เสียงที่ดังขึ้นทำลายความเงียบสงบของอุทยาน ทำเอาเซียงหรงตกใจจนเผลอทำเข็มปักผ้าปักมือตนเอง พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเฉินชิวเยว่ พี่หญิงใหญ่ จูงมือน้อยๆ ของน้องห้า เฉินหมิงเยว่ เดินตรงมา ทั้งคู่เป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุหาน หานชิงเยว่ จึงสนิทสนมกันเหมือนๆ กับที่พี่หญิงรอง เฉินเหม่ยลี่ และน้องสี่ เฉินเหม่ยเซียง ที่เกิดจากอนุจาง จางเหม่ยเหมย
ที่จริงแล้วผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ นางตั้งใจปักให้ท่านย่าเป็นของขวัญวันเกิดที่กำลังจะมาถึงในอีกสามเดือนข้างหน้า ทว่า...
เอาเถิด ประเดี๋ยวนางค่อยปักเอาใหม่ก็ได้
“ได้สิเจ้าคะ” เซียงหรงยิ้มรับ “เอาไว้ข้าปักผ้าผืนนี้เสร็จเมื่อไหร่ จะให้คนนำไปส่งให้พี่หญิงใหญ่ทันที”
เฉินชิวเยว่แย้มรอยยิ้มงดงามราวบุปผา
“น้องสามช่างเป็นเด็กดีที่หนึ่ง เจ้าแสนดีเช่นนี้ สมควรแล้วที่ท่านพ่อและท่านย่าจะรักเอ็นดูน้องสามมากกว่าพวกเราพี่หญิงน้องหญิงมากสักหน่อย...”
เฉินหมิงเยว่เห็นว่าพี่สาวจะได้ผ้าเช็ดหน้าปักลวดลายงามระยับ ก็อยากได้บ้าง รีบออกปากขอทันที
“พี่สาม...หมิงเยว่ก็อยากได้ผ้าปักลายที่งดงามเช่นนี้บ้าง พี่สามปักให้หมิงเยว่อีกสักผืนได้หรือไม่!”
เซียงหรงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย นางเคยชินกับเรื่องแบบนี้เสียแล้ว
“เอาสิ ปักผืนนี้เสร็จเมื่อไหร่ พี่สามจะปักผ้าลวดลายงดงามวิจิตรบรรจงให้เจ้าอีกผืนหนึ่ง”
เห็นน้องห้าท่าทางดีใจ เฉินเซียงหรงก็แย้มยิ้ม พลอยรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
อา...วันนี้นางก็ได้กระทำสิ่งดีๆ เพื่อพี่หญิงน้องหญิงของตนอีกเรื่องแล้ว...
อาจเพราะรอยยิ้มที่มุมปากกับแววตารังเกียจดูแคลนของพี่หญิงใหญ่ เกิดขึ้นเพียงวูบเดียวราวกับภาพลวงตา เสี่ยวเซียงหรงจึงได้แต่คิดว่าตนเองตาฝาดไป
พี่หญิงใหญ่ของนางกิริยามารยาทงดงาม ยามติดตามอนุหานออกไปร่วมงานเลี้ยงที่ใด ได้ข่าวว่าผู้คนต่างพากันชื่นชมพี่หญิงใหญ่ไม่ขาดปาก พี่หญิงใหญ่เป็นสตรีที่ดีเช่นนี้ จะแสดงกิริยาที่ท่านย่าดูแคลนว่าเป็นกิริยาของพวกคนช่างริษยาน่ารังเกียจได้อย่างไร…
อื้ม! ถูกแล้ว ก็เพียงแต่ตาฝาดจึงมองผิดไปเท่านั้น
ขณะนางกำลังครุ่นคิดเงียบๆ อยู่นั้น จู่ๆ พี่หญิงใหญ่ของนางก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงน่าฟัง
“น้องสาม...ผ้าผืนนี้ ลายปักออกจะน้อยไปสักหน่อย ไม่สู้...ครั้งนี้เจ้าปักลายผีเสื้อเพิ่มให้พี่ใหญ่ตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ เป็นอย่างไร?”
ปักเพิ่มหรือ?
พอคิดๆ ตามดูแล้ว นางก็รู้สึกว่าจะทำให้ผ้าปักผืนนี้งดงามขึ้นมากจริงๆ
เอาเถิด...ต่อให้ต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้น แต่หากทำออกมาแล้วถูกใจพี่หญิงใหญ่ เช่นนั้นก็นับว่าคุ้มกันแล้ว
“เจ้าค่ะ” เซียงหรงรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนเริ่มร่างลายผีเสื้อตัวเล็กตัวใหญ่ลงบนผืนผ้า แล้วส่งให้เฉินชิวเยว่ช่วยดู “พี่หญิง...ปักเช่นนี้ดีหรือไม่”
“ดี! ดีสิ งดงาม งดงามแปลกตามากเหลือเกิน!” เฉินชิวเยว่ไม่คิดว่าพอวาดลายออกมาแล้วจะสวยขึ้นมากจริงๆ ครั้งนี้ก็เหมือนเช่นครั้งก่อนๆ นางก็แค่ชี้มือชี้ไม้ส่งเดชไปเท่านั้นเองจริงๆ นะ!
