 LOGIN
LOGINในเมื่อการต่อรองกับมู่เฉินไม่สำเร็จ หนิงอวี่จำเป็นต้องคิดวิธีหาเงินทางอื่นแทน นางครุ่นคิดถึงโลกที่จากมามีอะไรบ้างที่จะเป็นประโยชน์กับอาชีพของนางตอนนี้
‘ใช่ สมัยนี้ยังไม่มีการแสดงโชว์ของเหล่าหญิงคณิกาแน่ ถ้าการแสดงมีความแปลกใหม่ย่อมได้เงินไม่น้อย’
“เจียลี่ หากระดาษกับพู่กันให้ข้า”
หนิงอวี่ตื่นเต้นกับการแสดงที่จะพลิกโฉมหอบุปผาของนางในครั้งนี้
“คุณหนูจะทำอะไรเจ้าคะ” เจียลี่ที่นำกระดาษและพู่กันวางตรงหน้านางถามขึ้น ร้อยวันพันปีคุณหนูของนางไม่เคยถามหาพู่กันกับกระดาษเสียด้วยซ้ำ
“วาดภาพน่ะ”
“คุณหนูวาดเป็นหรือเจ้าคะ!” เจียลี่ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
หนิงอวี่ไม่ได้สนใจคำถามนั้น นางตั้งใจบรรจงวาดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาทีละขั้นตอน โดยอาศัยความสามารถด้านศิลปะของนางที่มักได้รับการชื่นชมจากอาจารย์ที่สอนเสมอ แม้การใช้พู่กันยากกว่าใช้ดินสอมาก แต่การจับพู่กันครั้งแรกก็พอมองออกเป็นรูปเป็นร่างได้ หนิงอวี่ใช้เวลาไม่นานก็ได้แบบที่นางต้องการสองสามแบบ
“นี่คืออะไรเจ้าคะ?” เจียลี่ถามด้วยความงุนงง
“ชุด”
“คุณหนูจะตัดชุดใหม่หรือเจ้าคะ แต่ของเดิมยังใส่ไม่ครบเลยนะ”
“ไม่ใช่ของข้า แต่เป็นของพวกนางต่างหาก” หนิงอวี่พูดพลางมองไปที่หอบุปผา
“ตัดให้พวกนางทำไมหรือเจ้าคะ” ปกติคุณหนูของนางไม่เคยทำดีกับเหล่าหญิงคณิกามาก่อน
“ชุดพวกนี้จะทำให้เรามีเงินใช้หนี้อย่างไรเล่า หยุดถามเสียที เจ้าพาข้าไปร้านตัดผ้าที่ฝีมือดีหน่อยข้าต้องการชุดโดยเร็ว” หนิงอวี่กล่าวพลางลากเจียลี่ออกจากเรือนไป
..........รถม้าหยุดลงหน้าร้านฝูเถา เถ้าแก่ร้านจำหนิงอวี่ได้ดี นางมักมาตัดอาภรณ์ที่นี่ประจำ ถึงแม้นางจะปากร้าย มีชื่อเสียงไม่ดี แต่นางกลับไม่เคยต่อราคาของ นี่ทำให้เถ้าแก่ชอบนางไม่น้อย
“เถ้าแก่ฝู คุณหนูข้าอยากจะตัดเย็บชุดเสียหน่อย”
เจียลี่เป็นผู้เข้าไปเจรจา
“คุณหนูเว่ยอยากจะได้ชุดแบบใด บอกมาเลยร้านเรามีหลายแบบให้เลือก” เถ้าแก่กล่าวอย่างอารมณ์ดี ถ้าชมนางเสียหน่อยว่าชุดเหมาะกับนาง หนิงอวี่ย่อมซื้อทุกชุดแน่
“วันนี้ข้ามีแบบมาให้ตัด เถ้าแก่ฝูจะทำได้หรือไม่”
หนิงอวี่วางแบบให้เถ้าแก่ดู
“ชุดพวกนี้ค่อนข้างแปลก การตัดเย็บยากอยู่” ถึงแม้ชุดของหนิงอวี่จะดูแปลก แต่เถ้าแก่ที่ทำงานตัดเย็บมาห้าสิบปีก็มองออกว่าจะตัดเย็บอย่างไร
“ท่านทำได้หรือไม่” หนิงอวี่ต้องการคำตอบ
