รอยยิ้มของหนิงอวี่แข็งทื่อในทันที นางรู้สึกว่ามีไอเย็นลอยล้อมรอบนางอยู่ ต่างจากลู่เสียนที่เพิ่งได้รู้ว่าคุณชายไป๋ทำเพื่อนางถึงเพียงนี้ เงินหนึ่งร้อยตำลึงในทุกเดือนนี้อาจจะเป็นสาเหตุที่นายหญิงหอบุปผายินยอมให้นางไม่ต้องรับแขก ในใจของนางก็พลันอบอุ่นขึ้นมา
หลี่หยางที่ได้รู้ว่าหนิงอวี่ขูดรีดเงินจากไป๋มู่เฉินถึงหนึ่งร้อยตำลึง ก็แค้นใจไม่น้อย
“คุณหนูเว่ยช่างฉลาดหลักแหลม ที่หาวิธีทำเงินจากคุณชายไป๋และข้าได้พร้อมกัน”
หลี่หยางที่แม้จะกล่าวชมนาง แต่น้ำเสียงกลับเหมือนจะฆ่านางเสียตรงนี้
ไป๋มู่เฉินนิ่งอึ้งเมื่อรู้ว่าบุรุษตรงหน้าก็ยอมจ่ายเงินเพื่อปกป้องลู่เสียน ‘ชายผู้นี้น่าจะมีใจให้ลู่เสียนเช่นกัน’
“นี่ไง คือเรื่องที่ข้าอยากคุยกับคุณชายไป๋ ข้าอยากจะบอกท่านว่าไม่ต้องจ่ายค่าตัวแม่นางป้ายแล้ว ข้าจะไม่บังคับนางรับแขกอีก แบบนี้ดีหรือไม่” นางกล่าวกับมู่เฉิน แต่สายตาอ้อนวอนขอชีวิตกลับส่งไปให้หลี่หยาง
ยังไม่ทันที่บุรุษทั้งสองจะได้กล่าวสิ่งใด ด้านล่างก็มีเสียงโวยวายของแขกดังขึ้นมา ทุกคนละสายตาจากหนิงอวี่ไปที่ต้นตอของเสียงในทันที
หนิงอวี่รีบลงจากหอเพื่อไปจัดการกับปัญหาอย่างเร่งรีบ นี่ถือเป็นโอกาสดีที่จะออกจากสถานการณ์น่าอึดอัดนี้ไม่ใช่หรือ
เมื่อนางลงไปถึงด้านล่างก็เห็นบุรุษร่างกายอ้วนฉุที่มองจากการแต่งกายแล้ว น่าจะเป็นคุณชายบ้านรวยกำลังเตะหญิงคณิกาที่บัดนี้อาภรณ์ฉีกขาดหลุดลุ่ยไม่เป็นชิ้นดี จนแทบปิดส่วนสงวนไม่มิด ใบหน้ามีแต่รอยช้ำจากฝ่ามือและน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม แต่ไม่ยอมร้องไห้ออกมา โดยไม่มีผู้ใดคิดจะเข้าไปช่วยแม้แต่น้อย หนิงอวี่ไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างมาก
เหล่าหญิงคณิกา เมื่อเห็นหน้านายหญิงหอบุปผาต่างพากันตื่นกลัว คิดว่าสตรีที่ทำให้แขกไม่พอใจเช่นนี้ต้องถูกนายหญิงลงโทษแน่
“ข้าสั่งให้เจ้าเปลื้องผ้าร่ายรำ ทำไมเจ้าไม่ทำตาม”
“เป็นเพียงนางโลมชั้นต่ำ คิดขัดคำสั่งข้าหรือ” ชายอ้วนผู้นั้นยังด่าทอและทำร้ายสตรีไม่หยุด
“ใครให้เจ้ามาสร้างความเดือดร้อนที่หอบุปผาของข้า!” เสียงหนิงอวี่ดังขึ้น หยุดมืออ้วนที่กำลังจะตบหญิงคณิกาอีกครั้งได้ทัน
“คุณหนูเว่ยมาก็ดี เจ้าต้องจัดการนางให้ข้า กล้าดีอย่างไรข้าจ่ายเงินไปแล้วกลับไม่ทำตามที่ข้าสั่ง” ชายอ้วนฟ้องเรื่องที่เกิดขึ้น
“ข้าหมายถึงเจ้า กล้าดียังไงมาสร้างเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ที่หอของข้า” นางกล่าวด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว ก่อนจะถอดเสื้อตัวนอกของตนคลุมให้กับหญิงคณิกาผู้นั้น
เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ผู้คนตกตะลึง ที่นายหญิงเข้าข้างหญิงคณิกาเป็นครั้งแรก ไม่ต่างจากหลี่หยางและมู่เฉินที่ตามมาทีหลังได้ยินประโยคนี้เข้า ต่างก็งุนงงกับการกระทำของนางด้วย แต่ก่อนนางเห็นแขกเป็นดั่งของมีค่า เพื่อเงินแล้วถึงแม้แขกจะทำเช่นไรก็ถูกเสมอ
“นี่คุณหนูเว่ย เจ้าบ้าไปแล้วหรือที่เข้าข้างนางแทนที่จะเป็นข้า” ชายอ้วนเริ่มไม่พอใจเอามือเท้าสะเอว มืออีกข้างชี้หน้าด่าหนิงอวี่
