กลางดึกอันหนาวเหน็บ เสียงแมลงกลางคืนกรีดร้องผสานเสียงกระแสลมหวีดหวิวผ่านกิ่งไม้สูงฟังแล้วน่าขนลุก เฉินเซียงหรงรู้สึกตัวขึ้นมาก็พบว่าตนเองโชคดีถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากซัดมาเกยริมตลิ่ง ทว่ายามนี้ร่างกายเปียกปอนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
นางจำได้ดี ว่าก่อนหน้านี้ ตอนที่ตกลงมา มีบุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่งดิ่งตัวตามลงมารวบตัวนางไว้ เดาว่าคงไม่พ้นเป็นคนของพี่ชายรอง หรือไม่ก็เป็นคนของ...อนุหาน?
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เหตุการณ์ครั้งนี้อาจเป็นแผนการของอนุหาน นางก็ทั้งผิดหวังเสียใจที่ความปรารถนาดีของนางรวมถึงความใจกว้างที่แล้วๆ มา ที่มีต่อ ‘ท่านแม่ทั้งสาม’ และพี่น้องต่างมารดาในจวนรวมถึงคนของพวกเขาทั้งหมดกลายเป็นเรื่องโง่เง่า และยิ่งกว่าเสียใจที่ไม่เชื่อคำเตือนของน้องชายสาม ทั้งยังโกรธตนเองที่ได้แต่รับการปกป้องจากพี่ซู่ซินของนางเช่นนี้
ทว่ายามนี้ไม่อาจย้อนเวลาไปแก้ไขสิ่งใดแล้วทั้งนั้น สิ่งที่นางทำได้มีเพียงการพยายามเอาชีวิตรอดกลับไป...กลับไปเพื่อหยุดยั้งคนเหล่านั้น ไม่ให้แตะต้องพี่ชายและน้องชายร่วมครรภ์มารดาของนาง และเผื่อว่าจะสามารถช่วยเหลือพี่ซู่ซินที่เอาตัวเองเข้าปกป้องนางในเรื่องใดได้บ้าง
นางจะต้องมีชีวิตรอดกลับไป!
ต้องมีชีวิตรอดกลับไปหาพี่ซู่ซิน ต้องพาพี่ซู่ซินกลับไปที่จวนเพื่อมอบชีวิตที่มั่นคงและสุขสบายให้พี่ซู่ซินที่รักปกป้องคนซึ่งหาได้มีสายเลือดเกี่ยวพันกันแม้สักนิดอย่างนาง ในขณะที่คนที่เรียกตัวเองว่าครอบครัวร่วมกันทำร้ายนาง อีกทั้งเพื่อสะสางเรื่องครั้งนี้และเรื่องอื่นๆ ให้กระจ่างชัด ทวงความยุติธรรม ลากเอาตัวผู้คิดร้ายออกมาให้หมดเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับพี่ชายน้องชายร่วมครรภ์มารดาของนางในอนาคต
จะไม่มีอีกแล้ว เฉินเซียงหรงที่เอาแต่วางตัวโง่งมเหมือนไม่รู้เท่าทันสิ่งใด นับจากนี้นางจะไม่ยอมลงให้ผู้ใดแล้วทั้งนั้น และจะต้องปกป้องคนของตัวเองทุกคนเอาไว้ให้ได้!
ทว่า...ไม่แน่ว่าผู้ที่โชคดีรอดตายมาได้อาจไม่ได้มีเพียงนาง บุรุษบ้าบิ่นที่ถลาตามลงมาจับตัวนางเองก็อาจรอดตาย อาจถูกน้ำซัดไปเกยพุ่มไม้หรือริมตลิ่งที่ใดสักแห่งใกล้ๆ นี้เช่นกัน...
ต้องรีบไปจากที่นี่...
ก่อนอื่น...ต้องหาที่ซ่อน และรักษาตัวเองให้หายดี...
คิดได้ดังนั้น เฉินเซียงหรงก็พยายามลากสังขารที่ร้าวระบมไปทั้งตัวหลบออกไปจากริมลำธาร พยายามหาที่ซ่อนที่ปลอดภัย
ทุกย่างก้าวของนางล้วนเต็มไปด้วยความยากลำบาก ข้อเท้าที่บวมเป่งเพราะเกิดพลิกเมื่อตอนกระโดดหนีลงมาจากที่พัก เจ็บจนทำให้แทบจะก้าวขาไม่ออก
“ฮึก...พี่ซู่ซิน...พี่ใหญ่...น้องเล็ก...” เซียงหรงหน้าซีด ตัวสั่น ดวงตากลมโตที่เคยสดใสเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ขอบตาของนางแดงก่ำ น้ำตาไหลเอ่อผสมปนเปกับน้ำจากแม่น้ำและคราบดินบนใบหน้า เส้นผมที่เคยเรียงตัวเงางามยามนี้ยุ่งเหยิงชุ่มน้ำ ผมด้านหน้าบางส่วนลู่ลงมาปรกหน้าปรกตา บางส่วนเกาะติดแนบไปกับแก้ม อากาศรอบกายหนาวจัดจนกระดูกสันหลังของนางเย็นเยียบ ชุดกระโปรงที่เคยงดงามกลับเปื้อนโคลนและขาดวิ่น
เซียงหรงกอดตัวเองไว้แน่น พยายามต้านลมหนาวที่แทรกซึมเข้ามาจนถึงเนื้อใน
ต้องรอด...
