Masukช่วงสายวันถัดมา แสงแดดร้อนแรงลอดผ่านม่านผ้าสีซีดเข้ามาในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลประชาชนกว่างโจว แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านทำให้ผนังสีขาวดูซีดหม่นยิ่งกว่าเดิม กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อยังคละคลุ้งอยู่ในอากาศจนแสบจมูก เครื่องวัดชีพจรดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คล้ายบอกว่าชีวิตอันริบหรี่ของใครบางคนกำลังค่อย ๆ ฟื้นคืน
บนเตียงผู้ป่วย ลู่หลันถิง หรือดวงวิญญาณของพริมาเฉินที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ราวกับต้องใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ ร่างกายยังอ่อนเปลี้ยเหมือนถูกสูบพลังออกไปจนสิ้น แต่ดวงตากลับคมชัดกว่าเดิม ความทรงจำทั้งใหม่และเก่าไหลทะลักเข้ามาในสมองจนปวดหนึบ
ครู่หนึ่งหญิงสาวเหลือบสายตามองไปยังข้างเตียง ที่นั่นมีร่างเล็กของถังซิน เพื่อนเพียงคนเดียวของร่างนี้ นั่งฟุบหลับอยู่กับโต๊ะเล็ก ข้างโต๊ะมีกล่องข้าวกับกาน้ำร้อนตั้งอยู่ ใบหน้าซูบผอมซบลงกับแขน ร่องรอยความเหนื่อยล้าสะท้อนให้เห็นชัดว่าเธอเฝ้าอยู่ทั้งคืนโดยไม่ได้นอน
หลันถิงพยายามขยับมือ เสียงผ้าปูเตียงเสียดสีกับท่อนแขนเล็กดังแผ่ว ๆ การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยนั้นกลับปลุกถังซินให้สะดุ้งตื่น ตาทั้งสองแดงก่ำจากการอดหลับอดนอนหลายชั่วโมง
“ถิงถิง! เธอฟื้นแล้วเหรอ…” เสียงสั่นเครือด้วยความดีใจปนตกใจ ถังซินรีบประคองแขนเพื่อนด้วยความกลัวว่าจะเจ็บ
หลันถิงมองใบหน้าเรียวผอมตรงหน้า ความทรงจำของร่างเดิมผสานเข้ากับตัวตนของเธอ ทำให้รู้ว่าถังซินไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดา แต่เป็นคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่วันที่บิดาเก็บถังซินเข้ามาอยู่ในบ้านลู่ แม้ทั้งคู่เติบโตมาท่ามกลางความไม่เท่าเทียม แต่ก็ไม่เคยทอดทิ้งกันเลย
หญิงสาวอยากเอื้อมมือไปแตะ แต่แรงกายที่เหลืออยู่น้อยนิด ทำได้เพียงขยับปลายนิ้วเบา ๆ เท่านั้น
“ฉันนึกว่าจะไม่ได้ยินเสียงเธออีกแล้ว” ถังซินเอ่ยเสียงอ่อน ดวงตาสั่นระริก
“เมื่อคืนเกือบตีห้า เถ้าแก่ลู่ไปรับฉันที่ห้องพักพร้อมบอกข่าวว่าเธอบาดเจ็บ…ฉันตกใจแทบสิ้นสติ”
หลันถิงฝืนยิ้มบาง “ฉันก็ฟื้นขึ้นมาแล้วไง ห้ามร้องไห้นะ”
ทว่าในเสี้ยววินาที ความทรงจำสุดท้ายก่อนหมดสติพลันย้อนกลับมา เสียงคลื่นซัดกระแทกโสตประสาท กลิ่นคาวเลือดผสมสนิมคละคลุ้งในลมหายใจ และร่างสูงใหญ่ในชุดสูทดำที่ยืนอยู่เหนือท่าเรือ แววตาคมเยือกเย็นที่ตรึงร่างเธอไว้จนขยับไม่ได้…
หลันถิงหายใจแรงขึ้น ความทรงจำชัดเจนว่า หากวันนั้นไม่ได้ถูกพวกของจั๋วอี้เหิงช่วยไว้ เธอคงถูกน้ำทะเลกลืนร่างไปแล้วจริง ๆ
หึ!