“เจ้าสิบ้า! เป็นบุรุษเสียเปล่า แต่ทำร้ายสตรีเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่มีศักดิ์ศรีบ้างหรือ?” หนิงอวี่ด่ากลับในทันที
“หากเจ้ายังก่อเรื่องไม่เลิก ข้าจะป่าวประกาศไปทั่วเมืองหลวงว่าเจ้ารังแกแม้แต่สตรี ดูซิจะมีหญิงที่ไหนกล้าแต่งงานกับเจ้าหรือไม่” นางสั่งสอนต่อโดยไม่รอให้ชายคนนั้นโต้แย้ง
“นี่เจ้า!” ชายอ้วนพูดสิ่งใดไม่ออก ทั้งโมโหและอับอาย ได้แต่รีบเดินหนีออกไป
“เดี๋ยว! คิดจะทำร้ายคนแล้วไม่จ่ายค่าชดใช้หรือ?”
หนิงอวี่ทวงค่าทำขวัญในทันที ทำให้ชายผู้นั้นจำต้องโยนถุงเงินมาให้นาง เมื่อเปิดดูก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อย
“ขอบคุณนายหญิงที่ช่วยข้า” เสียงหญิงคณิกาที่บาดเจ็บกล่าวขอบคุณนาง
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณ ข้าเป็นเจ้าของที่นี่ก็ต้องย่อมดูแลพวกเจ้าถึงจะถูก” หนิงอวี่กล่าวพลางพยุงสตรีผู้นั้นขึ้น
“นี่เงินของแขกผู้นั้นเจ้าเอาไปรักษาตัว” หนิงอวี่ยื่นถุงเงินเมื่อครู่ให้กับหญิงคณิกา
การกระทำของนางทำให้คนอื่น ๆ งุนงง ปกติเงินที่นางโลมหามาได้หนิงอวี่จะยึดไว้ทั้งหมด อ้างว่าเป็นค่าดูแล ทำให้พวกนางไม่มีเงินไถ่ตัวเองออกไป
“ข้าเว่ยหนิงอวี่ ขอประกาศว่า นับจากนี้หอบุปผาหญิงคณิกาทุกคนมีสิทธิ์เลือกว่าจะหลับนอนกับแขก หรือจะเป็นแค่เพื่อนดื่มกินเท่านั้น” หนิงอวี่กล่าวเสียงดังให้ทั้งแขกและหญิงคณิกาได้รับรู้
คำพูดของนางที่ประกาศออกไปทำให้แขกตกตะลึง มีหอนางโลมไหนกันที่เหล่านางโลมจะสามารถเลือกได้ ไม่ต่างจาก
หลี่หยางที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดก็ขมวดคิ้วแน่น เขาสงสัยว่านางจะเปลี่ยนไปได้จริงหรือ ต่างจากหญิงคณิกาที่ดีใจด้วยที่พวกนางจะได้มีสิทธิ์เลือกแขกเองบ้าง
เจียลี่ที่ตามมาจากเรือนเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางตกใจอย่างมาก รีบวิ่งไปหาคุณหนูของตน
“คุณหนู หากไม่ให้พวกนางร่วมหลับนอนกับแขก แล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้หนี้เจ้าคะ” เจียลี่กระซิบนาง
“ข้ามีหนี้ด้วยหรือ” หนิงอวี่ที่ตอนแรกยิ้มอย่างภูมิใจในตัวเอง บัดนี้กลับตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“มีสิเจ้าคะ คุณหนูไปกู้ยืมมาจากร้านปล่อยเงินกู้เถาอี้ เพื่อมาซื้อตัวพวกนาง และตกแต่งร้าน หนึ่งหมื่นตำลึงเลยนะเจ้าคะ” เจียลี่เตือนสตินาง ใบหน้าสาวใช้เต็มไปด้วยความร้อนใจ
“หนึ่งหมื่นตำลึง!” หญิงสาวตกใจอุทานเสียงดัง จนผู้คนหันมามองอีกครั้ง
หนิงอวี่แทบทรงตัวไม่อยู่ นางหน้ามืดในทันที ‘แล้วจะเอาเงินไหนใช้หนี้เขาเล่า’ นางคิดหาวิธีอย่างไวพลางเหลือบมองไปเห็นมู่เฉินที่มองนางอยู่ ‘ใช่แล้ว! หากไปขอเปลี่ยนคำพูด ด้วยการรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงกับเขาเช่นเดิม คงไม่ทำให้เขามองนางแย่กว่าเดิมได้หรอก เพราะตอนนี้เขาก็ไม่ได้มองนางในทางที่ดีอยู่แล้ว’
“คุณชายไป๋ เรื่องเงินหนึ่งร้อยตำลึง............”
