว” ว่านชิงอีถอนใจ ก่อนจะเดินไปหลังม่านเพื่อชำระร่างกาย เพราะน้ำอุ่นเสี่ยวหมานได้เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เรือนกลางจวนสกุลว่าน ว่านซูอวี้นั่งปักผ้าด้วยความเหม่อลอย บุตรสาวคนที่สามของนาง เติบโตมาเป็นคุณหนูที่เอาแต่ใจและร้ายกาจ เพราะถูกเลี้ยงดูจากแม่สามีและยังมีว่านจื่อหยวนคอยให้ท้ายและตามใจ นางแทบไม่มีสิทธิ์ดูแลว่านชิงอี หลังคลอดแม่สามีก็ให้คนรับใช้คนสนิท มาเอาทารกไปดูแลเเละเลี้ยงดูเอง นิสัยของว่านชิงอี นางรู้ดีว่าไม่ถูกต้องแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ฮูหยินผู้เฒ่ามอบความรักทั้งหมดให้ว่านชิงอี ส่วนหลานสาวอีกสองคนนางไม่เคยรับรู้ ว่านจื่อหยวนก็เช่นกัน เขาทุ่มเททุกอย่างที่มีให้กับว่านชิงอี ไม่ว่าว่านชิงอีอยากได้อะไร เขาต้องไปสรรหามาให้นาง ต่างกับว่านชิงหลินและว่านชิงหลาน ที่ไม่เคยเหลียวแลหรือแม้แต่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ความลำเอียงนี้สร้างความเจ็บปวดให้นางมาโดยตลอด หลายเดือนก่อนว่านชิงอีล้มป่วยลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ฮูหยินผู้เฒ่าและว่านจื้อหยวน ต้องหมดเงินทองมากมายเพื่อจ่ายให้กับหมอที่มารักษา แต่อาการของนางก็ไม่ดีขึ้น แต่ทั้งสองก็ไม่ละความพยายาม ที่จะพยายามติดต่อหาหมอที่ความสามารถมารักษา แต่สุดท้ายว่านชิงอีก็จบชีวิตลง แต่จู่ๆ นางก็ฟื้นคืนชีพ และนิสัยที่เคยเป็นอยู่ก็แทบไม่หลงเหลืออยู่อย่างกับคนละคน แต่คนเป็นมารดาเช่นนางก็ดีใจจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ สิ่งที่นางเฝ้าขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นจริงขึ้นมาแล้ว ว่านชิงอีเติบโตและรู้ความอยากที่นางอยากให้เป็น “ท่านแม่ท่านคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” ว่านชิงหลินบุตรสาวคนโตหรือคุณหนูใหญ่ เห็นมารดานั่งเหม่อลอยอยู่นาน จึงเอ่ยถามขึ้น “แม่กำลังคิดถึงเรื่องราวของน้องสาวของเจ้า” แต่ว่านซูอวี้พูดยังไม่ทันจบ ว่านชิงหลานที่เดินเข้ามาก็พูดสวนขึ้นมาทันที “ข้าว่านางก็แค่เสแสร้ง ใครจะไปเปลี่ยนนิสัยได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ รอดูไปอีกสักสามสี่วัน นิสัยเดิมของนางต้องกลับมาแน่” ว่านชิงหลานเอ่ยน้ำเสียงดูแคลน เพราะนางไม่เชื่อการกระทำของว่านชิงอีในวันนี้ แต่แล้วเสี่ยวหมานก็เดินเข้ามา “ฮูหยิน คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง ตาของข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวหมานรีบเข้ามาเล่าให้ฟังด้วยความดีใจ “ตาเจ้าหายได้อย่างไร หมอที่ใดรักษาเจ้า?” ว่านซูอวี้เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เป็นคุณหนูสามเจ้าค่ะ” “เจ้าว่าอย่างไรนะ!” ทั้งสามสาวร้องขึ้นพร้อมกันอย่างไม่เชื่อหู ว่านชิงอีจะมีความสามารถรักษาคนได้อย่างไร เรื่องนี้น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว “เจ้าพูดจริงเหรอเสี่ยวหมาน?” คุณหนูใหญ่ถามให้แน่ใจอีกรอบ “จริงเจ้าค่ะนางใช้มือสัมผัสที่ดวงตาของข้า แล้วนางก็เอ่ยขึ้นว่า