ยายแก่สารพัดพิษหลินฟางกับแฝดนรกหลินอิง ใจอำมหิตกับเจ้าของร่างเดิมเกินกว่าจะให้อภัย ทั้งที่เป็นสายเลือดเดียวกันกลับลงมือฆ่าได้ลงคอ! เธอคนนี้จะไม่อยู่เฉยอีกต่อไป ทั้งสามคนนั้น หลินฟาง หลินอิง และอู่กวง จะต้องติดคุกชดใช้!
หากเป็นหลันถิงคนเก่า เธอแน่ใจว่าคงไม่กล้าเปิดปากพูดความจริง แต่ไม่ใช่เธออีกแล้ว เพราะในความทรงจำ พ่อของเจ้าของร่างนี้ ลู่เสียนอี่ เป็นคนยุติธรรม รักลูกเท่ากันทุกคน สิ่งเดียวที่เสียนอี่ขาดไป ก็เพียงเวลาให้ลูก ๆ หากเธอเข้าใจเขานะเพราะเขามัวแต่นั่งอยู่บ้าน กิจการโรงงานและชีวิตคนงานอีกนับร้อยจะอยู่อย่างไร
ยังคิดไม่ทันจบ ประตูห้องพักฟื้นถูกผลักเปิดออกดังไม่มากความเงียบสงัดถูกทำลายลงในทันที ร่างสูงใหญ่ของลู่เสียนอี่ก้าวเข้ามา ใบหน้าซูบซีดเต็มไปด้วยความอิดโรย ดวงตาขอบคล้ำชัดเจนว่าไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน ข้างกายคือซ่งอวี้ ภรรยาใหม่ที่อุ้มลูกชายตัวน้อยติดตามเข้ามาด้วย เพราะเธอไม่เคยวางใจให้แม่สามีเลี้ยงลูกแทน
บรรยากาศเคร่งเครียดปกคลุมห้องในชั่วพริบตา
“ถิงถิง…” เสียงเสียนอี่แตกพร่า เขารีบก้าวเข้ามานั่งข้างเตียง มือกร้านเอื้อมมากุมมือบุตรสาวไว้แน่น ความอับจน ความเจ็บปวด และความรู้สึกผิดสะท้อนอยู่บนใบหน้าของชายวัยกลางคน
หลันถิงขยับตัวพิงหมอน ถังซินรีบเข้ามาช่วยจัดให้เรียบร้อย ร่างเล็กที่เพิ่งฟื้นสบตากับบิดา ดวงตาของเธอคมกว่าที่ใครจำได้
“พ่อมีเรื่องต้องบอก…” น้ำเสียงเสียนอี่แผ่วต่ำ สั่นเครือ
“ที่โรงงาน…เกิดเรื่องใหญ่ อู่กวงหอบเงินเดือนของพนักงานที่จะต้องจ่ายอีกสามวันหนีไปแล้ว ทิ้งเมียกับลูกอีกสองคน รวมถึงพ่อแก่ ๆ ของมันไว้ที่บ้าน”
คำพูดสิ้นสุด หลันถิง หรือพริมาในร่างใหม่ กลับยกมุมปากขึ้นเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง แววตาคมกริบวาวโรจน์ แต่เธอเท่านั้นที่รู้ว่ากำลังเย้ยใคร
ซ่งอวี้ที่ยืนอุ้มลูกอยู่ด้านข้างรีบเสริม “แล้วย่าลู่…ก็ล้มป่วยด้วยนะถิงถิง คงเพราะจนป่านนี้อิงอิงยังไม่ยอมกลับบ้าน”
น้ำเสียงเหมือนกังวล แต่แววตากลับแฝงความสะใจเล็กน้อย ความกังวลนั้นเป็นเพราะซ่งอวี้ห่วงหลินอิงจริง ๆ ถึงอีกฝ่ายจะหายไปค้างกับเพื่อนบ่อย แต่คราวนี้สายจนป่านนี้ ลูกเลี้ยงคนโตก็ยังไม่ติดต่อกลับมา ส่วนความสะใจนั้น คงเป็นเพราะเธอหมั่นไส้แม่สามีมานานหญิงชราที่เอาแต่ตามใจหลินอิงจนเสียคน
ยิ่งฟัง หลันถิงก็ยิ่งอยากหัวเราะ แต่เมื่อเหลือบเห็นสีหน้าบิดาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเด็กกำพร้าก็เลือกที่จะสงบ ไม่ซ้ำเติมต่อหน้า เพราะอย่างไรเสีย คนตรงหน้าก็รักร่างนี้มาก
เสียนอี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ“ว่าแต่…ลูก ฟื้นขึ้นมาแล้ว พอจะจำได้ไหม ว่าใครเป็นคนทำร้ายจนเจ็บหนักขนาดนี้?”
