“พระองค์ หม่อมฉันมีอีกเรื่องที่อยากจะทูลขอเพคะ”
ฮองเฮาทรงเลิกพระขนงขึ้นเล็กน้อย “ว่ามาสิ”
ไป๋ลี่เยว่สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรของฮองเฮาอย่างกล้าหาญ
“ขอพระองค์ ได้โปรดเมตตา อย่าได้บอกใครเรื่องที่หม่อมฉันตั้งครรภ์ได้หรือไม่เพคะ”
บรรยากาศภายในตำหนักเย็นเงียบงันในทันที เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคน หงเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆ อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ส่วนนางกำนัลของฮองเฮาก็หันมองกันด้วยความงุนงง ไป๋ลี่เยว่ยังคงเงยหน้าสบสายพระเนตรของฮองเฮา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่
ฮองเฮาทรงมองนางนิ่ง พระขนงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดสิ่งใดอยู่” พระสุรเสียงแผ่วเบาแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจ
ไป๋ลี่เยว่พยักหน้า นางกำมือแน่นเพื่อระงับความสั่นไหวในใจ “เพคะ”
“เจ้าเป็นพระชายาขององค์ชายสาม ทายาทในครรภ์ของเจ้าก็คือเชื้อพระวงศ์ของต้าเฉิง” ฮองเฮาตรัสชัดถ้อยชัดคำ
“หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เจ้าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ได้รับสิทธิ์ของพระชายาสามเต็มที่ แล้วเหตุใดเจ้าถึงต้องการปิดบัง”
ไป๋ลี่เยว่เม้มริมฝีปากแน่น นางสูดลมหายใจลึกเข้า ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“หม่อมฉัน ไม่ต้องการพึ่งพาองค์ชายสามเพคะ”
ดวงเนตรของฮองเฮาวาววับขึ้นมาทันที พระนางทรงจับจ้องไปยังสตรีที่ถูกทอดทิ้งตรงหน้า ดูเหมือนนางจะประเมินไป๋ลี่เยว่ต่ำเกินไป
“เจ้ารักเขา แต่กลับไม่ต้องการให้เขารับรู้ว่ามีทายาทกับเจ้า อย่างนั้นหรือ เพราะเหตุใดกัน”
“เพราะหม่อมฉันไม่ต้องการให้เขารับผิดชอบเพียงเพราะหน้าที่ หรือเพียงเพราะความเหมาะสมเพคะ”
ไป๋ลี่เยว่หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างมั่นคง “และหม่อมฉันไม่ต้องการให้ลูกของหม่อมฉันเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกว่าเป็นเพียงภาระที่ถูกฝืนให้ยอมรับเพคะ”
ฮองเฮาทรงนิ่งไป ดวงพระเนตรจับจ้องไปที่ไทจื่อเฟยตรงหน้า “เจ้าเกลียดเขาหรือ”
ไป๋ลี่เยว่สั่นศีรษะ “ไม่เพคะ”
“เช่นนั้น เจ้ายังรักเขาอยู่หรือ”
ไป๋ลี่เยว่ชะงักงัน ใจของนางสั่นไหววูบหนึ่ง นางหลุบตาลงก่อนจะแค่นยิ้มบางๆ
“หม่อมฉันเคยคิดว่าความรักของหม่อมฉันมีค่า และงดงาม แต่หลังจากคืนวันแต่งงาน หม่อมฉันก็เข้าใจแล้วเพคะ ว่าองค์ชายไม่เคยเห็นหม่อมฉันอยู่ในสายตา ตอนนี้ ความรักสำหรับหม่อมฉัน มันหมดความหมายไปแล้วเพคะ ”
