๗ ปี ก่อนหน้า
บัวบูชา สินธปกรณ์ (ดอกบัวที่นำขึ้นบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์) คือชื่อของผู้หญิง อายุ ๒๑ ปี นักศึกษาชั้นปีที่สี่ สาขาการจัดการ คณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองหลวง เจ้าของร่างบางผิวขาวราวกับหยวกกล้วย ที่มีส่วนสูงประมาณ ๑๖๙ เซนติเมตร ใบหน้าเรียวยาวขาวนวลน่ารักสมวัย ผมหน้าม้าสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวปรกหน้าผากมนทำให้ใบหน้าหวานดูน่ารักขึ้นเป็นเท่าตัว
อีกทั้งจุดไฝสีดำเม็ดเล็กที่แต่งแต้มอยู่ข้างริมฝีปากล่างซ้ายนั้น ทำให้เวลายิ้มใบหน้าดูมีเสน่ห์ไม่น้อย เจ้าตัวในชุดนักศึกษาแขนสั้นสีขาว กระโปรงสีดำ สวมใส่ผ้ากันเปื้อนตัวเก่ง กำลังช่วยแม่ตักแกงใส่ถุงให้กับลูกค้ามากหน้าหลายตาที่มาต่อแถวรอซื้อกับข้าว
ตึกแถวสองชั้นที่เช่าอยู่ ใช้ชั้นล่างของห้องเปิดเป็นร้านขายข้าวแกงเล็กๆ ในทุก ๆ เช้าก่อนไปเรียน บัวบูชาจะลงมาช่วยแม่ขายข้าวแกงทุกวัน ร้านข้าวแกงอาหารเหนือร้านนี้ไม่มีวันหยุด เพราะถ้าหยุดนั้นก็หมายถึงรายได้ที่หายไป ตั้งแต่ที่พ่อเสียชีวิตไปด้วยโรคร้าย สองแม่ลูกที่ขาดเสาหลักของบ้านก็แทบล้มทั้งยืน ไหนจะหนี้สินที่ไปกู้ยืมนอกระบบมาเพื่อรักษาผู้เป็นพ่อ ภาระหนักจึงตกเป็นของแม่อุบล หญิงสาวชาวเหนือที่ทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดเข้ามาทำมาหากินในเมืองหลวงพร้อมกับสามีคู่ทุกข์คู่ยาก
ชีวิตก่อนหน้านั้นถึงจะไม่ได้สุขสบายมากนัก แต่ก็ไม่ได้ลำบากเท่าตอนที่สามีคู่ชีวิตที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเกือบยี่สิบปี ล้มหายตายจากไปเพราะโรคร้าย ตอนนั้นบัวบูชาที่กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก จึงต้องทำงานทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ในตอนนั้น เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของผู้เป็นแม่ ชีวิตในวัยรุ่นไม่เคยได้เที่ยวเล่นกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ต้องตื่นตั้งแต่ตีสามเพื่อมาช่วยแม่เตรียมของเตรียมวัสดุ จากนั้นก็ช่วยแม่ขายจนถึงหกโมงเช้า ก่อนจะรีบกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัวไปโรงเรียน
ส่วนตอนเย็นก็ไปช่วยแม่ขายผัดไทย ในตลาดนัดกลางคืนแห่งหนึ่ง จนถึงห้าทุ่มถึงจะได้พากันกลับบ้าน กว่าจะผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปได้ กว่าที่หนี้สินที่หยิบยืมมาจะใช้คืนเจ้าหนี้หมด สองคนแม่ลูกก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอดสี่ปีเต็ม จากเด็กหญิงมัธยมปลายในวันนั้น กลายมาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีที่สี่แล้ว แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนั่นก็คือการดิ้นรนทำมาหากินของสองแม่ลูกคู่นี้ จนเป็นภาพที่ชินตาของบ้านใกล้เรือนเคียงแถวนั้น
