“ขอบคุณขอรับท่านปู่”หยางเหยาเกอ ตอบรับด้วยความอ่อนน้อม แม้จะรู้ดีว่าถูกเหน็บแนมอยู่กลายๆ แต่เขาก็แสร้งที่จะไม่รับรู้“ท่านปู่รอง”ลั่วอันผิง เดินเข้ามาย่อกายให้แก่ชายชรา ก่อนจะไปช่วยประคองผู้เป็นปู่แทนบิดา สองพี่น้องพาชายชรา เดินไปนั่งยังตำแหน่ง เทียบเท่าเจ้าบ้าน ซึ่งลั่วฮูหยิน และชายหนุ่มทั้งหก ต่างก็พากันลุกขึ้น ทำความเคารพต่อผู้อาวุโสของสกุล“ตามสบายเถอะ ไม่ต้องมากพิธีไป คนกันเองทั้งนั้น”ชายชราส่งสัญญาณมือ ให้ทุกคนนั่งลง ไม่ต้องกริ่งเกรงต่อเขาจนหมดสนุก“ยกอาหาร”หลังจากทุกคนกล่าวทักทาย และทำความเคารพต่อชายชราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่จึงได้สั่งให้ยกอาหาร สำหรับทุกคน ด้วยสายมากแล้วเกรงว่าจะหิวกันแล้วการสนทนามีขึ้นเป็นระยะ ด้วยความสนุกสนานของทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ชายชรา ที่ดูจะรื่นเริงเป็นพิเศษ อีกทั้งเจริญอาหารไม่น้อยเลย จนเวลาล่วงเลยมาพอสมควร ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน ท่านแม่ทัพใหญ่จึงเลือกที่จะเป็นคน เดินไปส่งชายชรายังเรือนรับรอง“ท่านอา ข้าจะส่งสาวใช้ไปดูแลท่านอาเพิ่มนะขอรับ”ลั่วเจิ้งคังบอกแก่ผู้เป็นอา แม้จะเห็นอยู่ว่าชายชรา พาสาวใช้ติดตามมาหลายคนอยู่ แต่สิ่งต่างๆ ในจ
ภายในจวนสกุลลั่ว ห้องโถงกว้างที่จัดเตรียม ขนมน้ำชาและของว่าง สำหรับต้อนรับคู่แต่งงานกลับบ้าน ต่างพากันพูดคุยกันอย่างออกรส โดยเฉพาะเจ้าของบ้าน ที่หัวเราะอย่างสุขใจ ที่วันนี้ลูกๆ มารวมตัวกันอีกครั้ง แม้ว่าบุตรชายคนโต จะไม่อาจเผยตัวตนออกมาได้ แต่ก็มาร่วมงานในฐานะอื่นอยู่ดี “พี่เขย วันนี้ข้าทำไก่ย่างเกลือด้วยนะเจ้าคะ พี่หญิงชอบไก่ย่างเกลือมากเจ้าค่ะ” ลั่วอันผิง รีบบอกพี่เขยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางทำตามที่บิดาแนะนำทุกอย่าง นั่นคือบอกถึงสิ่งที่พี่สาวชอบ ให้พี่เขยของนางฟังและจดจำ “มันต้องอร่อยมากแน่ หาไม่แล้วพี่สาวของเจ้าคงไม่ชอบที่จะกิน” หยางเหยาเกอ ตอบรับคำของน้องสาวภรรยา ทำไมเขาจะไม่รู้ว่านางชอบกิน ก็ในเมื่อครั้งยังเด็ก นางมักทำให้เขากินอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้ว่านางจะมีเวลาอยู่กับเขาแค่เล็กน้อย ด้วยตอนนั้นนางถูกหมายปองให้เป็นชายาอ๋อง “ครั้งนี้จะอร่อยกว่าที่ทุกคนเคยกินเจ้าค่ะ เพราะข้าลงมือทำด้วยตนเองอย่างสุดฝีมือ” ลั่วอันผิง ทำไม้ทำมืออวดในความสามารถของตนเอง โดยนางลืมไปว่าพี่เขยของนาง มองไม่เห็น ทว่าท่าทางน่าเอ็นดูนั้นของหญิงสาว กลับทำให้ช