“และหม่อมฉันไม่ต้องการให้ลูกของหม่อมฉันต้องเติบโตขึ้นมาโดยต้องรอคอยความรักจากบิดาเพคะ” นางกล่าวหนักแน่น
“หม่อมฉันจะเลี้ยงดูเขาเอง ให้เขามีชีวิตที่มีความสุขเพคะ”
ฮองเฮาทรงมองนางนิ่งนาน ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“เจ้าเป็นสตรีที่น่าสนใจยิ่งนัก” พระนางตรัสขึ้นมาลอยๆ
“ตั้งแต่เจ้าขอสมรสพระราชทานตบแต่งเข้าวังมา ข้ามิเคยได้ยินเจ้าทูลขอสิ่งใดเลย แต่วันนี้ เจ้ากลับมาขอให้ข้าปิดบังเรื่องที่เจ้ามีรัชทายาท”
ไป๋ลี่เยว่ก้มหน้าลงอย่างเคารพ “เพคะ ขอพระองค์โปรดเมตตา”
“หากข้าปิดเรื่องนี้ แล้ววันหนึ่งองค์ชายสามรู้ความจริงขึ้นมา เจ้าคิดหรือว่าเขาจะให้อภัยเจ้า”
ไป๋ลี่เยว่นิ่งไปก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “หม่อมฉันไม่สนใจเพคะ”
“ไม่สนใจหรือ”
“เพคะ เพราะถึงอย่างไร หม่อมฉันก็ไม่ใช่คนสำคัญของพระองค์”
ฮองเฮาทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พลาง จ้องมองนางอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะคลี่ยิ้มบางที่ยากจะคาดเดา
“เหตุใดเจ้าคิดว่าเราจะยอมตามคำขอของเจ้า”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นสบพระเนตรของฮองเฮาอย่างไม่หวาดหวั่น นางรู้ดีว่าพระนางทรงฉลาดล้ำลึกและมองการณ์ไกล หากต้องการให้นางเปิดเผยเรื่องนี้ พระนางย่อมมีอำนาจพอที่จะทำเช่นนั้นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไป๋ลี่เยว่มั่นใจ
“เพราะพระองค์เองก็ต้องการให้เขาเรียนรู้บทเรียนนี้เพคะ เช่นเดียวกับหม่อมฉันเพคะ”
ดวงเนตรของฮองเฮาสั่นไหววูบหนึ่ง ก่อนพระนางจะหัวเราะเบาๆ “เจ้านี่ฉลาดกว่าที่ข้าคิดเสียอีก”
ไป๋ลี่เยว่ก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันเพียงแต่เข้าใจว่าหากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ท่านอ๋องอาจถูกบังคับให้แสดงความรับผิดชอบ และพระองค์เองก็ทรงทราบดีว่า สิ่งใดที่ถูกบังคับ ย่อมไม่เกิดผลดีเพคะ”
นางสูดลมหายใจลึกก่อนจะกล่าวต่อ “หม่อมฉันจึงขอให้พระองค์เมตตา เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”
ฮองเฮาทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสขึ้นช้าๆ “เจ้าคิดถูกแล้ว”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นมองพระนางด้วยความประหลาดใจ
ฮองเฮาทรงทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่าง พระพักตร์สงบนิ่ง แต่ในแววตามีประกายเฉียบคม