“ได้ แต่ราคาค่อนข้างแพงข้าคิดคุณหนูชุดละสิบตำลึง” เถ้าแก่ฝูที่ทำการค้ามานาน คำนวณกำไรในหัวอย่างไว
“ชุดละห้าตำลึง” หนิงอวี่ต่อราคาจนเถ้าแก่ฝูหน้าชา
“คุณหนูเว่ย ราคานี้ข้าทำให้ไม่ได้หรอก” เถ้าแก่ฝูผลักแบบชุดคืนให้นาง
“เถ้าแก่ฝูอย่าหน้าเลือดนักเลย ชุดนี้ข้าสั่งแบบละสิบชุด สามแบบก็สามสิบชุด กำไรของท่านก็ไม่น้อยแล้ว แถมแบบชุดนี้ข้าก็จะให้ท่านโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ชุดที่ไม่เหมือนใครเช่นนี้หากท่านเลือกขายให้เฉพาะเหล่าคุณหนู เชื่อว่าท่านคงทำกำไรได้ไม่น้อยกว่าพันตำลึงแน่” หนิงอวี่ผลักแบบชุดกลับไปให้เถ้าแก่ฝูอีกครั้ง สายตาที่รู้ทันของนางจ้องมองเถ้าแก่ฝูไม่วางตา
“ได้ ข้ารับงานนี้” เถ้าแก่ตาลุกวาวทันทีที่รู้ว่าจะได้แบบชุดพวกนี้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน ชุดพวกนี้ต้องทำให้ร้านเขาขายดิบขายดีแน่
“ดี! ข้าจะได้ชุดเมื่อไหร่”
“อีกเจ็ดวัน ท่านให้คนมารับชุดได้เลย” เถ้าแก่ฝูรับปาก
เมื่อเรื่องชุดจบลง หนิงอวี่ก็รีบกลับไปที่หอบุปผา นางให้พ่อบ้านเจียงเรียกหญิงคณิกาทุกคนมารวมกันที่กลางโถง แม้แต่ลู่เสียนเองก็ไม่เว้น
“วันนี้ข้าอยากจะเปลี่ยนวิธีต้อนรับแขกของร้าน ข้าจะให้พวกเจ้าทุกคนทำการร่ายรำตามที่ข้าสอน หากทำได้ดีข้ามีส่วนแบ่งให้พวกเจ้า”
เมื่อพูดถึงส่วนแบ่ง พวกนางก็สนใจขึ้นมาทันที ด้วยจะมีเงินเก็บไว้ไถ่ตัวเอง
“ลู่เสียน เจ้าเล่นพิณเป็นใช่หรือไม่” หนิงอวี่จำได้ว่านางเขียนไว้ในนิยายถึงความสามารถข้อนี้ของนาง
ลู่เสียนถึงกับตกใจ ด้วยความสามารถด้านการเล่นพิณ นางไม่เคยบอกให้ใครในหอบุปผารู้
“เจ้าค่ะ”
“ดี เช่นนั้นเจ้าเล่นเพลง”
“ส่วนคนที่เหลือ พวกเจ้าจงจำการร่ายรำของข้าให้ดี”
หนิงอวี่สั่งให้คนนำพิณมาให้ลู่เสียน
เมื่อการบรรเลงเพลงเริ่มขึ้น หนิงอวี่ก็เริ่มร่ายรำตามที่นางเคยเห็นในมือถือบ่อย ๆ ทุกคนต่างตกตะลึงกับท่าทางอ่อนช้อย แต่เย้ายวนนี้ สายตาที่คล้ายจะสนใจแต่ก็ไม่เหนี่ยวรั้งนี้ ทำให้ผู้ที่ได้มองละสายตาจากนางไม่ได้ ประกอบกับท่วงท่าร่ายรำไม่เหมือนผู้ใด กับเสียงพิณที่ไพเราะของลู่เสียน แม้แต่สตรีด้วยกันยังตกอยู่ในภวังค์
เจ็ดวันนี้หอบุปผามีคนงานเข้าออกไม่หยุด เหล่าหญิงคณิกาฝึกซ้อมการร่ายรำโดยไม่มีผู้ใดกล้าเกียจคร้าน
ฝ่ายหนิงอวี่ให้คนปิดประกาศไปทั่วเมืองว่า หอบุปผาจัดการแสดงร่ายรำสะเทือนฟ้าสะท้านดิน รับแขกเพียงห้าสิบโต๊ะเท่านั้น ทำให้มีแขกมากมายที่อยากเห็นการร่ายรำนี้ มาลงชื่อจองไว้ล่วงหน้า แม้ว่าผู้ที่จะเข้าชมต้องจ่ายสูงถึงหนึ่งร้อยตำลึงก็ตาม ไม่เว้นแม้แต่ไป๋มู่เฉินเอง
“คุณหนูชุดมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” เจียลี่พาคนนำชุดเข้ามายังหอบุปผาด้วยความตื่นเต้น
“ให้พวกนางลอง” หนิงอวี่ที่กำลังจิบชาอยู่ชี้ไปทางเหล่าหญิงคณิกา
“งามมาก! เจ้าดูชุดข้าสิ อ่อนหวานแต่ก็ยั่วยวน”
“ของข้าก็เช่นกัน หากชายใดมาเห็นต้องอ้าปากค้างแน่”
“ชุดข้าใส่แล้ว เหมือนหญิงวัยแรกแย้มก็ไม่ปาน”
เหล่าหญิงคณิกาต่างผลัดกันชมตัวเองไม่ขาดปาก เมื่อมองดูพวกนางหนิงอวี่พอใจกับชุดพวกนางไม่ใช่น้อย แน่นอนว่าไม่มีสตรีใดที่ใส่แล้วงามเสมอป้ายลู่เสียน บัดนี้นางดูอ่อนหวานกว่าที่เคยเป็น อาภรณ์ชมพูลายดอกบัวคลุมทับด้วยเสื้อตัวนอกสีขาวบาง เปิดให้เห็นไหล่ขาวเพียงน้อย แลนัยน์ตาเศร้านั้นยิ่งทำให้นางมีเสน่ห์ดึงดูดใจชายยิ่ง
ตกเย็นหอบุปผามีแขกนั่งเต็มทุกโต๊ะ ต่างเป็นเหล่าคุณชายในเมืองหลวงทั้งสิ้น
“หอบุปผาขอต้อนรับเหล่าคุณชายที่มาเยือนในคืนนี้ ข้าเว่ยหนิงอวี่ หวังว่าเหล่าคุณชายจะพึงพอใจกับการแสดงของเรา”
สิ้นเสียงของหนิงอวี่ เสียงพิณก็ดังขึ้น ผ้าม่านสีแดงถูกดึงลง เผยให้เห็นป้ายลู่เสียนในชุดชมพูลายดอกบัว ที่เผยให้เห็นหัวไหล่ซ้ายเพียงเล็กน้อย แต่ด้วยใบหน้าที่งดงามของนาง ก็ทำให้เหล่าบุรุษคิดเพ้อฝันไปไกล
เหล่าสตรีในชุดแปลกตา ร่ายรำในท่วงท่าที่อ่อนช้อย สายตาที่พวกนางมองมายังเหล่าคุณชายคล้ายเชื้อเชิญ แต่ก็คล้ายผลักไส ทำให้จิตใจเหล่าบุรุษร้อนรุ่มไม่น้อย
การแสดงจบลงแล้ว แต่คุณชายบางคนยังไม่ตื่นจากภวังค์ด้วยซ้ำ แสดงปรบมือที่ค่อยๆดังขึ้น พร้อมเสียงโห่ร้องชื่นชมดังทั่วหอบุปผา
“ดี! เป็นการแสดงที่ดียิ่ง”
“คุ้มค่าเงินหนึ่งร้อยตำลึงของข้ายิ่ง”
“แม่นางป้าย ชวนน่าหลงใหลยิ่งนัก”
เสียงชื่นชมพวกนี้ทำให้หนิงอวี่ยิ้มกว้าง นี่จะทำให้
หอบุปผาโด่งดังไม่มีหอนางโลมใดทัดเทียมแน่
“ไหนเจ้าบอกจะไม่บังคับนาง” หลี่หยางที่ใบหน้าเย็นชา แผ่ไอเย็นอยู่ด้านหลังหนิงอวี่ขัดจังหวะการเพ้อฝันของนาง
“ข้าบอกจะไม่บังคับนางรับแขก แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้นางทำงาน เพียงแค่เล่นพิณไม่ทำให้นางด่างพร้อยหรอก” “แต่ชุดที่เจ้าให้นางใส่มันก็ดูไม่เหมาะสม” หลี่หยางยังคงโต้แย้งไม่ยอมนาง
“หากไม่หาจุดที่น่าสนใจ การแสดงของข้าจะดึงดูดผู้คนได้อย่างไร”
“แต่นางไม่เหมือนหญิงคณิกาทั่วไป จะแต่งกายแบบเดียวกันได้อย่างไร” หลี่หยางพูดอย่างไม่ไยดี
