เสียงฆ้องจากประตูหน้าจวนก็ดังขึ้น
ตึ้ง—! ตึ้ง—!
เสี่ยวจูสะดุ้งเฮือก “อ๊ะ ใครมากันหรือเจ้าคะ?”
ลี่อินไม่ได้ตอบในทันที แต่สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันหวนคิดถึงสิ่งหนึ่ง
“ช่วงเวลานี้ในอดีต ใช่แล้ว…”
“วันนี้ คือวันแรกที่จิ้งอ๋อง หวังจิ้งเหยียน เสด็จกลับจากศึกชายแดน”
หัวใจนางเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะตื่นเต้น แต่เป็นแรงแห่งการคำนวณชะตา
ชายผู้นั้น คือคนเดียวที่ในอดีตเคยยื่นมือช่วยนางเพียงครั้งเดียว แต่กลับเปลี่ยนชีวิตนางได้ทั้งชีวิต
ในชีวิตก่อน เขาคืออ๋องเจ็ด ผู้เย็นชาและไม่เคยไว้ใจผู้ใด ทว่าในคราวที่นางบังเอิญได้ช่วยชีวิตเขาจากการลอบสังหาร นั่นทำให้เขาส่งสายลับมาคอยเฝ้าดูและยื่นโอกาสให้นางโดยไม่เอ่ยวาจาใด
แต่ข้า กลับพลาดโอกาสนั้นไป…
ในชาตินี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้มันหลุดลอยไปอีก
นางขบคิดแล้วลุกขึ้นจากฟูก “เสี่ยวจู วันนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับท่านอ๋องเจ็ดใช่ไหม?”
สาวใช้พยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ! วันนี้ท่านอ๋องจะเสด็จมาที่จวนสกุลเซียว ข้าได้ยินมาจากพ่อครัวในห้องครัวใหญ่ว่าในคืนนี้จะมีแขกสำคัญมามากมาย”
ลี่อินพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาทอประกายเย็นเยียบ
“ดี เช่นนั้นข้าต้องหาทางไปที่นั่นให้ได้”
เสี่ยวจูตกใจ “มะ..ไม่ได้นะเจ้าคะ! พวกเราถูกห้ามมิให้เข้าใกล้เรือนใหญ่ แล้วคุณหนูก็ยังไม่หายดี!”
ลี่อินยิ้มเย็น แววตาดุจน้ำแข็ง “เจ้าคิดว่าข้าจะยังเป็น ‘คุณหนูที่ถูกเหยียบย่ำ’ เหมือนในอดีตหรือ?”
ยามเย็น จวนสกุลเซียวประดับไฟประทีปทั่วทั้งเรือนใหญ่ กลิ่นหอมของอาหารตลบอบอวล ผู้คนในอาภรณ์หรูหราเดินเข้าออกอย่างคึกคัก บ่าวไพร่ต่างเร่งจัดเตรียมทุกอย่างอย่างเร่งรีบ
ลี่อินสวมชุดผ้าฝ้ายเก่าที่ย้อมสีหม่น ยืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นเหมยที่อยู่ห่างจากเรือนเล็ก นางมองเห็นเรือนรับรองด้านหน้า ซึ่งอีกไม่นานเขาผู้นั้นจะมาถึง
“หวังจิ้งเหยียน…” เสียงชื่อนั้นผ่านลมหายใจออกมาแผ่วเบา
นางยังจำได้ดี ชายผู้นั้นสวมอาภรณ์ดำขลิบทอง ใบหน้าคมเข้ม แววตาเยือกเย็นราวน้ำแข็ง
หากต้องการขึ้นไปถึงจุดสูงสุด ก็ต้องพึ่งพาอำนาจของเขา
“ข้าจะเข้าหาท่าน และทำให้ท่านเลือกข้าให้ได้”
เสียงพิณแผ่วเบาเคล้าคลอไปกับกลิ่นสุรารสเลิศ บรรยากาศภายในเรือนรับรองของจวนเสนาบดีเซียวในค่ำคืนนี้งดงามดุจฉากในฝัน โคมแดงแขวนเรียงรายล้อแสงกับผิวน้ำในสระจนแลดูดั่งหยกส่องประกาย
“ท่านอ๋องเสด็จ!”
