ในยามเช้าของบ้านสกุลจางยังคงวุ่นวายไปด้วยผู้คนเหมือนเคย ตั้งแต่มีการประกาศจัดตั้งกลุ่มการค้าเมื่อหลายวันก่อน ชาวบ้านหลัวถงก็แวะเวียนมาที่กระท่อมปลายนาไม่ขาดสาย ทว่าวันนี้ดูจะคับคั่งเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นวันที่ชาวบ้านจะขึ้นเขาเพื่อไปเรียนรู้ต้นหญ้าหวาน วิธีการเก็บ รวมถึงวิธีการทำน้ำตาลผักด้วย
แต่เนื่องจากเมื่อวานสองพ่อลูกสกุลจางหมดเวลาไปกับการแก้ไขปัญหาให้เหลาอาหารซิ่งฝูและการติดต่อนายช่างเรื่องการสร้างบ้านเป็นเวลานาน จางอี้หมิงจึงไม่มีเวลาเหลือพอไปหาซื้อวัตถุดิบมาใช้ทำหัวเชื้อน้ำตาลผัก ดังนั้นการสอนการทำน้ำตาลผักจึงขอเลื่อนออกไปก่อน
จางอี้เทานับจำนวนชาวบ้านที่มาเข้าร่วมอย่างละเอียด แต่ละครอบครัวต่างก็ส่งตัวแทนมาบ้านละหนึ่งหรือสองคน เหลือเพียงบ้านของหลวนซานที่ไม่มีใครมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าครบตามจำนวนแล้ว เขาและอี้หมิงจึงพาชาวบ้านเดินขึ้นไปบนเขาที่มีต้นหญ้าหวานอยู่
เมื่อมาถึงบริเวณที่มีต้นหญ้าหวาน ด้านหน้าเป็นทางชันต้องเดินลงไปตามไหล่เขาซึ่งจุดนี้เองที่อี้หมิงก็เคยพลาดตกลงไป
“เอาล่ะทุกคน ข้างล่างนั่นมีต้นหญ้าหวา
“อาเทา อย่าไปถือสาหลวนซานเลย ไหนลองบอกขั้นตอนต่อไปสิว่าพวกเราต้องทำเช่นไรอีกบ้าง” ซุนซูเย่เอ่ยถาม“เกลือผักที่บ้านจางคิดค้นขึ้นมานั้นทำมาจากต้นหญ้าสายรุ้งที่อยู่ริมชายทะเล ล้างให้สะอาด นำไปตากแดดให้แห้ง เสร็จแล้วนำมาบดให้ละเอียด เพียงเท่านี้ก็ได้เกลือผักแล้ว” จางอี้เทาบอกวิธีการทำเกลือผักให้ทุกคนเข้าใจอย่างคร่าวๆ“ง่ายเพียงเท่านี้ แต่บ้านจางเก็บค่าสูตรถึงสองอีแปะ จะไม่เอาเปรียบพวกเราชาวบ้านเกินไปหรือ” หลวนซานได้ยินวิธีการทำเกลือผักที่ง่ายถึงเพียงนั้นก็เอ่ยแย้งออกมา“เช่นนี้ไม่ถูกนะหลวนซาน เจ้าบอกว่าง่ายถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดที่ผ่านมาชาวบ้านหลัวถงถึงไม่นำหญ้าสายรุ้งมาทำเกลือผักเล่า บรรพบุรุษของพวกเจ้าอยู่ที่หมู่บ้านนี้มากี่ชั่วอายุคนแล้ว แต่พอบ้านจางคิดค้นทำเกลือผักขึ้นมาได้ แล้วนำมาบอกต่อให้กับชาวบ้านเจ้าถึงกับกล่าวหาว่าสกุลจางหน้าเลือด ข้าไม่เห็นด้วยที่เจ้าจะกล่าวเช่นนี้ และจงจำเอาไว้ หากเจ้าต้องการทำเกลือผัก จะต้องนำมาขายให้กับกลุ่มการค้าหลัวถงเท่านั้น หากว่าเจ้าแอบลักลอบนำไปขายเอง ก็อย่าหาว่าชาวบ้านคนอื่นใจร้าย ข้าขอเตือนเจ้าไว้ว่าอย่าได้คิดหาทำเช่นนั้นไม่” ซุนถงเอ่ยดักทางหลวนซานผู