“เจิ้งหยางเป็นพระโอรสของเรา แต่เขาก็ยังเป็นบุรุษที่เย่อหยิ่งและไม่เห็นค่าของผู้อื่น” พระนางตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“บางที ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเรียนรู้ว่า การสูญเสียบางสิ่งไป อาจเจ็บปวดยิ่งกว่าการไม่เคยได้รับมันมาแต่แรก”
ไป๋ลี่เยว่ชะงัก หัวใจของนางเต้นแรงขึ้น “พระองค์ หมายความว่า”
พระนางทอดถอนพระทัยเบาๆ ก่อนจะหันมามองไป๋ลี่เยว่ “เจ้าวางใจได้ ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ” พระนางตรัสเสียงเรียบ
ฮองเฮาทรงหันกลับมาสบตานาง แววพระเนตรเย็นชาแต่เปี่ยมไปด้วยแผนการ
“องค์ชายสามต้องเรียนรู้ ว่าความรักที่เขามองข้ามไปนั้น มีค่าเพียงใด” พระนางตรัสช้าๆ
“หากเขาไม่เห็นค่าเจ้า เราก็จะทำให้เขาต้องการเจ้า”
ไป๋ลี่เยว่เบิกตากว้าง นางมิใช่คนอ่อนแอ แต่นางก็ไม่เคยคิดจะใช้แผนการใดๆ เพื่อนำพาพระสวามีกลับคืนมา
“หม่อมฉัน ไม่คิดจะบังคับให้เขากลับมาเพคะ” นางกล่าวเสียงแผ่ว
ฮองเฮาทรงแย้มพระโอษฐ์ “มิใช่การบังคับ แต่เป็นการทำให้เขาตระหนักถึงสิ่งที่เขาทอดทิ้งไป”
พระนางทอดถอนพระทัยเบาๆ ก่อนจะตรัสต่อ “ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเรา แต่เจ้าต้องให้ข้ามาเยี่ยมหลานข้าได้บ่อยๆ”
ไป๋ลี่เยว่รู้สึกเหมือนก้อนหินหนักอึ้งในใจถูกยกออก นางซาบซึ้งใจจนต้องคุกเข่าลง “ขอบพระทัยเพคะ ฮองเฮา”
พระนางทอดพระเนตรนางด้วยสายตาอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะตรัสขึ้นเบาๆ “แต่ข้าจะให้คนของตำหนักของข้าคอยดูแลเจ้าจากเงามืด เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้ากับหลานของข้าจะปลอดภัย”
ไป๋ลี่เยว่ายิ้มบางๆ “เพคะ หม่อมฉันซาบซึ้งยิ่งนัก”
ฮองเฮาทรงพยักพระพักตร์ ก่อนจะจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง
“เจ้าจะเลี้ยงดูลูกคนเดียวได้หรือ”
ไป๋ลี่เยว่ลูบหน้าท้องของตนเอง รอยยิ้มของนางอ่อนโยน
“เพคะ หม่อมฉันมั่นใจ”
ดวงเนตรของพระนางฉายแววพึงพอใจ ก่อนพระนางจะลุกขึ้นประทับยืน
“ดี เช่นนั้นจงจำไว้ว่า ข้าอยู่ข้างเจ้า”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นมองพระนาง ดวงตาของไป๋ลี่เยว่สั่นไหว นางมิใช่หญิงอ่อนแอ แต่เมื่อนางได้รับความเมตตาจากฮองเฮา นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตัน นางสูดลมหายใจลึก
“ขอบพระทัยเพคะ ฮองเฮา”
“เรียกข้าว่า เสด็จแม่เถิด”
“ขอบพระทัยเพคะ เสด็จแม่”
ฮองเฮาทรงแย้มพระโอษฐ์ ก่อนจะตรัสด้วยพระสุรเสียงแฝงเล่ห์
“จงรอดูเถิด ไป๋ลี่เยว่ สักวันหนึ่ง เจิ้งหยางจะเป็นฝ่ายกลับมาร้องขอเจ้าเอง”