ขอโทษนะ จากนั้นข้าก็มองเห็นทันทีเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหมานเล่าไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ “นิสัยเปลี่ยนไปแถมยังมีวิชาแพทย์รักษาคน จะเป็นนางจริงหรือเจ้าคะท่านแม่” ว่านชิงหลานยังคงหวาดระแวงและสงสัย “นั่นสิเจ้าค่ะคนเราจะเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วข้ามคืนได้จริงๆ เหรอ” ว่านชิงหลินคิดถึงความเป็นไปได้ “แต่ว่านางบอกได้ไปพบเทพเซียน แม่ว่าท่านเทพคงได้ให้อะไรนางติดตัวมาบ้างแน่” ว่านซูอวี้เปรยขึ้น “ท่านแม่! ท่านคิดหน่อยสิเจ้าคะ ท่านเทพเซียนจะให้ของดีของวิเศษกับคนเช่นนางได้อย่างไร” ว่านชิงหลานแย้งขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย เทพเซียนนะหรือจะให้ของวิเศษกับคนนิสัยเลวร้ายเช่นนาง นางไม่มีทางเชื่อแน่นอนเหล่าบรรดาขุนนางพากันปาดเหงื่อกับปริศนาคำทายของท่านหญิง เหล่าคุณหนูและฮูหยิน ต่างพากันขบคิดกับปริศนาคำทายกันอย่างขะมักเขม้น แม้แต่เหว่ยอ๋อง เจินซีห่าว และรัชทายาท ก็พากันขบคิดว่าปริศนาคำทายนี้หมายถึงสิ่งใด นางบอกเริ่มที่ง่ายๆ ก่อน อันนี้ง่ายสุดแล้วใช่หรือไม่ ฮ่องเต้แอบดูคำตอบที่นางให้มาก็แอบยิ้มด้วยความสะใจ คำตอบที่ส่งมาให้ฮ่องเต้ตรวจคำตอบยังไม่มีใครที่ตอบถูกเลยสักคน การสั่งสอนคนบางทีก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเสมอไป ธูปที่จุดบอกเวลาไหม้ลงเรื่อยๆ สร้างความกดดันให้กับเหล่าขุนนางเป็นอย่างมาก ก่อนขันทีจะประกาศหมดเวลา ทำเอาเหล่าขุนนางตกใจหน้าซีด เหตุใดเวลาถึงได้เดินเร็วนักเล่า “ทูลฝ่าบาทขอเวลาอีกสักครึ่งชั่วยามได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ฮ่องเต้หันไปมองว่านชิงอี ว่าจะเอาอย่างไร นางก็พยักหน้าให้โอกาสอีกครึ่งชั่วยาม “ได้เราจะให้เวลาอีกครึ่งชั่วยาม หากยังไม่ได้คำตอบก็ถือว่าไม่มีใครหาคำตอบได้ เราจะเก็บของรางวัล500ตำลึงเข้ากองคลัง” ไม่นานครึ่งชั่วยามก็มาถึงอีกครั้ง เหล่าขุนนางเหงื่อตก เพราะไม่สามารถคิดหาคำตอบได้ทันเวลา “เอาละหมดเวลาแล้ว วันนี้ท่านหญิงได้ทำให้เราได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย ขุนนางของเ
หลังจากเรื่องราวคลี่คลาย ทุกอย่างก็กลับมาปกติอีกครั้ง วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลอง การแต่งตั้งท่านหญิงจวินจู่ ซึ่งฝ่าบาทจัดงานนี้เพื่อนางโดยเฉพาะ ตระกูลต่างๆ มาพร้อมฮูหยินและคนในครอบครัว แม้จะไม่ยินดีที่จะมาร่วมงาน แต่ก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ของฝ่าบาทได้ พองานใกล้เริ่มทุกคนก็พากันไปนั่งประจำที่ ที่ทางวังหลวงจัดเอาไว้ตามตำแหน่งของแต่ละคน วันนี้ท่านหญิงจวินจู่มาในชุดอาภรณ์สีขาวขลิบสีชมพูอ่อน ประดับด้วยปิ่นหยกสีขาวเข้าชุด นางไม่ได้ประโคมแต่งมากจนเกินไป ตั้งใจให้ดูเรียบๆ แต่ดูดี ถึงจะเป็นเจ้าของงาน แต่ก็ไม่อยากโดดเด่นจนเกินไป พอนางมาถึงบริเวณจัดงาน ก็เห็นวิญญาณของพระสนมกุ้ยเฟยยืนรออยู่ นางส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “วันนี้เจ้าดูงดงามมาก” “ขอบพระทัยเพคะ” ว่านชิงอียิ้มหวานให้พระสนม และก้าวเดินเข้างานไปพร้อมกับนาง ก่อนจะไปยอบกายถวายความเคารพฮ่องเต้ต่อหน้าพระที่นั่ง “ท่านหญิงวันนี้ท่านดูงดงามมากจริงๆ เอาละไปนั่งที่ของท่านเถิดงานจะเริ่มแล้ว” ฮ่องเต้เจินเฉินหลงกล่าวอย่างยิ้มแย้มอารมณ์ดี พอนางนั่งลงดนตรีก็เริ่มบรรเลง เหล่านางกำนัลก็เริ่มทำหน้าที่ ยกอาหารและสุรามาวาง ว่านชิงอีมองอาหารอย่างสนใจ อาหารในว