“หญิงคณิกาคนอื่นเป็นเยี่ยงไร พวกนางก็เป็นคนเช่นคุณหนูป้าย ผู้อื่นทำงานได้ทำไมนางจะทำไม่ได้”
พูดจบหนิงอวี่ก็เดินหนีไป นางไม่ชอบการที่เขาทำเหมือนป้ายลู่เสียนสูงส่งกว่าผู้อื่น ทั้งที่ถูกขายมาเป็นนางโลมเช่นเดียวกับสตรีคนอื่น

หน้าตำหนักหนิงอันบัดนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เหล่านางกำนัลวิ่งวุ่นแทบจะชนกันล้ม หลี่หยางที่ถูกขวางไว้นอกตำหนัก ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “ฝางกงกงเหตุใดข้าจะเข้าไปในตำหนักไม่ได้” หลี่หยางที่จ้องมองเข้าไปในตำหนัก พลางกล่าวถามกับขันทีข้างกาย “ทูลฝ่าบาท ฮองเฮากำลังจะคลอดตามประเพณีห้ามบุรุษเข้าไปนะพ่ะย่ะค่ะ” “แต่ว่า.......” หลี่หยางยังอยากโต้แย้งต่อ “ไม่มีแต่ใด ๆ ทั้งนั้น ถึงเจ้าเข้าไปก็ช่วยสิ่งใดไม่ได้” ไทเฮาที่ไม่รู้เสด็จมาตั้งแต่เมื่อไหร่กล่าวห้ามฝ่าบาทด้วยท่าทีจริงจัง ทำให้หลี่หยางไม่กล้าเอ่ยโต้แย้งอีก “คลอดแล้ว! คลอดแล้วเพคะ เป็นองค์ชายเพคะ” เสียงของเจียลี่ดังออกมาจากตำหนัก ก่อนที่ร่างนางจะโผล่ออกมารายงานข้างนอกเสียอีก หลี่หยางตื่นเต้นดีใจจนมือไม้สั่น ใบหน้าบัดนี้ของเขาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม รีบรับตัวโอรสของตนที่ถูกห่อด้วยผ้าคลุมลายมังกรจากเจียลี่ พลันทารกน้อยก็เปล่งเสียงร้องเป็นครั้งแรก เสียงร้องนั้นก้องกังวาน หนักแน่นและมีพลังอย่างน่าประหลาด
หนิงอวี่ที่หลับใหลกลับได้ยินเสียงที่คุ้นชินเรียกนางอีกครั้ง กลับมา กลับมา เสียงเบาของสตรีผู้นี้ทำให้นางต้องปรือตาขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้สิ่งแวดล้อมรอบตัวของนางกลับเปลี่ยนไป แสงสว่างจากหลอดไฟบนห้องสีขาวสะอาด ผู้คนในชุดสีเขียวเข้มกำลังใช้เครื่อง มือแพทย์หลายชิ้นยื้อชีวิตของใครบางคนบนเตียงผ่าตัดอย่างเคร่งเครียด ทำให้หนิงอวี่ตกใจกับสถานที่แห่งนี้ เหตุใดนางถึงอยู่ในยุคปัจจุบันกัน แล้วเหตุใดถึงโผล่มาอยู่ในโรงพยาบาลเช่นนี้ “ฉู่เสี่ยวเสี่ยว” เสียงที่คุ้นชินเรียกชื่อนางจากด้านหลัง หนิงอวี่รีบหันไปหาเสียงนั้นในทันที เมื่อสายตาประสานกับดวงตาที่คุ้นเคยร่างบางก็แข็งทื่อในทันที “นี่ท่าน!” หนิงอวี่ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดก่อน สตรีเบื้องหน้าภายใต้อาภรณ์สีขาวทั้งตัวยืนยิ้มให้กับนาง ใบหน้าของสตรีผู้นั้นเหมือนกับใบหน้าของนางทุกประการ “ฉู่เสี่ยวเสี่ยวข้าคือเจ้า แลเจ้าคือข้า หากแต่เราสองอยู่กันคนละภพชาติเท่านั้น” “ท่านคือ..” หนิงอวี่ย้ำถามสิ่งที่ตนสงสัย “ข้าคือภูตสวร