หอพระโรงชุมนุมขุนนาง – รุ่งเช้าหลังหิมะตกหนักหิมะบางยังเกาะตามชายอาภรณ์ของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ทยอยเข้าสู่หอชุมนุมอย่างเคร่งขรึม เสียงรองเท้าหนังสัตว์กระทบบนพื้นศิลาหินก้องสะท้อนภายใต้เพดานสูง เสาหินแกะลวดลายมังกรโบราณเงียบงัน ทว่าเหมือนจ้องมองมนุษย์อย่างลึกลับจากเบื้องบนฮ่องเต้ประทับเหนือบัลลังก์มังกรในฉลองพระองค์คลุมขนจิ้งจอกสีดำ สายพระเนตรทอดนิ่งราวหยั่งจิต ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ที่ทยอยค้อมกายถวายบังคมอย่างพร้อมเพรียงเสียงขันทีหลวงประกาศราชกิจขึ้นอย่างกังวาน“ขอถวายรายนามราชทูตแคว้นต้าเหยียน จะเดินทางถึงเมืองหลวงภายในห้าวัน ขอฝ่าบาททรงพระเมตตาแต่งตั้งผู้รับรองทูตเพื่อเป็นตัวแทนพระองค์โดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ”สิ้นเสียงขันทีประกาศสงบลงบรรยากาศยังเงียบขรึม ขุนนางผู้หนึ่งก้าวออกจากแถวมาคำนับ และกล่าวทูลเสียงดังขึ้นแทบจะทันที“กระหม่อม เวินซื่อเจี้ยน เสนาบดีฝ่ายธรรมบัญญัติ ขอเสนอให้องค์ชายสอง หลงเหวินหยาง ทรงเป็นผู้รับหน้าที่เจรจาครานี้พ่ะย่ะค่ะ เพราะองค์ชายสองเหมาะสมที่สุด พระองค์ทรงเปี่ยมวาทศิลป์ เป็นผู้มีความสามารถศาสตร์ด้านการเจรจา เข้าใจระเบียบธรรมเนียมการทูตมากกว่าผู้ใด และเป็นผู้มีค
เรือนรองในตำหนักชิงอวิ๋น ยามสายของยามเฉิน หิมะบางเบาโปรยปรายลงบนยอดไม้ด้านนอก ต้นเหมยใต้เฉลียงยังคงผลิบานพลิ้วไหวท้าลมหนาวอย่างสง่างาม กลีบดอกสีแดงชาดแต้มอยู่กลางสีขาวโพลนของหิมะบริสุทธิ์งดงามราวภาพวาด ม่านบางพลิ้วไหวกระพือเบาตามลม กลิ่นชาอู่หลงหอมกรุ่นลอยอวลเจืออยู่ในอากาศ อบอุ่นเพียงพอจะกลบความหนาวเย็นของยามเช้าได้อย่างอ่อนโยน หงเหมยรินถวายถ้วยชา ก่อนจะก้มตัวถอยออกไปเงียบงัน อย่างรู้หน้าที่ปล่อยให้ความสงบกลับคืนสู่เรือนรอง ภายในห้องเหลือเพียง ฮองเฮาที่ประทับนั่งอยู่ด้านหน้าในอาภรณ์ขนจิ้งจอกสีเงินอ่อน แววตาแน่นิ่งแต่เปี่ยมด้วยความคิดลึกซึ้ง ขณะเดียวกัน ไป๋ลี่เยว่นั่งที่ตั่งเล็กอย่างนอบน้อมและสำรวมด้วยความเคารพ ทั้งคู่เผชิญหน้ากันด้วยรอยยิ้มละมุน แววตาทั้งสองประสานกันอย่างสงบ แต่ลึกซึ้งคล้ายอาวุธที่ซ่อนปลายไว้ในปลอกไหม“เจิ้งหยางพาจิ่นอวิ๋นไปดูลูกม้าตัวใหม่ในคอกแล้ว… เด็กน้อยคงวิ่งตามหลังบิดาจนหิมะเกาะชายอาภรณ์หมดแล้วเป็นแน่… น่าเอ็นดูเสียจริง” เสียงหัวเราะเบา ๆ ของฮองเฮาเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ“ข้าจึงถือโอกาสนี้…พูดในสิ่งที่ควรพูดเสียที” ฮองเฮาเอ่ยเสียงนุ่มแต่ แววตาส่งมาที่ไป๋ลี่
