บนรถม้า เจียงซุ่ยฮวนหลับตาพักเอาแรง นางไม่ได้นอนทั้งคืน ใต้ดวงตามีรอยคล้ำจาง ๆ ประกอบกับผิวกายนางขาวผ่อง ยิ่งทำให้รอยคล้ำนั้นปรากฏชัดยิ่งขึ้นนางไม่ต้องการเป็นที่สะดุดตา จึงพาเพียงไป๋หลีคนเดียวติดตามมาไป๋หลีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง เกรงว่าจะรบกวนการพักของนางที่จริงนางมิได้หลับใหล ทั้งค่ำคืนนางพลิกอ่านตำราแพทย์นับสิบเล่ม แม้มิอาจค้นพบสาเหตุของโรคที่เกิดกับจีกุ้ยเฟย แต่ก็ได้ความรู้มากมาย บัดนี้จึงถือโอกาสทบทวนเนื้อหาในตำราอย่างรวดเร็วในห้วงความคิดเมื่อลงจากรถม้า เจียงซุ่ยฮวนอุ้มหีบยาไว้ในอ้อมแขน พาไป๋หลีเร่งฝีเท้า ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูตำหนักบรรทมของจีกุ้ยเฟยอาเซียงยืนเฝ้าอยู่ที่ประตู ใบหน้าครึ่งขวาบวมสูง แดงราวกับทาชาดหนา ๆ ทับลงไปนางหุบปากแน่น เมื่อเห็นเจียงซุ่ยฮวน ดวงตาก็เปล่งประกายยินดี รีบก้าวเข้ามาต้อนรับ"ท่านหมอหลวงเจียง ท่านรู้วิธีรักษาโรคบนพระพักตร์พระสนมได้แล้วหรือ"เจียงซุ่ยฮวนตอบ "ข้ามีข้อคาดเดาอยู่ในใจ จึงมาเพื่อพิสูจน์ให้แน่ชัด"แม้จะเป็นเช่นนั้น อาเซียงก็ยังดีใจ ยกมือกล่าวว่า "บ่าวจะนำทางท่านเข้าไปเจ้าค่ะ"เจียงซุ่ยฮวนพาไป๋หลีเดินตามหลังอ
ทุกคนจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของจีกุ้ยเฟย ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้จะตอบสนองเช่นไรฝ่าบาทถึงกับชี้ไปที่ใบหน้าของนาง พูดตรงๆ ว่า "พระสนมที่รัก สิ่งที่ขึ้นบนใบหน้าเจ้ามิใช่ผื่นธรรมดา!"นางตะลึงไปชั่วขณะ จึงตระหนักว่าผ้าคลุมหน้าหล่นไปแล้ว รีบเอามือปิดหน้าพลางร้องกรีดร้องว่า "อย่ามอง! พวกเจ้าหลับตาให้หมด! อย่ามองหน้าข้า!"เสียงกรีดร้องนั้นแสบแก้วหูยิ่งนัก ราวกับมีเหล็กแหลมทิ่มแก้วหู ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะเอามือปิดหูฝ่าบาทรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขาเอามืออุดหูไว้แล้วกล่าวว่า "อาเซียง พาพระสนมเสด็จกลับตำหนักบรรทมไปก่อน""เพคะ" อาเซียงประคองจีกุ้ยเฟยเดินออกไปอย่างรวดเร็วในเมื่อเรื่องของฉู่อี้กระจ่างแจ้งแล้ว ฝ่าบาทในยามนี้ก็ไม่มีกระจิตกระใจจะไต่สวนต่อ เขาโบกมือแล้วกล่าวต่อว่า "กลับไปกันเถิด"เหตุการณ์พลิกผันเร็วเหลือเกิน เจียงซุ่ยฮวนยังรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง แต่ก็ดีเหมือนกัน นางไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วทั่วทั้งวังหลวงไม่มีสิ่งใดที่ทำให้นางอาลัยอาวรณ์ เว้นแต่กู้จิ่นหลังจากที่นางอำลากู้จิ่นด้วยสายตาแล้ว ก็หมุนตัวจากไป"หมอหลวงเจียง เจ้ารอก่อน" ฝ่าบาทเรียกนางไว้ "เจ้าจงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระพัก
ฝ่าบาทถามต่อว่า "แล้วความสัมพันธ์ระหว่างสองสิ่งนี้คืออะไรกัน""ตอนที่พบทั้งสองคน ศพนี้อยู่ข้างเศียรขององค์ชายแปด" เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปที่ฉู่ฝูแล้วทูลว่า "ขอฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตร แขนของศพนี้มีเนื้อหายไปหนึ่งชิ้นเล็กๆ""กระหม่อมขอบังอาจทูลคาดเดา เมื่อฆาตกรโยนพวกเขาลงไปก้นหลุม ศพนั้นกระแทกพระพักตร์ขององค์ชายแปด แขนแทงเข้าไปในพระโอษฐ์ ทำให้องค์ชายแปดกลืนเนื้อจากศพชิ้นหนึ่งเข้าไป"ฝ่าบาทและจีกุ้ยเฟยได้ยินคำนี้ ทั้งคู่มองไปยังร่างปีศาจน้อยบนพื้น สีหน้าเขียวคล้ำจีกุ้ยเฟยอดกลั้นอาการคลื่นเหียนไว้ไม่ได้ รู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาถึงสองครั้ง โชคดีที่นางสวมผ้าคลุมหน้าจึงไม่มีผู้ใดเห็นชัดส่วนฝ่าบาทสั่งเรียกน้ำชามาหนึ่งถ้วย เขาจิบชาเพื่อกดความรู้สึกคลื่นเหียนลงไป แล้วเอ่ยว่า "หมอหลวงเจียง ท่านจงว่าต่อไป"เจียงซุ่ยฮวนมิได้เอ่ยถึงเรื่องที่ปีศาจน้อยคือพิษกู่ แต่ทูลว่า "หม่อมฉันคิดว่าเนื้อของศพนี้สามารถทำให้คนตกอยู่ในภาวะหมดสติ แม้จะขาดอากาศหายใจเป็นเวลานานก็ไม่เป็นอันตราย"ในใจของฝ่าบาทยังสงสัยอยู่มิหาย พูดถึงเรื่องประหลาดเช่นนี้ หรือว่าปีศาจน้อยนี้จะเป็นดาวมงคลแห่งโชคลาภจริงหรือหากว่าเจียงเหม่ยเ
เฉียนจิงอี๋ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ "ดีสิ ข้าเองก็อยากอยู่กับหมอเจียงให้นานกว่านี้อยู่พอดี"กู้จิ่นเพิ่งจะหันไปสั่งการองค์รักษ์เสื้อแพร แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หยุดฝีเท้าแล้วกล่าวว่า "ข้าเปลี่ยนใจแล้ว""ไยเราไม่ปลุกฉู่อี้เสียเดี๋ยวนี้ แล้วรอตอนไปที่หน้าพระพักตร์ฝ่าบาท เจ้าค่อยลองชิมเนื้อปีศาจร้ายตัวนี้สักคำ เช่นนั้นฝ่าบาทก็จะได้ทรงรู้ว่าคำพูดของพวกเรานั้นจริงหรือเท็จ"เฉียนจิงอี๋แสดงสีหน้ารังเกียจอย่างเต็มที่ แม้ว่าเนื้อของปีศาจร้ายนั้นจะไม่มีพิษไม่เป็นอันตราย เพียงแต่ทำให้คนหมดสติไป แต่มันช่างน่าขยะแขยงเหลือเกิน เขาไม่อยากกินเลยสักนิด"ท่านอ๋องทรงล้อเล่นแล้ว เนื้อปีศาจนี้เป็นของหายากในใต้หล้า ให้ข้าที่เป็นเพียงสามัญชนได้ลิ้มลองช่างฟุ่มเฟือยนัก" เขาทำท่าปิดปากเป็นเชิงบอกว่าตนจะไม่พูดมากอีกกู้จิ่นไม่ได้เอ่ยวาจาใด เพียงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็งเขาพลันตระหนักถึงบางสิ่ง จึงถอยหลังออกไปหลายก้าวให้ห่างจากเจียงซุ่ยฮวนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วยักไหล่พร้อมกางมือ "เช่นนี้คงพอแล้วกระมัง"กู้จิ่นรับโดยดุษณี หันกายเดินไปใต้ต้นไม้แห้ง แล้วกล่าวกับกลุ่มองค์รักษ์เสื้อแพรว่า "พาองค์ชายแ
