เที่ยงตรงวันนี้ผมกับบอสออกมาจากบริษัทด้วยกันท่ามกลางสายตาหลายคู่ของพนักงานคนอื่น ๆ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือพี่ดาที่มองผมด้วยแววตาน่าสงสาร พนักงานคนอื่นก็แทบไม่ต่างกัน ดูเหมือนทุกคนจะเอาใจช่วยผมเป็นอย่างมากกับการมารับตำแหน่งนี้ ต่างกับผมที่ตอนนี้ไม่รู้สึกเป็นกังวลอะไรอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว
“เดี๋ยวผมเรียกคนขับรถให้ครับ”
หลังจากเราสองคนเดินออกมาหน้าบริษัทผมเห็นบอสมองซ้ายมองขวาราวกับหาอะไรบางอย่าง และผมเดาว่าคงจะเป็นคนขับรถของบริษัทแน่ ๆ เพราะปกติแล้วทุกครั้งที่บอสไปไหนก็จะมีคนขับรถติดตามไปด้วยเสมอ
“ไม่ต้องเรียกหรอก ฉันแค่มองหารถตัวเองอยู่น่ะ เจอแล้ว จอดอยู่ตรงโน้น รีบตามมา”
บอสเดินนำหน้าไป ผมก็รีบก้าวยาว ๆ ตามไปติด ๆ
รถของบอสจอดอยู่ที่จอดรถวีไอพี มันเป็นรถเก๋งสีดำยี่ห้อหรูที่ทุกคนรู้จักดี แน่นอนว่าผมเองก็ฝันอยากมีรถแพง ๆ แบบนี้ขับสักครั้ง แต่มันก็คงเป็นแค่ความฝันตลอดไป เพราะต่อให้มีเงินเยอะมากมายขนาดไหน ผมก็คงไม่เอามาซื้อรถราคาหลายสิบล้านแบบนี้
“รู้ใช่ไหมว่าหนึ่งในหน้าที่สำคัญของเลขาที่ดีควรจะขับรถเป็นด้วย”
จบประโยคเขาก็ยื่นกุญแจรถมาให้ผม
“บอสจะให้ผมขับรถให้เหรอครับ”
ผมมองกุญแจรถในมือบอสสลับกับใบหน้าคมคายนั่น ให้ตายเถอะ ยิ่งเห็นเขาตั้งใจสบสายตาผม ผมก็ยิ่งประหม่า เมื่อไหร่อาการเหล่านี้จะหายไปสักทีนะ
“ยื่นกุญแจให้อยู่เนี่ย คิดว่าจะให้เอาไปบูชารึไง”
บอสพูดจบก็เดินไปเปิดประตูด้านหลังคนขับทันที ผมเลยต้องรีบเดินตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
“บอสอะ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่บอสแน่ใจเหรอครับจะให้ผมขับ รถราคาหลายสิบล้านขนาดนี้ ถ้าผมขับไปเฉี่ยวชนใครเข้าผมไม่มีปัญญาจ่ายหรอกนะครับ”
ผมพูดในระหว่างที่เปิดประตูฝั่งคนขับรถขึ้นมานั่งประจำหลังพวงมาลัย หลังจากนั้นก็คว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาด แน่ล่ะว่าผมไม่อยากจะรับหน้าที่นี้แต่ผมเป็นพนักงานของเขาหนิ จะขัดใจได้ยังไงกัน
“ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริง ๆ นายก็แค่ทำงานใช้หนี้หัวโต ก็แค่นั้น”
คนด้านหลังพูดจบก็ยื่นโทรศัพท์มือถือของเขามาให้ผม แว็บแรกที่เห็นผมจำได้ทันทีว่ามันเป็นมือถือรุ่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์ลิ้นจี่ที่เพิ่งเปิดตัวไปวันก่อน เหมือนว่ารุ่นล่าสุดนี้จะเป็น ลิ้นจี่สิบหก ราคาเปิดตัวครึ่งแสนเลยล่ะ มากกว่าเงินเดือนผมรวมกันตั้งหลายเดือน แน่นอนว่าถ้าเป็นผม ผมก็คงไม่ซื้อมือถือที่แพงขนาดนี้เช่นกัน
“ขับไปตามแผนที่ในมือถือด้วยความระมัดระวัง หน้าที่นายตอนนี้มีแค่นั้น”
