“คุณหนู คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นข้างๆ วาดรวี เธอรู้สึกเจ็บแปลบที่หัว ราวกับว่าเธอเพิ่งฟื้นจากการบาดเจ็บครั้งใหญ่ “ที่นี่ที่ไหน” วาดรวีถามอย่างตระหนก เธอพยายามจะลุกขึ้นแต่มือของหญิงสาวในชุดจีนโบราณรีบจับเธอไว้ “คุณหนูเหวิ่นจือหยู ท่านอย่าเพิ่งลุกขึ้นนะคะ ท่านเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บ” หญิงสาวพูดพลางเอื้อมมือไปพยุงวาดรวีให้นั่งลงอย่างระมัดระวัง “คุณหนูเหวิ่นจือหยู ” วาดรวีพึมพำกับตัวเอง ไม่ใช่ว่าเธอหลุดมาอยู่ในยุคจีนโบราณแล้วเหรอ หญิงสาวนั่งนึกถึงตัวเอง ในวันที่ฟ้าครึ้มฝน หนทางยาวเหยียดในเมืองหลวงปักกิ่งสว่างไสวด้วยแสงไฟจากรถที่สัญจรไปมา วาดรวีวิศวกรสาวผู้เต็มไปด้วยความฉลาดและความมุ่งมั่นรีบขับรถออกจากที่ทำงานหลังจากการประชุมครั้งสำคัญที่กินเวลานานเกินกว่าที่คาดไว้ เธอต้องเร่งรีบเพื่อกลับไปเช็คเอ้าท์ที่โรงแรมเพราะจะกลับประเทศไทย เธอมาเป็นตัวแทนบริษัทมานำเสนอผลงานที่ปักกิ่ง หัวใจของเธอกระวนกระวาย รถที่ขับออกไปด้วยความเร็วสูงแล่นผ่านถนนที่เริ่มชื้นจากหยาดฝนที่ตกลงมาอย่างรวดเร็ว แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ รถบรรทุกคันหนึ่งก็พุ่งข้ามเลนเข้ามาหาเธอ วาดรวีพยายามหักพวงมาลัยหลบ แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป เสียงเบรกดังสนั่นก้อง รถของเธอเสียการควบคุม และวินาทีต่อมาเสียงชนอันดังสนั่นก็ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นความมืด ลมหนาวพัดผ่านเนื้อตัวของวาดรวี จนเธออดสั่นไม่ได้ เธอยืนมองออกไปในหุบเขาอย่างสับสน “ที่นี่...ที่ไหนกัน” วาดรวีพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะยกมือขึ้นแตะศีรษะ รู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่แผลจากอุบัติเหตุแต่เมื่อมองรอบตัว เธอไม่อยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อเธอฟื้นขึ้นมากลับพบว่าตัวเองอยู่ในยุคจีนโบราณ และเธอได้พบกับหญิงสาวแต่งชุดจีนโบราณ ยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ เธอ ที่สำคัญหน้าตาของหญิงสาวในชุดจีนโบราณนั้นเหมือนกับวาดรวียังกับฝาแฝด พอสอบถามได้ความว่า เธอชื่อ เหวิ่นจือหยู เป็นบุตรีของแม่ทัพใหญ่ผู้เป็นคู่หมั้นขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ องค์ชายที่หล่อเหลา เยือกเย็น และเป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั่วแคว้น โดยเฉพาะ "เหวิ่นลี่หยา" น้องสาวต่างมารดาของเธอที่ไม่เคยถูกชะตากับเธอตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และตอนนี้ก็กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อชิงองค์ชายมาเป็นของตน และเธอก็ถูกน้องสาวต่างมารดาทำร้ายร่างกายจนตาย เธอถูกดึงมาให้อยู่ที่นี่เพื่อเจอกับวาดรวี ซึ่งคือเธอในยุคปัจจุบัน และให้วาดรวีที่เคยเป็นเธอในอดีตกลับไปแก้แค้นให้เธอด้วย ก่อนที่ทั้งคู่จะถูกลมหมุนแยกจากกัน