“ฮะ ฮะ ฮะ ข้าเตือนพวกเจ้าแล้วว่าบ้านจางเป็นพวกหลอกลวงแต่ก็ไม่มีใครเชื่อข้าสักคน บ้านจางหลอกให้พวกเจ้าปฏิเสธงานในเมือง หลอกให้พวกเจ้าดีใจว่าจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ตอนนี้พวกเจ้าคงรู้ตัวแล้วใช่หรือไม่” หลวนซานหัวเราะเสียงดังหลังจากได้ฟังจบ เขาผยองตัวขึ้นอย่างผู้ที่มีชัย “หลวนซาน หากเจ้าไม่พูดไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นใบ้ ไม่ช่วยคิดหาวิธีแก้ปัญหาก็จงเงียบ พวกข้าจะได้หาทางออกเรื่องนี้กัน” ซุนซูเย่ต่อว่าหลวนซาน ชายเพียงคนเดียวที่มีคติต่อบ้านจาง“เราไปหาซื้อฟืนจากหมู่บ้านอื่นดีหรือไม่” ชายคนหนึ่งออกความเห็น“เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะหมู่บ้านอื่นก็ต้องสะสมฟืนสำหรับหน้าหนาวเช่นกัน ทุกปีที่ผ่านมาฟืนก็เกือบจะไม่พอใช้อยู่แล้ว เรื่องฟืนเป็นปัญหาของเรื่องนี้จริง ๆ” ซุนถงตอบคำถามของลูกบ้านและถอนหายใจออกมา“หากเราตัดไม้มาทำฟืนแทนเล่า” ชายอีกคนเสนอความเห็นบ้าง“พวกเรามิต้องตัดไม้จนหมดภูเขาหรือไร” ชาวบ้านอีกคนตอบผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ จางอี้เทาเห็นว่าทุกคนคงไม่มีทางออกถึงปัญหาเรื่องฟืนเป็นแน่แท้แล้ว เขาจึงแจ้งเรื่องที่สองต่อทันที“สำหรับเรื่องที่สอง ถึงแม้ว่าเรายังหาข้อสรุปเรื่องน้ำตาลผักไม่ได้ แต่ข้ามีข่าวด
เช้าวันนี้อากาศแจ่มใส แสงแดดอุ่นสาดลงมาพร้อมหมู่นกกาที่โบยบินผ่านกระท่อมปลายนาไป ครอบครัวสกุลจางต่างตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ของตน แต่หามีความสดใสหรือเสียงหัวเราะอย่างเช่นตามปกติไม่ เหตุเพราะว่ามีปัญหาที่ยังคิดไม่ตก ยิ่งในตอนเช้าของวันนี้ต้องไปพบชาวบ้านก็ยิ่งรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ จางอี้เทาได้แจ้งให้หัวหน้าหมู่บ้านทราบตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วถึงการขอนัดรวมกลุ่มเมื่อถึงเวลา ครอบครัวสกุลจางจึงพร้อมใจกันไปที่ลานหมู่บ้านซึ่งอยู่ที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเหมือนเช่นเคย วันนี้มีชาวบ้านมารออยู่ก่อนแล้วเป็นจำนวนมาก แม้แต่หลวนซานก็มาร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย “วันนี้ที่ข้าเรียกประชุมก็เกี่ยวเนื่องจากบ้านสกุลจางมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ เช่นนั้นบ้านจาง เจ้าก็แจ้งข่าวเถอะ” ซุนถงเป็นคนกล่าวเปิดการประชุม เสร็จแล้วจึงถอยไปนั่งตรงเก้าอี้ประจำของตนเองจางอี้เทาเป็นคนลุกขึ้นยืนและแจ้งข่าวที่เขาก็ไม่อยากบอกให้กับชาวบ้านได้รับฟัง แต่ต่อให้เลื่อนเวลาออกไปให้นานแค่ไหน สุดท้ายก็จำเป็นต้องแจ้งข่าวนี้อยู่ดี“วันนี้สกุลจางมีข่าวการค้ากับหนิงอ๋องมาแจ้งอยู่สองสามเรื่อง โปรดฟังด้วยความตั้งใจ หากมีคำถามจงรอจนกว่าข้าจะเล่าเรื่อ
