เป็นเช้าที่มาธาวีตื่นขึ้นมาอย่างไม่สดชื่นเอาเสียเลย ทั้งที่บ้านเธออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ อากาศสดชื่นเย็นสบาย ปกติมานอนที่บ้านเมื่อไรหญิงสาวจะลุกขึ้นไปยืนมองพระอาทิตย์ขึ้นหน้าระเบียงห้องนอนตอนเช้า ทว่าวันนี้แม้แสงแดดส่องผ่านกระจกที่ผ้าม่านเปิดแง้มเอาไว้เจ้าของร่างอรชรก็ไม่มีอารมณ์จะลุกขึ้นแต่อย่างใด ได้แต่นอนพลิกไปพลิกมาอยู่อย่างนั้น กระทั่งได้ยินเสียงข้อความเข้ามาในมือถือจึงหยิบขึ้นมาดู
‘พี่ปัฐบอกให้ส่งเบอร์เขาให้สองน่ะ แล้วเขาก็ขอเบอร์สองไปด้วย เห็นว่ารับปากพ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงเอาไว้ตอนท่านชวนไปทานข้าวที่บ้าน เลยขอเบอร์สอง’
เห็นข้อความของกัญญานันแล้วก็ได้แต่ทิ้งมือถือลงอย่างอ่อนแรง ไม่นึกอยากให้ปัฐวิกรมาที่บ้านของเธอเลยสักนิด สังหรณ์ในใจบอกเธอว่าเรื่องราวคู่หมั้นจอมปลอมจะไม่จบลงแค่ที่พี่สาวของเธอ
แม้แทบไม่อยากลุกจากเตียงนอนไปเผชิญหน้ากับมาลินีในเวลาอาหารเช้า แต่มาธาวีก็ต้องขยับตัวเพราะไม่อยากทำตัวให้ผิดปกติจนอีกฝ่ายหาเรื่องค่อนขอดได้อีก จึงลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายใจ
ร่างโปร่งระหงในชุดข้าราชการเรียบร้อยเดินลงจากบันไดไปก่อน มาธาวีที่ก้าวออกมาเห็นอีกฝ่ายหยุดกึกรอให้พี่สาวลงไปแล้วจึงถอนหายใจแล้วเดินตามไปช้าๆ วันนี้เป็นวันจันทร์ โรงเรียนของเธอหยุด ทว่าเป็นวันทำงานต้นสัปดาห์ของพี่สาว
คิดไปแล้วมาธาวีก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาเพื่อนร่วมงานของพี่สาวเธอแต่ละคนไปทำงานกันสภาพอย่างไร เพราะส่วนใหญ่ต่างก็ทำงานข้าราชการ มีเพียงบางคนที่มีธุรกิจของตัวเองหรือทำงานบริษัทใหญ่ๆ เพราะคนระดับพรชิตาไม่คบหาคนธรรมดาทั่วไปแน่นอน
“นอนหลับฝันดีไหมล่ะ”
นั่นไงมาแล้ว ความประชดประชันนี้คงต้องได้ยินจนกว่าเธอจะกลับไปพักโรงเรียนนั่นแหละ
“ค่ะ”
มาธาวีเลือกที่จะตอบสั้นๆ เพื่อจบปัญหา และตอนนี้บิดามารดาก็เข้ามาในห้องอาหารแล้วด้วย
“เมื่อคืนกลับดึกกันไหมลูก คุณปัฐมาส่งใช่ไหมจ๊ะ”
แม่เลี้ยงมารตีถามลูกสาวสองคนเพราะฝากฝังไว้กับชายหนุ่ม
สองสาวเหลือบมองตากันแล้วมาลินีก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยอมพูด คนเป็นน้องจึงต้องตอบ
