เจียงซุ่ยฮวนสะดุ้งตื่น ลุกพรวดลงจากเตียงแล้วกวาดสายตาไปรอบห้อง แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของกู้จิ่น เมื่อนางก้มลงมองข้างเตียง ก็พบว่าเสื้อผ้าของกู้จิ่นก็หายไปด้วยเช่นกัน ในใจพลันรู้สึกวูบโหวงขึ้นเล็กน้อย นางจึงลุกขึ้นแต่งกายให้เรียบร้อย แล้วเดินออกจากห้องไป ยามนี้แสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดไล้ไปทั่วลาน เรืองรองดั่งม่านทอง แม่นมกำลังอุ้มเจ้าตัวน้อยถังหยวนเดินเล่นอยู่ในลาน ส่วนเจ้าสี่จือก็เดินตามแม่นมไปติด ๆ มันดูสนใจเจ้าทารกในอ้อมแขนของแม่นมยิ่งนัก หางของมันชูสูงด้วยความตื่นเต้น เจียงซุ่ยฮวนเพ่งมองดูอย่างตั้งใจ พบว่าขนที่ปลายหางของสี่จือนั้นดำไหม้เกรียม น่าจะเป็นรอยจากกองเพลิงเมื่อคราวก่อน รอยยิ้มที่มุมปากของนางหยุดชะงัก เมื่อนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่งว่ารังของสี่จืออยู่ไม่ไกลจากเรือนของฉู่เฉิน และในฐานะที่มันเป็นหมาป่า สัญชาตญาณย่อมไวต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบ คืนที่เรือนของฉู่เฉินเกิดเพลิงไหม้ มันควรเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่รับรู้ได้สิ แต่นางกลับไม่ได้ยินเสียงหอนของมันเลยสักนิด แม้แต่เงาก็ยังไม่เห็น หรือว่ามันอาจออกติดตามผู้วางเพลิง และผู้ที่ลักพาตัวหลี่ลี่ไป “พระชายา”เสียงของชางอี้ดังขึ้นม
สำหรับตอนนี้ นางก้มมองท้องที่ส่งเสียงร้องครวญคราง ไม่ว่าจะกระทำการใด กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง อิ่มท้องก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากัน เจียงซุ่ยฮวนเดินไปยังห้องอาหาร หยิ่งเถานำอาหารมาวางบนโต๊ะแล้ว ยืนก้มหน้าอยู่ข้างโต๊ะ นางนั่งลง หยิบตะเกียบเริ่มคีบอาหาร จากนั้นก็ถามไปตามมารยาท "เจ้ากินแล้วหรือยัง" ไม่ถามเสียยังจะดีกว่า พอถามขึ้นเท่านั้นแหละ หยิ่งเถาก็ปิดหน้าร้องไห้ขึ้น ตะเกียบของเจียงซุ่ยฮวนค้างกลางอากาศ จะคีบก็ไม่ได้ จะเก็บกลับก็ไม่ดี นางจึงวางตะเกียบลง "เจ้าร้องไห้ทำไม" เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปที่ประตู "หรือมีคนไม่ให้เจ้ากินข้าว บอกข้ามาซิว่าใคร ข้าจะไปคุยกับเขา" พอได้ยินนางพูดแบบนี้ หยิ่งเถาก็ยิ่งร้องหนักขึ้น คุกเข่าจับแขนเสื้อนางพลางกล่าว "คุณหนู โปรดลงโทษบ่าวเถอะเจ้าค่ะ!" "ให้ข้าลงโทษเจ้าทำไม" เจียงซุ่ยฮวนดึงแขนเสื้อกลับมา พยายามพยุงหยิ่งเถาให้ลุก แต่หยิ่งเถาก็ไม่ยอมลุกขึ้น พูดด้วยความรู้สึกผิด "เป็นความผิดของบ่าวเอง ที่ทำให้คุณหนูถูกลักพาตัวไป" "ข้าถูกคนชั่วคอยจับตามอง ไม่เกี่ยวกับเจ้า" เจียงซุ่ยฮวนบอกอย่างจนใจ "ข้าไม่ได้โทษเจ้า ลุกขึ้นเถอะ" "คุณหนูตำหนิข้าเถิด มิเช่นนั้น