ต้องกลับไปให้ได้...
“ข้าจะไม่ตาย...ข้าจะไม่ตายตรงนี้...” เซียงหรงกัดฟันพูดกับตัวเอง พยายามข่มความเจ็บและความหวาดกลัวเพื่อฮึดสู้
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนแบบไหนกันแน่ เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความโกรธ “เจ้าจะพลีกายให้คนที่ไม่รู้จัก ไม่สนว่าจะเป็นใคร เพียงเพราะต้องการหนีการแต่งงานงั้นหรือ?!”เซียงหรงกัดริมฝีปาก นางหลบสายตาเขา รู้ดีว่าคำพูดของตนเองอาจจะดูไร้ยางอาย แต่ในสถานการณ์นี้ นางมองไม่เห็นทางเลือกอื่นใดอย่างน้อยคนผู้นี้ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย เดินทางร่วมกันมานานหลายวัน เขาไม่เคยฉวยโอกาส ไม่ใช้กำลังบังคับข่มเหง ย่อมจะต้องเป็นผู้มีคุณธรรมและมีเกียรติมีศักดิ์ศรีผู้หนึ่ง ซ้ำยังเป็นสหายกับผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือพี่ซู่ซิน ของนางเอาไว้ ในตอนที่นางจากไป นางย่อมสามารถฝากฝังพี่ซู่ซินของนางให้พวกเขาดูแล อีกทั้ง…“ชีวิตนี้ของข้าเป็นท่านช่วยไว้ถึงสองครั้ง” หากนับเรื่องที่เขายังเป็นคนช่วยพานางที่เหนื่อยจนหมดสติไปพักและรักษาให้ในกระท่อมร้าง ก็ไม่ใช่เพียงสองครั้ง แต่เป็นสาม...ตอนนั้น หากไม่ได้เขามาช่วยไว้ นางอาจกลายเป็นซากร่างเย็นชืดไร้ลมหายใจที่ฝูงสัตว์รุมกัดแทะไปนานแล้วก็เป็นได้ไม่แน่ว่ายามนี้อาจไม่เหลือแม้กระทั่งเศษกระดูกแล้วด้วยซ้ำ
ไม่ทันที่นางจะได้ขยับตัว ตงหยางที่รัดท่อนแขนตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนาก็ก้มลงดูดที่แผลของตนเอง ดูดแล้วก็พ่นเลือดสีคล้ำเข้มออกมา ดูด แล้วก็พ่นเลือดสีคล้ำเข้มออกมา ทำวนซ้ำอยู่อย่างนี้จนเลือดที่ดูดออกมาจากปากแผลเป็นสีแดงสด ถึงยอมหยุดมือเขาปล่อยให้สายรัดเอวที่รัดท่อนแขนอยู่ค่อยๆ คลายออกเอง กระถดเข้าไปนั่งชิดผนัง ก่อนถอนหายใจออกมาตงหยางเหลียวมองซากงูตัวนั้นอีกครั้ง ก่อนจะตวัดสายตามองเฉินเซียงหรง เอ่ยอย่างหัวเสีย“ดีเหลือเกิน ข้าบอกให้อยู่นิ่งๆ เจ้าก็รีบขยับตัวทันที!”“ก็ข้านึกว่า...” นางละอายเกินกว่าจะกล้าพูดต่อเขาช่วยชีวิตนาง...อีกเป็นครั้งที่สอง นางกลับคิดว่าเขาจะฉวยโอกาสใช้กำลังข่มเหงรังแก ทำเรื่องที่นาง...ไม่ยินยอม...“คุณหนูเฉิน ข้าบอกเจ้าแล้ว ข้าไม่มีความจำเป็นต้องบังคับข่มเหงสตรีที่ไม่เต็มใจ” เขาแค่นหัวเราะ ก่อนกล่าวต่อไป “ทว่าเป็นเช่นนี้จะดีหรือ หากร่วมทางกันไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งข้าเกิดดื่มสุราเมามายจนขาดสติเล่า เจ้าจะทำอย่างไร เจ้าจะยังกล้าติดตาม ‘รับใช้’ ข้าอีกหรือ ข้าว่าเจ้ายอมกลั
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนเซียงหรงเองยังอดตกใจไม่ได้คืนหนึ่ง ขณะหลบฝนอยู่ในถ้ำเล็กๆ ตงหยางจุดไฟให้แสงสว่าง อากาศในถ้ำเย็นชื้น และเสื้อผ้าของพวกเขาเปียกชื้นจนต้องพาดไว้ใกล้กองไฟ เซียงหรงนั่งกอดเข่าห่างออกไปเล็กน้อย ดวงตาของนางมองเปลวไฟนิ่งราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์กระทั่งตงหยางมองนางด้วยสายตาขบขัน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าเคยคิดบ้างไหม ว่าแม้จะหนีการแต่งงาน