“ค่ะ”
“คุณปัฐนี่ดูดีจริงๆ เลยนะ แม่จำคุณกลางได้ รายนั้นแพรวพราวเจ้าเสน่ห์เชียว แต่พี่ชายนิ่งๆ สุขุมดูเป็นผู้ใหญ่น่าเชื่อถือกว่า”
มารดาพูดแล้วก็เอื้อมมือมาจับมือของลูกสาวคนโต
“หนึ่งมองได้ดี ถูกใจแม่มากเลยคนนี้”
คำพูดของมารดาทำให้มาลินีกระตุกยิ้มมุมปาก ขณะที่มาธาวีกลืนน้ำลายลงคอ สายตาล่อกแล่กไม่สบายใจ กลัวว่าพี่สาวจะหลุดอะไรออกมา
“อย่าเพิ่งเร่งรีบไปเลยคุณ เจอกันไม่กี่ครั้ง คุยกันจริงจังก็แค่เมื่อคืนเอง เรายังไม่รู้จักเขาเท่าไร คุณปัฐเขาอาจจะมีคนที่คบหาอยู่ก็ได้”
พ่อเลี้ยงเอ่ยเบรกสองแม่ลูกเอาไว้ก่อน ไม่อยากให้แสดงออกมากจนเกินไปนักเพราะอย่างไรเสียก็เป็นผู้หญิง
“แหม ถ้าเขามาตามคำชวนของดิฉันก็หมายความว่าเขาสนใจลูกสาวเราอยู่เหมือนกัน จริงไหมคะ”
มาลินีแอบคิดในใจว่า ‘สนใจน่ะใช่ แต่ไม่ใช่เธอ’
“เขาอาจจะเกรงใจ ทางบ้านเขาก็มีหน้ามีตา ยังไงก็คงรู้มารยาทอยู่แล้ว”
“โธ่ พ่อเลี้ยงก็ เข้าข้างลูกสาวเราบ้างสิคะ ลูกหนึ่งสวย เก่ง การงานดีขนาดนี้”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่บอกให้ค่อยๆ ทำความรู้จักกันไป เพราะเราก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณปัฐเขาเท่าไร”
พ่อเลี้ยงอยากให้ค่อยๆ ดูกันไปมากกว่า ไม่ใช่ท่านมองว่าปัฐวิกรเสียหายอะไร ออกจะคิดว่าดูเหมาะสมกับลูกสาวคนโตของท่านไม่น้อยเช่นกัน แต่เพราะฐานะสังคมทางบ้านของเขาก็ไม่ธรรมดา ออกตัวมากเกินไปทางด้านปัฐวิกรอาจจะมองไม่ดีนัก
“เอาเถอะ พ่อเลี้ยงจะใจเย็นก็ได้ค่ะ แต่ดิฉันเชียร์ลูกหนึ่งกับคุณปัฐเต็มตัว”
มาธาวีแสร้งเกาหัวตัวเอง หันหน้าไปอีกทางแล้วแอบถอนหายใจ รู้สึกปวดหัวขึ้นมากะทันหัน เธอต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นได้โดนพ่อกับแม่ดุแน่หากเรื่องปัฐวิกรหลุดจากปากพี่สาว
“สวัสดีครับคุณสอง”
อธิปทักอย่างอารมณ์ดี เขาเมมชื่อหญิงสาวเอาไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ติดต่อคุยงานกันตอนที่มาธาวีพาเด็กๆ มาแสดงในงานที่เขาดูแล เพราะถูกใจความสวยน่ารักของอีกฝ่าย เมื่อชื่อเธอโชว์ขึ้นมาบนหน้ามือถือเขาก็เอ่ยทักทันที
“สวัสดีค่ะ”
มาธาวีทักกลับมาเสียงเบาก่อนจะพูดต่อ
“พอดีสองจะชวนคุณอธิปไปทานข้าวที่บ้านเย็นนี้น่ะค่ะ”
“ครับ?”