จากที่ขายทุกวันแทบไม่มีวันหยุด บัวบูชาก็บังคับให้แม่หยุดขายในวันเสาร์-อาทิตย์ โดยที่เธอจะออกไปทำงานที่ร้านกาแฟแทน เนื่องจากเป็นห่วงสุขภาพของผู้เป็นแม่ ด้วยวัยที่ย่างเข้าปีที่ห้าสิบหกแล้ว ยืนขายของนาน ๆ ก็ไม่ค่อยไหว เพราะมีปัญหาเกี่ยวกับข้อเข่า ทำให้ปวดขาเวลายืนนาน ๆ
“บัว ตักถุงนี้เสร็จก็ไปเรียนได้แล้วนะลูก จะเจ็ดโมงแล้ว วันนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอลูก รีบไปนะช่วงเช้ารถเยอะ เดี๋ยวจะไปไม่ทัน”
“ได้จ้ะแม่ ขออีกเจ้าหนึ่งนะ”
“พี่สาวเอาอะไรจ๊ะ?” ใบหน้าน่ารักหันไปตอบแม่ก่อนจะหันมาถามลูกค้าสาวที่ยืนรอคิวอยู่ตรงหน้า
“พี่เอาแกงหน่อไม้ ตำขนุน แล้วก็ลาบคั่วแล้วกันจ้ะ”
“ได้จ้ะ” มือเรียวสวยสาละวนกับการตักแกงใส่ถุงตามรายการที่ลูกค้าสั่ง ก่อนจะยื่นถุงพร้อมแจ้งราคา
“ขอบคุณมาก ๆ นะคะ” เจ้าของรอยยิ้มหวาน เอ่ยขอบคุณพร้อมกับรับเงินมาแล้วยื่นให้ผู้เป็นแม่
“เอาไว้ไปเรียนเถอะลูก”
“ไม่เป็นไรจ้ะแม่ หนูพอมีอยู่ ไม่ค่อยได้ซื้ออะไร แม่เก็บไว้เถอะ”
“ประหยัดได้นะลูก แต่ต้องไม่อดมากจนเกินไป”
“คร้าบบบบบผม หนูไปก่อนนะแม่ เจอกันเย็นนี้นะ”
“จ้าลูก”
บัวบูชานั่งรถเมล์มาลงป้ายหน้ามหาวิทยาลัยชื่อดังในเมืองหลวง สถานที่ที่เจ้าตัวได้รับทุนเรียนฟรีมาตั้งแต่ปีหนึ่ง กว่าจะคว้าทุนเรียนฟรีมาได้ก็เรียกได้ว่าเลือดตาแทบกระเด็นก็ไม่ผิดนัก ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่พ่อป่วย ครอบครัวประสบปัญหาหลาย ๆ ด้าน เธอต้องช่วยแม่ทำงาน และต้องแบ่งเวลามาอ่านหนังสือเพื่อสอบแข่งขันชิงทุนกับคนจำนวนมาก
แต่ก็นับว่ายังพอมีโชคอยู่บ้างที่เธอเป็นคนหัวเร็ว และเรียนเก่งมาตั้งแต่เด็กทำให้เธอสอบติดหนึ่งในนั้น แต่หลังเข้าเรียนแล้วก็ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อรักษาระดับผลการเรียนให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดตามหลักเกณฑ์ของทุนที่ได้กำหนดไว้ เพราะหากว่าเรียนไม่จบเธอต้องชดใช้เงินพร้อมค่าปรับตามจำนวนของเงินทุนที่ได้รับมาทั้งหมด
ร่างบอบบาง ผิวขาว ปากนิดจมูกหน่อย เดินเข้าห้องเรียนตามปกติ ดวงตาคู่สวยสอดส่องสายตามองหาเพื่อนสนิทที่ไลน์มาบอกก่อนหน้านี้ว่าได้จองที่นั่งให้เรียบร้อยแล้ว จนกระทั่งเห็นเพื่อนสาวโบกไม้โบกมือมาให้ บัวบูชาเลยรีบเดินตรงไปหาเพื่อนทันที
“มาช้านะแก” ณฤดี เอ่ยทัก
“รถติดอะ คนก็เยอะมากด้วย รอรถตั้งนาน” พูดจบก็หย่อนสะโพกลงบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ
“แกกินข้าวมาหรือยังอะ?”
“อืม กินจากที่บ้านมาแล้ว”
“ทำงานหนักมากนะแก ช่วงนี้ก็ใกล้สอบแล้วด้วย แกมีเวลาอ่านหนังสือบ้างไหมเนี่ย?”
“ไม่มีก็ต้องมีอะแก อาศัยอ่านช่วงเสาร์-อาทิตย์ หลังเลิกงานเอา”
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ เอ่อ... ว่าแต่ช่วงนี้แกรับงานจากเจ้กร อยู่ปะ?”
“ไม่อะ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีงานเลย เจ้กรบอกว่าส่วนมากตอนนี้จะเป็นงานถ่ายแบบพวกชุดว่ายน้ำซะส่วนใหญ่”
“แกไม่ลองรับถ่ายดูอะ หุ่นแกก็ดีอยู่นะ”
“ไม่เอาอะ เราไม่ได้เป็นมืออาชีพ อีกอย่างเราก็ไม่ได้มั่นใจในหุ่นของตัวเองขนาดนั้น”
และก่อนที่ทั้งคู่จะทันได้พูดอะไรกันต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาโดยอาจารย์ผู้สอนเสียก่อน สองสาวจึงต้องหยุดการสนทนาลงเพียงเท่านั้น และหันมาตั้งใจเรียนแทน
บ่ายวันเสาร์ ในร้านคาเฟ่ขนาดกลางบรรยากาศเป็นกันเอง ตกแต่งด้วยโทนสีขาวและสีน้ำตาลสไตล์มินิมอล มีทั้งไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งอยู่โดยรอบ ทำให้ร้านคาเฟ่แห่งนี้สะดุดตาผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่มาก บวกกับรสชาติที่อร่อยของเครื่องดื่มและเบเกอรี่ทำให้ร้านคาเฟ่แห่งนี้มีผู้คนเข้ามาไม่ขาดสาย บัวบูชาที่กำลังขะมักเขม้นชงเครื่องดื่มตามรายการที่ลูกค้าสั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ เงยหน้าขึ้นมองลูกค้าผู้มาใหม่ทันทีที่เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้น
“อ้าว! พี่เนย เจ้กร สวัสดีค่ะ” บัวบูชายกมือไหว้ เนยสาวสวยเจ้าของร้านแห่งนี้ที่กำลังเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับเพื่อนสาวประเภทสองชื่อกรกัณฑ์ เจ้าของโมเดลลิงที่เธอเรียกติดปากว่าเจ้กร
“สวัสดีจ้าคนสวย” เจ้กรรับไหว้ พร้อมเอ่ยทักทาย
“สวัสดีจ้าน้องบัว วันนี้ลูกค้าเยอะไหมจ๊ะ?” เจ้าของร้านสาวเอ่ยถาม
“เยอะค่ะพี่เนย เห็นว่ามีคนเอาไปลงเพจ มีคนตามมาทานเพียบเลยค่ะ”
“จริงเหรอ? เพจไหน ๆ พี่ต้องไปขอบคุณเจ้าของเพจแล้วสิ ทำให้คนรู้จักร้านเราเยอะขึ้น ทั้ง ๆ ที่ร้านเราเป็นแค่ร้านเล็ก ๆ”
“สวัสดีค่ะ พี่เนย เจ้กร เดี๋ยวน้ำเอาให้ดูค่ะ พี่รู้ไหมว่าตอนนี้ร้านเราดังใหญ่แล้วนะ คนอวยกันใหญ่ว่าบาริสต้าร้านเราเป็นสาวสวยแสนน่ารัก แถมกาแฟและเบเกอรี่ร้านเราก็อร่อยมาก” น้ำ สาวน้อยลูกจ้างอีกคนของร้านเอ่ยกับผู้มาใหม่ทั้งสอง
“สวัสดีจ้า น้องน้ำ จริงเหรอ! ดังใหญ่แล้วนะเรา” เนยหันมากระซิบกับบัวบูชา ซึ่งเจ้าตัวได้แต่ยิ้มรับอ่อน ๆ กับคำกล่าวชมของเจ้าของร้าน
