“ข้าลืมแนะนำท่านไปนี่องค์รัชทายาทเจินเฟยเทียน” องค์ชายเจินซีห่าวเอ่ยแนะนำ ว่านชิงอีลุกขึ้นยอบกาย
“ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ” ว่านชิงอีนั่งลงก่อนจะถอนใจ กับความอึดอัดในการใช้คำศัพท์ “ท่านอ๋อง รัชทายาท องค์ชาย ต่อไปเรียกหม่อมฉันแค่คุณหนูสาม คุณหนูว่าน หรือว่านชิงอีก็พอเพคะ ตำแหน่งนี้หม่อมฉันไม่อยากได้ หม่อมฉันอึดอัดจะตายอยู่แล้ว อยากใช้ชีวิตธรรมดาเหมือนคนทั่วไป หากพวกท่านยังเรียกท่านหญิง หม่อมฉันจะไม่พูดคุยกับพวกท่านอีกเลย” ว่านชิงอีระบายออกมาอย่างอัดอั้นตั้นใจ กับแหน่งหัวโขนที่ถูกสวมให้ รัชทายาทมองนางอย่างแปลกใจ นี่ใช่คนที่ผู้คนกล่าวถึงจริงหรือ? นางไม่อยากได้ตำแหน่งท่านหญิง ทั้งที่ตำแหน่งนี้หลายคนอยากได้กันมากแต่ไม่มีโอกาส “ได้ๆ ต่อไปข้าไม่เรียกแล้วเจ้าก็กินเถอะ” เจินซีห่าวเอ่ยด้วยความเอ็นดูนางเหมือนน้องสาวตัวน้อยคนหนึ่งของเขา “ข้าก็จะไม่เรียกเจ้าก็กินเสียหน่อย เย็นหมดแล้ว” รัชทายาทเอ่ยขึ้นบ้าง อยู่ๆ เขาก็นึกเอ็นดูสตรีนางนี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น นางช่างไม่เหมือนใครเลยจริง “ไม่หิวก็ไม่ต้องฝืน” เหว่ยอ๋องเอ่ยขึ้นเขารู้ว่านางมีเรื่องในใจ คงเกี่ยวกับวิญญาณที่นางเห็นเมื่อครู่นี้ ว่านชิงอีมองหน้าเหว่ยอ๋อง ที่จู่ๆ เขาก็อ่อนโยนกับนางต่างจากเมื่อก่อนลิบลับ ก่อนปิงปิงจะวิ่งมาบอกว่า สตรีนางนั้นถูกฆ่าจากสามีนางที่บ้าการพนันและติดสุรา ตอนนี้กำลังจะจับลูกๆมัดเเละจะนำไปขาย ว่านชิงอีมองหน้าสามบุรุษไปมาก่อนจะเอ่ย “ท่านอ๋องเราไปช่วยครอบครัวนั้นกันเถอะเพคะ” กล่าวจบนางก็ลุกขึ้นและเดินตามปิงปิง และได้พบวิญญาณตนนั้นที่รออยู่ นางจึงถามว่าบ้านนางอยู่ที่ใด พอนางบอกสถานที่ วานชิงอีก็หันมาบอกเหว่ยอ๋องและองค์ชาย “ท่านอ๋อง องค์ชาย เราคงต้องนำทหารของทางการไปด้วยเพคะ” เหว่ยอ๋องและองค์ชายซีห่าว เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของนางก็รีบจัดการตามที่นางบอกทันที รัชทายาทก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมท่าท่างของพวกเข้าถึงดูร้อนร้นแปลกๆ “พวกเจ้าจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?” องค์ชายซีห่าวหันไปมองนาง และเห็นนางพยักหน้า เขาจึงเราให้รัชทายาทฟังคราวๆ “นางมองเห็นวิญญาณ และวิญญาณก็มาขอให้นางช่วย” รัชทายาทได้ฟังก็ยิ่งประหลาดใจ สตรีนางนี้มีเรื่องให้ประหลาดใจอยู่เรื่อยจริงๆ ก่อนองครักษ์จะพารถม้ามาจอดสองคัน ว่านชิงอีบอกเสี่ยวหมานและคนที่ติดตาม