ซ่งอวี้รีบเสริมเสียงแข็ง “ใช่ ต้องรู้ให้ชัดเจน จะได้ไปแจ้งความเอาผิดมัน!”
ถังซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าแรง “ฉันเองก็มัวแต่ดีใจที่เธอฟื้น จนลืมถามไปสนิทเลย ถิงถิง”
หลันถิงหันมองหน้าทุกคนทีละคน ก่อนจะเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ“เป็น…หลินอิง อู่กวง แล้วก็…ย่าลู่ค่ะ พ่อ น้าอวี้ ซินซิน”
คำตอบนั้นทำให้ทั้งสามคนอ้าปากค้างพร้อมกัน เสียงอุทานดังขึ้นแทบจะพร้อมกันอย่างคาดไม่ถึง
“อะไรนะ!?”
หลันถิงไม่หลบตา ย้ำเสียงหนักแน่น “ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ”
จากนั้น หญิงสาวจึงเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดในคืนนั้น ตั้งแต่เธอเพิ่งกลับจากโรงงาน แล้วบังเอิญเห็นหลินอิงกับอู่กวงเข้าไปในห้องย่าลู่ด้วยท่าทีลับ ๆ ล่อ ๆ เธอสงสัยจึงแอบตามไป และพบทั้งคู่กำลังช่วยกันขโมยเงินสินสอดที่ย่าลู่ซ่อนเอาไว้
“ฉันออกไปขวาง…ขู่ว่าถ้าไม่คืน ฉันจะบอกพ่อกับแจ้งตำรวจ” หลันถิงเล่าด้วยแววตาแข็งกร้าว
“ใครจะคิด…อู่กวงมันกลับสั่งให้หลินอิงกำจัดฉันซะ”
สีหน้าของทุกคนในห้องเปลี่ยนไปทันที ซ่งอวี้ถึงกับเอามือปิดปาก ถังซินเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู
หลันถิงหัวเราะเสียงเย็น “แล้วเธอก็ทำจริง…หลินอิงใช้ไม้ทุบฉันจนหมดสติ”
เธอหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าต่อ “ฉันก็สลบไป…ไม่รู้ตัวนานเท่าไหร่ไม่รู้ พอฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นย่าลู่ แต่แทนที่ย่าลู่จะช่วย กลับบอกให้สองคนนั้นหนีไป แล้วยังหยิบไม้แถวนั้นมาตีฉันซ้ำ ๆ อีก…สุดท้ายฉันก็สลบไปอีกครั้ง”
ถังซินสะอื้นพรั่งพรูทันที “ถิงถิง…”
หลันถิงยกมือขึ้นห้าม แววตาเด็ดเดี่ยว “หากนั่นคิดว่าเลวร้ายแล้ว ฟังต่อไปเถอะ พ่อ น้าอวี้ ซินซิน…ต้องคิดไม่ถึงแน่ว่าหลินอิงทำกับฉันอย่างไรต่อไป”
“เกิดอะไรขึ้น?” คนที่ถามคือเสียนอี่
“หลินอิงร่วมมือกับอู่กวง เอาฉันไปโยนทิ้งทะเล แต่บังเอิญดวงฉันคงยังไม่ถึงฆาต ท่าเรือที่พวกเขาเอาฉันไปทิ้ง…ดันเป็นท่าเรือของบ้านจั๋ว และจั๋วอี้เหิงก็อยู่แถวนั้น ฉันถึงรอดมาได้”
หญิงสาวหยุดเว้นจังหวะ ก่อนถามกลับ “แล้วพ่อกับน้าอวี้คิดว่า เรื่องนี้ย่าลู่จะไม่รู้เห็นเป็นใจเลยหรือคะ?”
ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน หลันถิงคนใหม่จึงรีบตอกฝาโลงย่าลู่ทันที จากนั้นเธอหันไปสบตาบิดาเต็มตา “พ่อค่ะ…พ่อ ต้องแจ้งความ จับพวกเขาสามคนให้ได้ คืนความเป็นธรรมให้ฉันนะ!”
น้ำเสียงนั้นสั่นด้วยโกรธและเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ในใจ เสียนอี่ยืนอึ้งไปนานนับหนึ่งนาที ก่อนจะลุกพรวดขึ้น สีหน้าตั้งใจแน่วแน่
ซ่งอวี้ร้องถาม “จะไปไหนหรือคะคุณ?”