ที่แคว้นฉิน ในอีกยุคหนึ่ง เวลานี้คุณหนูเหวิ่นจือหยูกำลังอยู่ในช่วงชีวิตที่ลำบาก นางถูกสังคมวิจารณ์ว่าไม่คู่ควรกับองค์รัชทายาทหลี่หยวนเจ๋อ ไม่ว่าทำอะไรดูเหมือนจะถูกน้องสาวของตน เหวิ่นลี่หยา หาทางทำลายชื่อเสียงตลอดเวลา เย็นวันนั้น ขณะที่เหวิ่นจือหยู กำลังเดินผ่านสวนในตำหนัก จู่ๆ นางก็รู้สึกเวียนหัวอย่างรุนแรง ก่อนที่จะรู้สึกเหมือนว่าโดนผลักจนล้มศีรษะฟาดกับก้อนหิน ก่อนที่ภาพรอบตัวจะค่อยๆ หมุนเคว้ง เสียงลมพัดผ่านหูอย่างแผ่วเบา และนางก็ล้มลงกับพื้น หัวกระแทกกับก้อนหินจนหมดสติ “คุณหนูเหวิ่นจือหยู ” วาดรวีพึมพำกับตัวเอง ไม่ใช่ว่าเธอหลุดมาอยู่ในยุคจีนโบราณแล้วเหรอ หญิงสาวนั่งนึกถึงตัวเองที่เจอกับเหวิ่นจือหยูเมื่อก่อนหน้าและสิ่งที่เธอบอก วาดรวีงุนงง แต่เมื่อมองไปยังเงาสะท้อนในกระจก เธอก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ ตอนนี้หญิงสาวอยู่ในชุดจีนโบราณ สวมอาภรณ์สีแดงงดงาม ใบหน้าของนางมีความอ่อนช้อยงดงามแต่งแต้มไปด้วยความเศร้า เธอยกมือขึ้นแตะใบหน้าตัวเองอย่างช้าๆ “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน…นี่ฉันไม่ได้อยู่ในร่างของตัวเองใช่ไหม” วาดรวี หรือในตอนนี้คือเหวิ่นจือหยู ได้แต่มองภาพสะท้อนนั้นด้วยความรู้สึกที่ทั้งสับสนและหวาดกลัว เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และทำไมเธอถึงได้มาอยู่ในร่างของเหวิ่นจือหยู ในยุคจีนโบราณเช่นนี้ ถึงตอนนั้นเหวิ่นจือหยูที่เคยเจอจะบอกว่าเป็นเธอก็เถอะ เธอไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากแก้แค้นอะไรนั่นเสียหน่อย แต่เธอก็ยังกลายเป็นเหวิ่นจือหยู บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ผู้เป็นคู่หมั้นขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ องค์ชายที่โด่งดังทั้งในด้านความสามารถและความเย็นชาใส่เธอ วาดรวีในร่างเหวิ่นจือหยูเริ่มเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น เธอต้องใช้ชีวิตในร่างนี้และทำให้ทุกอย่างดูเป็นปกติ แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือการเผชิญหน้ากับเหวิ่นลี่หยาน้องสาวต่างมารดาที่ดูเหมือนจะเกลียดเธอมาตั้งแต่เด็ก และตอนนี้น้องสาวคนนี้ก็กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อจากเธอ ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ จู่ๆ มีหญิงมีอายุในชุดจีนโบราณยาวกรอมเท้า วิ่งเข้ามาหาเธออย่างเร่งรีบอีกคน “คุณหนู คุณหนูฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ” หญิงผู้นั้นตะโกนเสียงดัง น้ำตาไหลพราก เธอก้มกราบลงอย่างนอบน้อม “บ่าวดีใจนักที่คุณหนูฟื้นขึ้นมาได้” “คุณหนูของนมเจ็บตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ” ผู้หญิงมีอายุคนนั้นยังพูดต่อ คงเป็นแม่นมของเธอซินะ “ปวด ตรงนั้นนิดหน่อยค่ะแม่นม ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ” หลังจากนั้นเธอก็ถูกแม่นมดูแลให้ดื่มสมุนไพรนั่นนี่ตามประสาคนเป็นห่วง