“องค์ชายน้อย…โปรดใจเย็นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ภายนอกห้องบรรทม แสงอรุณแรกยังมิทันแตะปลายยอดหลิว เสียงเล็กแหลมขององค์ชายตัวน้อยกลับดังก้องกับเสียงซูเหวินองครักษ์คนสนิท ที่ยังคงยืนสงบเสงี่ยมเบื้องหน้าประตูใหญ่ แม้นใบหน้าจะไม่ไหวติง ทว่าเสียงที่เปล่งออกกลับอบอุ่นมั่นคง มือทั้งสองพยายามใช้กันร่างเล็กที่พยายามเบียดเข้าไปอย่างมุ่งมั่น“ไม่! ... ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ ซูเหวินเจ้าพูดไม่รู้เรื่อง เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะเข้าไปดูน้องของข้า หวงไหน่ไหน่บอกว่า...หากเมื่อคืนข้านอนกับหวงไหน่ไหน่ ท่านพ่อกับท่านแม่จะทำน้องให้ข้า”ภายในห้องบรรทม กลิ่นหอมอ่อนของกำยานจันทน์ยังคงคลุ้งอบอวลจางๆ ร่างสองร่างที่แนบชิดใต้ผ้าห่มสีอ่อนบนเตียงขยับไหวเล็กน้อยไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย นางรู้สึกเหมือนตัวเองแทบไม่มีแรงจะลุกจากเตียง หากคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้… กำลังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่ข้างๆ ร่างบางของนางผวาน้อย ๆ กับเสียงด้านนอก ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้ยินชัดเจนขึ้น นางพยายามขยับตัว แต่แรงอ่อนราวไม่มีแม้กระดูก ร่างกายยังอ่อนระโหยจากบทรักอันยาวนาน วงแขนแกร่งของหลงเจิ้งหยางยังโอบรัดเอวคอดไว้แน่นไม่ย
แสงเหมาสือชูทาบผ่านม่านแพรสีชมพูอ่อน กลิ่นกำยานไม้กฤษณาจากเตาเล็กผสมกับน้ำมันจันทน์จากเส้นผมที่ฟูกระจายบนหมอนผ้าไหมไป๋ลี่เยว่ลืมตาช้า ๆ ด้วยความรู้สึกถึงอ้อมแขนอุ่นที่โอบแนบแผ่นหลังนางไว้แน่น…เอวคอดของนางถูกวงแขนอันแข็งแรงโอบไว้อย่างแนบชิด เสียงหายใจสม่ำเสมอของบุรุษผู้อยู่ด้านหลังดังแผ่วมาที่ข้างหู ขณะที่ถันอวบถูกมือหนาของเขากุมไว้ราวหวงแหนนัก สองร่างเปลือยเปล่านอนหลับร่วมกันอยู่ใต้ผ้าห่มขนห่านปักลายหงส์คู่ไป๋ลี่เยว่เอื้อมมือจับอุ้งมือหนาที่กอบกุมเต้านางออก แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เจ้าของมือดูเหมือนรำคาญที่โดนกวน มือนั้นกลับยิ่งลูบไล้บีบเคล้นทรวงอวบหนักขึ้นราวไม่ตั้งใจ แต่มันสร้างความรัญจวนให้นาง ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นบริเวณประตูหยิน...“อ๋ายย…” นางเผลอส่งเสียงเล็กๆ เมื่อสัมผัสถึงเครื่องเพศบุรุษอันอุดมที่ยังไม่ยอมลดราวี ที่ตอนแรกนอนสงบนิ่งถึงแม้จะเสียบสอดอยู่ในถ้ำนาง บัดนี้เริ่มแข็งและพองตัวขึ้นร่างหนาที่ซ้อนอยู่ด้านหลัง รู้สึกตัวตื่นเมื่อคนในอ้อมกอดขยับตัว ทว่าเขายังแสร้งหลับต่อ รอดูว่านางจะทำเช่นไรต่อ เขาเพิ่งจะปล่อยให้นางได้นอนพักเมื่อตอนปลายห้าเพ็ง เขาแส