เสียงขันทีประกาศก้องพร้อมจังหวะเสียงฆ้องเบา ๆ ขุนนางระดับสูงและแขกเหรื่อต่างลุกขึ้นประสานมือทำความเคารพ
ในยามนั้น ร่างสูงในอาภรณ์ดำขลิบทองก็ก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างามทุกฝีก้าว เขาเป็นชายหนุ่มในวัยยี่สิบปลาย ใบหน้าเยือกเย็นน่าเกรงขาม แววตาดำสนิทดุจน้ำลึกไร้ก้นบึ้ง
หวังจิ้งเหยียน จิ้งอ๋องแห่งต้าหลิง
ผู้บัญชาการทัพพิฆาตเหนือ ผู้เยือกเย็นเด็ดขาด และผู้ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องชั่งใจทุกถ้อยคำเมื่อสนทนา
ในมุมต้นหลิวข้างสระน้ำ เซียวลี่อินสวมเสื้อผ้าธรรมดาเดินเบา ๆ ท่ามกลางกลุ่มบ่าวไพร่ นางซ่อนเร้นตนได้อย่างแนบเนียน ลอบเข้ามาโดยอาศัยความโกลาหลของงานเฉลิมฉลอง
“ครานี้ ข้าจะไม่เพียงแค่มองจากเงา แต่ข้าจะเป็นผู้ปักหมุดบนกระดานหมากนี้ด้วยมือของข้าเอง”
สายตาของลี่อินมองผ่านม่านโปร่งเข้าสู่ห้องโถง ที่นั่งกลางของจิ้งอ๋องถูกจัดอย่างหรูหรา เจินซูเม่ยนั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายกับเซียวเฟิงเฉินผู้เป็นสามี ขณะที่เซียวถิงฮวาสวมชุดงามระยับนั่งอยู่ไม่ห่าง ทำทีส่งสายตาอ่อนหวานต่อจิ้งอ๋อง
“นี่คือบุตรสาวของหม่อมฉัน นามว่าถิงฮวา นิสัยอ่อนโยน เรียบร้อย รู้กาละเทศะยิ่ง”
เสียงเจินซูเม่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเสแสร้ง แฝงไว้ด้วยความหวังจะยัดเยียดบุตรสาวเข้าวัง
ลี่อินหัวเราะเย็นอยู่ในใจ
“หึ! ในชาติก่อน ข้าเห็นเจ้าพยายามส่งถิงฮวาเข้าวังหลวงเพื่อเลียแข้งเลียขาจิ้งอ๋องทุกวิธีทาง สุดท้าย จิ้งอ๋องกลับไม่แม้แต่จะมองเลยด้วยซ้ำ”
ขณะที่นางกำลังมองบุรุษในความทรงจำผู้นั้น สายตาของจิ้งอ๋องก็พลันกวาดผ่านออกมานอกม่านโปร่ง
ลี่อินสะดุ้งเล็กน้อย ชั่วขณะหนึ่ง สายตาทั้งคู่สบประสานกันอย่างไม่ตั้งใจ
เขานิ่ง…
นางนิ่ง...
ทว่ในดวงตาของเขากลับมีความประหลาดใจบางอย่างแวบผ่าน
“สายตานั้นมัน…”
“หรือว่าเขาจะจำข้าไม่ได้แล้ว?”
แน่นอนสิ จะจำได้อย่างไรเล่า ในชาติก่อนเขาเพียงเห็นนางจากเหตุการณ์ลอบสังหารที่สวนหลังวังหลวง นั่นเกิดขึ้นหลังจากเวลานี้อีกหลายปี
ครานี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้จุดเริ่มต้นอยู่ในมือของโชคชะตาอีก
เสียงขับร้องจากนางรำดังขึ้น เมื่อถึงช่วง “บวงสรวงชัยชนะ” ที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่อ๋องเจ็ด ผู้ชนะศึก
ลี่อินค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้ พร้อมถือถาดน้ำชาที่แอบลอบหยิบจากบ่าวผู้หนึ่ง นางเดินตรงไปยังบริเวณด้านข้างที่จัดวางเครื่องดื่ม
เป้าหมายคือ ใกล้เขาให้มากพอ
ทันใดนั้น…
“อ๊ะ!”