ในวังหลวง องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อผู้ที่มีนิสัยเย็นชาและคาดหวังความสมบูรณ์แบบในทุกด้านของชีวิต รู้ดีว่าการหมั้นหมายกับเหวิ่นจือหยูเป็นเพียงการเมือง เขาไม่เคยสนใจนางมาก่อน ทั้งยังรู้ดีว่าน้องสาวของนางอย่างเหวิ่นลี่หยานั้นพยายามเข้าหาเขาอย่างมากมาย ด้วยการแสดงความอ่อนโยน หลี่หยวนเจ๋อไม่ได้เกลียดชัง แต่ก็ไม่ได้สนใจใยดี ทั้งหมดนี้สำหรับเขาเป็นเพียงเกมการเมืองเพื่อรักษาอำนาจของราชวงศ์เท่านั้น จนกระทั่งวันที่เขาได้พบกับเหวิ่นจือหยูอีกครั้งหลังจากที่นางฟื้นจากอาการบาดเจ็บ วันนี้ที่วังหยวนเหอ วาดรวีในร่างเหวิ่นจือหยูถูกเชิญมาเข้าเฝ้าองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ หลังจากที่ทั้งสองไม่ได้พบกันมาเป็นเวลานาน เธอรู้สึกตื่นเต้นและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน แต่ทันทีที่เธอได้พบกับเขา สายตาที่เย็นเยียบและเคร่งขรึมของเขากลับทำให้เธอรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงกระดูก “เหวิ่นจือหยู” เขาเอ่ยเรียบๆ แต่คำพูดของเขาเต็มไปด้วยอำนาจและความกดดัน “เจ้าฟื้นแล้วหรือ” “เพคะองค์ชาย ข้า... ข้าไม่ค่อยสบายมากนัก แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว”วาดรวีพยายามตอบด้วยความสุภาพที่สุด แม้จะยังคงตกตะลึงกับความหล่อเหลาของเจ้าชายผู้เย็นชา องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อยืนนิ่ง เขาสังเกตเห็นแววตาของนางเปลี่ยนไปจากที่เคยเห็น ดูมีความเฉลียวฉลาดและไม่ใช่หญิงสาวที่โง่เง่าแต่เย่อหยิ่งนิสัยร้ายกาจอย่างแต่ก่อน “เช่นนั้นดีแล้ว” เขาตอบสั้นๆ “ข้าไม่มีเวลาสำหรับความอ่อนแอของเจ้า” "องค์ชายเพคะ ข้าได้นำผ้าชิ้นนี้มาถวายท่าน ข้าทอด้วยมือของข้าเอง" เหวิ่นลี่หยาถือกล่องผ้าไหมสวยงาม นางเดินเข้ามาหาองค์ชายหลี่หยวนเจ๋ออย่างอ่อนหวาน สายตาอ่อนโยนจ้องมองเขา หลี่หยวนเจ๋อเหลือบตามองผ้า แต่ไม่ตอบอะไร ใบหน้าของเขาเรียบเฉย เหวิ่นลี่หยากัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกเสียหน้า แต่ยังคงพยายามพูดต่อ “หากท่านต้องการ ข้าจะทอผ้าให้ท่านทุกวัน นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ข้าได้ถวายงานให้ท่าน” แต่อย่างไรก็ตาม หลี่หยวนเจ๋อยังคงเย็นชา “ไม่จำเป็น” "แต่..." ก่อนที่เหวิ่นลี่หยาจะพูดจบ เหวิ่นจือหยูที่ยืนฟังอยู่ก็เดินเข้ามาใกล้ นางยิ้มอย่างแผ่วเบาและพูดอย่างเฉียบขาด "น้องลี่หยา ข้าคิดว่าองค์ชายคงไม่มีเวลามากนักในการสนใจผ้าทอของเจ้า เขามีราชกิจสำคัญมากกว่านั้น" เหวิ่นลี่หยามองหน้าพี่สาวของเธอด้วยความโกรธ เธอไม่คิดว่าเหวิ่นจือหยูจะกล้าท้าทายเธอแบบนี้คืนนี้ หลี่หยวนเจ๋อเดินตรงไปยังตำหนักของพระชายาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ปล่อยให้ระยะห่างระหว่างพวกเขายืดเยื้อต่อไปอีกแล้วเมื่อมาถึง แสงตะเกียงยังคงส่องสว่างอยู่ด้านใน เขาเปิดประตูเข้าไปเงียบ ๆ ภาพที่เห็นทำให้หัวใจของเขากระตุก