“ขอบคุณคุณหนูเว่ย ที่จากนี้จะไม่รับเงินหนึ่งร้อยตำลึงจากข้า เช่นนั้นเงินในหีบที่นำมาวันนี้ข้าจะให้คนไปยกกลับคืนมาแล้วกัน” มู่เฉินไม่เปิดโอกาสให้นางได้เจรจา เมื่อพูดจบเขาก็เดินจากไป ไม่ต่างจากหลี่หยางที่หัวเราะนางเสร็จก็หันหลังจากไปทันที ทิ้งให้หนิงอวี่ยิ้มแห้งอยู่อย่างนั้น
ในเมื่อนางสูญเสียเงินที่จะได้หนึ่งร้อยตำลึงจากมู่เฉิน และเงินที่จะได้จากการร่วมหลับนอนกับแขกของหญิงนางโลม เช่นนั้นจะต้องคิดหาวิธีทำให้หอบุปผามีความแปลกใหม่ ไม่เหมือนหอนางโลมใด ๆ ในเมืองหลวง เช่นนี้นางจึงจะสามารถหาเงินมาใช้หนี้ได้
หลี่หยางกลับตำหนักเผิงซีด้วยความขุ่นเคือง แม้หนิงอวี่บอกว่านางต้องการอยู่ที่หออาลักษณ์เพื่อใช้ความสามารถของตน แต่เขามักรู้สึกว่านางจงใจหลบเลี่ยงเขาอยู่บ่อยครั้ง นั่นทำให้เขาไม่พอใจ “ยินดีกับองค์รัชทายาทเพคะ” ลู่เสียนกล่าวยินดีกับเขาทันที เมื่อเห็นหลี่หยางก้าวเข้ามาในห้องทรงอักษร “เจ้าเข้ามาในนี้ได้อย่างไร” หลี่หยางขมวดคิ้วถามด้วยความไม่พอใจ ลู่เสียนในใจเขานับวันยิ่งแตกต่างจากสตรีที่เขาคอยปกป้องเมื่อครั้งที่อยู่ที่หอบุปผา “หม่อมฉันเห็นว่าห้องนี้ไม่ค่อยได้ทำความสะอาด จึงเข้ามาเช็ดถูให้เพคะ” รอยยิ้มบนใบหน้านางจางหายในทันที เมื่อสิ่งที่หลี่หยางตอบกลับมาไม่ใช่รอยยิ้มอย่างที่นางคิด “ช่างเถิด เจ้าไปเก็บของเถอะ รุ่งเช้า มามา จะพาเจ้าไปตำหนักของตัวเอง เจ้าจะได้มีอิสระในการทำสิ่งใดไม่ต้องคอยเกรงใจข้าอีก”ลู่เสียนหน้าชาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ถึงแม้คำพูดของหลี่หยางจะดูเป็นห่วงนาง แต่แท้จริงแล้วกลับต้องการไล่ให้นางออกไปเสียมากกว่า “หม่อมฉันรับบัญชาเพคะ” ลู่เสียนเดินออกจากห้องไป นางกำมือแน่นจนเล็บจิกเข
หนิงอวี่ยกหนังสือที่อยู่ในมือขวางการจ้องมองของหลี่หยาง นางมิอาจจะทนต่อการจ้องมองอย่างลึกซึ้งนั้นของเขาได้ “องค์ชาย นี่หออาลักษณ์โปรดสำรวมด้วย” หนิงอวี่ตำหนิหลี่หยางกลาย ๆ “เช่นนั้นกลับตำหนักเผิงซีเถอะ ข้าจะได้ไม่ต้องสำรวม”หลี่หยางกล่าวพลางดึงหนังสือให้มือของนางออก หนิงอวี่จ้องมองคนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยใบหน้าบึ้งตึง ทำให้หลี่หยางยอมปล่อยนางอย่างว่าง่าย เกรงว่านางจะเคืองจนไม่กลับไปตำหนักกับเขาแต่โดยง่าย “องค์ชายโปรดอภัย หม่อมฉันไม่คิดจะกลับไปตำหนักเผิงซี” หนิงอวี่กล่าวในสิ่งที่เขาไม่อยากจะฟัง “เหตุใดไม่กลับไป? ตอนนี้ข้าก็สามารถปกป้องเจ้าได้แล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใดอีก” แววตาของหลี่หยางเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “เหตุใดองค์ชายต้องปกป้องหม่อมฉันด้วย?” นางอยากรู้ว่าตนเองเป็นสิ่งใดในใจเขากัน “ข้า............” หลี่หยางนิ่งไปชั่วครู่ เขาไม่รู้จะให้คำตอบอย่างไรกับนางดี นางสำคัญอย่างไรในใจเขากันแน่ “ข้าเห็นเจ้าเป็นสหายของข้า” คำตอบของหลี่