ลี่อินแสร้งสะดุดชายผ้าของนางรำ ล้มลงกับพื้น ถาดในมือลั่นกระแทกจนชิ้นหนึ่งกระเด็นไปตกใกล้เท้าของจิ้งอ๋อง เสียงโกลาหลดังขึ้นทันที
“นังบ่าวโง่เง่า! กล้าทำให้ท่านอ๋องตกพระทัยหรือ!”
เจินซูเม่ยตะโกนก้อง พร้อมสายตาเหี้ยมเกรียม
ลี่อินยังไม่ลุก นางก้มศีรษะลงค้างไว้อย่างรู้ตำแหน่ง ร่างแนบกับพื้นหินเย็นเฉียบ แต่ริมฝีปากกลับแย้มยิ้มบาง ๆ ออกมา
“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันต่ำต้อย สะเพร่าเกินไป…”
เสียงของนางเจือแววสั่น แต่ไม่ใช่ความกลัว หากแต่เป็นเสียงที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี
จิ้งอ๋องขมวดคิ้วเล็กน้อย ก้มลงมองหญิงสาวผู้นั้นก่อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ลุกขึ้นเถิด มิใช่เรื่องใหญ่”
ประโยคนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั้งงาน โดยเฉพาะเจินซูเม่ยกับเซียวเฟิงเฉิน
ลี่อินค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นจนเห็นปลายผ้าคลุมอาภรณ์สีดำทองของชายผู้นั้น
“หากท่านคือบันไดสู่จุดสูงสุด ข้าก็จะเป็นเงาที่เท่านไม่มีวันละสายตาได้...”
เสียงฮือฮายังไม่ทันซาลง แววตาของเหล่าขุนนางและบ่าวไพร่ต่างเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
“ท่านอ๋องบอกให้นางลุกขึ้น มิได้ลงโทษ?!”
“แปลกนัก”
เจินซูเม่ยกัดฟันแน่น แม้จะยังคงแสร้งยิ้มประจบออกมา แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางลอบเหลือบมองเซียวถิงฮวา ซึ่งตอนนี้กำลังเชิดคางขึ้นเล็กน้อยด้วยความไม่สบอารมณ์
“นังลี่อินนี่ ทุกทีมุดหัวอยู่ในเรือนหลังจวน ยังกล้าโผล่หัวมาในงานใหญ่ แล้วยังได้สายตาท่านอ๋องอีก”
“ข้าจะปล่อยให้เจ้าเฉิดฉายไม่ได้เด็ดขาด!”
ลี่อินประสานมือ ก้มศีรษะอย่างถ่อมตน แม้หัวใจจะเต้นระรัวจากแรงกดดันรอบด้าน แต่สีหน้าของนางกลับสงบนิ่ง
“ขอบพระทัยที่ท่านอ๋องเมตตาต่อบ่าวต่ำต้อยเช่นหม่อมฉันเพคะ”
จิ้งอ๋องเหลือบมองเพียงครู่หนึ่ง ก่อนเบนสายตาออกไปทางอื่นอย่างไร้ความสนใจ
ลี่อินรับรู้ได้ทันที…
“สายตาของเขา แม้จะไม่หยุดอยู่ที่ข้า แต่ข้าก็กลายเป็นคนแรกที่เขาพูดด้วยในงานนี้”
นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการเริ่มต้น...