เหวิ่นจือหยูยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะ มือเรียวพลิกเอกสารนางดูสงบนิ่งและตั้งใจทำงาน แต่แววตาของนางกลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าเขาก้าวเข้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าเคย“ดึกมากแล้ว เหตุใด้เจ้ายังนอน”เหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นมองเขาเพียงแวบเดียว ก่อนจะก้มลงทำงานต่อ“หม่อมฉันเพิ่งจัดการเอกสารเสร็จ เพคะ”คำตอบของนางสุภาพ ราบเรียบ แต่ห่างเหินอย่างเห็นได้ชัด หลี่หยวนเจ๋อเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกถึงกำแพงที่กั้นระหว่างพวกเขา มันไม่ใช่ความเย็นชาหรือการต่อต้าน แต่มันเป็นความเฉยชา ที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบเขาเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะนั่งลงข้างนาง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าอยากให้เจ้าพักผ่อน ช่วงนี้เจ้าทำงานหนักเกินไป”เหวิ่นจือหยูชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หม่อมฉันเพียงทำในสิ่งที่ควรทำเพคะ”เขารู้ดีว่าตลอดมา นางพยายามทำทุกอย่างให้สมบูรณ
“ข้าจะคิดเรื่องนี้ให้มากขึ้น เสด็จแม่” เขาตอบเสียงเรียบ แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน“หยวนเจ๋อ” นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ลูกควรดูแลพระชายาให้มากกว่านี้ อย่าปล่อยให้นางรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะหากวันหนึ่งลูกเสียสิ่งสำคัญไปแล้ว ลูกจะเสียใจ”องค์รัชทายาทชะงักไปเล็กน้อยกับคำเตือนของพระมารดา ดวงตาคมของเขาหลุบต่ำลงคล้ายครุ่นคิด ก่อนจะตอบเสียงเรียบ“เสด็จแม่ ลูกเพียงต้องการให้นางดูแลตัวเองและลูกในครรภ์ให้ดีที่สุด”ฮองเฮาถอนพระทัยเบา ๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ แต่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง“แล้วลูกเคยถามนางบ้างหรือไม่ ว่านางรู้สึกอย่างไร”หลี่หยวนเจ๋อเงียบไป นางใช้โอกาสนี้กล่าวต่อ“ตั้งแต่ลูกอภิเษกกับนางมา นางทำทุกอย่างเพื่อลูก ไม่เคยบ่น ไม่เคยร้องขอสิ่งใด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มีผู้กล่าวหาว่านางเป็นสตรีเอาแต่ใจ แต่ลูกเคยเห็นหรือไม่ว่านางเคยเรียกร้องอะไรจากลูกเลย”ดวงตาของหลี่หยวนเจ๋อวูบไหวเล็กน้อย แม้สีหน้ายังคงสงบนิ่ง แต่ภายในใจก็เริ่มเกิดความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่อยากยอมรับ“นางอาจดูเข้มแข็ง แต่ในใจลึก ๆ สตรีที่ตั้งครรภ์ย่อมต้องการกำลังใจ ต้องการให้สามีของนางเป็นที่พึ่ง ลูกอ