“เหยาเกอ คารวะท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ” ชายหนุ่มประสานมือให้แก่พ่อตาแม่ยาย พร้อมกับคลี่ยิ้มกว้าง แน่นอนว่าเขาได้ยินเสียงของคู่แฝด ที่หัวเราะเอ๊กอ๊ากอยู่ต่อหน้า แม้เขาจะมองไม่เห็น แต่ก็รับรู้ได้ว่าสองแฝดต้องน่าเอ็นดูมากแน่ๆ หากเขามีลูกก็คงน่ารักมิแพ้คู่แฝด ครอบครัวเขาคงมีความสุขมากแน่ หากมีเด็กๆ ส่งเสียงสดใสให้ได้ยินในทุกๆ วัน “มิต้องมากพิธีไป ครอบครัวเดียวกันแท้ๆ มาเถอะเข้าบ้านกันก่อน อันผิงอยู่ข้างใน กำลังเตรียมมื้ออาหารอยู่” ท่านแม่ทัพใหญ่เอ่ยกับบุตรเขย โดยที่เขาพึงพอใจยิ่งนัก กับรอยยิ้มสื่อความหมายของหยางเหยาเกอ ที่มีต่อหลานแฝดของเขา ถ้าบุตรสาวมีทายาท นางก็จะอยู่ในเมืองหลวงตลอดไป และเขาก็มั่นใจว่าบุตรเขยเอง ก็กำลังคิดเช่นเดียวกันอยู่ “ขอบคุณท่านพ่อท่านแม่มากขอรับ” หยางเหยาเกอ กล่าวกับพ่อแม่ภรรยา ด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม“เข้าบ้านกันเจ้าค่ะ”แม่ทัพสาวเข็นเก้าอี้ของสามี ตรงไปยังทางขึ้นที่อยู่ข้างบันได ซึ่งบิดาสั่งให้คนทำขึ้น ตั้งแต่ก่อนที่นางจะแต่งงานเสียอีก ทว่าในตอนที่กำลังจะไปถึงทางขึ้น ชายหนุ่มได้ยื่นมือไปแตะหลังมือภรรยา ด้วยเขาได้ยินเสียง ข
เช้าวันถัดมา ณ จวนสกุลลั่ว สองสามีภรรยาสกุลลั่ว ตื่นตั้งแต่เช้ามืด เพื่อจัดเตรียมสิ่งต่างๆ รวมถึงเรือนของบุตรสาวคนโต ด้วยวันนี้คือครบกำหนดกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม ของบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้ว“ข้าดูดีหรือยังฮูหยิน”ท่านแม่ทัพใหญ่ เอ่ยถามภรรยา พร้อมกับเอียงกายซ้ายทีขวาที เพื่อให้นางได้ดู ว่าเขานั้นสง่าพอจะฉายแสงข่มเขยได้หรือไม่ ทว่าการกระทำของเขา กลับทำให้หลานสาว ที่อยู่ในอ้อมแขน หัวเราะเอิ๊กอ๊าก เพราะคิดว่าผู้เป็นปู่นั้นกำลังเล่นกับนางอยู่“ดูดีทีเดียวเจ้าค่ะ ดูสิ! เยี่ยนหลีหัวเราะเสียงดังเชียว”ลั่วฮูหยิน เอ่ยชมสามี ก่อนจะเอ็นดูหลานสาว ที่หัวเราะเสียงดัง โดยไม่ลืมที่จะกดจมูกหอมแก้มหลานชายในอ้อมแขน สุขใดจะเท่าครอบครัวมีความสุข วัยชราของนางก็มีหลานๆ ให้เลี้ยงดู ช่างมีวาสนานัก“วันนี้อาหยิงของเจ้ากลับมา กับอาเขย เจ้าสองคนต้องทำให้พวกเขา อยากที่จะมีน้องๆ ให้เจ้าสองคนรู้ไหม ฮ่าๆ ป่ะ...เราไปรอพวกเขากัน”ท่านแม่ทัพใหญ่ หอมแก้มหลานสาวฟอดใหญ่ ก่อนจะใช้มืออีกข้าง โอบประคองภรรยาพากันก้าวเดิน ออกไปยังหน้าประตูจวน เพื่อการกลับมาของบุตรสาวและบุตรเขย ส่วนบุตรสาวคนเล็กนั้น กำลังเตรียมมื้ออาหารไว