“ครับ”
ผมรับมือถือของบอสมาแล้วดูแผนที่ในหน้าจอคร่าว ๆ ร้านอาหารที่บอสเลือกอยู่ไม่ไกลจากบริษัทเท่าไหร่นัก ใช้เวลาราวสามสิบนาทีจะถึงที่หมาย
หลังจากวางมือถือไว้กับที่ตั้งมือถือหน้ารถเรียบร้อยแล้ว ผมก็ค่อย ๆ เคลื่อนรถของบอสออกจากที่จอดรถด้วยความระมัดระวัง หน้าที่เลขาของผมคงจะเริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างจริงจังนับแต่ตอนนี้
ระหว่างไปร้านอาหารผมเห็นบอสหยิบแท็บเล็ตมาทำงานไปด้วยเพื่อฆ่าเวลา ไม่ทันสังเกตเลยว่าบอสเอางานมาทำตั้งแต่ตอนไหน เขาไม่คิดจะให้ตัวเองพักหายใจหายคอเลยหรือไงนะ ผมล่ะเชื่อเลย
“ผมเปิดเพลงได้ไหมครับบอส”
ผมเหลือบสายตามองกระจกหลัง เมื่อเห็นสีหน้าบอสเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเลยอยากหาวิธีให้บอสผ่อนคลายบ้าง อย่างน้อยมันก็น่าจะเป็นหน้าที่ของเลขาที่ดีเช่นกัน
“เปิดได้ แต่อย่าเสียงดัง”
คนด้านหลังตอบกลับมาด้วยเสียงราบเรียบ ผมไม่ตอบอะไรกลับไปเพียงแต่เอื้อมมือไปกดหน้าจอมอนิเตอร์ในรถที่ใช้ระบบสัมผัสทั้งหมด จากนั้นจึงกดเลื่อนดูเพลงในลิสต์แล้วก็เจอว่าแทบทุกเพลงเป็นเพลงแจ๊ส ถ้าให้ผมฟังเพลงพวกนั้นเวลาขับรถผมน่าจะหลับแน่ ๆ เลยตัดสินใจกดช่องวิทยุช่องหนึ่งที่ผมฟังเป็นประจำ
ผมขับรถไปเรื่อย ๆ พร้อมเสียงเพลงจากวิทยุที่ยังคงดังอยู่อย่างนั้น มีบางครั้งผมร้องเพลงคลอไปด้วย ท่ามกลางบรรยากาศรถติดของเมืองหลวงแห่งนี้ กว่าจะมาถึงร้านอาหารก็ใช้เวลาไปเกือบห้าสิบนาที ผิดกับเวลาที่แจ้งไว้ในจีพีเอสซะมากมาย
“กว่าจะมาถึงร้านก็เกือบชั่วโมง เราจะกลับไปบริษัททันเวลาทำงานเหรอครับบอส”
ผมเดินตามบอสวินเข้าไปในร้านอาหารหรูร้านหนึ่ง ผมไม่แน่ใจชื่อร้านนักเพราะเป็นภาษาอังกฤษ แต่มองจากด้านนอกแล้วคงจะแพงน่าดู เพราะลูกค้าที่นั่งอยู่ในร้านส่วนมากใส่สูทผูกไทป์ แต่งตัวดูดี ผมแอบชำเลืองมองเมนูหน้าร้านก็มีแต่ภาษาอังกฤษ เดาไม่ออกเลยว่ามื้อเที่ยงวันนี้จะจบลงยังไง
“ทำงานกับฉันไม่มีเวลาพักเที่ยงหรอกนะ ต่อไปถ้าออกมาทานข้าวข้างนอกนายไม่ต้องกังวลหรอกว่าเราจะต้องกลับไปบริษัทให้ทันบ่ายโมง หรือถ้าวันไหนเราออกมาจากบริษัทแล้วจะไม่กลับไปในเวลาเลิกงานปกติก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
บอสหันมาบอกผมแล้วหันกลับไปคุยกับพนักงานต้อนรับของร้านที่ยืนส่งยิ้มให้บอสราวกับคนคุ้นเคย
“สวัสดีค่ะคุณเมธาวิน วันนี้จะนั่งห้องวีไอพีหรือโซนพิเศษดีคะ”
“ห้องวีไอพีละกันครับ ส่วนเมนูวันนี้เดี๋ยวผมกดสั่งจากแท็บเล็ตในห้องเลยละกัน วันนี้ไม่เอาคนดูแลนะครับ ผมต้องการความเป็นส่วนตัว”
“ได้เลยค่ะ”
พนักงานต้อนรับคนนั้นคุยกับบอสด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเดินนำไปยังด้านซ้ายของร้านอาหาร