ในเช้าวันต่อมา หลี่หยวนเจ๋อมาหาเหวิ่นจือหยูที่ห้องอักษร เมื่อคืนเขาไม่ได้ให้องครักษ์เปิดประตูให้พระชายาเข้าไปในตำหนักเขา เพียงเพราะอยากให้นางคิดทบทวนความผิด แต่จนแล้วจนเล่านางก็เอาแต่หมกตัวอยู่ห้องอักษร ครั้งนี้เขาจึงต้องมาคุยกับนางแต่เช้า แต่ครั้งนี้ฝีเท้าของเขาหนักแน่นกว่าทุกครั้ง และเมื่อยืนอยู่ตรงหน้านาง ใบหน้าของเขาก็ตึงเครียดจนสังเกตได้ชัดเหวิ่นจือหยูที่กำลังอ่านหนังสือเงยหน้าขึ้นมามองเขา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือเพคะ”แต่ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ หลี่หยวนเจ๋อกลับเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้าคิดถึงลูกของเราบ้างหรือไม่”คำถามนั้นทำให้เหวิ่นจือหยูชะงักไป ดวงตาของนางไหววูบ ขณะที่หลี่หยวนเจ๋อจ้องมองมาอย่างไม่พอใจ“หม่อมฉัน” นางเอ่ยออกมาแผ่วเบา แต่ยังไม่ทันได้อธิบาย เขากลับพูดขัดขึ้น“ข้าลืมไป หากเจ้าเป็นห่วงลูกของเราจริง เจ้าจะไม่มัวแต่มัวแต่ทุ่มเทให้กับเพลงดาบ จนลืมไปว่าเจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตำหนิ และในดวงตานั้นมีทั้งความไม่พอใจ ความผิดหวัง และความกังวลปะปนกันเหวิ่นจือหยูลอบเม้มริมฝีปาก นางรู้สึกผิดและเข้าใจดีว่าหลี่หยวนเจ๋อกำลังพ
“นางคืออัญมณีที่มีค่าในราชสำนัก”เสียงฮ่องเต้ดังกังวานไปทั่วท้องพระโรง ขณะพระองค์ทอดพระเนตรไปยังเหวิ่นจือหยูที่ยืนอยู่กลางงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ สายพระเนตรนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและความเอ็นดู“พระชายา ไม่เพียงแต่มีความสามารถเท่านั้น แต่ยังเป็นนักรบที่มีหัวใจและจิตวิญญาณที่กล้าหาญ” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงชัดเจน ก่อนหันไปมองฮองเฮา“เจ้าเก่งมาก หยูเอ๋อร์” ฮองเฮากล่าวพร้อมจับมือของเธอไว้ “เจ้ากำลังพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเจ้าคือคนที่คู่ควร”เหวิ่นจือหยูยิ้มรับ “ขอบพระทัยเพคะ เสด็จแม่ ทุกอย่างที่หม่อมฉันทำได้ในวันนี้เพราะได้รับการสนับสนุนจากพระองค์”“ไม่ใช่เพียงข้าหรอก เจ้าต่างหากที่สร้างความเปลี่ยนแปลง” ฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนฮ่องเต้ยิ้มพร้อมตรัสขึ้น “นอกจากความสามารถที่เจ้าแสดงให้เห็น ข้ายังได้รับข่าวดีเรื่องที่เจ้าตั้งครรภ์อีก นับเป็นข่าวดีในราชสำนักแห่งนี้”เสียงปรบมือและเสียงแสดงความยินดีดังกึกก้อง หลี่หยวนเจ๋อยืนอยู่ข้างพระชายาของตน แม้จะพยายามเก็บอาการ แต่รอยยิ้มบางๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่เหวิ่นจือหยู ซึ่งกำลังพูดคุยกับแขกผู้มีเกียรติอ
ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นหลังจากการดวลเพลงดาบอันน่าประทับใจของเหวิ่นจือหยู เหล่าแขกจากแคว้นต่างๆ ที่มาร่วมงานต่างทยอยเข้ามาทักทาย โดยเฉพาะตัวแทนจากแคว้นตะวันตกที่ขึ้นชื่อเรื่องวรรณกรรมและศิลปะพร้อมล่ามได้เข้ามาทักทาย“Your Highness, I must say, your skills with the sword are truly remarkable,” แขกชาวต่างชาติคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ขณะเดินเข้ามาใกล้เหวิ่นจือหยู และชี้ไปที่ดาบในมือของนางอย่างสนใจ “I have never seen a woman wield a sword with such elegance and power.”