ให้กลับไปแจ้งที่จวน ว่านางไปทำธุระกับเหว่ยอ๋อง องค์ชายซีห่าว และองค์รัชทายาท ที่นางบอกไปสามคนเพราะไม่อยากให้พวกเขาคิดว่าไปกันแค่สองคน “ข้าอยากนั่งคันเดียวกับนาง” รัชทายาทเอ่ยขึ้น “งั้นเอาคันใหญ่ไปนั่งทั้งหมดนี้แหละ ไม่ไกลมากคงไม่เป็นไร” เหว่ยอ๋องตัดสินใจ ก่อนจะเดินขึ้นก่อนแล้วยื่นมือมาให้ว่านชิงอียึด พอทุกคนมานั่งในรถม้าซึ่งมีว่านชิงอีนั่งข้างเหว่ยอ๋อง รัชทายาทก็เหมือนไม่พอใจที่เหว่ยอ๋องได้นั่งข้างนาง “เหตุใดท่านได้นั่งข้างนาง” ว่านชิงอีเริ่มรำคาญจึงลุกไปนั่งอยู่คนเดียว ก่อนจะเริ่มพูดคุยกับวิญญาณตนนั้น เพื่อที่นางจะได้หาข้อมูล และบอกกับทางการให้เอาผิดกับคนร้าย สามบุรุษมองนางสนทนากับสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณอย่างสนใจ รู้สึกประทับใจในความสามารถที่ไม่เหมือนใคร และความเป็นตัวของตัวเอง ทำให้นางดูน่าเกรงขามแม้จะอายุยังน้อย พอมาถึงบ้านติดชายป่า บรรยากาศเงียบจนดูผิดปกติ ว่านชิงอีจึงรีบเอ่ยบอกปิงปิงอย่างลืมตัว “ปิงปิงรีบไปดูสถานการณ์ก่อนเลย” ปิงปิงได้ฟังก็พุงเหาะออกทางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบกลับมารายงาน “คุณหนูศพของสตรีนางนี้ยังไม่ไปไหน ส่วนคนฆ่าดื่มเหล้าเมาไม่ได้สติและจับลูกๆ สามคนมัดไว้เจ้าค่ะ” ว่านชิงอีรีบเล่าให้ทุกคนในรถม้าฟัง เพราะสถานการณ์ไม่ต้องรีบบุกเข้าไป เพียงรอทหารทางการมา วิญญาณสตรีนางนั้นรีบคุกเข่าขอบคุณว่านชิงอี “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงลูกๆ อีกสามคน ข้าช่วยดูแลให้เป็นอย่างดี ข้าจะช่วยฝั่งศพของเจ้าอย่างดี ขอให้เจ้าจากไปอย่างสงบเถิด” ว่านชิงอีพูดกับสิ่งที่ไร้ตัวตนอยู่คนเดียว เพราะพวกเขามองไม่เห็น ไม่นานทหารของทางการก็ตามมา พวกเขาจึงลงจากรถม้าและเข้าไปบ้านหลังนั้น สภาพภายในบ้านเละเทะไม่มีชิ้นดี มุมหนึ่งร่างของสตรีนอนหมดลมหายใจ อีกมุมมีชายวัยกลางคนเมาไม่ได้สติ อีกมุมมีเด็กสามคนถูกจับมัดไว้พร้อมผ้าอุดปาก ว่านชิงอีมองด้วยความเวทนาและสงสาร ก่อนจะเข้าไปดึงผ้าออกจากปาก และแก้มัดให้เขาสามคนก็เข้ามาช่วยด้วยเช่นกัน เด็กสามคนโผเข้ากอดว่านชิงอีอย่างขวัญเสีย ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าเวทนา เพราะเห็นบิดาฆ่ามารดาต่อหน้าต่อตา คงสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย “ไม่ต้องกลัวๆ ข้ามาช่วยแล้ว ต่อไปพวกเจ้าจะมีชีวิตที่ดีและปลอดภัย” ว่านชิงอีเอ่ยปลอบเด็กสามคน ที่เป็นหญิงอายุ7หนาว อีกคน 5หนาว และเด็กชายคนสุดท้องอายุ4หนาว