“พี่เนยก็ชมเกินไปค่ะ”
“ก็น้องบัวน่ารักจริง ๆ นี่น่า ว่าแต่รู้จักกับน้องบัวมาก็ตั้งนาน พี่ยังไม่เคยเห็นแฟนน้องบัวเลยเนี่ย” เจ้าของร้านเอ่ยถาม
“บัวยังไม่มีแฟนค่ะ”
“เรื่องจริง?” เนยทำตาโต อย่างไม่เชื่อในสิ่งที่บัวบูชาบอก
“จริงค่ะ บัวไม่สนใจเรื่องความรักหรอก ทุกวันนี้แค่เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยก็เหนื่อยจะแย่แล้วค่ะ” คนตัวเล็กพูดยิ้ม ๆ
“โธ่! เด็กดีจริง ๆ ลูกสาวของเจ้”
“งั้นก็หางานให้น้องเยอะ ๆ สิแกอะ” เจ้าของร้านสาวหันมาพูดกับเพื่อน
“กูก็ป้อนงานให้น้องมันตลอดแหละ แต่ช่วงนี้มันไม่ค่อยมีงาน แกก็รู้” กรกัณฑ์อธิบาย
“แต่ไม่ต้องห่วงนะหนูบัว ถ้ามีงานเจ้จะรีบบอกหนูทันทีเลย เด็กดี นิสัยน่ารัก ๆ รู้จักกตัญญูอย่างหนู เจ้ไม่ทิ้งแน่นอนจ้ะ”
“ขอบคุณเจ้กร กับพี่เนยมาก ๆ เลยนะคะ พี่ทั้งสองคนช่วยเหลือบัวมาตลอดเลย” บัวบูชา ยกมือไหว้ด้วยความซึ้งใจในน้ำใจของพี่ทั้งสอง
“ไม่เป็นไรจ้ะ พวกพี่ ๆ ก็ช่วยได้เท่าที่ช่วยได้ เด็กกตัญญูแบบหนูตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้แน่นอน เชื่อพี่” กรกัณฑ์ ชายร่างใหญ่แต่ใจสาวโบกไม้โบกมือทำท่าทางบอกว่าไม่เป็นไร
“ใช่จ้ะ มีอะไรก็บอกกัน ปรึกษากันได้ พวกพี่สองคนพร้อมช่วยเสมอ”
“ขอบคุณค่ะ”
บัวบูชาเคารพพี่ทั้งสองคนนี้มาก คนแรกที่ช่วยเหลือเธอก็คือพี่เนยเจ้าของคาเฟ่ที่รับเธอเข้าทำงาน ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นทางร้านก็ไม่ขาดพนักงานด้วยซ้ำ ในวันที่เดินเตะฝุ่นหางานทำ เธอสะดุดตาเข้ากับร้านคาเฟ่แห่งนี้ เลยเดินเข้ามาซื้อน้ำหวานดื่มแก้กระหาย จากนั้นลองเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามพนักงานในร้านว่ารับสมัครพนักงานหรือเปล่า ประจวบเหมาะกับเจอเจ้าของร้านพอดี
พี่เนยเจ้าของร้านเห็นแล้วคงสงสารเลยรับเธอเข้ามาทำงาน เดือนแรกก็ช่วยเสิร์ฟ ล้างจาน และช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปก่อน หลังจากนั้นพี่เนยก็ให้ไปเรียนชงกาแฟ และเครื่องดื่มโดยมีพี่เกรซบาริสต้าคนเก่งของร้านเป็นคนสอน หลังจากนั้นสองเดือนพี่เกรซก็ลาออก เธอเลยได้มาเป็นบาริสต้าจำเป็นของร้านแทน
ด้วยความที่เป็นคนหัวเร็ว เรียนรู้จดจำได้ดี และผลจากการที่ช่วยแม่ขายของมาตั้งแต่เด็กทำให้บัวบูชามีทักษะในด้านนี้ ส่งผลให้เจ้าตัวทำมันออกมาได้ค่อนข้างดี เลยได้รับความไว้วางใจจากพี่เนยเจ้าของร้าน