คนที่อยู่ๆ ส้มก็หล่นตรงหน้าถามซ้ำอย่างงุนงง
“คือว่าวันนั้นคุณอธิปเองก็ช่วยสองเหมือนกัน แล้วที่บ้านจะเลี้ยงอาหารเย็นคุณปัฐ สองคิดว่าน่าจะเลี้ยงคุณอธิปด้วย ก็เลยโทรมาชวนน่ะค่ะ”
ชายหนุ่มได้ฟังแล้วก็ยิ้มออกมาที่หญิงสาวคิดถึงเขา แต่ก็อดเกรงใจไม่ได้
“เอ่อ ผมไม่ค่อยได้ทำอะไรเลยครับ”
“ถ้าคุณไม่รีบพาเขาออกไปก็คงยังคาราคาซังอีกนาน ยังไงสองก็อยากขอบคุณค่ะ”
มาธาวียืนยัน
คนฟังรู้สึกดีที่หญิงสาวที่ตนสนใจเอ่ยชวน และเป็นโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดอีกฝ่ายมากขึ้นจึงตอบตกลงไป
=====
“แต่งงาน!”เสียงหวานอุทานลั่นห้องสอนรำทำให้นักเรียนที่กำลังเตรียมตัวจะกลับบ้านต่างก็หันมามองเธอ รวมทั้งกัญญานันที่กำลังดื่มน้ำอยู่ข้างๆ คนรูปร่างไล่เลี่ยกันก็ถึงกับเหลือบมองเพื่อนด้วยความสงสัย“เรื่องมันเลยเถิดไปหมดแล้วเนี่ย เพราะคุณคนเดียวเลย”มาธาวียังโวยวายใส่ปลายสาย ลืมไปเสียสนิทว่าตนเองกำลังอยู่ในที่มีคนค่อนข้างเยอะกัญญานันหันไปยิ้มให้เด็กก่อนจะกระซิบบอกเบาๆ“ไปจ๊ะ เดี๋ยวครูลงไปส่งนะคะทุกคน”เด็กนักเรียนคลาสนี้เป็นเด็กโตจึงไม่ต้องรอให้ผู้ปกครองมารับ เธอสามารถดูแลคนเดียวได้ หญิงสาวส่งสัญญาณบอกมาธาวีว่าจะลงไปข้างล่างก่อนอีกฝ่ายก็พยักหน้าด้วยสีหน้าไม่ดีนัก กัญญานันจึงออกไปข้างนอกแล้วปิดประตูให้เพื่อนคุยได้สะดวกขึ้น“ฉันบอกไปตั้งแรกแล้วว่าไม่เอาด้วย แต่คุณก็ยังบังคับอยู่ได้ แล้วเป็นไงล่ะ”มาธาวีบ่นไม่จบ ตอนนี้เธอถึงกับปวดหัวจี๊ดขึ้นมาเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเธอรู้ได้อย่างไร ยิ่งแย่กว่านั้นก็คือพวกท่านถึงกับติดต่อไปหาบิดาของปัฐวิกรเลยทีเดียว เรื่องโกหกของเขากับเธอบานปลายใหญ่โตจนผู้ใหญ่ต้องการให้แต่งงานกันแล้ว‘ผมแค่โทรมาบอกให้คุณรู้เอาไว้ก่อน แค่นั้น จะได้ไม่ตกใจถ้าที่บ้านพูดเรื
“ลูกหนึ่งมีปัญหาไหมจ๊ะ ถ้าพ่อกับแม่ตัดสินใจแบบนี้”มาลินีนั่งน้ำตาซึมเมื่อพูดคุยกับบิดามารดาในห้องทำงานของบิดาอย่างเคร่งเครียดหลังมื้ออาหารเย็นในวันต่อมา มารดาบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเธอต่อหน้าบิดา ทั้งสามคนจึงเข้ามาคุยในพื้นที่ส่วนตัว แล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อได้รู้ว่ามารดารู้เห็นทั้งหมดตอนที่เธอทะเลาะกับน้องสาว“ไม่ค่ะ”เธอตอบไปเสียงเบา“แม่ไม่อยากให้ลูกเสียใจนะจ๊ะ แม่รักลูกนะลูก”แม่เลี้ยงมารตีบอกลูกสาวคนโตด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ ท่านเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายกดดันตัวเองมาตั้งแต่เด็ก และไม่พอใจน้องสาวที่ไม่เคยต้องแบกรับภาระใดๆ เลย“หนึ่งก็รักคุณแม่ค่ะ”น้ำตาหยาดหยดพร้อมคำพูดนั้น ทว่ามาลินีรีบปาดออกและมองตอบมารดาด้วยดวงตาฉายแววมั่นคงมั่นใจ“พ่อไม่เคยคิดว่าลูกจะเครียดขนาดนี้ พ่อขอโทษนะลูก เป็นพ่อเองที่พูดคุยกับลูกเรื่องเรียน เรื่องงานมากกว่าน้อง”พ่อเลี้ยงศราเอ่ย รู้สึกสงสารลูกสาวคนโตนัก ที่อีกฝ่ายต้องแบกความหวังของท่านเอาไว้บนบ่าถึงเพียงนี้“พ่อคิดว่าลูกเป็นลูกคนโต เรียนเก่ง มีความเป็นผู้ใหญ่ในตัวสูง คุยกับพ่อเข้าใจได้ แล้วลูกก็ดูเหมาะที่จะรับราชการ ไม่คิดว่าจะทำให้ลูกเครียดเก็บทุกอย่างไว้ก