ไม่ว่าจะยุคไหนก็มีพ่อที่เลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน คนประเภทนี้สมควรประหารทิ้งเสียอยู่ไปก็หนักแผ่นดิน เหว่ยอ๋องให้อู่ถงไปหารถมาอีกคัน เพื่อให้เด็กๆ นั่ง ระหว่างนั่งรอรถม้าว่านชิงอี ก็คิดแผนการดูแลเด็กที่ไร้พ่อแม่ อย่างเช่นสถานเด็กกำพร้า นางคิดว่าต่อไปต้องมีเด็กกำพร้าเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ถึงแม้ไม่ได้กำพร้า แต่หากพ่อแม่ดูแลลูกอย่างไม่ใช่คน พวกเขาควรมีสิทธิ์แยกตัวออกมา และเติบโตมามีชีวิตที่ดี พอขึ้นมานั่งบนรถม้าว่านชิงอีก็เอาแต่เงียบ เหว่ยอ๋องเห็นเช่นนั้นก็ไม่สบายใจ “คิดอะไรอยู่” “หม่อมฉันกำลังคิดว่า อยากจะทำสถานที่รองรับ เด็กที่ขาดพ่อแม่หรือเด็กที่ไร้ที่พึ่ง ให้พวกเขาได้มีที่อยู่ มีอาหาร มีการศึกษา มีเสื้อผ้าที่ดีใส่” “โครงการใหญ่เลยนะคุณหนูว่าน แต่ข้าก็ว่าความคิดนี้ดี พวกเราเกิดมามีครอบครัวที่ดี ควรรู้จักแบ่งปัน” รัชทายาทเห็นด้วยกับความคิดนางจึงอยากสนับสนุน แต่องค์ชายซีห่าวแอบเบ้ปาก เพราะเขาคิดว่ารัชทายาทแค่พูดเอาใจนางก็เท่านั้น “แล้วเจ้าคิดจะทำเมื่อใดข้าพร้อมสนับสนุน” องค์ชายซีห่าวเอ่ยถามเพราะเขาเชื่อว่า สิ่งนางทำนั้นต้องเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน ว่านชิงอียกยิ้มก่อนจะหันไปหาเหว่ยอ๋อง เห็นเขาเงียบไม่พูดอะไร นางก็สะบัดหน้าพรืดด้วยความไม่พอใจ “ข้าจะช่วยสมทบทุนและนำเรื่องนี้ไปกราบทูลกับฝ่าบาท” ว่านชิงอีหันหน้ามาอย่างรวดเร็วคอแทบหัก ก่อนจะขยับไปหาเขาอย่างลืมตัว ก่อนจะพูดขึ้นมาทีเล่นทีจริง “พระเอกมากๆ ท่านอ๋องวันนี้ท่านดูหล่อเหล่ามากกว่าทุกวันเลยเพคะ” “อย่าเสแสร้งให้มาก” เหว่ยอ๋องตอบกลับไปอย่างรู้ทันเหล่าบรรดาขุนนางพากันปาดเหงื่อกับปริศนาคำทายของท่านหญิง เหล่าคุณหนูและฮูหยิน ต่างพากันขบคิดกับปริศนาคำทายกันอย่างขะมักเขม้น แม้แต่เหว่ยอ๋อง เจินซีห่าว และรัชทายาท ก็พากันขบคิดว่าปริศนาคำทายนี้หมายถึงสิ่งใด นางบอกเริ่มที่ง่ายๆ ก่อน อันนี้ง่ายสุดแล้วใช่หรือไม่ ฮ่องเต้แอบดูคำตอบที่นางให้มาก็แอบยิ้มด้วยความสะใจ คำตอบที่ส่งมาให้ฮ่องเต้ตรวจคำตอบยังไม่มีใครที่ตอบถูกเลยสักคน การสั่งสอนคนบางทีก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเสมอไป ธูปที่จุดบอกเวลาไหม้ลงเรื่อยๆ สร้างความกดดันให้กับเหล่าขุนนางเป็นอย่างมาก ก่อนขันทีจะประกาศหมดเวลา ทำเอาเหล่าขุนนางตกใจหน้าซีด เหตุใดเวลาถึงได้เดินเร็วนักเล่า “ทูลฝ่าบาทขอเวลาอีกสักครึ่งชั่วยามได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ฮ่องเต้หันไปมองว่านชิงอี