หลังจากที่เจินซูเม่ยและเซียวถิงฮวาถูกนำตัวไปคุมขัง ข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ผู้คนต่างพูดถึงด้วยทั้งความสะใจและหวาดกลัว“คนที่เคยเชิดหน้าชูตา วันนี้กลับกลายเป็นนักโทษเสียแล้ว”“สวรรค์มิอาจละเว้นคนชั่วได้จริง ๆ”ท้องพระโรงแม้จะเงียบลงหลังการพิพากษา แต่คลื่นใต้น้ำกลับโหมแรงขึ้นบรรดาขุนนางที่เคยปกป้องสกุลเซียว บัดนี้ต่างเงียบงันแต่ในเงามืด กลับเริ่มมีการเคลื่อนไหวบางอย่างที่ผิดปกติยามค่ำ เซียวลี่อินยืนอยู่บนระเบียงตำหนักอ๋อง สายตาเหม่อมองฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นด้านหลัง ก่อนที่เสียงทุ้มคุ้นเคยดังขึ้น“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่”นางหันกลับมา เห็นจิ้งอ๋องยืนอยู่ในชุดคลุมสีเข้ม ดวงตาคมกริบทอดมองนางด้วยความสนใจเซียวลี่อินยกพัดแตะริมฝีปาก แววตาเยือกเย็น“แม้เจินซูเม่ยจะถูกจับ แต่ผู้ที่หนุนหลังนางยังมิได้เผยตัวออกมาทั้งหมดเพคะ เพียงถูกดึงเงาหนึ่งออกมา ย่อมยังเหลืออีกหลายเงาที่แอบซ่อนอยู่”จิ้งอ๋องนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น“หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะสืบจนถึงรากเหง้า ไม่ว่าผู้ใดซ่อนที่ตัวอยู่เบื้องหลัง ก็ต้องลากออกมาทั้งหมด!”เพี
เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆหนาทึบ ราวกับสวรรค์เองก็ยังเฝ้ารอการพิพากษาครั้งใหญ่เสียงกลองพิธีดัง ตึง! ตึง! ตึง! ก้องไปทั่ว ประกาศเรียกเหล่าขุนนางเข้าสู่ท้องพระโรงเจินซูเม่ยถูกองครักษ์คุมตัวเข้ามา นางสวมชุดงดงามแต่เส้นผมกลับยุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเซียว แววตาสั่นไหวเสียงซุบซิบของขุนนางและสตรีฝ่ายในดังระงม“นี่หรือฮูหยินเซียวที่เคยได้ชื่อว่างดงามและเจ้าเล่ห์ที่สุดในเมืองหลวง…”“วันนี้กลับถูกลากมาเป็นจำเลยต่อหน้าฝ่าบาทเสียเอง”“ดูนางตอนนี้สิ ดูสมเพชสิ้นดี ฮึ!”ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์สูง พระเนตรลึกล้ำทอดมองลงมา พระสุรเสียงเย็นเยียบดังขึ้น“เจินซูเม่ย มีผู้กล่าวโทษเจ้าว่าเกี่ยวข้องกับการลอบนำสมุนไพรปนเปื้อนเข้าสู่วังหลวง อีกทั้งยังพยายามทำลายหลักฐาน เจ้าจะว่าอย่างไร”เจินซูเม่ยรีบคุกเข่าลง น้ำตาไหลพราก“ฝ่าบาท! หม่อมฉันถูกใส่ร้ายเพคะ! ทุกสิ่งล้วนเป็นการจัดฉากของพวกที่อิจฉาริษยาหม่อมฉัน!”จิ้งอ๋องก้าวออกมาอย่างสง่างาม ร่างสูงใหญ่เปล่งบารมีจนท้องพระโรงเงียบกริบเขาวางรายงานและหลักฐานลงตรงหน้า เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างชัดถ้อยคำ“หลักฐานทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว คำสารภาพของบ่าว พยานผู้เห็นเหตุกา