เจียงซุ่ยฮวนนึกในใจ หากขาดลมหายใจเป็นเวลานาน ก็อาจกลายเป็นมนุษ์ผักไร้วิญญาณ ฉู่อี้ถูกฝังอยู่เช่นนี้มานานเพียงใดกัน นางลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวแก่เฉียนจิงอี๋ "ตามข้ามา ข้ามีถ้อยคำจะถาม""ได้" เฉียนจิงอี๋เดินผ่านกู้จิ่น สายตาส่อแววท้าทาย "มิคาดคิดว่าวันหนึ่งข้าจักได้สนทนากับหมอเจียงตามลำพัง นับเป็นเกียรติอันสูงส่ง"กู้จิ่นเดินตามมาด้านหลังด้วยใบหน้าไร้อารมณ์เฉียนจิงอี๋ขมวดคิ้วกล่าวว่า "องค์ชายแห่งเป่ยโม่ หมอเจียงประสงค์จะสนทนากับข้าตามลำพัง ท่านก็มิจำเป็นต้องตามมากระมัง!""ข้าพึงพอใจเช่นนั้น เจ้ามีความเห็นขัดแย้งหรือไร" กู้จิ่นย้อนถาม"...มิมี""เช่นนั้นก็จงหุบปาก"เฉียนจิงอี๋หยิบลูกวอลนัทสองลูกออกมา ใบหน้าดำทมิฬ เริ่มหมุนวอลนัทเล่นในมือเจียงซุ่ยฮวนเหลียวมองเขา "ข้าถามเจ้าหนึ่งข้อ ที่นี่ไร้ผู้อื่น เจ้าต้องตอบด้วยความจริงทั้งมวล""ถามมาเถิด""ฉู่อี้ถูกฝังในดินเมื่อใด""ค่ำคืนของเมื่อวานนี้""เจ้าแน่ใจหรือ"เจียงซุ่ยฮวนกล่าวเสียงเฉียบขาด "ใต้ดินนั้นไร้อากาศ วันนี้หิมะโปรยปราย หากถูกฝังตั้งแต่เมื่อคืนวาน ยามนี้ย่อมเย็นชืดแล้ว มิอาจมีชีพจรเช่นนี้ได้"ลูกวอลนัทในมือเฉียนจิงอี๋ส่ง
กู้จิ่นมีหอสะสมของล้ำค่าที่เต็มไปด้วยสมบัติอันหายากนานาชนิด เขาต้องรู้แน่ว่านี่คือสิ่งใดเจียงซุ่ยฮวนค่อยๆ ดึงแขนเสื้อของกู้จิ่น แม้เขามิได้หันหลังกลับมา แต่ฝีก้าวกลับช้าลง"ท่านอ๋องเพคะ ท่านพอจะดูได้หรือไม่ว่านี่คือสิ่งใด"เขาก้มศีรษะลงมองเล็กน้อย แววตาวาบขึ้นด้วยความประหลาดใจ "ได้มาจากที่ใดกัน"เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปที่ฉู่เฉิน แล้วกระซิบเสียงเบาว่า "เมื่อครู่มันลอยเข้าไปในปากของเขา"กู้จิ่นไม่รู้จะกล่าวเช่นไรในชั่วขณะ ส่ายหน้าพลางตอบว่า "คนโง่ช่างโชคดีนัก"ทั้งสองได้ยินดังนั้นก็ทราบทันทีว่านี่เป็นของดี ฉู่เฉินยืดอกอย่างภาคภูมิใจพลางกล่าวว่า "ข้าโชคดีน่ะ"เจียงซุ่ยฮวนกลับสนใจมากกว่าว่านี่คืออะไร นางมองกู้จิ่นอย่างเฝ้ารอคำตอบกู้จิ่นกล่าวว่า "ที่นี่ไม่สะดวกที่จะพูด รอกลับไปแล้ว ข้าจะเขียนบอกและให้ชางอี้นำไปส่งให้เจ้า เพียงดูเจ้าก็จะเข้าใจ"นางพยักหน้าหลายครั้ง "อืม อืม"ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแทรกเล็กๆ น้อยๆ นี้ ฉู่เฉินเดินต่อไปด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ร่างกายเบาหวิวดั่งล่องลอยหลบหลีกกระดูกขาวบนพื้นราวกับกำลังเต้นรำเหล่าองครักษ์เสื้อแพรมองฉู่เฉินอย่างฉงน หัวหน้าองครักษ์เอ่ยถ