ส่วนเจ้กร เพื่อนพี่เนย พึ่งมารู้จักทีหลัง วันนั้นเจ้กรแวะมาทานกาแฟที่ร้าน พอเห็นหน้าค่าตาเจ้กรก็ชักชวนมาเข้าโมเดลลิงของตัวเองทันที เริ่มแรกก็ป้อนงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ เช่น ถ่ายโฆษณาเป็นตัวประกอบเล็ก ๆ จนมาถึงถ่ายแบบงานบ้าง พอให้เธอมีรายได้ช่วยแม่อีกทางหนึ่ง สองคนนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพระคุณของบัวบูชาเลยก็ว่าได้
“บัว ทำอะไรอยู่ลูก”“หนูกำลังทำบลูเบอรี่ชีสพายจ้ะแม่ เที่ยงนี้ว่าจะเอาไปให้พี่ศิราที่โรงแรมจ้ะ”“อืม ช่วงนี้กับศิรา เป็นยังไงบ้างลูก”“ก็เหมือนเดิมจ้ะแม่ ไม่มีอะไรนี่จ๊ะ”“แม่ถามเฉย ๆ ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นเขามากินข้าวที่บ้านเลย”“ช่วงนี้พี่ศิรางานยุ่งอะแม่ เห็นว่าต้นปีหน้าจะเข้ารับตำแหน่งท่านประธานต่อจากพ่อเขาแล้ว”“คบกันมาตั้งนาน เขาไม่คิดจะพาเราไปพบพ่อแม่เลยเหรอลูก”“เอ่อ...พี่ศิรา ไม่ค่อยลงรอยกับพ่อเขาสักเท่าไหร่จ้ะแม่ หนูก็ไม่กล้าถามอะไรมาก ถ้าพี่เขาอยากเล่าคงเล่าเอง” บัวบูชาไม่กล้าสบตาผู้เป็นแม่เลยสักนิด เธอกลัวแม่จะรู้ว่าสถานะที่แท้จริงของเธอกับคุณศิรา ตอนนี้มันยังก้ำกึ่ง“อืม... บัว หนูรู้ใช่ไหมว่าแม่รักบัว” มือเหี่ยวลูบหัวลูกสาวคนเดียวเบา ๆ“จ้ะ” ใบหน้าสวยพยักหน้ารับ“ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน คนเข้มแข็งเท่านั้นที่จะรับมือกับมันได้ รักคนอื่นแต่อย่าลืมรักตัวเอง จำเอาไว้นะลูก” ผู้เป็นแม่สอนสั่ง“หนูจะจำไว้ หนูเผื่อใจมาตลอด ตั้งแต่วันที่หนูอนุญาตให้เขาเข้ามาในชีวิตแล้วจ้ะแม่”“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าลืมว่าบัวมีแม่นะลูก”“หนูรักแม่นะ”“แม่ก็รักลูกจ้ะ เสร็จแล้วก็รีบไปเถอะ จะสิ
วันเวลาดำเนินมาเรื่อย ๆ จนครบขวบปี บัวบูชาก็ตัดสินใจบอกแม่ถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับคุณศิราในวันที่เจ้าตัวสำเร็จการศึกษา แต่ท่าทางของแม่ดูไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่กับคำบอกกล่าวนี้เท่าที่ควร มันทำให้บัวบูชาค่อนข้างแปลกใจอยู่มาก สุดท้ายจึงได้รู้ว่าแม่ทราบเรื่องนี้นานแล้วในสายตาผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนก็เดาได้ไม่ยาก ที่จริงแม่เริ่มสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนที่เธอต้องไปนอนค้างที่ทำงานบ่อย ๆ แล้ว ไหนจะเรื่องเงินที่ใช้จ่ายภายในบ้าน ค่ายา ค่าจ้างพยาบาลพิเศษ หรือแม้แต่รถยนต์คันหรูที่เธอใช้ขับ แต่แค่ไม่รู้ว่าคนที่คอยช่วยเหลือเป็นใครเท่านั้นจนวันหนึ่งบัวบูชาพาศิรามาเยี่ยมแม่ ซึ่งในตอนแรกเธอแนะนำให้แม่รู้แค่ว่าชายหนุ่มเป็นเพียงพี่ที่สนิทเท่านั้น