รุ่งอรุณปกคลุมเมืองหลวงด้วยหมอกสีขาว แต่ในราชสำนักกลับคลาคล่ำไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียดยิ่งนักข่าวการพยายามทำลายหลักฐานของเจินซูเม่ยแพร่สะพัดไปทั่ว ทั้งในหมู่ขุนนางและเหล่าราษฎร“สกุลเซียวคงไม่รอดแล้ว…”“ครั้งนี้แม้แต่ฝ่าบาทก็มิอาจเพิกเฉยได้อีก”เสียงซุบซิบในตลาดและตามตรอกซอยกลายเป็นพายุข่าวลือที่โหมกระหน่ำไม่หยุดในท้องพระโรง ขุนนางแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนฝ่ายหนึ่งเร่งรัดให้ลงโทษสกุลเซียวโดยเร็วอีกฝ่ายหนึ่งกลับยืนหยัดพยายามหาทางประวิงเวลา เสมือนกำลังยื้อชีวิตให้ผู้เกี่ยวข้องฮ่องเต้ประทับนิ่งบนบัลลังก์สูง ดวงพระเนตรลึกล้ำมองลงมา พระสุรเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความกดดัน“จิ้งเหยียน พรุ่งนี้เจ้าจงนำพยานหลักฐานทั้งหมดมาตรวจสอบต่อหน้าข้า หากพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดจริง ต่อให้เป็นสกุลใหญ่ ข้าก็จะไม่ละเว้น”จิ้งอ๋องค้อมกายรับโองการ ดวงตาคมวาวสะท้อนความมุ่งมั่นเมื่อหันไป เห็นเงาร่างของเซียวลี่อินหลังม่านกั้นสตรี นางยืนนิ่ง ราวกับมั่นคงดุจขุนเขาเพียงสบตาในระยะไกล หัวใจเขากลับสงบลงราวกับได้รับพลังพายุใหญ่กำลังจะโหมกระหน่ำ แต่เราจะฝ่ามันไปด้วยกัน!ภายในเรือนใหญ่ของจวนสกุลเซียว เจินซูเม่ย
ค่ำคืนคลี่คลุมจวนสกุลเซียว บรรยากาศภายในเรือนใหญ่เต็มไปด้วยความกดดัน เจินซูเม่ยนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องหอม มือกำถ้วยชาแน่นจนสั่น น้ำชาเอ่อล้นออกมาโดยไม่รู้ตัว นางกัดฟันสะกดความโกรธ“ไม่ได้! ข้าไม่มีวันยอมให้ทุกสิ่งที่ข้าสร้างมาพังลงเพียงเพราะนังเซียวลี่อินแน่!”เซียวถิงฮวานั่งอยู่ด้านข้าง ใบหน้าของนางยังคงซีดเซียวจากเหตุการณ์ในท้องพระโรง“ท่านแม่ เราจะทำเช่นไรต่อดีเจ้าคะ หากถูกสอบสวนต่อไป สกุลเซียวคงถูกลากลงเหวแน่”เจินซูเม่ยหรี่ตาลงอย่างอำมหิต“แม้จะถูกบีบแทบจนมุม แต่ยังมีหนทาง หากหลักฐานที่มันถืออยู่ถูกทำลายเสีย ต่อให้เป็นท่านอ๋องเจ็ดก็ไม่อาจทำอะไรได้!”....ขณะเดียวกัน ภายในตำหนักอ๋อง จิ้งอ๋องนั่งพินิจรายงานที่กองอยู่ตรงหน้า ข้างกายมีเซียวลี่อินนั่งสงบนิ่ง ดวงตาไล่ตามทุกบรรทัดอย่างตั้งใจ เสียงทุ้มของเขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ“ศัตรูกำลังดิ้นรน พรุ่งนี้อาจมีการเคลื่อนไหว เจ้าต้องอยู่ใกล้ข้าไว้ ห้ามเสี่ยงคนเดียว”เซียวลี่อินแย้มยิ้มบาง พลางตอบเสียงเบา“เพคะท่านอ๋อง แต่บางครั้งหมากตัวสำคัญ ก็ต้องใช้เหยื่อล่อให้อีกฝ่ายเผยพิรุธออกมาเองนะเพคะ”สายตาทั้งคู่สบกัน ความแน่วแน่และความไว้วางใจเริ่