“Thank you for your kind words,” เหวิ่นจือหยูตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษอย่างมั่นใจ “I have trained hard, and it is an honor to showcase my skills today.”“พระชายา ความสามารถของท่านในการควงดาบนั้นยอดเยี่ยมมาก” ชายชาวต่างชาติกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ขณะเดินเข้ามาใกล้ “ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นสตรีนางใดที่ร่ายรำดาบได้ทั้งอ่อนช้อยและทรงพลังเช่นนี้มาก่อนเลย”“ขอบคุณสำหรับคำชม ข้าพเจ้าได้ฝึกฝนมาอย่างหนัก และถือเป็นเกียรติที่ได้แสดงฝีมือในวันนี้”ผู้คนโดยรอบต่างพากันตกตะลึง ไม่เพียงเพราะท่วงท่าดาบที่สง่างามของพระชายา แต่ย
“นี่คือพระตำหนักที่ข้าตั้งใจจะสร้าง ซึ่งข้าขนานนามว่า ‘ตำหนักสวรรค์แห่งความสงบ’” เหวิ่นจือหยูเริ่มต้นอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พระตำหนักนี้ถูกออกแบบให้มีลมพัดผ่านและแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน เพื่อทำให้เย็นสบายในฤดูร้อนและอบอุ่นในฤดูหนาว”บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงที่เคยเงียบเสียง เปลี่ยนเป็นความตื่นตัวเมื่อแขกเหรื่อเริ่มตั้งใจฟัง นางใช้พู่กันขยับวาดภาพอย่างมั่นใจ เส้นสายแต่ละเส้นที่ปรากฏบนกระดาษสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญ“ภายในพระตำหนักจะมีห้องนั่งเล่นกว้างขวาง สามารถรองรับงานเลี้ยงและการเฉลิมฉลองได้ ภายนอกมีสวนดอกไม้ล้อมรอบ พร้อมน้ำพุที่ให้ความสดชื่นและความสงบแก่ผู้ที่มาเยือน” เหวิ่นจือหยูเอ่ยพร้อมกับชี้นิ้วไปยังจุดต่างๆ บนภาพวาดที่งดงาม“จริงๆ แล้ว การออกแบบตำหนักไม่ใช่แค่การวาดภาพเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความรู้ทางสถาปัตยกรรมและการจัดการสภาพแวดล้อมด้วย” นางกล่าวอย่างมีความรู้ เสียงซุบซิบดังขึ้นในหมู่แขก บ้างชื่นชม บ้างสงสัย แต่ทุกคนไม่อาจละสายตาจากภาพวาดที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง“สำคัญที่สุด วัสดุที่ใช้ต้องทนทาน เพื่อให้ทุกคนสามารถอยู่อาศัยได้อย่างมีความสุข” นางหันไปสบตาเหล่าผู้ฟัง น้ำเสี
“ข้าเชื่อว่า หากจัดการประลองความรู้รอบตัวและการทรงอักษร เพื่อแสดงว่าใครมีปัญญามากที่สุด คงจะน่าสนใจกว่าการแสดงดนตรีธรรมดาๆ นี้เป็นแน่”เหวิ่นลี่หยากล่าวท้าทายอย่างชัดเจน ทำให้ทุกสายตาหันมาจับจ้องและสนใจในความท้าทายนี้“มีใครเห็นด้วยกับข้าหรือไม่” เหวิ่นลี่หยาเอ่ยถาม ราวกับกำลังประกาศสงครามต่อทุกคนในงานเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพฮ่องเต้ “มีนักปราชญ์ท่านใดหรือตัวเเทนจากแคว้นใดจะลงแข่งหรือไม่”คำถามนี้เปรียบเสมือนลูกธนูที่ยิงตรงไปยังเหล่าผู้ร่วมงาน บรรยากาศอันสงบเริ่มตึงเครียดขึ้นทันที ก่อนจะมีเสียงหัวเราะดังขึ้นจากบุรุษผู้หนึ่ง“ข้าเอง ข้าองค์ชายเหลียงเซวียนไห่ จากแคว้นเฉวียนตู จะท้าประลองเอง มีใครจะอาสาประลองกับข้าหรือไม่” องค์ชายที่มีรูปร่างงดงามจากต่างแดนรับคำท้า