“นั่นสิคะเถ้าแก่ลู่ คุณจะไปไหน?” ถังซินเองก็ถามเช่นกัน
“ไปแจ้งความสิ!” เขาตอบทันที จากแรกเริ่มที่ตกใจ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นจนยากบรรยาย คนหนึ่งก็แม่ อีกคนก็คือลูกสาว แต่พวกเขากลับคิดฆ่าลูกสาวอีกคนของเขาได้ลงคอ!
แต่ยังไม่ทันที่ลู่เสียนอี่จะก้าวออกไป ประตูห้องพักพิเศษก็ถูกผลักเปิดออกเสียก่อน ร่างสูงใหญ่ของจั๋วอี้เหิงปรากฏขึ้น ทุกสายตาหันขวับไปยังชายหนุ่มผู้มาใหม่
ชายหนุ่มยืนตระหง่านในชุดสูทสีดำสนิท ความสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรแทบจะบดบังแสงแดดที่ลอดเข้ามาจากภายนอก ดวงตาคมกริบใต้คิ้วเข้มกวาดมองทุกคนราวกับเหยี่ยวที่จับจ้องเหยื่อ
เสียนอี่ที่กำลังจะก้าวออกไปถึงกับชะงัก แขนแข็งค้างกลางอากาศ ความเกรงขามที่แผ่ออกมาจากชายหนุ่มตรงหน้า กดทับจนลมหายใจติดขัด
“คุณ…คุณชายรองจั๋ว?” เสียงเสียนอี่แผ่วพร่า เหงื่อเม็ดเล็กผุดเต็มหน้าผาก
อี้เหิงก้าวเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน เสียงรองเท้าหนังหนักแน่นกระทบพื้นกระเบื้องดังชัดเจนทุกก้าว เขาไม่เหลียวมองใครทั้งสิ้น จนกระทั่งหยุดยืนตรงปลายเตียงผู้ป่วย ดวงตาคมหันมามองสบกับหลันถิงที่นั่งพิงหมอนอยู่
บรรยากาศเงียบกริบ ราวกับทุกเสียงในโรงพยาบาลถูกกลืนหายไป เหลือเพียงเสียงหัวใจของหลันถิงที่เต้นแรงอยู่ในอก
“เกรงว่าผมจะไม่อนุญาตให้เถ้าแก่ลู่…ไปแจ้งความ” อี้เหิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เย็นเยียบราวเหล็กกล้า
เสียนอี่หน้าถอดสีทันที “ทำ…ทำไมครับคุณจั๋ว เรื่องนี้มันเกี่ยวกับลูกสาวผม…”
“แล้วก็เกี่ยวกับผมโดยตรงด้วยเหมือนกัน” เขาตัดบททันที น้ำเสียงกระแทกหนักแน่นจนไม่มีใครกล้าขัด
ดวงตาคมของอี้เหิงหันกลับมาที่หลันถิง แววคมคายเต็มไปด้วยการอ่านความคิด “เพิ่งฟื้นขึ้นมาก็รีบเปิดโปงพี่สาวแท้ ๆ กับย่า ไม่กลัวเหรอ ว่าจะกลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ไปทั้งกว่างโจว ซึ่งหากเป็นแบบนั้นผลเสียมันจะกระทบกับธุรกิจของฉันมากขนาดไหน”
หลันถิงไม่หลบตา กลับยกคางขึ้นเล็กน้อย แววตาแข็งกร้าว “ฉันกลัวมามากพอแล้วค่ะ คุณจั๋ว ที่ผ่านมาใคร ๆ ก็เอาแต่กดขี่เหยียบย่ำ จนสุดท้ายฉันต้องถูกลากไปโยนลงทะเล ถ้าวันนี้ฉันยังเงียบอีก ก็คงได้ตายซ้ำสองแน่”
คำตอบตรงไปตรงมานั้นทำให้คิ้วเข้มของอี้เหิงกระตุกเล็กน้อย เขามองหญิงสาวตรงหน้าใหม่อีกครั้ง ราวกับเธอไม่ใช่เด็กสาวผู้อาภัพที่เขาเคยเห็น แต่เป็นบางสิ่งที่คาดไม่ถึง
ซ่งอวี้ที่อุ้มลูกชายยืนอยู่มุมห้อง สะกิดแขนเสียนอี่เบา ๆ กระซิบเสียงสั่น “แต่ถิงถิงเกือบตายเลยนะคะ หากไม่ได้คุณชายรองจั๋วช่วยไว้ คงตายไปแล้ว”
เสียนอี่เองก็คิดเช่นนั้น เขายอมไม่ได้เพราะเรื่องนี้มันคือชีวิตของหลันถิง คนทำผิดจะปล่อยให้ลอยนวลไปเสวยสุขได้อย่างไร เขาอดรนทนไม่ไหวจริง ๆ “ผมคงทำตามที่คุณชายรองจั๋วห้ามได้หรอกครับ”
แววตาของอี้เหิงวาวโรจน์ขึ้นมาทันที เขาย่อตัวลงเล็กน้อย โน้มหน้าเข้าใกล้เสียนอี่จนระยะห่างแทบไม่ถึงคืบ เสียงทุ้มต่ำเอ่ยชัดเจนทีละคำ “ผมมีวิธีของผม…ไม่จำเป็นต้องให้ตำรวจมาสอดมือ และหากคุณยังดื้อรั้น ผมถามหน่อยสิ อีกแค่สองวันคุณจะเอาเงินจากไหนมาจ่ายค่าแรงคนงานที่คุณติดค้างมาสองเดือน?”