เช้าวันใหม่ท้องพระโรงคลาคล่ำไปด้วยเหล่าขุนนางที่ยืนเรียงราย บรรยากาศเต็มไปด้วยแรงกดดัน ข่าวการจับคนของเจินซูเม่ยเมื่อคืนแพร่ไปทั่วแล้ว ทำให้ราชสำนักปั่นป่วนขันทีขานเสียงกังวาน “ถวายพระบังคมฝ่าบาท ท่านอ๋องเจ็ดได้นำพยานและหลักฐานเข้ามากราบทูลพ่ะย่ะค่ะ!”สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังจิ้งอ๋องผู้ก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม เบื้องหลังเขามีองครักษ์นำคนร้ายที่ถูกจับได้คุมตัวเข้ามา พร้อมเอกสารบันทึกคำสารภาพเสียงซุบซิบดังไปทั่วท้องพระโรง“ครั้งนี้จวนสกุลเซียวคงรอดยากแล้ว”“แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีขุนนางคอยหนุนหลัง หากพวกนั้นออกหน้า เรื่องอาจไม่ง่ายเช่นกัน”จริงดังว่า เมื่อจิ้งอ๋องยื่นรายงานต่อหน้าฮ่องเต้ทันใดนั้น ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายหนึ่งก็ก้าวออกมาขัดทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ฝ่าบาท! แม้จะมีบ่าวรับใช้สารภาพ แต่ก็ใช่ว่าจะเชื่อถือได้ หากทั้งหมดเป็นการจัดฉากเพื่อกำจัดสกุลเซียวเล่าพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย!”เสียงถกเถียงเริ่มระอุขึ้นอีกครั้ง คล้ายไฟที่พร้อมลุกโชนกลางท้องพระโรงเซียวลี่อินที่ยืนอยู่ด้านหลังม่านกั้นสำหรับสตรีสูงศักดิ์กำพัดแน่น ดวงตาเย็นยะเยือกพวกขุนนางหนุนหลังพวกนั้น พวกมันคือ
ผลการสอบสวนยังไม่ทันประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ข่าวของบ่าวที่เรือนเจินซูเม่ยยอมรับสารภาพต่อหน้าท่านอ๋องเจ็ดก็แพร่สะพัดไปทั่วราชสำนักแล้วราวกับคลื่นยักษ์ที่ซัดสาดเข้าใส่ จวนสกุลเซียวเริ่มสั่นคลอน ในห้องประชุมขุนนางยามเช้า เสียงถกเถียงดังไม่หยุด ขุนนางฝ่ายหนึ่งลุกขึ้นคารวะ“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวพันต่อความปลอดภัยของราชสำนัก หากไม่ลงโทษผู้เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ย่อมกระทบพระเกียรตินะพ่ะย่ะค่ะ”อีกฝ่ายหนึ่งรีบโต้“แต่ยังไม่มีพระราชโองการตัดสิน ขืนเร่งรีบไป จะไม่กลายเป็นว่าราชสำนักไม่ยุติธรรมหรอกหรือ!”เสียงถกเถียงดังระงมจนท้องพระโรงแทบสั่นสะเทือนฮ่องเต้นั่งนิ่ง ดวงพระเนตรลึกล้ำราวกับกำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียในอีกฟากหนึ่ง เซียวลี่อินยืนอยู่หลังม่านกั้นสำหรับสตรีสูงศักดิ์นางฟังเสียงถกเถียงทั้งหมดด้วยสายตาเยือกเย็น ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ยิ่งคลื่นแรงเพียงใด ย่อมยิ่งกัดเซาะเกียรติของสกุลเซียวให้พังทลายไวขึ้นเท่านั้นขณะเดียวกัน จิ้งอ๋องนั่งอย่างมั่นคงบนเก้าอี้ขุนนาง แม้จะไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใด แต่เพียงการมีตัวตนของเขาอยู่ในห้องนี้ ก็ทำให้ผู้คนไม่กล้าเอ่ยวาจาเกินเลยยามบ่ายในจวนสกุลเซียว เจินซูเม่ยสี