“อืม” จางอี้เทาหลังจากที่ได้ฟังปัญหาที่ เขาจึงนั่งลงและช่วยคิดหาวิธีจนลืมดื่มน้ำที่ตนเองกระหายนักหนา เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งเค่อ สุดท้ายก็คิดวิธีขึ้นมาได้“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดเราไม่แบ่งหัวเชื้อน้ำตาลผักออกเป็นสิบไหเล็กที่มีขนาดเท่ากัน แล้วนำหนึ่งไหหัวเชื้อน้ำตาลผักเล็กไปต้มเพื่อให้ได้น้ำตาลผักอีกสิบไหเล่า เช่นนี้เราก็รู้ปริมาณที่แน่นอนแล้ว” จางอี้เทาเล่าวิธีการทดลองให้ทั้งสองคนได้ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“โอ้ จริงด้วยขอรับท่านพ่อ เช่นนี้เราก็ไม่ต้องใช้ไหเปล่าถึงหนึ่งร้อยไห และยังทดลองปรับเปลี่ยนสูตรได้ง่ายขึ้นเพราะไม่ต้องต้มในปริมาณครั้งละมาก ๆ ท่านพ่อท่านช่างฉลาดยิ่งขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถึงข้อดีของวิธีที่บิดาบอกมาก่อนจะเข้าไปกอดผู้เป็นพ่อไว้ด้วยความดีใจท่านพ่อของเขาช่างฉลาดหลักแหลม สมแล้วที่เป็นบัณฑิต “เมื่อได้วิธีแล้ว พวกเราก็มาทดลองกันต่อเถอะหมิงเอ๋อร์ บิดาเจ้าจะได้ดื่มน้ำและไปล้างต้นหญ้าหวานที่ลำธารเสียที” นางหูเอ่ยสรุปให้หลายชายได้ฟังจางอี้เทารู้สึกคอแห้งทันทีเมื่อมารดาเอ่ย มัวแต่นั่งคิดหาวิธีแก้ปัญหาจนลืมจุดประสงค์ที่เข้ามาในบ้านไปเสียสนิทตลอดบ่ายนั้นครอบครัวจางไม่ว่าจะเป็นนางหูและ
ขั้นตอนมากมายถึงเพียงนี้นางไม่สามารถจดจำได้หมดในครั้งเดียว ที่ทำได้ขณะนี้ก็เพราะว่ามีหลานชายคอยประกบอย่างใกล้ชิด หากต้องลงมือเพียงลำพังแล้วผิดพลาดขึ้นมาจะลำบากเอาได้“ข้าจะช่วยท่านย่า ต่อไปเมื่อท่านย่าทำบ่อยขึ้นท่านย่าก็จะชำนาญแน่นอนขอรับ นอกจากนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ก็สามารถมาช่วยท่านย่าทำได้ด้วย” อี้หมิงเอ่ยให้กำลังใจ“หมิงเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าหนึ่งครั้งที่เราทำ จะได้หัวเชื้อน้ำตาลผักกี่ไห”ระหว่างที่อบหัวเชื้อน้ำตาลผักก็มีเวลานานพอที่นางหูจะเอ่ยถามถึงข้อมูลต่าง ๆ เพราะนางกังวลถึงเรื่องนี้มาหลายวันแล้วตั้งแต่ที่ได้รับใบสั่งซื้อจำนวนมาก“ถ้าเราต้มด้วยหม้อใบนี้ไปตลอด ข้าคิดว่าคงได้เพียงไหเดียวขอรับ”“อะไรนะ ได้เพียงไหเดียวเท่านั้นเองหรือ หัวเชื้อน้ำตาลผักหนึ่งไห ทำน้ำตาลผักได้หนึ่งร้อยไห ท่านอ๋องสั่งซื้อหนึ่งแสนไห เราต้องทำหัวเชื้อจำนวนหนึ่งพันไห จากที่เรานั่งทำกันมาตั้งแต่ต้นจนใกล้เสร็จนี้ใช้เวลาไปประมาณครึ่งชั่วยาม หากหนึ่งวันพวกเราทำงานทั้งวัน ตั้งแต่ยามเฉิน (07.00 – 08.59) จนถึงยามโหย่ว (17.00 – 18.59) ก็เป็นเวลา หกชั่วยามแล้วหนึ่งชั่วยามได้หัวเชื้อน้ำตาลผักสองไห ทำงานหกชั่วยาม ดังนั้นห