คำพูดนั้นเต็มไปด้วยอำนาจ เสียนอี่ถึงกับตัวสั่นเงียบไปทันที แน่นอน เงินมากขนาดนั้นเขาไม่มีปัญญาหามาได้ทันจริง ๆ
หลันถิงจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า “คุณไม่คิดจะปล่อยให้ความจริงออกไปเลยเหรอคะ? ทั้งที่ฉันเกือบถูกฆ่าตายแท้ ๆ”
อี้เหิงปรายตามองเธอ แววตาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง แต่ลึก ๆ คล้ายมีบางสิ่งที่อ่านไม่ออก “ความจริง…บางครั้งไม่ใช่สิ่งที่โลกนี้อยากได้ยินเสมอไป ถิงถิง แต่โลกนี้ขับเคลื่อนด้วยเงิน เผื่อเด็กสาวไร้เดียงสาอย่างเธอจะยังไม่รู้”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกชื่อเธออย่างตั้งใจ เสี้ยววินาทีนั้นทั้งห้องแทบไม่มีใครกล้าขยับ แต่ไม่ใช่หลันถิงคนนี้ เธอหรี่ดวงตาลงสามส่วน จ้องไปที่จั๋วอี้เหิงนิ่ง ๆ อยู่อึดใจหนึ่ง
“หมายความว่า…หากพวกเรายังไม่แจ้งความ คุณจะยอมจ่ายเงินค่าแรงแทนพ่อของฉันหรือคะ?”
หากเป็นหลันถิงคนเก่า แน่นอนว่าคงไม่กล้าถาม แต่เธอไม่ใช่อีกแล้ว!
“แล้วเธอคิดว่าไงล่ะ?” อี้เหิงชักรู้สึกสนุกขึ้นมาแล้ว
“แน่นอนว่าเงินเล็กน้อยแค่นี้ คุณอี้เหิงคงไม่ใจแคบกับครอบครัวว่าที่เจ้าสาวหรอก…ใช่ไหมคะ”
อี้เหิงแค่นหัวเราะเบา ๆ ทุกคนในห้องแทบไม่กล้าหายใจ
“ได้สิ อาจ้าน เดี๋ยวแกไปจัดการนำเงินมาให้ว่าที่พ่อตาของฉันสักแสนหยวน”
“ครับ คุณอี้เหิง”
“เอาละ…หวังว่าคุณพ่อตาจะทำตามที่ผมต้องการ เรื่องทั้งหมดห้ามเผยแพร่ออกไป ไม่อย่างนั้น คุณคงรู้นะว่าคนอย่างผมทำอะไรได้บ้าง”
พูดจบ ร่างสูงก็ก้าวออกจากห้อง ทุกชีวิตในห้อง ไม่เว้นแม้แต่หลันถิง ต่างใจสั่นสะท้านไปตามแรงกดดัน คงมีเพียงเด็กชายหลงอวี่ที่ยังหลับสบายอยู่ในอ้อมอกมารดา ไม่รู้เรื่องราวใด ๆ เลย…
ตอนพิเศษตัดปัญหาบ้านจั๋วไปแล้ว ใครจะคิดบ้านลู่กลับเกิดปัญหาขึ้นมา และจะเป็นใครได้อีกที่สร้างเรื่องหากไม่ใช่ยายแก่สารพัดพิษหลินฟางหรือย่าลู่ หญิงชราแอบมาขโมยเงินก้อนที่เสียนอี่เตรียมจะนำไปขยายโรงงานเอาไปให้ครอบครัวลู่เสียนเซิ่ง ที่ถูกเจ้าหนี้ตามฆ่าเพราะติดหนี้ก้อนโต (เกือบล้านหยวน)หลันถิงทราบเพราะแม่เลี้ยง (ซ่งอวี้) โทร.