ผมรีบเดินตามไปเพราะกลัวจะหลง ร้านอาหารร้านนี้ใหญ่และกว้างขวางอย่างกับโรงแรม นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้มารู้จักสถานที่แห่งนี้ และหากวันนี้เป็นวันทำงานวันอื่น ๆ ของผม ช่วงเที่ยงแบบนี้ผมคงอยู่ที่ร้านอาหารตามสั่งข้างทางร้านไหนสักร้าน ไม่ใช่ที่แบบนี้แน่นอน
ผมเริ่มชอบตำแหน่งเลขาของบอสแล้วล่ะ คิดว่ามันคงมีอะไรน่าตื่นเต้นให้ได้เรียนรู้อีกเยอะแน่ ๆ
ห้องวีไอพีที่ว่ามีลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมไม่ใหญ่มากนัก แต่เป็นห้องปิดทึบและมีเพียงประตูบานเลื่อนสำหรับเปิดเข้าออกเท่านั้น
ด้านในเป็นลักษณะคล้ายห้องทานอาหารญี่ปุ่น มีโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กวางตรงกลางและมีเบาะนั่งล้อมรอบ ผมคิดว่าห้องนี้น่าจะใช้สำหรับทานอาหารหรือประชุมกับกลุ่มคนเยอะ ๆ มากกว่า เมื่อภายในห้องมีแค่ผมกับบอส บรรยากาศเลยดูเงียบเหงาไปสักหน่อย
“ที่นี่เป็นร้านอาหารร้านประจำของฉัน ทุกครั้งที่มาฉันจะสั่งเมนู สปาเกตตีผัดขี้เมากับสลัดอกไก่ เครื่องดื่มเป็นชาเขียวโฮจิฉะ ใส่น้ำแข็งแค่สองก้อน ส่วนนายจะสั่งอะไรก็เลือกเอา กดสั่งเมนูจากแท็บเล็ตที่ตั้งอยู่ตรงหน้านั่นแหละ สั่งเสร็จก็แค่รอพนักงานเอาอาหารมาเสิร์ฟ”
หลังจากพูดจบ สิ่งที่บอสทำหลังจากนั้นคือเอนตัวลงนอนตามยาวของเบาะรอบโต๊ะ มือสองข้างวางประสานกันบนหน้าอก หลับตาพริ้มราวกับรอจังหวะเวลานี้มานาน ให้ตายเถอะ แล้วเมื่อกี้เขาสั่งอะไรผมบ้างแล้วนะ ผมไม่ทันจะได้ตั้งใจฟังเลย
ผมเอาแท็บเล็ตบนโต๊ะมากดดูเมนูอาหาร แล้วก็พบว่า ที่นี่มีเมนูอาหารสองร้อยกว่าเมนู ผมไม่อยากจะเรียกมันว่าเมนูอาหารแล้ว นี่มันน่าจะเป็นลิสต์รายการอาหารสำหรับเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านมากกว่า ถ้าจะเยอะขนาดนี้
แต่นั่นก็ไม่เยอะเท่าเมนูเครื่องดื่มที่มีหลากหลายประเภท จนผมเลื่อนหน้าเมนูผ่านไปเกือบยี่สิบหน้าแล้ว เมนูเครื่องดื่มที่มีให้บริการก็ยังไม่หมดไป
ผมกวาดสายตาอ่านเมนูคร่าว ๆ พยายามครุ่นคิดว่าเมื่อกี้นี้บอสสั่งอะไรผมบ้าง จำได้แค่สปาเกตตีกับสลัดอกไก่ ส่วนเครื่องดื่มผมลืมไปสนิท เมื่อชำเลืองมองใบหน้าของบอสที่กำลังหลับตาพริ้มก็ไม่กล้าจะปลุกถาม เขาคงจะหงุดหงิดแน่ ๆ
หากต้องลืมตาตื่นขึ้นมาในขณะที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอย่างสบายใจ
สุดท้ายผมก็กดสั่งเมนูอาหารให้บอสไปสองอย่าง เครื่องดื่มสั่งเป็นน้ำเปล่า ส่วนของผมก็สั่งเหมือนกันกับบอสเพราะขี้เกียจคิด หลังจากกดสั่งไปเรียบร้อยแล้วก็รอพนักงานเอาอาหารมาเสิร์ฟ
และช่วงเวลานี้ก็เป็นเวลาที่ผมมีโอกาสได้มองหน้าบอสชัด ๆ