“เอาตามที่หมิงเอ๋อร์ว่า เจ้าช่างฉลาดเสียจริง” นางหูชื่นชมหลานชาย นางเยินยออี้หมิงอีกพักใหญ่ ท่าทางสุดแสนจะภูมิใจจนเด็กชายยิ้มกว้างเต็มใบหน้าสองย่าหลานเดินตามกันไปยังหน้าเตา นางหูก่อไฟต้มน้ำ ส่วนอี้หมิงหยิบวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ พวกเครื่องเทศ สมุนไพรที่จะใช้ทำหัวเชื้อมาวางไว้ สำหรับปริมาณคงต้องลองผิดลองถูกกันต่อไป“หมิงเอ๋อร์ ย่าต้องทำอันใดต่อไป” หญิงชราเอ่ยถามหลานชายหลังจากที่ก่อไฟตั้งหม้อต้มน้ำเรียบร้อยแล้ว จางอี้หมิงเขย่งปลายเท้าสูงขึ้นเพื่อตรวจดู เมื่อเห็นว่าน้ำในหม้อร้อนแล้วแต่ไม่ถึงกับเดือดจึงบอกขั้นตอนต่อไป“ขั้นตอนแรกท่านย่าเอาน้ำร้อนนะขอรับ ไม่ต้องเยอะ ใส่ลงไปในชาม เอาดอกเก็กฮวยแห้งลงไปลวก คนให้ทั่วสักประมาณ 10 ครั้งก็เพียงพอแล้วขอรับ”“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดเราถึงต้องลวกดอกเก็กฮวยก่อนเล่า” “เพื่อไม่ให้น้ำตาลผักมีรสเฝื่อนและยังเป็นการล้างฝุ่นหรือสิ่งสกปรกออกจากดอกเก็กฮวยด้วยขอรับ ถ้าใส่น้ำเยอะและลวกนานมันจะกำจัดกลิ่นที่หอมออกไปจนหมดขอรับ”“น้ำเท่านี้พอหรือไม่ นานเท่านี้ย่าทำถูกหรือไม่” นางหูเอ่ยถามหลานชายหลังจากที่นำดอกเก็กฮวยแห้งลงไปลวกแล้ว“ท่านย่าทำถูกต้องแล้วขอรับ ลวกเสร็จแล้วท่
“ท่านแม่ได้งานผ้าปักจากเถ้าแก่เนี้ยมาเช่นนั้นหรือขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามมารดาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นหลังจากได้ทราบข่าวดีวันนี้ระหว่างที่กินมื้อเช้าเสร็จแล้ว สมาชิกทุกคนในบ้านสกุลจางต่างพากันมานั่งพักผ่อนรับแสงแดดอุ่น ๆ ในเช้าวันใหม่ เมื่อวานตอนขากลับมาถึงบ้าน ทุกคนยังอกสั่นขวัญหายไม่เลิกกับเหตุการณ์ที่จวนท่านอ๋อง จางอี้หมิงเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมอยู่ในเหตุการณ์มากที่สุด ท่าทางดุดันแต่มีเมตตาขอหนิงอ๋องเล่นเอาหวั่นใจอยู่นาน เด็กน้อยจึงไม่ได้เล่ารายละเอียดอันใดให้ใครฟังจนกระทั่งตอนนี้“ใช่แล้วจ้ะ เถ้าแก่เนี้ยเป็นคนให้ผ้าและอุปกรณ์ปักผ้าทั้งหมดมา แม่เพียงลงมือทำเท่านั้น ท่านพ่อของเจ้ายังแนะนำให้แม่สอนหญิงชาวบ้านที่สนใจด้านนี้ ในอนาคตผ้าปักของกลุ่มการค้าหลัวถงอาจจะมีชื่อเสียงขึ้นมาก็เป็นได้” หลี่อ้ายตอบบุตรชายด้วยรอยยิ้ม นางดีใจยิ่งนักที่สามารถช่วยครอบครัวให้มีรายได้อีกทาง“หมิงเอ๋อร์ ตอนนี้คงหายตกใจพอที่จะเล่าให้พ่อฟังถึงเหตุการณ์เมื่อวานได้แล้วใช่หรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยถาม เขาเห็นว่าบทสนทนาของแม่ลูกไม่มีอันใดต่อแล้วจึงต้องการทราบเรื่องราวระหว่างที่เกิดขึ้นขณะที่ตนเองกับภรรยารออยู่ในห้องรับรอ
