ตอนที่ 9 ||เป็นไปตามแผนหลันถิง(2)หลังเหลือกันเพียงห้าคน ความเงียบก็ปกคลุมโถงใหญ่บ้านลู่อยู่ครู่หนึ่ง ราวกับทุกเสียงวุ่นวายทั้งคืนถูกกลืนหายไปหมด ลู่เสียนอี่มองลูกสาวคนรองด้วยสายตาซับซ้อนอยู่นาน ดวงตาที่ผ่านร้อนหนาวมานับไม่ถ้วนฉายทั้งความรัก ความกลัว และความลังเลปะปนกัน เขาเหมือนกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรจะเอ่ยถ้อยคำใดออกมา สุดท้ายชายวัยกลางคนก็ก้าวเข้ามาใกล้ น้ำหนักของแต่ละก้าวสะท้อนถึงความกังวลที่อัดแน่นอยู่ในอกเสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นในที่สุด “ถิงถิง… ลูกแน่ใจแล้วใช่ไหม ว่าจะเลือกไปเรียนต่อ ไม่ยอมแต่งงานกับคุณชายรองจั๋วจริง ๆ”คำถามนั้นไม่เพียงแต่เป็นการทวนความตั้งใจ แต่ยังเป็นเสมือนการขอคำยืนยันครั้งสุดท้าย หลันถิงเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาคมกริบที่เคยหม่นเศร้ากลับส่องประกายแข็งกร้าว เด็กสาวที่เคยยอมจำนนต่อโชคชะตาได้หายไปแล้ว เหลือเพียงหญิงสาวผู้ตัดสินใจจะใช้ชีวิตของตนเองเธอสูดหายใจลึกจนอกสั่น ก่อนตอบออกมาอย่างมั่นคง “ค่ะพ่อ… ฉันแน่ใจแล้ว ตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมา ยอมทำทุกอย่างแทนอิงอิงมามากพอแล้ว ยอมแบกทุกคำด่า ทุกความลำเอียง แต่วันนี้พอแล้ว จะไม่ใช้ชีวิตแทนใครอีก ฉันจะไม่เป็นตัวซวยค่ะ”น้
ตอนที่ 8 || เป็นไปตามแผนหลันถิง(1)รถเก๋งญี่ปุ่นดันเก่าใช้มาสิบกว่าปีสีหม่น แล่นมาจอดสนิทตรงหน้าบ้านสกุลลู่ตึกสามชั้นครึ่งหลังโตที่ยี่สิบกว่าปีก่อนทั้งหรูหราและรุ่งเรือง แต่ตอนนี้แม้แต่ประตูเหล็กยังขึ้นสนิมหนุ่มใหญ่ก้าวลงจากรถไปเปิดประตูด้วยตนเองความเก่าและไม่ได้ดูแลทำให้ขณะเลื่อนมันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เขาวนกลับไปเคลื่อนรถเข้ามาจอดในโรงรถ ร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตที่ยังชื้นเหงื่อก้าวพรวดเข้าไปโดยไม่เหลียวซ้ายขวาหลังจอดเรียบร้อยวันนี้บ้านเงียบผิดปกติ อาจเพราะครอบครัวเริ่มรัดเข็มขัดจนต้องเลิกจ้างคนรับใช้มาสักพัก ทุกอย่างเลยเหลือแค่สมาชิกในบ้านจัดการกันเอง พื้นห้องรับแขกที่เคยขัดจนเงา ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยฝุ่นจาง ๆ เฟอร์นิเจอร์ไม้เก่าหนักอึ้งทำให้บรรยากาศยิ่งกดอึดอัดยิ่งช่วงนี้ครอบครัวของน้องชายเขาทั้งสี่คนไม่อยู่และวันนี้ซ่งอวี้ก็ต้องวิ่งวุ่นอยู่ที่โรงงานที่ห่างออกไปราว 800เมตรจากตึกหลังนี้อีก บ้านจึงยิ่งเงียบกว่าเดิมแต่เสียนอี่ไม่สนใจสิ่งรอบข้างเหล่านี้ เพราะในใจเขาเต็มไปด้วยโทสะ เขาก้าวยาว ๆ ตรงไปยังห้องนอนของมารดาที่อยู่ชั้นล่าง ประตูไม้สลักลวดลายหรูหราแต่ไม่ถูกดูแลจนสีของไม้ดูเก่าไปถ