มาบอก หญิงสาวโกรธมาก อี้เหิงที่ทราบก็ถามเธอว่าอยากให้เขาจัดการคนพวกนี้แบบไหน หลันถิงนิ่งไปพักใหญ่ แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจบอกให้สามีจัดการในแบบของเขาได้เลย เธอกับหญิงแก่มหาภัยไม่เกี่ยวกันนานแล้ว ยิ่งคนบ้านลู่รองหรือาผู้ชายกับอาสะใภ้เธอยิ่งไม่เคยผูกพันอี้เหิงจับศีรษะภรรยาแล้วชมว่า “ดี” พร้อมกับบอกว่าคนเราต้องใจเด็ดแบบนี้ คนที่เคยลงมือฆ่าเราเธอไม่จำเป็นต้องนับใครเป็นญาติ หลันถิงจึงว่าฉันถือคติทำให้คนเกลียด...ยังพูดไม่จบอี้เหิงก็ต่อว่า...อายุยืนหมื่นปี แล้วก็หัวเราะ หลันถิงจึงหัวเราะตาม พร้อมกับบอกสามีว่าชีวิตคนเราก็แบบนี้ต้องเห็นแก่ตัวบ้างใจดีเกินไปตายมามากแล้วอี้เหิงเห็นหลันถิงแกร่งแบบนี้เขาจึงเล่าถึงอู่กวงกับหลินอิงว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เขาบอกกับหลันถิงว่าตนเองปล่
ตอนที่ 45 ||อวสานสองเดือนต่อมา...อี้เหิงเริ่มเห็นว่าหลายสิ่งที่หลันถิงเคยพูดไว้ในคืนนั้นเริ่มเกิดขึ้นจริง ข่าวลือเรื่องเขตเศรษฐกิจใหม่ที่เซี่ยงไฮ้สะพัดไปทั่ววงการการเงินในเงามืด เขาใช้เส้นสายตรวจสอบทุกแหล่งข้อมูลและพบว่า ทุกอย่างกำลังจะเป็นจริงตามที่เธอบอกไม่มีผิด บวกกับเหตุการณ์เล็กน้อยอีกหลายเหตุการณ์ล้วนเป็นจริงทำให้เขายิ่งคิดว่าความฝันของหลันถิงน่าจะเป็นฝังบอกอนาคตจริงๆค่ำหนึ่งในห้องทำงาน เขาเปิดแฟ้มข้อมูลพลางสูบลมหายใจลึก “ถิงถิง…ดูท่าฝันของเธอจะไม่ธรรมดาแล้วล่ะ”หลันถิงวางแก้วชาลงบนโต๊ะ พลางหัวเราะเสียงหวาน รอยยิ้มที่อ่อนโยนแต่มีความมั่นใจในตัวเองแผ่ออกมา “เห็นไหมคะพี่…ฉันไม่ได้พูดเพ้อเจ้อเลยสักนิด”อี้เหิงขำเบา ๆ ก่อนเอ่ยเล่น ๆ “พี่เริ่มจะเชื่อแล้วจริง ๆ ว่าเมียพี่อาจจะมาจากอนาคตก็ได้”หลันถิงทำหน้าทำตาประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์เขาโน้มตัวไปใกล้ พลางเอื้อมมือคว้าข้อมือเล็กของเธอมากุมไว้เบา ๆ “หรือไม่ก็…เป็นนางฟ้า หืม?”หลันถิงหัวเราะคิกคัก “พี่อี้! ฉันห่างไกลคำว่านางฟ้าเยอะมาก ยิ่งนางเอก…ยิ่งไกลเต็มที่ หลันถิงคนนี้ก็มีแต่จะเป็นนางร้ายเต็มตัว!”อี้เหิงยิ้มมุมปาก ดวงต
ตอนที่ 44 || ฝันบอกอนาคตของหลันถิงหลังจบมื้อค่ำดึก อี้เหิงกับหลันถิงขึ้นมานั่งดื่มชาดอกไม้ที่ระเบียงห้องนอนเพื่อรอให้อาหารย่อย แสงไฟยามค่ำส่องสว่างไสว กลิ่นชาอ่อน ๆ ผสมกลิ่นลมเย็นยามค่ำ ทำให้บรรยากาศเงียบสงบอย่างแปลกประหลาดหลันถิงนั่งถือถ้วยน้ำชาแน่นิ่งมาครู่ใหญ่ ในใจของหญิงสาวกำลังกังวล เธอจ้องไปยังความมืดข้างนอกมากกว่าจะมองสามีที่นั่งตรงข้าม