ร่างกายของผมถูกถอดเสื้อผ้าออกไปอย่างรวดเร็วสกิลด้านนี้ของพี่วินช่ำชองมากขึ้นทุกวัน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีผมก็เหลือเพียงร่างเปลือยเปล่า เสียงลมหายใจหอบกระเส่าดังกว่าทุกครั้ง เวลาพี่วินเมาเขาดูเหมือนคนหื่นกระหายที่ไม่เคยทำเรื่องแบบนี้เลย ทั้งที่ความจริงแล้วเขาช่ำชองเป็นที่สุดและครั้งนี้เขาก็เริ่มต้นด้วยการ หยิบเจลหล่อลื่นออกมาจากลิ้นชักใต้โต๊ะเครื่องแป้งแล้วเดินมุ่งมาหาผมที่นอนหงายอยู่บนเตียงท่าทีคลานเข่าเข้ามาหาก่อนจะคร่อมร่างผมไว้ไม่ต่างจากเสือร้ายที่กำลังจะล่าเหยื่อ สายตาของเขามองผมราวกับว่าสามารถกลืนผมลงไปได้ทั้งร่าง และไม่บ่อยนักที่ผมจะได้เห็นเขาในมุมนี้“คืนนี้ภัทน่าเอากว่าทุกคืนเลย รู้ตัวไหมครับ”เขาก้มลงมากระซิบข้างหูผมเบา ๆ ก่อนจะใช้ปลายลิ้นลากไล้ตั้งแต่ซอกคอของผมลงมาตามลำคอ แล้วกลับไปส่งมอบรสจูบแสนหวานอย่างช้า ๆเราจูบกันเนิ่นนานและค่อย ๆ เพิ่มระดับความเร่าร้อนมากขึ้น สอดลิ้นแลกเปลี่ยนความหวานในโพรงปากของกันและกันอย่างโหยหา ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จาง ๆ ที่ยังอยู่ในตัวทำให้ความต้องการของผมถูกปลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้ผมรู้สึกปวดหน่วงกลางกายขึ้นมาในทันที“พะ พี่วิน”ผมเอื้อมม
ความสัมพันธ์ของผมกับพี่วินยังคงเป็นไปด้วยดีถึงแม้เราจะมีงอนกันบ้างโกรธกันบ้าง แต่ผมคิดว่ามันคือความธรรมดาของชีวิตคู่แหละครับ และสุดท้ายเราสองคนก็รู้ดีว่า ต่อให้จะทะเลาะกันขนาดไหนเราไม่มีวันปล่อยมือกันไปแน่นอน และเราก็จะกลับมาคุยดีกันเหมือนเดิมภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง เพราะถึงยังไงก็ต้องทำงานด้วยกันอยู่แล้วอย่างเช่นวันนี้ที่กำลังมีคนหน้าบึ้งอีกแล้ว เหตุเพราะเห็นผมไปสอนงานให้น้องใหม่ที่เพิ่งมาทำงานวันนี้วันแรก“ปั้นหน้ายักษ์นาน ๆ ระวังหน้าเหี่ยว เดี๋ยวแก่เร็วนะครับ”ผมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวแล้วเดินไปโอบล้อมรอบคอพี่วินเอาไว้จากด้านหลัง“พี่ไม่กลัวแก่ครับ แต่พี่ไม่ชอบให้ภัทไปใกล้ใคร ไปดีกับคนโน้นคนนี้เดี๋ยวก็มีคนมาชอบภัทอีก”“โห คิดไปโน่น ที่ผ่านมามีใครได้เข้าใกล้ภัทบ้างล่ะ แค่มาเฉียดพี่ก็ขู่ฟ่อ ๆ แล้ว”“ภัท พี่ไม่ใช่หมา !”ใบหน้าเง้างอนชัดเจนยิ่งกว่าเดิม พี่วินกอดอกแน่น หายใจฟึดฟัดเหมือนเด็กเอาแต่ใจที่โดนแย่งของเล่น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนนิสัยของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยน“โอ๋ ๆ ภัทไม่ได้ว่าพี่เป็นหมาสักหน่อย แค่จะบอกว่าพี่หวงภัทขนาดนี้ ใครจะกล้ามายุ่งกับภัทครับ และภัทก็ไม่มีทางไปยุ่งกับใครแน่น
“เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วใช่ไหม”พี่วินหันมาถามขณะที่ผมกำลังจะเคลื่อนรถออกจากบริษัท วันนี้เราสองคนต้องไปต่างจังหวัดเนื่องจากมีสาขาเปิดใหม่พี่วินเลยรับหน้าที่ไปดูแลการเปิดสาขาใหม่วันแรก โดยวันนี้เราจะลงใต้ไปจังหวัดชุมพรด้วยกัน“ทุกอย่างพร้อมแล้วครับ ทั้งเอกสารแล้วก็กระเป๋าเสื้อผ้า”“เยี่ยมมาก เป็นทั้งเลขาเป็นทั้งแฟน ทำทุกอย่างโดยไม่บกพร่อง ไตรมาสหน้าพี่จะปรับเงินเดือนเป็นห้าแสนดีไหม”“หึ เว่อร์มาก”ผมหลุดขำออกมา แต่เมื่อหันไปมองหน้าพี่วิน ผมรู้ว่าเขาคิดจริงและคงทำจริงได้ไม่ยาก เห็นแบบนั้นเลยต้องเอ่ยห้ามไว้ก่อน“แค่เดือนละแสนห้าผมก็เกรงใจคนอื่นจะแย่ ถ้าปรับเป็นเดือนละห้าแสนพ่อพี่คงเรียกผมไปคุยแน่”“เขาไม่เรียกหรอก เขาโอนกรรมสิทธิ์สาขาสามให้พี่เต็มตัวแล้ว”“ถามจริง”ผมแทบไม่เชื่อหูที่ได้ยินข่าวดีสุด ๆ ในวันนี้ แต่จะว่าไปก็คงไม่แปลกหรอก เพราะที่ผ่านมาพี่วินก็ตั้งใจและทุ่มเทกับสาขาสามเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่พี่วินเข้าไปดูแล ผลประกอบการก็ดีขึ้นและเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งลูกค้ายังบอกต่อและเอ่ยคำชมไม่หยุดหย่อนถึงการบริการและความเอาใจใส่ของพนักงาน ส่วนเรื่องมีตติ้งยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในทุกเดือนพ
“พี่วินจะเอาชุดพวกนี้ไปทั้งหมดจริง ๆ เหรอครับ”ผมหันไปถามคนที่นอนสบายใจเฉิบอยู่บนเตียง ตอนนี้เราสองคนกำลังจัดกระเป๋าเตรียมไปมีตติ้งภาคเหนือ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกต้องพูดว่าเป็นผมคนเดียวมากกว่าที่กำลังจัดกระเป๋าทั้งของผมและของพี่วิน ส่วนอีกฝ่ายน่ะ เอาแต่นอนมองผมทำโน่นทำนี่ เอามือเท้าคาง กลิ้งตัวไปมาบนเตียงอย่างอารมณ์ดี“ใช่แล้ว เอาไปหมดนั่นเลย รวมสกินแคร์ในขวดเล็ก ๆ ที่พี่เตรียมไว้บนโต๊ะหน้ากระจกด้วยครับ”ผมหันไปมองสกินแคร์ที่พี่วินบอกก็ได้แต่ส่ายหน้า นี่เขาลืมไปรึเปล่าว่าเราไปแค่ไม่กี่วัน เขาเอาทุกอย่างไปหมดราวกับจะย้ายบ้านยังไงอย่างนั้น“แล้วเสื้อคู่ กางเกงคู่ พี่จะเอาไปทุกชุดเลยเหรอ”“ครับ ทุกชุดเลย ของภัทก็ด้วย เราจะได้ใส่เหมือนกันไง”“เอาจริงดิ?”“อื้ม ตามนั้น”พี่วินยักคิ้วยียวน เขายังคงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง มองหน้าผมเป็นครั้งคราว รอยยิ้มบนใบหน้าเกิดขึ้นแทบตลอดเวลาที่ได้ดูผมจัดกระเป๋าให้เขาและเตรียมข้าวของทุกอย่างที่จำเป็นให้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านอกจากหน้าที่เลขาและคนรักแล้ว ตอนนี้ผมพ่วงหน้าที่แม่บ้านไปอีกตำแหน่งด้วยรึเปล่า แต่ไม่ว่าจะหน้าที่ไหนผมก็เต็มใจครับ เพราะผมรักเขา รักมากที