ตอนที่ 7 || ในที่สุดหลันถิงก็กระจ่างหลังจากอี้เหิงลุกออกไปพร้อมอาเฟยและอาจ้าน เงาเย็นเยียบยังทิ้งร่องรอยในโถงบ้านสกุลลู่ ลู่เสียนอี่ไม่อยากอยู่ต่อแม้เพียงอึดใจ รีบออกจากบ้านมุ่งหน้ากลับโรงพยาบาลประชาชนกว่างโจว เพื่อปรึกษากับลูกสาวทันทีทางเดินยาวของโรงพยาบาลเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ เสียงล้อรถเข็นดังครืดไปตามพื้นขัดมัน เขาก้าวเร่งตรงไปยังห้องพักฟื้นของลูกสาว ประตูถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา ภายในห้องมีเพียงแสงไฟสลัว ร่างเล็กบนเตียงยังซีดเซียว น้ำเกลือหยดลงตามจังหวะ ข้างกายมีถังซินนั่งเฝ้าอย่างสงบเมื่อเห็นเถ้าแก่ลู่ผู้มีพระคุณ ถังซินรีบลุกขึ้น ก้มหัวเล็กน้อยแล้วถอยออกไปยืนชิดผนังเพื่อเปิดทางให้พ่อลูกได้คุยกัน“เธอออกไปหาอะไรกินก่อนเถอะซินซิน” ลู่เสียนอี่พูดขณะหยิบเงินจากกระเป๋าส่งให้เด็กสาวกำพร้าลูกสาวเพื่อสนิทของเขาที่จากไปกว่า 7ปี และไม่มีใครต้องการเด็กคนนี้เขาจึงรับถังซินมาเลี้ยงคู่กับหลันถิงและหลินอิง“ขอบคุณค่ะ เถ้าแก่ลู่” จนถึงวันนี้ถังซินก็ไม่ยอมเรียกลู่เสียนอี่ว่า คุณลุง เพราะกลัวถูกย่าลู่ด่าทอ ร่างเล็กของเด็กสาววัย 18ปีก้าวพ้นไปจากห้อง ลู่เสียนอี่จึงก้าวไปทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ข้
ตอนที่ 6 || เงื่อนไขที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หลังจากลับเงาร่างของจั๋วอี้เหิงแล้ว บรรยากาศในห้องก็เงียบลงทันที ลู่เสียนอี่ขมวดคิ้ว หันมามองลูกสาวตรง ๆ“ถิงถิง…ทำไมลูกถึงยอมคล้อยตามเขา”หลันถิงสบตาพ่อแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เพราะเราไม่มีเงินค่ะพ่อ โอกาสที่จะปฏิเสธ…เราไม่เคยมี”คำตอบนั้นทำให้เสียนอี่พูดไม่ออก ข้างกายมีซ่งอวี้ที่รีบถามต่อ “แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปล่ะถิงถิง”หญิงสาวนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยชัดเจน “คนอย่างจั๋วอี้เหิงไม่มีวันยอมเสียประโยชน์ คราวนี้ที่เขาไม่ให้บ้านเราพูดอะไรออกไป แปลว่าเขาเองก็คงเสียมากกว่าจะได้…เราอยู่เฉย ๆ ดีกว่าค่ะ”ซ่งอวี้ขมวดคิ้ว “หมายความว่า?”“เขาไม่ปล่อยให้พี่หลินอิงกับอู่กวงเหยียบจมูกแน่ รอดูเถอะค่ะ เขาต้องขยับเอง”พอดีกับที่พยาบาลเข้ามาเปลี่ยนถุงเลือดใหม่ หลันถิงหันไปบอกซ่งอวี้เสียงเบาแต่จริงจัง “น้าอวี้…ช่วงนี้ช่วยจับตาย่าลู่ให้ดี ๆ หน่อยนะคะ ฉันไม่ไว้ใจ”คำพูดนั้นทำให้ซ่งอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ สีหน้าหญิงสาวเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเธอเองก็รู้ดีว่าหญิงชราอย่างหลินฟางไม่มีวันยอมปล่อยให้ความจริงเปิดเผยง่าย ๆภายในห้องพักผู้ป่วย จึงเหลือเพี