ว่าจะเอาอย่างไร นางก็พยักหน้าให้โอกาสอีกครึ่งชั่วยาม “ได้เราจะให้เวลาอีกครึ่งชั่วยาม หากยังไม่ได้คำตอบก็ถือว่าไม่มีใครหาคำตอบได้ เราจะเก็บของรางวัล500ตำลึงเข้ากองคลัง” ไม่นานครึ่งชั่วยามก็มาถึงอีกครั้ง เหล่าขุนนางเหงื่อตก เพราะไม่สามารถคิดหาคำตอบได้ทันเวลา “เอาละหมดเวลาแล้ว วันนี้ท่านหญิงได้ทำให้เราได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย ขุนนางของเ
หลังจากเรื่องราวคลี่คลาย ทุกอย่างก็กลับมาปกติอีกครั้ง วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลอง การแต่งตั้งท่านหญิงจวินจู่ ซึ่งฝ่าบาทจัดงานนี้เพื่อนางโดยเฉพาะ ตระกูลต่างๆ มาพร้อมฮูหยินและคนในครอบครัว แม้จะไม่ยินดีที่จะมาร่วมงาน แต่ก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ของฝ่าบาทได้ พองานใกล้เริ่มทุกคนก็พากันไปนั่งประจำที่ ที่ทางวังหลวงจัดเอาไว้ตามตำแหน่งของแต่ละคน วันนี้ท่านหญิงจวินจู่มาในชุดอาภรณ์สีขาวขลิบสีชมพูอ่อน ประดับด้วยปิ่นหยกสีขาวเข้าชุด นางไม่ได้ประโคมแต่งมากจนเกินไป ตั้งใจให้ดูเรียบๆ แต่ดูดี ถึงจะเป็นเจ้าของงาน แต่ก็ไม่อยากโดดเด่นจนเกินไป พอนางมาถึงบริเวณจัดงาน ก็เห็นวิญญาณของพระสนมกุ้ยเฟยยืนรออยู่ นางส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “วันนี้เจ้าดูงดงามมาก” “ขอบพระทัยเพคะ” ว่านชิงอียิ้มหวานให้พระสนม และก้าวเดินเข้างานไปพร้อมกับนาง ก่อนจะไปยอบกายถวายความเคารพฮ่องเต้ต่อหน้าพระที่นั่ง “ท่านหญิงวันนี้ท่านดูงดงามมากจริงๆ เอาละไปนั่งที่ของท่านเถิดงานจะเริ่มแล้ว” ฮ่องเต้เจินเฉินหลงกล่าวอย่างยิ้มแย้มอารมณ์ดี พอนางนั่งลงดนตรีก็เริ่มบรรเลง เหล่านางกำนัลก็เริ่มทำหน้าที่ ยกอาหารและสุรามาวาง ว่านชิงอีมองอาหารอย่างสนใจ อาหารในว
“ท่านอ๋องยามนี้ผู้คนร่ำลือถึงข่าวท่านหญิง ว่าคบบุรุษทีเดียวสามคน ซึ่งในข่าวลือมีท่านร่วมอยู่ด้วย” อู่ถงหลังจากออกไปทำธุระกลับมา ได้ยินข่าวลือเรื่องท่านหญิงจึงรีบมารายงาน “เล่ามาให้ละเอียด” อู่ถงจึงเริ่มเล่าเรื่องที่ได้ยินมาอย่างละเอียดให้เขาฟัง ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งไม่พอใจ ใครกันนะที่สร้างข่าวพวกนี้ขึ้น แล้วนางจะทนคำพูดเหล่านี้ได้หรือไม่? ช่วงนี้เขาต้องห่างจากนางออกมาหรือว่าเขาต้องทำตัวปกติดีนะ แต่ความคิดเขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อองครักษ์เข้ามารายงานว่า องค์ชายซีห่าวและรัชทายาทมาขอเข้าพบ เหว่ยอ๋องถอนใจ ดีเหมือนกันพวกเขามา จะได้ช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรดี เขารู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของนางจริงๆ “เสด็จพี่ท่านได้ข่าวหรือยัง?” องค์ชายซีห่าวร้อนใจร้องถามตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง “เหว่ยอ๋องเราจะทำอย่างไรกันดี นางต้องทุกข์ใจมากเป็นแน่ เรื่องนี้ข้าต้องหาต้นตอคนปล่อยข่าวให้ได้” รัชทายาทเอ่ยน้ำเสียงเจ็บแค้น กับคนสร้างข่าวลือที่ไม่เป็นจริง “เราจะโทษคนปล่อยข่าวก็ไม่ถูก พวกเราออกไปข้างนอกกับนางจริงมีคนเห็นมากมาย เราควรคิดหาวิธีดีกว่า ว่าต่อไปพวกเราจะไปมาหาสู่นางได้อย่างไร เพราะนางเหมือนจะอยากให้พวกเราช่
จางเจียอีพอกลับมาถึงจวน ก็รีบตรงไปหาฮูหยินจางทันที นางต้องพยายามข่มเก็บอาการเคืองขุ่นและน้อยใจรัชทายาทเอาไว้ ไม่ให้แสดงออกมา เขาปกป้องสตรีนางนั้นอย่างออกหน้า แม้เขาและนางจะยังไม่ได้หมั้นหมายแต่ แต่ก็ได้มีการพูดคุยถึงว่าจะให้หมั้นหมายกัน ตั้งแต่ตระกูลจางรับรู้ข่าวนั้น ก็ได้ให้นางเตรียมตัวฝึกฝนกิริยามารยาท เพราะหากหมั้นและแต่งกับรัชทายาท นั้นก็หมายถึงตำแหน่งฮองเฮาในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นนางจึงต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวด แต่ว่าวันเวลาผ่านไปรัชทายาท ก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลจาง เจอกันในงานก็เพียงทักทาย ยามนี้ยังมาแสดงท่าทีแบบนี้ ใจของนางเหมือนแหลกสลาย พอมาถึงเรือนมารดา จางเจียอีก็โผเข้ากอดนางแน่นพร้อมกับร้องไห้อย่างอัดอั้น จากนั้นก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฮูหยินจางฟัง ฮูหยินจางได้ฟังก็นึกขุ่นเคืองรัชทายาท และพาลโกรธไปถึงท่านหญิง เป็นท่านหญิงแล้วอย่างไร คิดจะแย่งบุรุษที่มีคู่หมายแล้วได้อย่างงั้นรึ แต่ว่าวันนี้บุตรสาวนางบอกมีเหว่ยอ๋อง องค์ชายซีห่าว และองค์รัชทายาท ฮึเรื่องนี้นางจะปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องเรียกอีกสามตระกูลมาคุยกัน “ท่านแม่ข้าไม่ยอม ข้าเตรียมตัวมาตั้งหลายปี หากข้าไม่ได้แต่งกับรั
“ถวายบังคมรัชทายาท ท่านอ๋อง องค์ชาย สตรีสามนางยอบกายถวายความเคารพอย่างงดงาม ตามแบบฉบับคุณหนูที่เพียบพร้อม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรัชทายาทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เหตุใดไม่ทำความเคารพท่านหญิง หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าสตรีที่เพียบพร้อมเขาปฎิบัติกับคนที่สูงกว่าหรือ?” สตรีสามนางหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าพวกนางจะพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาดเช่นนี้ “ถวายบังคมท่านหญิงจวินจู่ ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่ ได้โปรดท่านหญิงอย่าถือสา” จางเจียอีเอ่ยออกมาอย่างอ่อนหวาน แม้ภายนอกจะแสดงออกมาว่ารู้สึกผิด แต่ภายในใจนั้นกลับสุ่มไปด้วยเพลิงโทสะจางเจียอีจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ เพื่อระงับอารมณ์และความรู้สึกภายในใจ เหว่ยอ๋องยืนอยู่ด้านหลังของว่านชิงอี มีองค์ชายซีห่าวและรัชทายาทยืนประกบซ้ายขวาคล้ายดั่งองครักษ์ ยิ่งทำให้สตรีสามนางแทบอยากกรีดร้องออกมา จึงได้แต่ขอตัวและจากไปด้วยความแค้นเคือง หลังจากพวกนางไปแล้วว่านชิงอีก็หมุนกายเดินเข้าไปในร้านบะหมี่ ก่อนจะสั่งอย่างละเอียดว่าชามไหนใส่อะไรไม่ใส่อะไร ทำเอาสามบุรุษหนุ่มยกยิ้มด้วยความพอใจที่นางให้ความใส่ใจกับพวกเขา พอชามบะหมี่ถูกยกมาวางบนโต๊ะ ว่านชิงอี
จวนสกุลว่าน เสนาบดีว่านพอกลับมาถึงจวนก็รีบตรงดิ่งไปหามารดา วันนี้เขารู้สึกมีความสุขอย่างยากจะบรรยาย เขารอแทบไม่ไหวที่จะเล่าเรื่องราวที่รับรู้ในท้องพระโรงให้ผู้เป็นมารดาฟัง แต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นมารดาอยู่ที่เรือน พอสอบถามบ่าวรับใช้ก็ได้ความว่านางไปที่เรือนใหญ่ได้สักพักแล้ว เขาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่เรือนใหญ่ทันที พอมาถึงก็เห็นทุกคนนั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เขาจึงคิดว่าเป็นการดีที่จะได้เล่าทีเดียว แต่พอเขาเล่าจบทุกคนกลับนั่งนิ่งไม่มีอาการดีใจเลยสักนิด เขารู้สึกผิดหวังที่ทุกคนไม่ให้ความสำคัญกับข่าวนี้ “เหตุใดไม่มีใครดีใจกับข่าวนี้เลย” ? “จื่อหยวนข่าวเจ้านะพวกข้ารู้ตั้งนานแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ นึกขำบุตรชายที่รีบรุดมาแจ้งข่าว แต่ที่ไหนได้ข่าวนี้กระจายออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ออกมากระพือข่าวนอกวัง “พวกข้าดีใจก่อนเจ้าจะมาแล้ว แต่ว่ามีข่าวใหม่ที่เจ้ายังไม่รู้อีกนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นแล้วยกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนที่จะเล่าออกไป ทำให้เสนาว่านร้อนใจอยากรู้มากขึ้น “ท่านแม่ท่านรีบเล่ามาเถิดข้ารอไม่ไหวแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นกระดาษปกแข็งมาให้เขาตรงหน้า