แต่ในที่สุดเจ้าก็ต้องหาสามีอยู่ดี” เขาเอ่ยเสียงเบาเช่นเดิม “คุณหนูเฉิน เจ้ากล่าวว่าต้องการแน่ใจว่าจะสามารถส่งจดหมายถึงมือบิดาและพี่ชายที่อยู่ต่างเมือง จะทำเพียงส่งจดหมายบอกล่าวเล่าความ ไม่พบพวกเขา เจ้ามีพ่อและพี่ชายกลับคิดหนีหน้า เจ้าบอกว่ามีคู่หมั้น แต่ก็ไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับคู่หมั้นผู้นั้น กลับมุ่งหมายออกบวชละกิเลสเสียมากกว่า ช่างไม่รู้เสียเลยว่าต่อให้เจ้าจะโกนผมโกนคิ้ว บุรุษที่ได้พบเห็นเจ้า พูดคุยกับเจ้า พวกเขาไหนเลยจะลืมเลือนเจ้าได้ลง เจ้าคิดว่าหากได้ออกบวช จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบได้จริงหรือ” เซียงหรงเงยหน้าขึ้นมองเขา สีหน้าของนางเย็นชา “ก็ยังดีกว่ามีสามี&rdquo
ยามบ่ายคล้อย แดดร่ม ลมตก เป็นช่วงเวลาที่เซียงหรงรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวที่สุดในช่วงวัน พื้นอารมณ์จึงค่อนข้างดีทว่าอารมณ์ดีๆ ของนาง กลับถูกทำลายลงด้วยเสียงเฉยชาที่ดังขึ้นทำลายความเงียบ“เป็นเช่นไรล่ะ คุณหนูเฉิน ใช้ชีวิตแบบนี้สนุกดีหรือไม่ ไม่ต้องมีคนคอยรับใช้ ไม่ต้องมีที่นอนอุ่นๆ ไม่ต้องกินอาหารดีๆ ใช้สองขาเดินทาง ร่อนเร่พเนจร ค่ำไหนนอนนั่น” นั่นประไร! นางรู้ว่าเขาคงอดทนไม่ว่านางได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามหรอก ยิ่งในตอนที่นางกำลังมี ‘ช่วงเวลาดีๆ’ รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่!เดินทางร่วมกันมาจนถึงตอนนี้ นางแทบจะนับเวลาที่เขาจะเอ่ยปากเหน็บแนมนางได้แม่นยำแล้ว!นางชำเลืองมองเขาด้วยสายตาขุ่นมัว “ไม่เห็นจะลำบากอะไร” นางตอบเสียงเรียบพลางรวบชายเสื้อที่ปลิวเพราะลมเย็นตงหยางหันมามองนาง หัวคิ้วของเขายกขึ้นเล็กน้อย “อ้อ เช่นนี้ไม่ลำบาก” เขาหัวเราะในลำคอ “เจ้านี่ช่างเป็นสตรีที่ดื้อดึงยิ่งนัก เจ้าอยากมีชีวิตแบบนี้ไปจนตายเช่นนั้นหรือ”นางหยุดเดิน หันไปสบตาเข
“ข้าขอร้อง...” เซียงหรงเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาที่เริ่มแดงก่ำ “ข้าไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ ที่บ้านของข้าในยามนี้ไม่มีใครที่ข้าจะไว้ใจได้อีก อีกทั้ง... อีกทั้งในเมืองหลวงยังมีสิ่งที่น่ากลัวมากๆ รอข้าอยู่ที่นั่น...” นางพยายามยื่นข้อเสนอ “ท่านช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ขอเพียงท่านช่วยสะสางเรื่องที่ยังค้างคาใจและพาข้าหลบหนีจากฝันร้ายเหล่านั้น ข้ายินดีติดตามรับใช้ท่านในฐานะบ่าวคนหนึ่ง จะไม่สร้างความลำบากใดใดให้ท่านจอมยุทธสักนิด”“บ่าวคนหนึ่ง...” ชายสวมหน้ากากนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ ก่อนถอนหายใจยาว “เอาเถิด หากเจ้าไม่สร้างปัญหาจริงดังปากว่า ข้าจะให้เจ้าเดินทางไปด้วย ระหว่างนั้นสบโอกาสค่อยหาทางส่งจดหมายไปถึงบิดาและพี่น้อง เรื่องคนของเจ้า สหายของข้าช่วยนางเอาไว้แล้ว”“จริงหรือ!”ได้ยินเช่นนี้ เซียงหรงโล่งใจเป็นอย่างยิ่งเขายังคงกล่าวต่อไป “ตงหลินผู้นี้เป็นสุภาพชน เชื่อถือได้ คนของเจ้าจะปลอดภัยอย่างแน่นอน หากเจ้าไม่มีความคิดอยากกลับบ้านก็ไม่ควรติดต่อ ‘คนของเจ้า’ ผู้นั้นอีก”แม้แว