แต่ทุกอย่างก็ไม่สามารถเล็ดลอดสายตาของแม่ไปได้ในวันรับปริญญา คุณศิราซื้อบ้านให้เธอหนึ่งหลังเป็นรางวัล บัวบูชา ยังจำวันนั้นได้ดี ในตอนที่เธอกำลังถ่ายรูปรับปริญญากับแม่ และเพื่อน ๆ อยู่นั้นคุณศิราพร้อมกับเพื่อนทั้งสองคน เดินฝ่าฝูงชนตรงมายังที่ที่เธอกำลังยืนอยู่ มือหนาถือดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ พร้อมยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้เธอหนึ่งซอง
เปลือกตาสีไข่ขยับยุกยิก เพราะรู้สึกว่ามีอะไรเย็น ๆ มาสัมผัสบริเวณแก้มขาว ซึ่งมันรบกวนการนอนของเธออย่างมาก มือเล็กจึงปัดออกด้วยความรำคาญ“ตื่นได้แล้วค่ะ คนเก่ง วันนี้ฝึกงานวันแรกนะคะ” สิ้นประโยคดังกล่าว ดวงตากลมโตเบิกกว้างเป็นไข่ห่าน กระวีกระวาดลุกจากเตียงวิ่งตรงไปยังห้องน้ำทันที“ตายแล้ว! สายแน่ ๆ เลย” คนตัวเล็กแทบจะร้องไห้ เธอไม่อยากไปฝึกงานสายตั้งแต่วันแรกนะ“รีบอาบน้ำนะ พี่เตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว”“ขอบคุณค่ะ พี่ศิรา” ใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูยื่นหน้าออกมาจากห้องน้ำ พร้อมส่งรอยยิ้มมาให้จนตาหยี“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่น ได้ไหมครับ?” เสียงทุ้มกล่าว พร้อมด้วยสายตาหวานเยิ้มจนทำให้ร่างบางหน้าแดงระเรื่อ“พี่ไม่แกล้งแล้ว รีบไปอาบน้ำเถอะ ออกพร้อมพี่เลยนะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”“โอเคค่ะ”“ตั้งใจ ฝึกงานนะครับ เย็นนี้ให้พี่แวะมารับไหม?”“ไม่เป็นไรค่ะ เย็นนี้หนูว่าจะแวะไปหาแม่”“ได้ค่ะ งั้นเจอกันที่ห้องเลยนะครับ&r
ตี๊ดดเสียงสัญญาณประตูห้องดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มแสนมีเสน่ห์ ศิราในชุดทำงานเสื้อเชิ้ตตัวในสีขาวพับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก กับกางเกงสแล็กส์สีกรม มันช่างดูเข้ากันเป็นอย่างมากในสายตาของบัวบูชาคนร่างสูงยื่นเสื้อสูทสีเดียวกันกับกางเกงให้คนตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังมองมาที่เขานิ่งราวกับรูปปั้น“หนู เป็นอะไรคะ?”“เปล่าค่ะ” บัวบูชาตอบพร้อมกับส่ายหัวรัว ทำให้ศิรายิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู“พี่ศิรา จะทานข้าวหรือว่าอาบน้ำก่อนดีคะ?”“พี่ว่ากินข้าวก่อนดีกว่า ถ้าอาบน้ำก่อนเดี๋ยวจะไม่ได้กินข้าวเอา”“…”ร่างบางอึกอัก ทำตัวไม่ถูกกับคำพูดเย้าหยอกของอีกฝ่าย ใบหน้าจิ้มลิ้มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวลูกตำลึงสุกจนลามไปถึงใบหู“หน้าแดงใหญ่แล้ว หนูเขินเหรอคะ?” ร่างสูงเอ่ยแซว“พี่ศิรา ไม่แกล้งหนูสิ”“โอเคค่ะ พี่ยังไม่แกล้งตอนนี้ เรามากินข้าวกันก่อนดีกว่าเนอะ ตอนนี้พี่หิวมากเลย”“โห น่ากินจังเลยครับ” ศ