ใบหน้ากลมป้อมของเด็กหญิงผู้นั้น ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็นยะเยือก จึงทำให้แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อเป็นดวง ราวกับตุ๊กตาในภาพวาดเทศกาลปีใหม่ มือข้างหนึ่งถือลูกกวาด อีกข้างกำซองจดหมายแน่น บนซองนั้นมีรอยเปื้อนของน้ำตาลเหนียวติดอยู่เล็กน้อย ทำให้มันเหนอะหนะไปทั้งซอง เมื่อเห็นเจียงซุ่ยฮวนไม่ยอมรับไปเสียที เด็กหญิงก็ยื่นแขนออกไปยาว ๆ ส่งซองจดหมายในมือมาตรงหน้าเจียงซุ่ยฮวนอีกครั้ง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วว่า "พี่สาวเจ้าขา รับไปเร็ว ๆ สิเจ้าคะ ข้าต้องรีบกลับไปกินข้าวแล้ว!" ทันทีที่พูดจบ องครักษ์ลับสิบกว่านายก็โผล่มาจากที่ใดไม่ทราบ ห้อมล้อมรอบกายเจียงซุ่ยฮวนไว้ตรงกลาง พร้อมกับตะโกนลั่น "คุ้มกันพระชายา!" เนื่องด้วยเมื่อสองวันก่อน เจียงซุ่ยฮวนถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา ทำให้ยามนี้พวกเขาระมัดระวังอย่างยิ่ง เพียงแค่มีลมโชยกระทบใบไม้ไหวก็หวาดระแวงขึ้นมาทันที เด็กหญิงเงยหน้ามองชายร่างสูงใหญ่สิบกว่าคนที่จู่ ๆ ก็โผล่มาตรงหน้า เริ่มจากเบะปากออก ก่อนจะร้องไห้โฮด้วยสีหน้าน่าสงสารยิ่งนัก "ฮือ ๆ ๆ น่ากลัวจังเลย ข้าอยากกลับบ้านแล้ว!" เจียงซุ่ยฮวนไม่เคยพบเด็กหญิงผู้นี้มาก่อน จากการแต่ง
"หืม แล้วสิ่งที่เจ้าถืออยู่ในมือขวาคืออะไร" เจียงซุ่ยฮวนตาหรี่ลง มองออกทันทีว่าปฏิกิริยาของชางอี้ไม่ชอบมาพากล ชางอี้ลังเลก่อนยื่นมือขวาออกมา ก้มมองมือตัวเองอย่างตกใจราวกับเพิ่งสังเกตเห็น "อ้าว" "นี่ยังมีอะไรอยู่ด้วยหรือนี่" ฝีมือการแสดงที่เสแสร้งนี้ เมื่อเทียบกับเด็กหญิงเมื่อครู่แล้วด้อยกว่าเยอะนัก เจียงซุ่ยฮวนรับกระดาษจากมือเขามา เมื่อเปิดออกพบว่ามีตัวอักษรเขียนไว้สองสามบรรทัดว่าคุณหนูเจียง เมื่อสองวันที่แล้วข้าพาท่านไปที่สนามประลองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ข้าผู้นี้กินไม่ได้นอนไม่หลับด้วยความเสียใจ จึงส่งเงินสามหมื่นตำลึงมาเป็นการไถ่โทษ หวังว่าคุณหนูเจียงจะรับไว้ด้วยรอยยิ้ม รอให้พบกันคราวหน้า ตัวข้าผู้นี้จะขอโทษคุณหนูเจียงด้วยตนเอง ด้านล่างสุดยังมีตัวอักษรขนาดเล็กอีกบรรทัด หากคุณหนูเจียงคิดถึงข้า ก็มาหาข้าที่โรงพนันซิงหลงได้ ข้าพร้อมจะมาหาทันทีที่เรียก เจียงซุ่ยฮวนอยากจะสบถออกมาทันใด ช่างเป็นเฉียนจิงอี๋ที่กวนประสาทไม่เลิกจริง ๆ! ที่น่าโมโหที่สุดคือ คนผู้นี้ยากแท้หยั่งถึงเหลือเกิน แม้กู้จิ่นจะบอกว่าจะจัดการเขา แต่กู้จิ่นตอนนี้ไม่มีเวลา แม้จะว่างก็ไม่ใช่ว่าจะกำจัดเขาไ