“เป็นไงบ้างสอง”ก้าวเข้ามาข้างในก็เห็นกัญญานันลุกขึ้นจากโซฟาหันมามองด้วยสีหน้าเป็นห่วง มาธาวีกะพริบตาปริบไล่น้ำที่เอ่อคลอขึ้นมาพร้อมตรงเข้าไปกอดเพื่อนสนิทก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่คิดจะกลั้นไว้อีกแล้ว“ฮือๆๆ ก้อย สองจะทำยังไงดี”เธอร้องออกมาด้วยความกดดัน หวาดกลัว ที่สำคัญอาการร้อนวูบวาบที่วิ่งวนอยู่กลางอกแล้วกระจายไปทั่วร่างในตอนที่ถูกปัฐวิกรจูบสร้างความหวั่นไหวให้กับเธอจนน่าตกใจ มาธาวีสับสนในความรู้สึกและความคิดของตัวเองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ใจหวิวหวั่นทว่าสมองเกรงกลัวอีกฝ่ายเธอเคยถูกทำร้ายจากคุณากรมาแล้วครั้งหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นทำให้เธอหวาดผวา แต่ปัฐวิกรทำให้เธอเกร็ง หวาดหวั่น หากกลับใจสั่นอย่างไรชอบกล และเธอก็ไม่ได้ขนลุกจนอยากผลักชายหนุ่มออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้เหมือนคุณากร“ทำไม มีอะไรเหรอ ทะเลาะอะไรกับพี่ปัฐ”กัญญานันถามเพื่อนพร้อมกับลูบหลังอีกฝ่ายเธอเป็นห่วงมาธาวีตั้งแต่ได้ยินอีกฝ่ายทะเลาะกับพี่สาว ที่สำคัญเป็นเพราะพี่ชายของเธอ หญิงสาวถามไถ่เพื่อน ทว่ามาธาวีบอกว่ารอมาคุยกันที่โรงเรียน ยิ่งมาถึงพี่ชายก็ดึงเพื่อนเอาไว้คุยกันเนิ่นนาน ออกมาแล้วอีกฝ่ายยังเป็นแบบนี้อีกนั่นทำ
ปัฐวิกรไม่ได้เพียงแนบปากกับปากหญิงสาวเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มบดเบียดเม้มกลีบปากอิ่มขยับไล้ด้วยปลายลิ้นตนเองทำเอาคนที่ไม่เคยจูบถึงกับสะดุ้งพยายามเอนหน้าหนีให้มากที่สุด ทว่ากลายเป็นยิ่งเธอปฎิเสธเขาก็ยิ่งอยากเอาชนะ แขนที่โอบร่างเล็กรั้งอีกฝ่ายเข้าแนบชิดอกกว้างมากกว่าเดิมมาธาวีประท้วงอึกอักหากก็ไม่อาจฝืนชายหนุ่มได้ นอกจากปากกระด้างกว่าปากตนเองที่เบียดเน้นแผ่วเบาแล้ว ความลื่นเย็นชื้นที่กวาดไล้อยู่เหนือกลีบปากสลับกัน ทำเอาใจสาวเต้นกระหน่ำรุนแรงจนร้อนรุ่มไปทั้งใบหน้าและเนื้อตัว รู้สึกกลัวหากก็เหมือนถูกดึงดูดด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ยากจะบอกได้ว่าคืออะไรร่างอรชรอ่อนยวบลงเข้าไปในอกหนาพร้อมกับที่จิตใจและร่างกายไร้กำลังต้านทานชายหนุ่มได้แล้วในตอนนี้ ปากอิ่มเล็กเผยอขึ้นเพราะหายใจไม่สะดวก แต่กลับถูกล่วงล้ำด้วยลิ้นอุ่นร้อนร้าย“อือ”หญิงสาวทำได้เพียงส่งเสียงขัดขืน เพราะเนื้อตัวเธอไม่เหลือเรี่ยวแรงใดแม้แต่จะขยับตัวคนจูบรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะยอมจำนนต่อเขาเพราะเธอระทวยจนเนื้อตัวอ่อนในอกของตน ทว่าเขาต้องการทำให้อีกฝ่ายหลาบจำและทำโทษในคราวเดียวกัน เพราะเขาไม่ชอบให้ใครทำอะไรลับหลังเขา โดยเฉพาะมาธาวี เธอควรจะ