เหลียงเซวียนไห่ลุกขึ้นจากที่นั่ง ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจจนทำให้ผู้คนรอบข้างพูดคุยกันอย่างตื่น“เขาว่ากันว่า องค์ชายเหลียง ทรงเป็นผู้รอบรู้ในศาสตร์ทั้งปวง อีกทั้งทรงมีไหวพริบและปฏิภาณดีมาก หากต้องการคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียม คงมีเพียงองค์รัชทายาทแคว้นหลี่เท่านั้น”เสียงขุนนางบางคนกระซิบอย่างเกรงขาม แต่ เหวิ่นลี่หยากลับยิ้มเย
“ถ้าเช่นนั้น นับว่าเป็นเกียรติแก่พวกเรา เชิญพระชายาแห่งองค์ชายหลี่จวิ้นได้เลยเพคะ”คำเชิญทำให้เหวิ่นลี่หยาก้าวขึ้นไปบนเวทีด้วยความมั่นใจ ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มอันนุ่มนวล“เราจะเล่นเพลงง่ายๆ ร่วมกัน” หญิงนักดนตรีผู้เชี่ยวชาญกล่าวทันทีที่เสียงดนตรีเริ่มต้น ความไพเราะของบทเพลงได้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว เหวิ่นลี่หยาสามารถเล่นร่วมกับนักดนตรีได้อย่างลงตัว เสียงดนตรีที่ประสานกันสร้างความสุขแก่ผู้ฟัง แขกในงานต่างปรบมือด้วยความชื่นชม“ดูสิ พระชายาของเราทำได้ดีและดูงดงามมาก”องค์ชายหลี่จวิ้น กล่าวกับขุนนางใกล้เคียง น้ำเสียงภาคภูมิและชื่นขม เมื่อบทเพลงจบลง ผู้คนเริ่มส่งเสียงปรบมืออย่างดังกึกก้อง สร้างบรรยากาศแห่งความอบอุ่นและความสุขในงานเลี้ยง“ขอบคุณที่ให้โอกาสข้าได้แสดง” เหวิ่นลี่หยากล่าวพร้อมรอยยิ้มให้กับนักดนตรี “ท่านเก่งมากจริงๆ” หญิงสาวตอบ “ข้าหวังว่าเราจะได้มีโอกาสร่วมงานกันอีกในอนาคต”เมื่อการแสดงจบลง เหวิ่นลี่หยารู้สึกดีใจและมีความสุขอย่างมากที่สามารถดึงความนิยมกลับมาให้ตัวเองได้ นอกจากเสียงปรบมือที่ดังก้อง ยังมีผู้ชมที่ชื่นชมและพูดคุยกันเกี่ยวกับการแสดงของนางอยู่ทั่วงาน“เมื่อสั
“เมื่อแสงจันทร์ส่องผ่านป่าช้า ความเงียบงันราวกับความหวังเลือนหาย กลางค่ำคืนที่หนาวเหน็บและยาวนาน จิตใจยังหวังถึงความรักที่ไม่ไกล”ผู้คนเริ่มปรบมือให้กับบทกวีที่สวยงาม ขณะที่ซือหยางรู้สึกกดดันขึ้น เขาตัดสินใจแสดงความสามารถของตนด้วยบทกวีของเขา“ในยามค่ำคืนเมื่อดาวระยิบระยับ เสียงลมพัดมาให้ใจเริ่มหวั่นไหว แสงแดดเจิดจ้าตอนเช้ากลับมา แต่ความรักของเจ้าหล่นหายไปไกล”ผู้คนเริ่มกระซิบพูดคุยกันเกี่ยวกับบทกวีของทั้งสอง เมื่อได้ยินคำกล่าวของซือหยาง ทุกคนก็เริ่มเป็นกังวลแทนพระชายาอีกครั้ง“ทำไมพระชายาไม่ร่ายอีกสักบท” ซือหยางถามเสียงหัวเราะ ทำให้ความกดดันเพิ่มขึ้นเหวิ่นจือหยูยิ้มและตอบว่า “เพราะข้ายังมีบทอีกบทหนึ่งที่อยากจะบอก”“ใครจะรู้ว่าวรรณกรรมยังมีอยู่ในใจ ข้าจะยืนยันว่าไม่มีใครสามารถปิดกั้น ความรู้ของข้าเต็มไปด้วยความหวัง แม้จะมีอุปสรรค ใจก็ไม่ยอมแพ้”การตอบโต้ในครั้งนี้ทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นไปอีก ซือหยางรู้สึกเริ่มอ่อนแรง เขาจึงตอบกลับไปด้วยบทกวีอีกบทหนึ่ง“ถึงแม้ใจจะเต็มไปด้วยความหวัง แต่จะมีกี่คนที่เข้าใจความหมาย ในที่มืดมน ความสว่างยังคงหลอกลวง ใจคนจึงมักหลงทา