เสี่ยวถังหยวนดูจะรู้สึกสนุก สองมือน้อย ๆ ที่อวบอูมกวัดแกว่งไปมากลางอากาศ เจียงซุ่ยฮวนคิดในใจว่าเจ้าตัวน้อยนี่มีนิสัยหลากหลายจริง บางครั้งก็เย็นชา บางครั้งก็ร่าเริง ได้รับนิสัยทั้งของนางและกู้จิ่นมา แม่นมรีบนำผ้าอ้อมมาให้ แล้วเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เสี่ยวถังหยวนต่อหน้านาง นางมองผ้าอ้อมที่เปลี่ยนออก กล่าวว่า "ระบบย่อยอาหารใช้ได้ ดูแข็งแรงดี" เมื่อแม่นมเปลี่ยนผ้าอ้อมเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกล่าวว่า "เจ้าไปนอนเถิด คืนนี้เสี่ยวถังหยวนจะนอนกับข้า" "ได้เจ้าค่ะ" แม่นมกำชับก่อนจากไป "คุณชายน้อยจะตื่นมาดื่มนมในยามดึก ตอนนั้นท่านค่อยเรียกบ่าวนะเจ้าคะ" "อืม" หลังแม่นมจากไป เจียงซุ่ยฮวนก็อุ้มเสี่ยวถังหยวนเดินไปมาในห้องช้า ๆ คราวนี้นางไม่ได้คึกคะนองเล่าเรื่องตลกหรือนิทานพิลึกพิลั่น แต่ร้องเพลงกล่อมเด็กแทน "ท้องฟ้าดำมืดทอดต่ำลง ดาวประกายพรายเคียงคู่มา แมลงน้อยบิน แมลงน้อยบิน เจ้ากำลังคิดถึงใคร..." สมัยที่เจียงซุ่ยฮวนยังเล็ก พ่อมักทำงานดึกที่โรงพยาบาล ส่วนแม่ไม่เก่งเรื่องเล่านิทาน จึงมักร้องเพลงกล่อมนี้ข้างหูนางเพื่อให้นางหลับ ตอนนั้นนางไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงร้องเพลงเดิมทุกครั้ง บัดนี้นึกขึ้นไ
“นางหญิงชั่ว! เม่ยเอ๋อร์เป็นน้องสาวเจ้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงลงมือสังหารนาง!” เจียงซุ่ยฮวนลืมตาขึ้น มองชายหญิงแปลกหน้าตรงหน้าด้วยความงุนงง นางเป็นแพทย์ระดับยอดฝีมือในยุคปัจจุบัน เชี่ยวชาญทั้งการแพทย์แผนจีน แผนตะวันตก และวิชายุทธ์โบราณ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกด้วยฝีมือการรักษาอันล้ำเลิศ แต่เมื่อตื่นขึ้นมา กลับพบว่าตนเองมาอยู่ในที่แปลกประหลาดแห่งนี้ ยังไม่ทันได้เข้าใจสถานการณ์ ความเจ็บปวดก็แล่นปราดไปที่หน้าอก เจียงซุ่ยฮวนก้มมอง พบว่ามีกริชปักอยู่ที่อก โลหิตไหลรินไม่หยุด เสียงเย็นชาของชายผู้นั้นดังขึ้น “ตอนแรกเจ้าแต่งงานกับข้าแทนเม่ยเอ๋อร์ ข้าก็ละเว้นชีวิตเจ้าแล้ว วันนี้เจ้ายังจะฆ่าเม่ยเอ๋อร์อีก ข้าจะยอมเจ้าได้อย่างไร!” ความทรงจำพรั่งพรูเข้ามาในสมอง นางข้ามภพมาเป็นองค์หญิงผู้เป็นภรรยาเอกแห่งวังหนานหมิง ร่างเดิมคือธิดาแท้ ๆ ของจวนอ๋อง นางถูกสับเปลี่ยนตัวตั้งแต่แรกเกิด กว่าจวนอ๋องจะตามหาจนพบและได้แต่งงานกับองค์ชายฉู่เจวี๋ย ก็ระหกระเหินอยู่ภายนอกหลายปีน้องสาวที่องค์ชายกล่าวถึง คือธิดาตัวปลอมในจวน แม้ไม่ใช่บุตรีแท้ ๆ แต่ท่านอ๋องและฮูหยินเสียดายนาง จึงรับไว้เป็นบุตรีบุญธ
“นี่ข้ากำลังฝันไปกระมัง?” เจียงซุ่ยฮวน ยื่นมือไปแตะคีมห้ามเลือดด้วยความเลื่อนลอย สัมผัสอันเย็นเฉียบทำให้นางสะท้านไปทั้งกาย มิใช่ความฝัน เป็นเรื่องจริง! ห้องทดลองของนางได้ย้อนเวลามาพร้อมกับนางด้วย นางมิอาจเสียเวลาดีใจ รีบคว้ายาห้ามเลือดและยาชา พร้อมเครื่องมือบางอย่างออกมา แล้วเริ่มเย็บแผลของตนเองนี่เป็นครั้งแรกที่เจียงซุ่ยฮวนต้องเย็บแผลด้วยตนเอง แม้จะยากลำบากอยู่บ้าง แต่ด้วยวิชาแพทย์อันล้ำเลิศ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามนางก็เย็บแผลเสร็จสิ้น นางทรุดกายพิงต้นไม้ด้วยความอ่อนล้า หยิบขวดยาบำรุงโลหิตออกมาจากห้องทดลอง