แม้การรอดพ้นจากความตายของหนิงอวี่จะเป็นความปรารถนาเดียวของหลี่หยาง แต่การสูญเสียกระบี่เทพก็ทำให้ราชสำนักเกิดข้อพิพาทอีกครั้ง ขุนนางฝ่ายเสนาบดีสุ่ยไม่พอใจกับการสูญเสียนี้ “บัดนี้สูญเสียกระบี่เทพแล้ว หากแคว้นอื่นมารุกรานจะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีสุ่ยทูลถามอย่างไม่เกรงกลัว “ก็นำทหารออกสู้รบอย่างไรเล่า” แม่ทัพหู่โต้แย้งแทนฮ่องเต้ “กระหม่อมมิเห็นด้วยที่ฝ่าบาทนำกระบี่เทพแลกกับการคืนชีพฮองเฮา ถึงอย่างไรพระองค์ควรเห็นราษฎรมาก่อน” รองเจ้ากรมโยธาเสี่ยงตายทูลทัดทาน “เช่นนั้นรองเจ้ากรมโยธาเห็นผู้ใดเหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้กว่าเราก็เสนอมาเถิด ข้าไม่มีวันนำชายาของตนแลกกับสิ่งใดทั้งสิ้น”หลี่หยางกล่าวอย่างไม่ถือโทษ แต่น้ำเสียงนั้นกลับหนักแน่นจนใต้เท้าฉีไม่กล้ากล่าวต่อ “ข้าจะปกป้องแคว้นด้วยกำลังที่ข้ามี หาใช่อาวุธเทพที่ต้องแลกด้วยชีวิตฮองเฮาหรือผู้ใด หากใต้เท้าฉีคิดว่าข้าไม่เหมาะสมโปรดเสนอฮ่องเต้พระองค์อื่น” สายตาเยือกเย็นมองไปยังรองเจ้ากรมโยธา ฉีเหิงรองเจ้ากรมโยธาเมื่อเห็นฝ่าบาททรงกริ้วก็หัน
หลี่หยางมุ่งตรงไปที่หอกระบี่ หากไม่มีผู้ใดให้คำตอบกับเขาได้ก็มีเพียงหอกระบี่นี้เท่านั้นที่จะให้คำตอบได้ ชั้นบนสุดของหอกระบี่ยังคงเหมือนเช่นเดิมทุกครั้ง กระบี่เทพที่ล่องลอยบนบัลลังก์น้ำแข็ง โดยมีลูกแก้วดวงจิตสถิตอยู่กลางห้องหลี่หยางเรียกกระบี่มาหาตนพลางชี้ไปยังดวงจิตเทพที่ล่องลอยอยู่ “จงให้คำตอบข้า เหตุให้ฮองเฮาของข้าจึงเป็นเช่นนั้น” สายตาเยือกเย็นหมายจะทำลายดวงจิตนั้นให้สิ้น หากไม่ให้คำตอบที่เขาต้องการ “จ้าวหลี่หยางคำตอบนั้นข้าย่อมให้เจ้าได้ การปลอบประโลมดวงจิตเทพต้องใช้ไอเซียนของภูตสวรรค์ เว่ยหนิงอวี่เป็นเพียงมนุษย์ที่มีไอเซียนของภูตสวรรค์เท่านั้น เมื่อร่างดูดซับพลังฝั่งมารมากเกินไปจะต้องขจัดพลังนั้นออก แต่เว่ยหนิงอวี่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ย่อมไม่สามารถมีพลังเช่นนั้นได้ ร่างกายและจิตวิญญาณนางจึงค่อย ๆ ดับสลาย” กลางอกของหลี่หยางเบาโหวงเมื่อได้ยินสิ่งที่ดวงจิตเทพบอก เขาเจ็บปวดจนแทบทนไม่ได้ มือที่กำกระบี่แน่นเริ่มสั่นไหว “แล้วเหตุใดก่อนหน้าเจ้าจึงไม่บอกข้า” ความเคียดแค้นเข้าเกาะกุมหัวใจที่แตกสลายนั้น