หลี่หยางรู้สึกตัวขึ้นในยามเหม่า หนิงอวี่ยังคงหลับอยู่นางนั่งพิงอยู่กับเสาแท่นบรรทม โดยมีเขาหนุนตักของนางอยู่อย่างนั้น หลี่หยางจ้องมองใบหน้าขาวนวลนั้นอยู่นาน เขาอยากให้นางอยู่ข้าง ๆ เขาเช่นนี้ในทุกวันหลี่หยางช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะวางให้นางนอนบนแท่นบรรทมอย่างสบายตัว มือของเขาลูบไล้ใบหน้านางอยู่นาน สายตาที่จดจ่ออยู่กับริมฝีปากอิ่มสีทับทิมสุกนั้น ทำให้ความกระหายในกายของเขาเริ่มพลุ่งพล่าน จนหลี่หยางต้องรีบลุกออกจากเตียงในทันที “ถงอู่ให้องครักษ์เฝ้าห้องบรรทมไว้ ห้ามผู้ใดเข้าไปหากนางตื่นแล้ว ค่อยส่งนางกลับหออาลักษณ์” หลี่หยางไม่ต้องการให้ใครรบกวนการนอนของนาง หากเพียงผ่านวันนี้ไป หากเขาไม่สามารถรับกระบี่เทพได้ ตำแหน่งรัชทายาทก็ยังคงเป็นของเจี้ยนหยาง นั่นทำให้เขาไม่ใช่คู่แข่งอีกต่อไป หนิงอวี่ก็สามารถกลับมาอยู่ข้างกายเขาได้ หรือหากวันนี้เขารับกระบี่เทพได้ ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายเขาอีก นั่นก็ทำให้นางอยู่ข้างกายเขาได้เช่นกัน เช่นนั้นแล้วขอเพียงผ่านวันนี้ไป เขาจะไม่ยอมปล่อยมือนางอีก................................พิธีบูชากระบี่เทพ เริ่มขึ้นตั้งแต่ยามเหม่าเหล่าขุนนาง
หนิงอวี่ยังคงทำหน้าที่เน่ยเหรินผู้ต่ำต้อยได้ดีเช่นทุกวัน พอนานวันเข้านางกำนัลคนอื่น ๆ ต่างเบื่อหน่ายที่จะกลั่นแกล้งนาง ด้วยนางไม่คิดตอบโต้ เป็นเหมือนแม่น้ำที่โยนสิ่งใดลงไปก็ได้แต่จมหาย การใช้ชีวิตในหอซักของหนิงอวี่จึงง่ายขึ้น “เน่ยเหรินหนิงอวี่ ฝ่าบาทเรียกพบที่ห้องทรงอักษร”ฝางกงกง ขันทีข้างกายฮ่องเต้ตามหานางด้วยท่าทีรีบร้อน หนิงอวี่ที่กำลังง่วนอยู่กับการซักอาภรณ์ของเหล่าราชวงศ์ เริ่มมีสีหน้ากังวล ‘เหตุใดจู่ ๆ ฮ่องเต้ถึงเรียกพบนางได้’ ถึงจะหวาดกลัว แต่หนิงอวี่ก็ยอมเดินตามฝางกงกงอย่างว่าง่าย “หม่อมฉันเว่ยหนิงอวี่ถวายพระพรฝ่าบาท” หนิงอวี่ ยอบกายถวายพระพรตามธรรมเนียม พลางสายตานางกลับมองเห็นองค์ชายเฟยหยางที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะอักษร นางรู้ได้ทันทีว่าต้องเกี่ยวข้องกับบทความที่นางเขียนแน่ “เจ้าเป็นคนเขียนบทพรรณนาความงามให้องค์ชายเฟยหยางใช่หรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถามโดยไม่แสดงอาการใด ๆ “เพคะ” หนิงอวี่ไม่คิดปิดบัง ด้วยฮ่องเต้ต้องซักถามองค์ชายเฟยหยางอย่างแน่ชัดแล้ว “เจ้าไปเรียนรู้การกล่าวพรรณนาเ