กลืนลงไปสามเม็ด ยาบำรุงโลหิตนี้ปรุงขึ้นจากสมุนไพรล้ำค่ามากมาย หนึ่งขวดมีเพียงห้าเม็ด นางไม่เคยกล้าใช้มาก่อน ไม่คิดว่าครานี้จะต้องกินถึงสามเม็ดรวดเดียว นางมองสองเม็ดที่เหลือในขวด ครุ่นคิดว่าต้องหาโอกาสปรุงเพิ่มในภายภาคหน้า ส่วนรอยแผลบนใบหน้า รอให้ตกสะเก็ดแล้วทายาลบรอยแผลเป็น คงไม่มีอะไรน่ากังวล ยามรุ่งสาง ขณะที่ฤทธิ์ยาชายังไม่หมด เจียงซุ่ยฮวนค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้นโดยอาศัยลำต้นไม้ ตั้งใจจะกลับเข้าเมืองหลวงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ทันใดนั้น กระเพาะของนางปั่นป่วนรุนแรง
เจียงเม่ยเอ๋อร์นั่งบนเก้าอี้โยก กินผลไม้อย่างเอร็ดอร่อย ในใจเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ หากเจียงซุ่ยฮวนตาย ตำแหน่งชายาเอกก็จะเป็นของนาง จวนอ๋องก็จะมีเพียงธิดาคนเดียว เป็นธิดาอนุภรรยาแล้วอย่างไร? ต่อไปเรียกลมก็ได้ลม เรียกฝนก็ได้ฝนคิดถึงตรงนี้ เจียงเม่ยเอ๋อร์ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คุณหนู จวนอ๋องส่งข่าวมา ท่านอ๋องเชิญท่านและองค์ชายไปที่จวน” ชุ่ยหงสาวใช้คนสนิทรีบวิ่งมารายงาน เจียงเม่ยเอ๋อร์ยิ้มบาง: “คงเป็นเพราะท่านพ่อรู้แล้วว่าเจียงซุ่ยฮวนพยายามจะฆ่าข้า และถูกองค์ชายสั่งประหารสินะ?” “มิใช่เพคะ ท่านอ๋องบอกว่า... บอกว่า องค์หญิงตอนนี้อยู่ที่จวน...” ชุ่ยหงพูดติดขัด “อะไรนะ?” เจียงเม่ยเอ๋อร์แทบจะตกจากเก้าอี้โยก ลุกขึ้นอย่างกระสับกระส่าย “ศพของเจียงซุ่ยฮวนไม่ได้ถูกโยนทิ้งที่ป่าช้าร้างหรอกหรือ? จะมาอยู่ที่จวนได้อย่างไร?” ชุ่ยหงราวกับถูกขวัญหนี เสียงสั่นเทา “มิใช่ศพเจ้าค่ะ ได้ยินว่าเมื่อครู่มีคนมากมายเห็นองค์หญิงในชุดเปื้อนเลือดปรากฏกายบนถนน องค์หญิง... นาง... นางฟื้นขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ!” คำพูดนี้ราวกับสายฟ้าฟาดลงข้างหูเจียงเม่ยเอ๋อร์ นางล้มลงกับพื้น “เป็นไปไม่ได้! เมื่อวานข้าฆ่านางด้ว
เสี่ยวถังหยวนดูจะรู้สึกสนุก สองมือน้อย ๆ ที่อวบอูมกวัดแกว่งไปมากลางอากาศ เจียงซุ่ยฮวนคิดในใจว่าเจ้าตัวน้อยนี่มีนิสัยหลากหลายจริง บางครั้งก็เย็นชา บางครั้งก็ร่าเริง ได้รับนิสัยทั้งของนางและกู้จิ่นมา แม่นมรีบนำผ้าอ้อมมาให้ แล้วเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เสี่ยวถังหยวนต่อหน้านาง นางมองผ้าอ้อมที่เปลี่ยนออก กล่าวว่า "ระบบย่อยอาหารใช้ได้ ดูแข็งแรงดี" เมื่อแม่นมเปลี่ยนผ้าอ้อมเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกล่าวว่า "เจ้าไปนอนเถิด คืนนี้เสี่ยวถังหยวนจะนอนกับข้า" "ได้เจ้าค่ะ" แม่นมกำชับก่อนจากไป "คุณชายน้อยจะตื่นมาดื่มนมในยามดึก ตอนนั้นท่านค่อยเรียกบ่าวนะเจ้าคะ" "อืม" หลังแม่นมจากไป เจียงซุ่ยฮวนก็อุ้มเสี่ยวถังหยวนเดินไปมาในห้องช้า ๆ คราวนี้นางไม่ได้คึกคะนองเล่าเรื่องตลกหรือนิทานพิลึกพิลั่น