อี้เหิงย่อมสังเกตเห็นแล้วแต่เขายังเงียบอยู่ เพราะอาการของหลันถิงดูเหมือนเธอจะมีเรื่องในใจ เขาไม่รีบร้อนปล่อยให้เมียตัวน้อยอยู่กับตัวเองครู่หนึ่ง จึงได้เอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำแต่อบอุ่นเหลือเกิน“หลันถิง เธอต้องการอะไรจากพี่ก็พูดมาเถอะ ระหว่างผัวเมียเราไม่ต้องเกรงใจกัน” น้ำเสียงของเขาเรียบแต่หนัก แน่วแน่สื่อความหมายดังที่พูดออกไปทุกคำคำพูดนั้นทำให้หลันถิงชะงัก ใบหน้าเธอร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อยก่อนพยายามข่มใจให้ยิ้มกลบความรู้สึกหวาดกลัวว่าหากตนเองพูดสามีเธอจะไม่คิดว่าเธอเพ้อเจ้อไปเอง“นี่พี่อี้มองออกเลยเหรอ… แหม เขินเลยนะเนี่ย” หลันถิงพูดคล้ายหยอกเย้าสามีเพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดเกินไปอี้เหิงยิ้มมุมปาก ดึงร่างเล็กมานั่งบนตักอย่างคุ้นเคยและเขาอยากบอก
ตอนที่ 43||การตัดสินใจเด็ดขาดของอี้เหิงหลันถิงรีบพูดเสียงสั่น แต่ยังไม่ทันพูดจบ ร่างบางก็ถูกแขนแข็งแรงโอบอุ้มขึ้นจากท่านั่งคุกเข่าโดยเขาก็กลับลงมานั่งในอ่างเช่นเดิม แล้ววางร่างเล็กลงคร่อมตักแกร่งกลางอ่างทันที น้ำกระเซ็นจนล้นขอบอ่างลงเปียกพื้นแต่อี้เหิงหรือจะสนใจ“ลองขย่มพี่เองสักครั้งสิ” เขากระซิบเสียงแหบพร่าที่ข้างหู ริมฝีปากกัดติ่งหูเล็กแรงพอให้เธอสั่นสะท้าน“ไม่เอา!” เธอส่ายหน้าสุดแรง แต่เขากลับจับสะโพกกลมแน่น กดลงตรงแก่นกายแข็งกร้าวที่เพิ่งคืนชีพอีกครั้ง ความร้อนผ่าวกระแทกตรงจุดอ่อนไหวทำให้หลันถิงสะดุ้งเฮือก“อย่าดื้อ...เดี๋ยวพี่ทิปอีกห้าหมื่น” เสียงทุ้มต่ำล่อลวงคนชอบเงินหลันถิงยังไม่ทันปฏิเสธเพราะรอบนี้เธอเหนื่อยแล้วอีกห้าหมื่นก็ไม่เอา แต่ปลายแท่งร้อนก็สอดแทรกเข้าไปในกายคับแน่นอย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องหวานปนแหบพร่าหลุดจากปากหลันถิง น้ำตาคลอเมื่อความใหญ่โตดันลึกเข้าไปสุดทางในคราวเดียว“อ๊ะ...พี่อี้ มันเจ็บนะ!” เธอทุบอกเขาเบา ๆ แต่เสียงครางแหบพร่ากลบความโกรธไปหมดสิ้น“ก็เจ็บแค่แรก ๆ ทุกครั้งไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวขยับเธอก็เสียวไปกับพี่ทุกที...” เขาหัวเราะต่ำในลำคอ แล้วดันสะโพกเธอขึ้