“ท่านอ๋องยามนี้ผู้คนร่ำลือถึงข่าวท่านหญิง ว่าคบบุรุษทีเดียวสามคน ซึ่งในข่าวลือมีท่านร่วมอยู่ด้วย” อู่ถงหลังจากออกไปทำธุระกลับมา ได้ยินข่าวลือเรื่องท่านหญิงจึงรีบมารายงาน “เล่ามาให้ละเอียด” อู่ถงจึงเริ่มเล่าเรื่องที่ได้ยินมาอย่างละเอียดให้เขาฟัง ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งไม่พอใจ ใครกันนะที่สร้างข่าวพวกนี้ขึ้น แล้วนางจะทนคำพูดเหล่านี้ได้หรือไม่? ช่วงนี้เขาต้องห่างจากนางออกมาหรือว่าเขาต้องทำตัวปกติดีนะ แต่ความคิดเขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อองครักษ์เข้ามารายงานว่า องค์ชายซีห่าวและรัชทายาทมาขอเข้าพบ เหว่ยอ๋องถอนใจ ดีเหมือนกันพวกเขามา จะได้ช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรดี เขารู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของนางจริงๆ “เสด็จพี่ท่านได้ข่าวหรือยัง?” องค์ชายซีห่าวร้อนใจร้องถามตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง “เหว่ยอ๋องเราจะทำอย่างไรกันดี นางต้องทุกข์ใจมากเป็นแน่ เรื่องนี้ข้าต้องหาต้นตอคนปล่อยข่าวให้ได้” รัชทายาทเอ่ยน้ำเสียงเจ็บแค้น กับคนสร้างข่าวลือที่ไม่เป็นจริง “เราจะโทษคนปล่อยข่าวก็ไม่ถูก พวกเราออกไปข้างนอกกับนางจริงมีคนเห็นมากมาย เราควรคิดหาวิธีดีกว่า ว่าต่อไปพวกเราจะไปมาหาสู่นางได้อย่างไร เพราะนางเหมือนจะอยากให้พวกเราช่
จางเจียอีพอกลับมาถึงจวน ก็รีบตรงไปหาฮูหยินจางทันที นางต้องพยายามข่มเก็บอาการเคืองขุ่นและน้อยใจรัชทายาทเอาไว้ ไม่ให้แสดงออกมา เขาปกป้องสตรีนางนั้นอย่างออกหน้า แม้เขาและนางจะยังไม่ได้หมั้นหมายแต่ แต่ก็ได้มีการพูดคุยถึงว่าจะให้หมั้นหมายกัน ตั้งแต่ตระกูลจางรับรู้ข่าวนั้น ก็ได้ให้นางเตรียมตัวฝึกฝนกิริยามารยาท เพราะหากหมั้นและแต่งกับรัชทายาท นั้นก็หมายถึงตำแหน่งฮองเฮาในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นนางจึงต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวด แต่ว่าวันเวลาผ่านไปรัชทายาท ก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลจาง เจอกันในงานก็เพียงทักทาย ยามนี้ยังมาแสดงท่าทีแบบนี้ ใจของนางเหมือนแหลกสลาย พอมาถึงเรือนมารดา จางเจียอีก็โผเข้ากอดนางแน่นพร้อมกับร้องไห้อย่างอัดอั้น จากนั้นก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฮูหยินจางฟัง ฮูหยินจางได้ฟังก็นึกขุ่นเคืองรัชทายาท และพาลโกรธไปถึงท่านหญิง เป็นท่านหญิงแล้วอย่างไร คิดจะแย่งบุรุษที่มีคู่หมายแล้วได้อย่างงั้นรึ แต่ว่าวันนี้บุตรสาวนางบอกมีเหว่ยอ๋อง องค์ชายซีห่าว และองค์รัชทายาท ฮึเรื่องนี้นางจะปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องเรียกอีกสามตระกูลมาคุยกัน “ท่านแม่ข้าไม่ยอม ข้าเตรียมตัวมาตั้งหลายปี หากข้าไม่ได้แต่งกับรั