แต่ร้องเพลงกล่อมเด็กแทน "ท้องฟ้าดำมืดทอดต่ำลง ดาวประกายพรายเคียงคู่มา แมลงน้อยบิน แมลงน้อยบิน เจ้ากำลังคิดถึงใคร..." สมัยที่เจียงซุ่ยฮวนยังเล็ก พ่อมักทำงานดึกที่โรงพยาบาล ส่วนแม่ไม่เก่งเรื่องเล่านิทาน จึงมักร้องเพลงกล่อมนี้ข้างหูนางเพื่อให้นางหลับ ตอนนั้นนางไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงร้องเพลงเดิมทุกครั้ง บัดนี้นึกขึ้นไ
"หืม แล้วสิ่งที่เจ้าถืออยู่ในมือขวาคืออะไร" เจียงซุ่ยฮวนตาหรี่ลง มองออกทันทีว่าปฏิกิริยาของชางอี้ไม่ชอบมาพากล ชางอี้ลังเลก่อนยื่นมือขวาออกมา ก้มมองมือตัวเองอย่างตกใจราวกับเพิ่งสังเกตเห็น "อ้าว" "นี่ยังมีอะไรอยู่ด้วยหรือนี่" ฝีมือการแสดงที่เสแสร้งนี้ เมื่อเทียบกับเด็กหญิงเมื่อครู่แล้วด้อยกว่าเยอะนัก เจียงซุ่ยฮวนรับกระดาษจากมือเขามา เมื่อเปิดออกพบว่ามีตัวอักษรเขียนไว้สองสามบรรทัดว่าคุณหนูเจียง เมื่อสองวันที่แล้วข้าพาท่านไปที่สนามประลองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ข้าผู้นี้กินไม่ได้นอนไม่หลับด้วยความเสียใจ จึงส่งเงินสามหมื่นตำลึงมาเป็นการไถ่โทษ หวังว่าคุณหนูเจียงจะรับไว้ด้วยรอยยิ้ม รอให้พบกันคราวหน้า ตัวข้าผู้นี้จะขอโทษคุณหนูเจียงด้วยตนเอง ด้านล่างสุดยังมีตัวอักษรขนาดเล็กอีกบรรทัด หากคุณหนูเจียงคิดถึงข้า ก็มาหาข้าที่โรงพนันซิงหลงได้ ข้าพร้อมจะมาหาทันทีที่เรียก เจียงซุ่ยฮวนอยากจะสบถออกมาทันใด ช่างเป็นเฉียนจิงอี๋ที่กวนประสาทไม่เลิกจริง ๆ! ที่น่าโมโหที่สุดคือ คนผู้นี้ยากแท้หยั่งถึงเหลือเกิน แม้กู้จิ่นจะบอกว่าจะจัดการเขา แต่กู้จิ่นตอนนี้ไม่มีเวลา แม้จะว่างก็ไม่ใช่ว่าจะกำจัดเขาไ
ใบหน้ากลมป้อมของเด็กหญิงผู้นั้น ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็นยะเยือก จึงทำให้แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อเป็นดวง ราวกับตุ๊กตาในภาพวาดเทศกาลปีใหม่ มือข้างหนึ่งถือลูกกวาด อีกข้างกำซองจดหมายแน่น บนซองนั้นมีรอยเปื้อนของน้ำตาลเหนียวติดอยู่เล็กน้อย ทำให้มันเหนอะหนะไปทั้งซอง เมื่อเห็นเจียงซุ่ยฮวนไม่ยอมรับไปเสียที เด็กหญิงก็ยื่นแขนออกไปยาว ๆ ส่งซองจดหมายในมือมาตรงหน้าเจียงซุ่ยฮวนอีกครั้ง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วว่า "พี่สาวเจ้าขา รับไปเร็ว ๆ สิเจ้าคะ ข้าต้องรีบกลับไปกินข้าวแล้ว!" ทันทีที่พูดจบ องครักษ์ลับสิบกว่านายก็โผล่มาจากที่ใดไม่ทราบ ห้อมล้อมรอบกายเจียงซุ่ยฮวนไว้ตรงกลาง พร้อมกับตะโกนลั่น "คุ้มกันพระชายา!" เนื่องด้วยเมื่อสองวันก่อน เจียงซุ่ยฮวนถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา ทำให้ยามนี้พวกเขาระมัดระวังอย่างยิ่ง เพียงแค่มีลมโชยกระทบใบไม้ไหวก็หวาดระแวงขึ้นมาทันที เด็กหญิงเงยหน้ามองชายร่างสูงใหญ่สิบกว่าคนที่จู่ ๆ ก็โผล่มาตรงหน้า เริ่มจากเบะปากออก ก่อนจะร้องไห้โฮด้วยสีหน้าน่าสงสารยิ่งนัก "ฮือ ๆ ๆ น่ากลัวจังเลย ข้าอยากกลับบ้านแล้ว!" เจียงซุ่ยฮวนไม่เคยพบเด็กหญิงผู้นี้มาก่อน จากการแต่ง