“ข้ามิได้บอกไปแล้วหรือเจ้าคะ ว่าจะให้คนไปแจ้งจวนอ๋อง” ลั่วคังอัน ตอบกลับอ๋องหนุ่มด้วยน้ำเสียง อันราบเรียบดังเดิม ราวกับเขาและนางคือคนแปลกหน้า อย่างไรอย่างนั้น “เราเคยมีใจต่อกัน ไยยามนี้เจ้าจึงไร้น้ำใจต่อข้านักเล่า” อ๋องหนุ่มทวงถามถึงเรื่องในเมื่อครั้งก่อน ที่นางจะตัดสินใจละทิ้ง การเป็นชายาของเขามุ่งสู่ชายแดน เขาไม่อยากจะเชื่อว่านาง จะไร้หัวใจต่อเขาได้ถึงเพียงนี้ แค่น้ำใจสักเล็กน้อยก็ไม่คิดที่จะมีต่อเขาเลยหรือ! “ข้ามิเคยไร้น้ำใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่สะดวกให้บุรุษอื่นร่วมทาง ต่อให้มีสาวใช้ติดตาม มันก็ยังดูไม่ดีต่อข้าที่ออกเรือนแล้ว ท่านอ๋องรอสักหน่อย คนจากจวนอ๋องก็จะมาถึงเจ้าค่ะ” แม่ทัพสาวเอ่ยกับคนด้านหลัง โดยที่นางไม่คิดหันกลับไปมอง นางหรือที่ไร้น้ำใจ หึๆ น้ำใจของนางมีไว้สำหรับผู้ที่คู่ควรเท่านั้น หาใช่คนที่ทำให้นางมีชีวิตถึงสองชาติเยี่ยงเขา “ลั่วคังอัน! ข้าคืออ๋องแห่งจวนจิ้ง เจ้าอาจหาญมองข้ามข้าหรือ”อ๋องหนุ่มเค้นเสียงถามออกมา หวังใช้ซึ่งอำนาจในฐานะอ๋องบีบบังคับนาง ให้ยื่นมือช่วยเหลือเขาในครานี้ “แล้วอย่างไร! ในเมื่อตำ
ร่างที่ถูกลากไปกับพื้น ทั้งเจ็บปวดและอับอาย เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนเอง จะตกมาอยู่ในสภาพนี้ ทำไมกัน! ไม่ว่าสิ่งใดที่เขาต้องการ มันจึงผิดคลาดไปทั้งหมด อ๋องหนุ่มทำได้เพียง ตั้งคำถามกับตนเองอยู่ภายในใจ และสภาพของเขาในตอนนี้ ไม่อาจทำสิ่งใดได้ นอกจากเก็บทุกความแค้น เอาไว้สะสางในคราเดียว คล้อยหลังของอ๋องหนุ่มไปแล้ว ชายสวมหน้ากาก ก็ลุกขึ้นคลี่ยิ้มเหี้ยม นี่มันยังน้อยไป สำหรับสิ่งที่สกุลจิ้งได้ทำ เบื้องหน้าดูใสสะอาด เบื้องหลังโสมมยิ่งนัก บทเรียนแรกคือแผลที่ฝังลึกในใจ ของคนในสกุลจิ้ง จนมันกลายเป็นความคลั่งแค้น จนก้าวเข้าสู่กับดักที่เขาวางเอาไว้ ครึ่งชั่วยามต่อมา ณ ชายป่านอกเขตตัวเมือง ร่างที่หมดสิ้นเรียวแรง ทำเพียงนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เพื่อรอคนของเขามารับอย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั้งได้ยินเสียงรถม้า เคลื่อนใกล้เข้ามา ดวงตาที่ปรือต่ำ พยายามเปิดขึ้นให้กว้างอย่างมีความหวัง ว่าจะเป็นคนของบิดา หรือองครักษ์ข้างกาย มารับเขากลับจวน “ท่านแม่ทัพ ข้างหน้าเหมือนจะมีคนอยู่นะขอรับ” คนขับรถม้ารายงานผู้เป็นนาย เมื่อข้างทางเบื้องหน้า มีร่างหนึ่งนั่งพิงอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ริม