แม้จะมีเรื่องไม่สบายใจหากแม่เลี้ยงก็เก็บความรู้สึกนึกคิดเอาไว้เพียงในใจและแสดงออกอย่างปกติ พูดคุยกับทั้งปัฐวิกรและอธิป ถามไถ่เรื่องความถูกปากของอาหารอย่างใส่ใจ พร้อมทั้งพยายามสังเกตท่าทีของลูกสาวสองคน ซึ่งทั้งคู่ก็ดูไม่มีปัญหาอะไร และเมื่อสังเกตปัฐวิกรกับมาธาวีก็ไม่เห็นถึงความพิเศษใดๆ ท่านจึงอดแปลกใจไม่ได้“คุณปัฐกับคุณอธิปมาทานข้าวที่บ้านได้บ่อยๆ นะคะ ไม่ต้องเกรงใจ นานๆ บ้านนี้จะครึกครื้นคนเยอะสักที มีโอกาสแบบนี้บ่อยๆ คนแก่สองคนจะได้สดชื่นขึ้น”แม่เลี้ยงเอ่ยขึ้นหลังจากย้ายมาทานขนมหวานเล็กๆ น้อยๆ กันที่ห้องรับแขก“คุณแม่...หนึ่งก็อยู่บ้านนี้นะคะ มีหนึ่งอยู่ด้วยก็เหงาเหรอคะ”มาลินีพูดเสียงเรียบทว่าใบหน้างอนิดๆมารดารู้สึกตัวว่าพลาดทำให้ลูกสาวคนโตที่ท่านเพิ่งรับรู้ว่ามีปมในใจน้อยใจ ท่านจึงรีบแก้ตัว“แม่หมายถึง คุณพ่อจะได้มีเพื่อนคุยถูกคอแบบวันนี้ไงจ๊ะ”พูดแล้วก็หันไปวางมือลงบนหลังมือสามี“ใช่ไหมคะคุณ”มือที่วางกระชับเล็กน้อย พร้อมสายตาของภรรยาที่มองมาดูมีบางอย่างน่าสงสัย แต่พ่อเลี้ยงก็ตอบกลับอย่างเห็นด้วย“นั่นสิ คุณปัฐมาเชียงใหม่อีกเมื่อไรก็อย่าลืมแวะมาหาคนแก่นะครับ อธิปด้วย ทำงานกับลู
ก่อนมื้ออาหารเย็น ปัฐวิกรกับอธิปเข้าไปคุยกับพ่อเลี้ยงในห้องสมุดของบ้าน ขณะที่แม่เลี้ยงยังควบคุมดูแลอาหารมื้อใหญ่ที่เรือนครัวจนเรียบร้อยแล้วจึงขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อขจัดกลิ่นและคราบเหงื่อไคลเพราะต้องต้อนรับแขกอย่างเหมาะสมมาธาวีพากัญญานันเดินดูรอบบ้านกับเรือนกล้วยไม้จนมืดจึงกลับเข้ามา เมื่อเพื่อนอยากเข้าห้องน้ำและต้องคุยโทรศัพท์กับสามีเธอจึงพาขึ้นไปบนห้อง เพราะอย่างน้อยจะได้คุยอย่างเป็นส่วนตัว จากนั้นตนเองก็เลี่ยงออกมาแล้วก็เจอกับมาลินีที่อยู่ในชุดอยู่บ้าน หากก็เป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงพอดีตัวอย่างดูดีเป๊ะตามสไตล์สาวมั่น“ทำไมต้องเป็นฉันที่มาคอยตามแก้ปัญหาให้เธอ”พออยู่กันสองคนมาลินีก็ใส่คนเป็นน้องทันที เพราะต่อหน้าปัฐวิกรไม่อาจบ่นอีกฝ่ายได้“สองก็ไม่ได้อยากให้พี่หนึ่งมารับผิดชอบหรอก”มาธาวีเสียงอ่อย เธอก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ต้องให้มาลินีมาโกหกพ่อกับแม่ช่วยตัวเองแบบนี้ ความจริงเธอตั้งใจนัดแนะกับอธิปก่อนตอนขึ้นรถมาด้วยกัน ว่าเธอเชิญเขามาเพราะอยากขอบคุณที่อีกฝ่ายช่วยเรื่องงานของโรงเรียนเอาไว้หลายครั้ง ด้วยความที่ไม่ต้องการให้พวกท่านรู้ว่าในคืนนั้นเกิดปัญหาขึ้น“แล้วทำไมเรื่องมันถึงมาต