สำหรับตอนนี้ นางก้มมองท้องที่ส่งเสียงร้องครวญคราง ไม่ว่าจะกระทำการใด กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง อิ่มท้องก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากัน เจียงซุ่ยฮวนเดินไปยังห้องอาหาร หยิ่งเถานำอาหารมาวางบนโต๊ะแล้ว ยืนก้มหน้าอยู่ข้างโต๊ะ นางนั่งลง หยิบตะเกียบเริ่มคีบอาหาร จากนั้นก็ถามไปตามมารยาท "เจ้ากินแล้วหรือยัง" ไม่ถามเสียยังจะดีกว่า พอถามขึ้นเท่านั้นแหละ หยิ่งเถาก็ปิดหน้าร้องไห้ขึ้น ตะเกียบของเจียงซุ่ยฮวนค้างกลางอากาศ จะคีบก็ไม่ได้ จะเก็บกลับก็ไม่ดี นางจึงวางตะเกียบลง "เจ้าร้องไห้ทำไม" เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปที่ประตู "หรือมีคนไม่ให้เจ้ากินข้าว บอกข้ามาซิว่าใคร ข้าจะไปคุยกับเขา" พอได้ยินนางพูดแบบนี้ หยิ่งเถาก็ยิ่งร้องหนักขึ้น คุกเข่าจับแขนเสื้อนางพลางกล่าว "คุณหนู โปรดลงโทษบ่าวเถอะเจ้าค่ะ!" "ให้ข้าลงโทษเจ้าทำไม" เจียงซุ่ยฮวนดึงแขนเสื้อกลับมา พยายามพยุงหยิ่งเถาให้ลุก แต่หยิ่งเถาก็ไม่ยอมลุกขึ้น พูดด้วยความรู้สึกผิด "เป็นความผิดของบ่าวเอง ที่ทำให้คุณหนูถูกลักพาตัวไป" "ข้าถูกคนชั่วคอยจับตามอง ไม่เกี่ยวกับเจ้า" เจียงซุ่ยฮวนบอกอย่างจนใจ "ข้าไม่ได้โทษเจ้า ลุกขึ้นเถอะ" "คุณหนูตำหนิข้าเถิด มิเช่นนั้น
เจียงซุ่ยฮวนสะดุ้งตื่น ลุกพรวดลงจากเตียงแล้วกวาดสายตาไปรอบห้อง แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของกู้จิ่น เมื่อนางก้มลงมองข้างเตียง ก็พบว่าเสื้อผ้าของกู้จิ่นก็หายไปด้วยเช่นกัน ในใจพลันรู้สึกวูบโหวงขึ้นเล็กน้อย นางจึงลุกขึ้นแต่งกายให้เรียบร้อย แล้วเดินออกจากห้องไป ยามนี้แสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดไล้ไปทั่วลาน เรืองรองดั่งม่านทอง แม่นมกำลังอุ้มเจ้าตัวน้อยถังหยวนเดินเล่นอยู่ในลาน ส่วนเจ้าสี่จือก็เดินตามแม่นมไปติด ๆ มันดูสนใจเจ้าทารกในอ้อมแขนของแม่นมยิ่งนัก หางของมันชูสูงด้วยความตื่นเต้น เจียงซุ่ยฮวนเพ่งมองดูอย่างตั้งใจ พบว่าขนที่ปลายหางของสี่จือนั้นดำไหม้เกรียม น่าจะเป็นรอยจากกองเพลิงเมื่อคราวก่อน รอยยิ้มที่มุมปากของนางหยุดชะงัก เมื่อนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่งว่ารังของสี่จืออยู่ไม่ไกลจากเรือนของฉู่เฉิน และในฐานะที่มันเป็นหมาป่า สัญชาตญาณย่อมไวต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบ คืนที่เรือนของฉู่เฉินเกิดเพลิงไหม้ มันควรเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่รับรู้ได้สิ แต่นางกลับไม่ได้ยินเสียงหอนของมันเลยสักนิด แม้แต่เงาก็ยังไม่เห็น หรือว่ามันอาจออกติดตามผู้วางเพลิง และผู้ที่ลักพาตัวหลี่ลี่ไป “พระชายา”เสียงของชางอี้ดังขึ้นม