หลี่หยางยังคงเฝ้ามองการบำเพ็ญของหนิงอวี่เพื่อปลอบประโลมกระบี่เทพ ครั้งนี้นางใช้เวลาหลายชั่วยามกว่าจะทำให้ดวงจิตกระบี่เทพสงบลงได้ เหงื่อที่ผุดขึ้นตามไรผมบ่งบอกว่าเจ้าตัวเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย “หนิงอวี่ เป็นอย่างไรบ้างเหนื่อยมากใช่หรือไม่” เมื่อหนิงอวี่ลืมตาขึ้น หลี่หยางก็รีบเข้าไปประคองในทันที “หม่อมฉันทนไหวเพคะ” นางยังคงยิ้มกว้างให้เขา แม้ใบหน้าตอนนี้ดูซีดเซียวเพียงใดก็ตาม “เช่นนั้นพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับวัง” “อือ” นางพยักหน้าเชื่อฟังร่างบางถูกช้อนขึ้นวางไว้บนเตียงนอน เพียงไม่นานหนิงอวี่ก็เข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็ว จนทำให้หลี่หยางประหลาดใจว่าเหตุใดถึงหลับได้ง่ายดายเช่นนี้ ตลอดเส้นทางในการเดินทัพกลับเมืองหลวง หนิงอวี่เอาแต่หลับเป็นส่วนใหญ่ ทำให้หลี่หยางที่นั่งอยู่ด้านข้างหวาดกลัวภายในใจโดยที่เจ้าตัวไม่สามารถหาเหตุผลได้ ทำได้เพียงเป็นหมอนให้นางหนุนตลอดทาง “หนิงอวี่ถึงวังแล้ว เจ้าตื่นเถิด” เสียงทุ้มต่ำเจือไปด้วยความห่วงใยปลุกนางให้ตื่นจากนิทรา หนิงอวี่ปรือตา
ภายในห้องลับหนิงอวี่ยังคงนั่งบำเพ็ญโดยมีกระบี่เทพลอยอยู่เบื้องหน้าของนาง ด้านหลังมีหลี่หยางคอยเฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง ไม่รู้ด้วยเหตุใดทุกครั้งที่นางต้องปลอบประโลมดวงจิตกระบี่เทพ ตัวเขาเองกลับรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งภายในใจกลับหวาดกลัวอย่างน่าประหลาด ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ บัดนี้หนิงอวี่รู้สึกว่ากระบี่ไม่ได้ร้อนดั่งไฟเผาเช่นก่อนหน้า หากแต่นางกลับรู้สึกเหนื่อยกว่าครั้งแรกที่ปลอบประโลมดวงจิตกระบี่มาก อาจเป็นเพราะการเร่งเดินทางมายังเทียนเถาทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า “หนิงอวี่ เป็นอย่างไรบ้าง” หลี่หยางที่สัมผัสได้ถึงดวงจิตที่สงบของกระบี่รีบเข้ามาประคองชายาของตน “ไม่เป็นไรเพคะ เพียงแค่ครั้งนี้หม่อมฉันรู้สึกว่าใช้เวลานานขึ้นกว่าจะทำให้ดวงจิตกระบี่สงบลงได้” “ครั้งต่อไปข้าไม่ใช้กระบี่เทพแล้วดีหรือไม่” สายตาเป็นห่วงส่งมายังนาง “ได้อย่างไรกัน ศึกครั้งนี้หากไม่อัญเชิญกระบี่เทพด้วยกำลังพลที่น้อยกว่าถึงสามเท่า ทหารจะต้องล้มตายนับไม่ถ้วนแน่” หนิงอวี่มองไปยังหลี่หยางด้วยสายตาไม่เห็นด้วย “แต่ข้