ตอนที่ 5 || โลกนี้ขับเคลื่อนด้วยเงินช่วงสายวันถัดมา แสงแดดร้อนแรงลอดผ่านม่านผ้าสีซีดเข้ามาในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลประชาชนกว่างโจว แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านทำให้ผนังสีขาวดูซีดหม่นยิ่งกว่าเดิม กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อยังคละคลุ้งอยู่ในอากาศจนแสบจมูก เครื่องวัดชีพจรดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คล้ายบอกว่าชีวิตอันริบหรี่ของใครบางคนกำลังค่อย ๆ ฟื้นคืนบนเตียงผู้ป่วย ลู่หลันถิง หรือดวงวิญญาณของพริมาเฉินที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ราวกับต้องใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ ร่างกายยังอ่อนเปลี้ยเหมือนถูกสูบพลังออกไปจนสิ้น แต่ดวงตากลับคมชัดกว่าเดิม ความทรงจำทั้งใหม่และเก่าไหลทะลักเข้ามาในสมองจนปวดหนึบครู่หนึ่งหญิงสาวเหลือบสายตามองไปยังข้างเตียง ที่นั่นมีร่างเล็กของถังซิน เพื่อนเพียงคนเดียวของร่างนี้ นั่งฟุบหลับอยู่กับโต๊ะเล็ก ข้างโต๊ะมีกล่องข้าวกับกาน้ำร้อนตั้งอยู่ ใบหน้าซูบผอมซบลงกับแขน ร่องรอยความเหนื่อยล้าสะท้อนให้เห็นชัดว่าเธอเฝ้าอยู่ทั้งคืนโดยไม่ได้นอนหลันถิงพยายามขยับมือ เสียงผ้าปูเตียงเสียดสีกับท่อนแขนเล็กดังแผ่ว ๆ การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยนั้นกลับปลุกถังซินให้สะดุ้งตื่น ตาทั้งสองแดง
ตอนที่ 4 || เจ้าสาวเปลี่ยนได้แต่งานแต่งจะล่มไม่ได้!เกือบตีสี่ รถเก๋งเก่าคันเล็กเร่งฝ่าความมืดไปตามถนนสายยาวมุ่งหน้าสู่เขตเมือง ไฟหน้าส่องแสงเป็นเส้นตรงตัดกับท้องฟ้าสีหม่น เสียงเครื่องยนต์เก่าดังแผ่วราวจะดับทุกเมื่อในแต่ละจังหวะที่ล้อบดกับพื้นถนน ลู่เสียนอี่จับพวงมาลัยแน่นจนข้อนิ้วซีด ใบหน้าขาวคล้ำด้วยเหงื่อเย็น ๆ ที่ผุดพราวเต็มหน้าผากกว้าง“คุณ… ถิงถิงจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” เสียงสั่นเครือของซ่งอวี้ดังขึ้นจากเบาะข้างคนขับ เธอกอดลูกชายวัยสามขวบแนบอกหวังให้เด็กชาย ลู่หลงอวี่ ความหวาดกลัวในดวงตาของหญิงวัยสามสิบแปดปีนั้นไม่ต่างจากคนขับแม้แต่น้อย“ฉันไม่รู้…” เสียงตอบสั้นของเสียนอี่แหบพร่า ดวงตาสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวจนแทบสิ้นเรี่ยวแรง เขาไม่รู้เลยว่าลูกสาวทำไมถึงบาดเจ็บสาหัสได้ ทั้งที่ดึกดื่นขนาดนี้อีกฝ่ายควรนอนพักอยู่บนชั้นสามของบ้านลู่ความเงียบกดทับภายในรถ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์กระตุกในบางจังหวะ ที่ดังประสานกับหัวใจของทั้งคู่ที่เต้นถี่แรง ซ่งอวี้พยายามเอ่ยคำปลอบใจ “บางที…อาจไม่แย่ขนาดที่เรากลัว”แต่ประโยคที่ควรจะปลอบใจ กลับทำให้บรรยากาศตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ในที่สุด แสงไฟสว่างจ้าของโรงพ