นางไม่รู้ว่ากู้จิ่นจะทำอะไร จึงกระพริบตาปริบ ๆ มองเขาด้วยความสงสัย มืออีกข้างของกู้จิ่นค่อย ๆ ลูบไล้ใบหน้าของนางเบา ๆ ดูเหมือนกำลังทายาบางอย่างลงไป ให้ความรู้สึกเย็นสบายยิ่ง เจียงซุ่ยฮวนใช้มือพยุงขอบถังน้ำ หลับตาพริ้มด้วยความสบาย “เย็นสบายจริง ๆ นี่คืออะไรหรือเพคะ” “นี่คือยาที่เซียนโอสถต้ม ชางอี้เพิ่งนำมาเมื่อครู่” กู้จิ่นตอบเสียงนุ่ม “เมื่อทายาทั่วหน้าของเจ้า ก็จะสามารถถอดหน้ากากหนังมนุษย์นี้ออกได้” กู้จิ่นทายาบนหน้านางอย่างพิถีพิถันและระมัดระวัง รอบ ๆ ถังน้ำมีฉากไม้กั้นไว้ ไอร้อนจึงไม่ระบายออก กลับรวมตัวเป็นหมอกขาวลอยอยู่เหนือผิวน้ำ เมื่อเจียงซุ่ยฮวนลืมตาอีกครั้ง รอบตัวก็เต็มไปด้วยม่านหมอกสีขาว กู้จิ่นทรงสวมอาภรณ์สีขาว ยืนอยู่ท่ามกลางไอน้ำพร่าเลือน แวบแรกดูคล้ายเทพเซียนที่ลงมาจากสวรรค์ เจียงซุ่ยฮวนตกตะลึงในความงาม นางจ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตา หลังทายาเสร็จ กู้จิ่นก็หยิบผ้าเพื่อเช็ดยาที่เหลือบนมือ แล้วกล่าวว่า “รออีกหนึ่งก้านธูป ก็จะสามารถถอดหน้ากากหนังมนุษย์ออกได้” “เพคะ” เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้า แล้วอยู่ ๆ ก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “อาฮวน เจ้าขำอะไรหรือ?” กู้จิ่นเอ่ยถาม เจ
เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกราวกับตนล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ ร่างกายเบาหวิวจนไม่มีแม้แต่แรงจะพยักหน้า ได้แต่ครางรับเบา ๆ ในลำคอ “อืม...” กู้จิ่นค่อย ๆ ห่มผ้าให้เจียงซุ่ยฮวน จากนั้นจึงลุกลงจากเตียง แล้วเริ่มสวมเสื้อผ้า รูปร่างของเขานั้นได้สัดส่วนยิ่งนัก ไหล่กว้างเอวสอบ รูปร่างสูงโปร่ง บนเรือนร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่กำลังพอดี ดูแข็งแกร่งแต่ไม่ล้นเกินจนเกะกะสายตา เจียงซุ่ยฮวนนอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่ม มองเขาเงียบ ๆ ภายใต้แสงตะเกียงเมื่อคืน นางมองเห็นไม่ชัดนัก แต่เมื่อแสงอรุณส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา นางจึงมองเห็นกล้ามเนื้อทุกมัดของกู้จิ่นได้อย่างถนัดตา นางยิ่งมอง ใบหน้ายิ่งร้อนผ่าว รีบกระชากผ้าห่มมาคลุมโปงเอาไว้ด้วยความอับอาย ตอนอยู่ด้วยกันในยามค่ำคืน นางกลับไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอนึกย้อนกลับไป ก็อดรู้สึกกระดากอายไม่ได้ นาง...ช่างกล้าหาญนักที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน หลังจากกู้จิ่นออกจากห้องไป เจียงซุ่ยฮวนก็ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มด้วยความอบอุ่นจนทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายจนเคลิ้มหลับไปอีกครั้ง ขณะนั้นเอง ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา ตามมาด้วยเสียงลากถังน้ำและเสียงเทน้ำลงถังอาบน้ำอย่างเงียบเชียบ หญิงใช้ชื่