ผมกับภัทเป็นแฟนกันครับ แจ้งให้ทราบ เผื่อใครยังไม่ทราบ ถ้าทราบแล้วก็อยากให้ทราบอีก“พี่วิน พี่ส่งข้อความอะไรไปในไลน์กลุ่มพนักงานเนี่ย”ผมเอ่ยถามหลังจากที่เห็นข้อความแจ้งเตือนในกลุ่มไลน์พนักงาน และตอนนี้เราสองคนกำลังทานมื้อเที่ยง ก่อนจะกลับไปบริษัท“เปิดตัวไงครับ พี่อยากทำอะไรแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”“แบบนี้?”“อื้ม ใช่ พี่อยากประกาศให้โลกรู้ อยากบอกทุกคนว่าภัทเป็นแฟนพี่ ในที่สุดก็ได้ทำตามใจสักที”“ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ กรุปไลน์บริษัทมีพนักงานตั้งเยอะแยะนะพี่ อีกอย่าง วันก่อนพี่ก็บอกพนักงานทุกคนไปแล้วรอบนึงนี่นา”“แล้ว?”คนตรงหน้ามองผมด้วยสีหน้ายียวนกวนบาทาเป็นอย่างมาก หากไม่ติดว่าผมรักเขามากผมอยากจะเอื้อมมือไปเขกกบาลเขาสักทีเดี๋ยวนี้เลย“ก็ไม่แล้วยังไงหรอก ผมแค่ไม่ชิน แต่ถ้าพี่สบายใจที่จะประกาศเรื่องของเรากับใคร ๆ ก็แล้วแต่พี่ครับ”พูดจบผมก็ก้มหน้ากินข้าวต่อ ส่วนอีกฝ่ายก็นั่งหัวเราะชอบใจ ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้พี่วินจะมีท่าทีหรือการกระทำอะไรแปลก ๆ ตามมาอีกรึเปล่า เพราะเขาดูมีความสุขซะเหลือเกินที่เราสองคนไม่ต้องปิดบังสถานะอีกต่อไปแล้วและหลังจากที่ผมกับพี่วินกลับมาบริษัท ทุกอย่างก็เป็นไ
พ่อของพี่วินสั่งให้ทุกคนออกไปจากห้องประชุม แม้แต่พี่วินเองก็ตาม แม้ว่าเขาจะพยายามขออยู่ข้าง ๆ ผม แต่พ่อเขาก็ไม่ยอม ดูเหมือนว่าเรื่องที่เขาอยากคุยกับผมจะเป็นเรื่องซีเรียสขนาดหนัก ถึงขั้นไม่ยอมให้ใครอยู่ในห้องเลย สุดท้ายพี่วินเลยต้องจำยอมออกจากห้องไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ตอนนี้เลยมีแค่ผมและผู้ก่อตั้งองค์กรอยู่ในห้องประชุมกว้างขวาง ทั้งห้องเงียบสนิท แม้แต่เสียงของเครื่องปรับอากาศยังไม่มีให้ได้ยิน หัวใจของผมเต้นเร็วและแรงจนแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว เดาไม่ออกเลยว่าเขามีเรื่องสำคัญอะไรจะคุยกับผมผมที่เป็นแค่พนักงานธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น“ฉันติดตามการทำงานของเธออยู่ตลอดนะ เป็นพนักงานที่อายุงานน้อยที่สุดในบริษัท แต่กลับทำผลงานได้ดีเยี่ยม อีกทั้งยังได้รับคำชมจากลูกค้าหลายคนเรื่องของการบริการ ที่ฉันรู้เพราะคำชมพวกนั้นส่งตรงมายังเว็บเพจของบริษัทที่ฉันคอยดูอยู่ตลอด”ผมได้แต่ก้มหน้านิ่ง สมองกำลังประมวลว่าเขากำลังเอ่ยชมผมอยู่รึเปล่า ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนสมองเบลอและอ๊องมาก อาจเพราะตื่นเต้นที่เขาเรียกคุยส่วนตัว และผมก็ฟังอะไรแทบไม่รู้เรื่องเลย“ขอบใจเธอมากที่มาช่วยงานวิน แต่มีเรื่องนึงที่ฉันอยากรู้”“ครับท