ตอนที่ 42||ฉันจะเป็นปลาเค็ม!...หลังจากวันยกน้ำชาพอเช้าวันใหม่อีกวันน้องสาวของจ้าวอิงอิงพี่สะใภ้ใหญ่ของบ้านจั๋วก็ขนข้าวของมาอยู่ที่ตึกใหญ่ หากแต่หลันถิงไม่ใส่ใจ เพราะอี้เหิงบอกกับเธอแล้วว่าเขาไม่สนใจใคร เขาเลือกเธอแต่แรกก็ยังเป็นเช่นนั้นและเพียงสามวันเท่านั้นตึกใหญ่ของบ้านจั๋วก็วุ่นวายเพราะจ้าวจูดี้กับจ้าวหนิงเจียวทะเลาะตบตีกัน เพราะต่างก็มีคนหนุนหลัง หนิงเจียวคือคุณนายใหญ่จั๋วผลักดัน ส่วนจ้าวจูดี้ก็เป็นสะใภ้ใหญ่กับลูกชายคนโต ตบตีกันเองจนวุ่นวาย สุดท้ายคุณนายใหญ่จั๋วก็ทนไม่ไหว ไล่ทั้งสองคนออกจากคฤหาสน์ไปก่อน“แผนของพี่อี้ช่างร้ายกาจ”หลันถิงชื่นชมสามีจากใจ เพราะที่อี้เหิงรับปากเธอแต่แรกล้วนเป็นจริง เขาบอกให้เธอแค่อยู่เฉยๆ วางตัวสวยๆ ใช้จ่ายตามสบาย ส่วนเรื่องผู้หญิงอื่นเขาจะจัดการแทนเธอเอง“พี่ร้ายกับคนที่ร้ายกับพี่ก่อนเท่านั้น อีกไม่นานรับรองเลยว่าหนิงเจียวจะได้รับโทษที่เคยลงมือทำร้ายเธอ”“ยังไงคะ?” หลันถิงหมายถึงเขาจะทำอะไร“ตอนนี้หนิงเจียวพัวพันอยู่กับเฉินอีเค่อ และเธอรู้ไหม เมียของเฉินอีเค่อเป็นพวกหึงโหดขนาดไหน”หลันถิงฟังแล้วคิดตามไม่นานก็ตาโต “พี่อี้ พี่ไม่ใช่คนดี!”จั๋วอี้เหิงห
ตอนที่ 41 ||ยกน้ำชาบ้านใหญ่ช่วงค่ำอากาศของปักกิ่งเย็นยะเยือกกว่าที่หลันถิงเคยชิน ลมปลายฤดูร้อนพัดแรงจนม่านบางปลิวสะบัด เสียงกระดิ่งลมหน้าระเบียงดังแผ่วเบาเป็นจังหวะชวนผ่อนคลายหญิงสาวในชุดนอนผ้าซาตินสีงาช้างนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ดวงตาคู่หวานจ้องเงาตัวเองในกระจกอยู่นาน ใบหน้าหวานผ่องใสแม้จะผ่านการเดินทางไกลด้วยเครื่องบินเสียงเปิดและปิดประตูเบา ๆ ดังขึ้นก่อนที่อี้เหิงจะก้าวเข้ามาในชุดนอนสีเข้ม เขาดูสงบอย่างทุกครั้ง“นอนไม่นอนอีกแล้วเหรอ” คนเพิ่งกลับมาจากห้องทำงานถามเมียที่เขามาส่งตั้งแต่หัวค่ำยังนั่งทาครีมตรงโต๊ะเครื่องแป้งไม่เข้านอน“รอพี่อี้ค่ะ” หลันถิงตอบเสียงหวานก่อนจะลุกเดินมาหาสามีที่ยืนรอที่ปลายเตียง“พี่นึกว่าเธอกังวลเรื่องยกน้ำชาบ่ายพรุ่งนี้เสียอีก” อี้เหิงดักคอคนที่ยังไม่ยอมเข้านอนทั้งที่ห้าทุ่มกว่าแล้ว“ก็...นิดหน่อยค่ะ” หญิงสาวเข้ามาโอบเอวแกร่งพร้อมเอาแก้มนวลถูไถไปกับหน้าอกของสามีคล้ายลูกแมวขี้อ้อน ท่าทางแบบนี้ทำเอาอี้เหิงใจเหลวเป็นน้ำ“ตราบใดที่พี่ยังมีลมหายใจ ไม่ต้องกลัวหรือกังวลอะไรทั้งนั้น”คำพูดนั้นเหมือนคาถาคุ้มกันในใจหลันถิง เธอพยักหน้าช้า ๆ แล้วสูดลมหายใจลึกก