วิธีการที่แมงป่องพิษทรมานกู้จิ่น ก็ราวกับแมวที่จับหนูได้ ไม่รีบกินทันที หากแต่ใช้เล็บหยอกล้อกับเหยื่ออยู่นานสองนาน ก่อนจะลงมือกินอย่างเลือดเย็นเมื่อคิดถึงช่วงเวลายาวนานที่กู้จิ่นต้องถูกทรมานจากแมงป่องพิษ หัวใจของเจียงซุ่ยฮวนก็แทบจะขาดเป็นริ้ว ๆ ด้วยความเจ็บปวด กู้จิ่นกอดนางไว้ แล้วกล่าวว่า "อาฮวน เจ้าไม่ต้องห่วงข้า" "ข้าจะสังหารแมงป่องพิษด้วยมือข้าเอง แม้ข้าในฐานะองค์ชายเป่ยโม่จะทำไม่ได้ แต่ในฐานะองค์ชายรัชทายาทแห่งแคว้นเหลียงตู ข้าย่อมทำได้แน่นอน" นางเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความตกใจ "องค์ชายรัชทายาทแห่งแคว้นเหลียงตู พระองค์ได้พบกับจักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงตูแล้วหรือเพคะ" "ยังมิได้" กู้จิ่นส่ายหน้า "พวกเขาเป็นฝ่ายมาหาข้า ทว่าข้ายังมิได้ตอบรับใด ๆ " เขาอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลืนคำพูดลงไป แล้วตบหลังนางเบา ๆ ถามว่า "อาฮวน บัดนี้เจ้าวางใจแล้วหรือไม่" "วางใจแล้วเพคะ!" เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกยินดียิ่ง หากมีแคว้นเหลียงตูเป็นที่พึ่ง กู้จิ่นย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้แน่ นางโยกแขนของกู้จิ่นเบา ๆ "มีอีกสิ่งหนึ่ง พระองค์จะช่วยหม่อมฉันตามหาฉู่เฉินได้หรือไม่เพคะ" แม้นางจะรู้
กู้จิ่นตอบว่า "ไม่รู้ ฉู่ยิ่นเข้าใจว่าข้าเป็นบุตรของหญิงรับใช้ และรู้ว่าข้าไม่มีทางแย่งชิงบัลลังก์กับเขา ดังนั้นเขาจึงมีท่าทีที่ดีกับข้ามาตลอด" "เช่นนั้น... จักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงตูทรงล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของพระองค์หรือไม่เพคะ" เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้าถาม "หลังจากข้าเกิดไม่นาน จักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงตูก็ทรงล่วงรู้แล้ว พระองค์ส่งคนนำหยกหยาบมาให้หนึ่งก้อน ฮองเฮาไท่ชิงทรงให้ช่างทำเป็นแผ่นหยกพระราชทานแก่ข้า" พอพูดถึงตรงนี้ สายตาของกู้จิ่นก็ทอดมองนางอย่างลึกซึ้งแผ่นหยก เจียงซุ่ยฮวนเลิกปกเสื้อขึ้น ถอดแผ่นหยกที่ห้อยอยู่ที่คอ "คือสิ่งนี้หรือเพคะ" กู้จิ่นลูบแผ่นหยกเบา ๆ แผ่นหยกเนียนละเอียดยังอุ่นจากอุณหภูมิร่างกายของเจียงซุ่ยฮวน บนนั้นสลักอักษร "กู้" เพียงตัวเดียว "คือแผ่นนี้แหละ" กู้จิ่นทรงยกสร้อยแผ่นหยก สวมกลับคืนบนคอของเจียงซุ่ยฮวน เขากล่าวต่อไป "นับตั้งแต่ข้าเริ่มมีภาพความทรงจำ ฮองเฮาไท่ชิงก็ดีต่อข้ายิ่งนัก ข้าเข้าใจว่าพระนางคือเสด็จแม่ผู้ให้กำเนิด และความเฉลียวฉลาดที่ข้าแสดงออกตั้งแต่เด็ก ก็ทำให้ฮองเฮาไท่ชิงและไท่ซ่างหวงยิ่งทรงชื่นชมข้า" "เมื่อข้าอายุได้ห้าปี ทูตจากแคว้นเหลียงต