“อ้าาา ซี๊ดดด มะ...หม่อมฉันเจ็บ องค์ชาย อ๋ายยย ท่านเบาก่อน” “ประตูหยินของเจ้า รัดข้าแน่นดีเหลือเกิน อ๊าาาา เยว่เอ๋อร์ เจ้าค่อยยังชั่วบ้างหรือยัง ก่อนที่ข้าจะทนแรงบีบรัดของเจ้าไม่ไหว” แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อดทนต่อคมดาบมามาก แต่กลับแทบทนไม่ได้ต่อแรงบีบรัดที่ได้รับจากพระชายา ก่อนที่เขาจะได้ขายหน้า ใบหน้าสวยของพระชายาก็พยักหน้าเชิงอนุญาต หลังจากใช้เวลาปรับตัวกับความคับแน่น ไม่นานก็สามารถปรับลมหายใจเข้าออกได้ เขาเริ่มเคลื่อนสะโพกช้าๆ ก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นด้วยความกระหาย จนร่างกายของทั้งสองสั่นคลอนเป็นจังหวะ มือเรียวของนางยื่นไปรั้งลำคอแกร่ง สายตาเว้าวอนให้เขามอบจูบให้ ตลอดเวลาที่ทั้งสองมอบความสุขให้กับริมฝีปากของพวกเขาประกบกันแน่นไม่เว้นห่าง พร้อมกับที่สะโพกนางยกร่อนตอบรับการกระแทกลำเอ็นของเขาด้วยความกระสัน ไม่ต่างจากบุรุษตรงหน้า อื้อออ จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ เสียงเนื้อกระทบเนื้อยามร่างแนบกัน ทำให้สติของทั้งสองพร่าเลือนในวังวนของเพลิงรัก “ไม่ไหวแล้ว เยว่เอ๋อร์... ข้าจะทนไม่ไหวอีกแล้ว...ข้าต้องการพ่นพิษใส่เจ้าแล้ว อ๊าาา” ร่างหนาจะกระแทก
“เยว่เอ๋อร์ คืนนี้เจ้าจะไม่ได้นอน ข้าจะมอบจูบให้เจ้าทั้งคืน”พูดจบ ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาหานางอย่างไม่ลังเล ริมฝีปากของทั้งสองประกบกันนิ่งไม่ขยับ ก่อนที่หลงเจิ้งหยางจะกระชับมือตัวเองประคองศีรษะนางไว้ ริมฝีปากหยักบดริมฝีปากอวบอิ่มของนางอย่างดุดันด้วยฤทธิ์ยาและฤทธิ์เสน่หา ไป๋ลี่เยว่ก็ตอบรับด้วยการเผยอปาก รับเอาลิ้นร้อนที่เต็มไปด้วยความกระหายเข้ามาในโพรงปาก ทั้งสองมอบจูบดื่มด่ำดูดดื่มเต็มไปด้วยความกระหายให้แก่กัน ใบหน้าหวานผละออกมาจ้องใบหน้าคมที่ห่างเพียงฝ่ามือ“องค์ชาย หม่อมฉันอยากได้มากกว่าจูบ ที่ท่านมอบให้ได้หรือไม่” เขาจ้องใบหน้างามและเหลือบมองด้วยสายตาตกตะลึงพร้อมกับพยายามกวาดมองเพื่อจะหาท่าทางล้อเล่น แต่ก็ไม่ว่าจะมองอย่างไรเค้าก็ไม่พบท่าทางเหล่านั้นในดวงตาของนางเลย“นี่จะ…เจ้าพูดจริง หรือเพียงเพราะชาถ้วยเดียวของฮองเฮา”“ไม่ใช่เพราะชา... แต่เพราะท่าน” นางเอ่ยเบา ราวจะกล่าวโทษเขาทั้งที่ใจรู้สึกวูบหวามหลงเจิ้งหยางเลื่อนใบหน้าลงซบไหล่บาง กดจูบแผ่วเบาที่ซอกคอพลางกระซิบเสียงสั่นข้างหู “เยว่เอ๋อร์... คืนนี้ หากเจ้าห้าม ข้าจะหยุด” คำพูดนั้นแฝงไว้ด้วยความเคารพการตัดสินใจ แต่ร่างกายของเข