“ท่านอ๋อง หยกนั่นมิใช่ว่า.......” “ท่านอาจารย์ มิมีอันใดดอก ท่านอาการดีขึ้นก็ดียิ่งแล้ว” หนิงอ๋องเอ่ยขัดคำพูดของอาจารย์ก่อนที่จะเปิดเผยอะไรไปมากกว่านี้“ท่านอาจารย์เทียนขอรับ ข้าขอสอบถามอันใดสักอย่างได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงนึกขึ้นได้ว่าตนเองเห็นแผลที่บริเวณหน้าแข้งของชายวัยกลางคน ดูท่าจะยังไม่เก่ามาก“ได้สิ เจ้าต้องการรู้สิ่งใดหรือ”“แผลตรงขาของท่านเกิดจากอันใดหรือขอรับ เหตุใดจึงไม่ทำแผลพันผ้าไว้เล่าขอรับ ข้าขออภัยหากว่าได้ละลาบละล้วงท่านอาจารย์มากเกินไป”“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ทหารในกองกำลังเหลียงอันต่างรู้กันทั้งนั้น แผลนั้นทำให้ขาเดินกะเผลกอยู่ทุกวันนี้ ในตอนแรกเพียงโดนหินบาดตอนที่ข้าไปอาบน้ำที่ลำธาร แต่ไม่ว่าจะรักษาเช่นใดแผลก็ไม่แห้งและเริ่มลามออกเป็นวงกว้าง ท่านหมอก็สุดที่จะรักษาแล้ว”เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านอาจารย์เทียนเป็นโรคเบาหวานเวลาที่เกิดแผลถึงหายยาก หากปล่อยไว้เช่นนี้อีกต่อไปขาอาจจะเน่าและลุกลามได้ แต่โรคทั่วไปมันก็มีตั้งมากมายนี่นา จะใช่ตามที่เขาคิดหรือไม่ก็ไม่รู้แต่ลองเสี่ยงถามไปก่อนแล้วกัน “ท่านอาจารย์ ช่วงนี้ท่านรู้สึกอ่อนเพลีย กินอาหารเพิ่มมากขึ้น แต่ร่างกายกับผอ
“ข้าน้อยเข้าใจขอรับ”“เจ้าลุกขึ้นและกลับไปนั่งที่ได้ ความผิดได้แจ้งไปแล้วถึงเวลาความชอบบ้าง ในเมื่อเจ้าได้ช่วยชีวิตท่านอาจารย์ของเราไว้ รวมทั้งได้ทำหุบเขาเดียวดายให้ข้าได้ลิ้มรส เช่นนั้นข้าขอมอบรางวัลให้กับความกล้าหาญของเจ้าในครั้งนี้ เจ้าต้องการสิ่งใดเป็นสิ่งตอบแทนจงบอกมา” “ข้าน้อยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนขอรับ มีเพียงเจตนาบริสุทธิ์ที่จะช่วยท่านอาจารย์เท่านั้น”“ข้าหนิงอ๋อง มิเคยต้องติดหนี้บุญคุณของผู้ใด เจ้าจงเอ่ยมา ข้ายินดีมอบให้ทุกอย่างในสิ่งที่ข้าสามารถให้เจ้าได้”“เช่นนั้น ข้าขอคำสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือครอบครัวข้าน้อยเป็นจำนวนหนึ่งครั้งและความช่วยเหลือนั้นจะเป็นสิ่งที่ท่านอ๋องสามารถให้ได้ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยความต้องการออกไปอย่างอ้อนน้อมแต่ก็ชัดเจน ทำให้หนิงอ๋องถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง“ฮะ ฮะ ฮะ ข้าไม่แปลกใจที่เจ้าขอสิ่งตอบแทนเป็นสิ่งนี้ จางอี้เทา เจ้าช่างสอนบุตรชายได้ดียิ่ง เหตุใดถึงได้เจ้าเล่ห์ตั้งแต่เด็กเช่นนี้ ข้าชักอยากรู้จักเจ้าให้มากขึ้นเสียแล้ว เจ้าใช่ชาวบ้านธรรมดาแห่งหมู่บ้านหลัวถงจริง ๆ เช่นนั้นหรือ” “เรียนท่านอ๋อง ข้าน้อยและครอบครัวเคยอาศัยที่เมืองหลวงก่อนที่จะย้า