ถงอู่ที่มองเห็นแววตาเจ็บปวดของหลี่หยาง เขาเองไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นนาย “องค์ชายจะไม่บอกความจริงกับนางหรือพ่ะย่ะค่ะ” “นางอยู่ห่างจากข้า จึงจะปลอดภัย” หลี่หยางยังคงมองไปยังจุดที่นางจากไป แม้บัดนี้จะมองไม่เห็นนางแล้วก็ตาม “เหตุใดองค์ชายถึงทำเช่นนั้น” ถงอู่ยังคงไม่เข้าใจหากห่วงใยทำไมไม่เก็บไว้ข้างกาย “การชิงตำแหน่งรัชทายาท ต้องมีผู้ไม่หวังดีก่อความวุ่นวายแน่ หากนางยังอยู่ข้างข้าคนเหล่านั้นต้องใช้นางเป็นเครื่องต่อรอง เช่นนั้นนางจะตกอยู่ในอันตราย โดยข้าเองไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นมีกำลังมากเพียงใดจึงไม่กล้าดึงนางเข้ามาเสี่ยง” หลี่หยางที่แม้ไม่พอใจที่นางอยู่ใกล้ชิดกับไป๋มู่เฉิน แต่นั่นก็ใช่ว่าเขาจะโกรธจนขาดสติไม่รับฟังเหตุผลใด ๆ “เจ้าไปสืบมา เหตุการณ์ที่อุทยานเป็นฝีมือใคร” หลี่หยางเชื่อคำพูดของหนิงอวี่ตั้งแต่แรก หากแต่นั่นคือข้ออ้างที่ดีที่จะทำให้ผู้คนคิดว่าเขาทอดทิ้งนางแล้วจริง ๆ………………….หนิงอวี่กลับมายังหอซัก ภายใต้ความประหลาดใจของเน่ยเหรินที่อยู่ตรงนั้น หากแต่นางไม่สนสายตาของผู้ใด
ราชสำนักซู่หนานบัดนี้เกิดความโกลาหลไม่น้อย ด้วยเรื่องน่าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในวันที่องค์ชายหลี่หยางดื่มยาถอนพิษหนิงเซี่ย ทำให้ฝนที่ไม่เคยตกลงผืนแผ่นดินแคว้นซู่หนานมานานถึงห้าปี กลับมาตกหนักอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน ขุนนางจึงแตกออกเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายองค์รัชทายาท และฝ่ายที่ต้องการให้แต่งตั้งองค์ชายหลี่หยางขึ้นเป็นรัชทายาทแทน ด้วยเป็นองค์ชายองค์โตและเป็นผู้นำสายฝนคืนสู่แคว้นอีกครั้ง “เช่นนั้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า พิธีบูชากระบี่เทพหากองค์ชายหลี่หยางสามารถครองกระบี่เทพได้ ข้าจะยกตำแหน่งรัชทายาทให้กับเขา” ฮ่องเต้ฉินหนานประกาศกลางท้องพระโรง ทำให้เหล่าขุนนางหยุดโต้แย้งกันลงได้..........................ข่าวแต่งตั้งรัชทายาทใหม่แพร่ไปยังหมู่นางกำนัลอย่างรวดเร็ว หลายคนต่างคาดหวังว่าหลี่หยางจะสามารถครองกระบี่เทพได้ ราษฎรจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยบัดนี้แคว้นซู่หนานแห้งแล้ง ราษฎรอดอยาก หากไม่มีกระบี่เทพคอยปกป้องเกรงว่าแคว้นซู่หนานจะล่มสลายไปนานแล้ว ความกดดันนี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของหลี่หยางไม่น้อย ด้วยเขาเองไม่ได้คิดอยากจะเป็นรัชทายาท ไม่ได้อยากครองกระบี่เทพเขาเพียงอ