มือเรียวสวยหยิบนามบัตรใบเล็กสีดำขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ของคืนนี้แล้วก็ไม่อาจนับได้ “ศิรา กิจธนะวรกุล” ชื่อเจ้าของนามบัตรเด่นชัดอยู่ตรงหน้า พร้อมเบอร์โทรติดต่อ“เฮ้ออออ” เสียงถอนหายใจยาวดังขึ้นจากร่างบาง ทำให้ใบตองที่นั่งข้าง ๆ หันมามองด้วยความสงสัย“พี่บัว เป็นอะไรไปตองเห็นพี่ทำหน้ากลุ้มใจแบบนี้มาหลายวันแล้วนะ” หญิงสาวอดไม่ได้จึงเอ่ยถามออกไป“พี่มีเรื่องให้ตัดสินใจนิดหน่อยน่ะ”“ปรึกษา ตอง ได้นะพี่” ใบตองสาวสวยเด็กนั่งดริ๊งก์ประจำร้านเอ่ย“ขอบใจจ้ะ”“ว่าแต่ช่วงนี้ไม่เห็นคุณศิราเลยเนอะ ปกติเขาจะมาหาพี่เกือบทุกคืน” หญิงสาวชวนคุย“บ้า มาหาพี่ที่ไหนกัน” บัวบูชา ก้มหน้าพูดกลบเกลื่อน“แหม พี่บัว ใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้น ดูก็รู้ว่าคุณเขาชอบพี่มาก ๆ เลยนะ”“…”“เป็นตองนะ ไม่ปล่อยให้หลุดมือหรอก ถึงไม่ได้เป็นแฟน เป็นกิ๊กก็ยังดี”“เดี๋ยวเหอะ แก่แดดเกินไปแล้วนะเรา
“แหมมมม มึง วาสนาคนเรานี่มันไม่เท่ากันซะจริงจริ้ง มึงว่าไหม?”“นั่นนะสิ บางคนทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด ทิปไม่ได้สักบาท” บัวบูชาหยุดชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเดิน เนื่องจากได้ยินเสียงพูดคุยของพนักงานหญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงทางเดินแว่วมาเข้าหู“ส่วนคนบางคนเดินชม้อยชม้ายส่งสายตายั่วแขกก็ได้ทิปเป็นปึก ๆ สบายไปเลย ตอนนี้เดือน ๆ ได้หลายหมื่นแล้วมั้ง”“ก็วาสนามึงมีไม่เท่าเขาอะเนาะ ก็ต้องทำใจ”“แล้วก็ชอบทำเป็นเล่นตัวนะ อ่อยคนนั้นคนนี้ไปทั่ว แต่ละคนหน้าไม่เคยซ้ำ”บัวบูชาหยุดฟังจนบทสนทนาดังกล่าวจบไป ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง ทำได้แค่ก้มหน้าเดินผ่านไป เลี่ยงทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนากระแหนะกระแหนเมื่อสักครู่หญิงสาวไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใคร ที่มาทำงานก็เพื่อหาเงิน ใครจะคิดยังไง จะว่ายังไงเธอไม่สน ร่างบางรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนยังไง ผู้หญิงพวกนั้นก็แค่พวกขี้อิจฉา ที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่าตัวเองไม่ได้ ก็เท่านั้น“คุณศิรา รอนานไหมคะ” หลังเลิกงานบัวบูชารีบเดินออกมาจากร้านทันทีเพราะกลัวว่าอีก