“ถวายบังคมรัชทายาท ท่านอ๋อง องค์ชาย สตรีสามนางยอบกายถวายความเคารพอย่างงดงาม ตามแบบฉบับคุณหนูที่เพียบพร้อม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรัชทายาทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เหตุใดไม่ทำความเคารพท่านหญิง หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าสตรีที่เพียบพร้อมเขาปฎิบัติกับคนที่สูงกว่าหรือ?” สตรีสามนางหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าพวกนางจะพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาดเช่นนี้ “ถวายบังคมท่านหญิงจวินจู่ ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่ ได้โปรดท่านหญิงอย่าถือสา” จางเจียอีเอ่ยออกมาอย่างอ่อนหวาน แม้ภายนอกจะแสดงออกมาว่ารู้สึกผิด แต่ภายในใจนั้นกลับสุ่มไปด้วยเพลิงโทสะจางเจียอีจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ เพื่อระงับอารมณ์และความรู้สึกภายในใจ เหว่ยอ๋องยืนอยู่ด้านหลังของว่านชิงอี มีองค์ชายซีห่าวและรัชทายาทยืนประกบซ้ายขวาคล้ายดั่งองครักษ์ ยิ่งทำให้สตรีสามนางแทบอยากกรีดร้องออกมา จึงได้แต่ขอตัวและจากไปด้วยความแค้นเคือง หลังจากพวกนางไปแล้วว่านชิงอีก็หมุนกายเดินเข้าไปในร้านบะหมี่ ก่อนจะสั่งอย่างละเอียดว่าชามไหนใส่อะไรไม่ใส่อะไร ทำเอาสามบุรุษหนุ่มยกยิ้มด้วยความพอใจที่นางให้ความใส่ใจกับพวกเขา พอชามบะหมี่ถูกยกมาวางบนโต๊ะ ว่านชิงอี
จวนสกุลว่าน เสนาบดีว่านพอกลับมาถึงจวนก็รีบตรงดิ่งไปหามารดา วันนี้เขารู้สึกมีความสุขอย่างยากจะบรรยาย เขารอแทบไม่ไหวที่จะเล่าเรื่องราวที่รับรู้ในท้องพระโรงให้ผู้เป็นมารดาฟัง แต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นมารดาอยู่ที่เรือน พอสอบถามบ่าวรับใช้ก็ได้ความว่านางไปที่เรือนใหญ่ได้สักพักแล้ว เขาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่เรือนใหญ่ทันที พอมาถึงก็เห็นทุกคนนั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เขาจึงคิดว่าเป็นการดีที่จะได้เล่าทีเดียว แต่พอเขาเล่าจบทุกคนกลับนั่งนิ่งไม่มีอาการดีใจเลยสักนิด เขารู้สึกผิดหวังที่ทุกคนไม่ให้ความสำคัญกับข่าวนี้ “เหตุใดไม่มีใครดีใจกับข่าวนี้เลย” ? “จื่อหยวนข่าวเจ้านะพวกข้ารู้ตั้งนานแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ นึกขำบุตรชายที่รีบรุดมาแจ้งข่าว แต่ที่ไหนได้ข่าวนี้กระจายออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ออกมากระพือข่าวนอกวัง “พวกข้าดีใจก่อนเจ้าจะมาแล้ว แต่ว่ามีข่าวใหม่ที่เจ้ายังไม่รู้อีกนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นแล้วยกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนที่จะเล่าออกไป ทำให้เสนาว่านร้อนใจอยากรู้มากขึ้น “ท่านแม่ท่านรีบเล่ามาเถิดข้ารอไม่ไหวแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นกระดาษปกแข็งมาให้เขาตรงหน้า