พอเห็นว่าพี่ใหญ่ได้ผ้าปักที่มีลายผีเสื้อ น้องห้า หมิงเยว่ ก็เกิดอยากได้ขึ้นมาบ้าง นางขยับเข้ามาชะโงกหน้าดูผ้าปักในมือเซียงหรง
เฉินหมิงเยว่ชี้นิ้วไปที่ผีเสื้อทั้งสาม ออกปากขออย่างไม่เกรงใจ
“พี่สาม! ข้าก็จะเอาอย่างพี่ใหญ่ ข้าจะเอาแบบนี้ แบบนี้ แล้วก็แบบนี้! ทว่าข้าอยากได้ผีเสื้อให้มากๆ หน่อย เอาสัก...เอาสักฝูงนึง! เอาสักร้อยตัวเลย!”
ระ ร้อยตัว?!
“น้องห้า...มีที่ใดกัน ร้องขอลายปักผีเสื้อตั้งร้อยตัว พี่สามที่ไหนจะมีใจอยากปักผีเสื้อให้เจ้ามากมายถึงเพียงนั้น” เฉินชิวเยว่ปรามเสียงหวาน
“ข้า...” เซียงหรงหนักใจเล็กน้อย
นางก็ไม่อยากปักลวดลายเช่นนั้นจริงๆ นั่นแหละ
ทว่า...ทว่าน้องห้า...
เอาเถิด ถ้าเรื่องนี้จะทำให้น้องหญิงห้าของนางพอใจ...
“ข้าที่ไหนจะปฏิเสธคำขอน้องห้าของพวกเราได้...” เซียงหรงส่งยิ้มจางๆ ให้น้องห้า เพื่อให้น้องห้าของตนมั่นใจว่าจะได้รับผ้าปักลายตามที่ขอจากนางจริงๆ นางรีบกล่าวยืนยันเสียงใส “ในเมื่อน้องห้าชอบผีเสื้อถึงเพียงนี้ พี่สามก็จะปักลายผีเสื้อร้อยตัวให้เจ้า จะปักให้งดงามสมจริงราวกับผีเสื้อเหล่านั้นโบยบินได้เลยทีเดียว!”
เห็นรอยยิ้มใสๆ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนของน้องสาวคนที่สามแล้ว เฉินชิวเยว่ก็เกิดหงุดหงิดขึ้นมา ทั้งยังหมดอารมณ์จะพูดจากับเด็กน้อยน่าโมโหที่ยอมเออออตามผู้คนไปหมด ยามกลั่นแกล้งสิ่งใด ฉกชิงสิ่งใด เด็กคนนี้ก็กลับยิ้มรับ คอยทำตัวเป็นคนดีอยู่ตลอดเวลา ดูราวกับคนเสียสติอย่างไรอย่างนั้น!
ประโยชน์ที่ควรได้ก็ได้แล้ว เฉินชิวเยว่ไม่อยากเสียเวลาตีฟูกชกลม
“น้องหญิงสามกำลังปักผ้า คงต้องใช้สมาธิ เช่นนั้นพี่ใหญ่กับน้องห้าคงไม่อยู่รบกวนเวลาพักผ่อนหย่อนใจของน้องสามแล้ว” กล่าวจบ เฉินชิวเยว่ก็จูงมือเฉินหมิงเยว่ น้องสาวร่วมมารดา จากไปด้วยรอยยิ้มเหมือนทุกครั้ง
เซียงหรงค้อมศีรษะน้อมส่งพี่หญิงของตน
น่าแปลกนัก เหตุใดจึงรู้สึกว่ารอยยิ้มของพี่หญิงใหญ่มักจะไม่พาดผ่านไปถึงดวงตา...
ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น…อย่าได้คิดอะไรที่ไม่ดี...
เฉินเซียงหรงบอกตัวเองในใจ พลางยกมือทั้งสองข้างของตนเองขึ้นตบหน้าตัวเองเบาๆ สองสามแปะ แล้วเริ่มปักผ้าในมือต่อไปด้วยรอยยิ้ม
“หึ...โง่เง่า...”
เสี่ยวเซียงหรงรู้สึกคล้ายได้ยินใครสักคนกล่าววาจาไม่น่าฟัง
นางรีบมองไปตามเสียง กลับพบเพียงอนุจาง จางเหม่ยเหมย ยืนส่งรอยยิ้มหวานล้ำให้อยู่ไม่ไกล
เซียงหรงค้อมศีรษะน้อยๆ แย้มยิ้มตอบ
อย่าได้คิดอะไรที่ไม่ดี...อย่าได้คิดอะไรที่ไม่ดี...เจ้าก็เพียงแต่หูแว่วไปเองเท่านั้น... เด็กน้อยอย่างนางไม่เคยกระทำสิ่งใดผิดต่อผู้อื่น แน่นอนว่าย่อมไม่เคยกระทำสิ่งใดผิดต่ออนุจาง เช่นนี้แล้วอนุจางจะเกลียดชังนางได้อย่างไร?
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