“เอ็งจะย่านเฮ็ดหยัง มีเอื้อยอยู่ทั้งคน เอื้อยจะให้อีพ่อได้ฮู้ว่า เอื้อยเก่งพอที่จะเข่าร่วมทัพควยได้แล้ว” คำแพงพูด
“แม่นคำแพงเว้าถูกแล้ว พวกเราใหญ่แล้ว ควรได้ร่วมทัพควย” คำพูนพูดทั้งสองตั้งใจจะเข้าป่าเพื่อที่ไปล่าผีด้วยหน้าไม้ของตน เพื่อให้พ่อเห็นว่าทั้งสองพร้อมร่วมทัพควายในการเดินทางคราวหน้า
“เจ้าสองโตนบ่ย่านผีบ่ มื้อนี้ สัตว์เลี้ยงถูกฆ่ากิน เครื่องในดู๊ ๆ แถมมื้อก่อน ทิดลือก็เพิ่งเว้าว่า ปะผีปอบด่อนในป่าด้วย โอยแค่เว้าก็เป็นตาย่านแท้” บักตาลพูด
“บักตาล เจ้านี่ตัวโตซื่อ ๆ แต่ขี้โย่ยโตยดัง” คำพูนว่า
“เอ๊า ก็ข่อยบ่ได้อยากเข้าทัพควยนี่ แล้วพวกเจ้าสิลากข่อยสองคนมาเฮ็ดหยัง” ตาลพูด
“ซอย ๆ กันหน่อย ได้บ่ รีบไปดีกว่า มัวเว้าอยู่ฮั่นแล้ว” คำแพงพูดทั้งสี่เดินทางเข้าไปในป่าทันที
ดิสมัสแอบอยู่ในป่าเรียกว่าอยู่ไม่ค่อยเป็นที่จะถูกกว่า เขาพยายามอยู่ใกล้น้ำให้มากที่สุด และซ่อนตัวไม่ให้ใครเห็น ป่าที่นี่อุดมสมบูรณ์ทำให้เรื่องการหาอาหารเขาไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ ดิสมัสทำสลิงขึ้นมาสำหรับหาอาหารซึ่งจะเน้นไปที่นก ไก่ป่า ซึ่งการใช้สลิงนี่เขาเห็นมาจากเอลฟ์ฟอร์แคร์เลยลองหัดเอามาใช้ดูและมักถูกสองฝาแฝดพูดเสมอว่าอาวุธชั้นต่ำจะฝึกทำไมก็ไม่รู้ แต่กระนั้นมันช่วยให้เอาตัวรอดได้ หรือบางทีเขาก็แทงปลากินเอา แต่เมื่อวานโชคดีหน่อยที่มีกวางมาติดกับดักเขาเลยจัดการชำแหละ ทำให้ตัวเปื้อนเลือด และได้มีคนมาเห็นเขาเข้าพอดี ด้วยผิวซีด หูแหลม ๆ ตาสีม่วงแถมยังเปื้อนเลือดอีก ชาวบ้านจึงร้องขึ้นว่า
“ปอบด่อน !” และใส่ตีนหมาโกยอ้าวไปทันที
“เป็นเอลฟ์อยู่ดี ๆ โดนหาว่าเป็นผีเป็นสางไปซะได้นะ ดิสมัส แย่จัง ทำไมเจ้าไม่เข้าไปในหมู่บ้านล่ะ” เบต้าพูด
“เจ้าคิดว่าคนที่นั่นมองข้าเป็นตัวอะไรล่ะ เมื่อกี้เห็นมั้ยน่ะใส่ตีนหมาโกยอ้าวไปแล้ว ไอ้ที่เขาใช้เรียกข้าเนี่ย คงไม่ใช่คำชมหรอก ขืนไปเท่านั้นล่ะ เผลอ ๆ ได้ถูกฆ่าตายแน่ ๆ ข้าน่ะต้องรอดนะ เพื่อหาทางกลับไป” ดิสมัสพูด
“แต่เจ้าน่ะวัน ๆ เห็นเอาแต่หลบอย่างเดียวแบบนี้มันไม่ช่วยอะไรนะ” เบต้าเถียง ดิสมัสไม่ได้พูดอะไร จริง ๆ คือเขาไม่รู้เลยว่าจะไปไหนดีต่างหาก
นายฮ้อยคำแหงพาคนในทัพควายมาตาม ปอบด่อนตามคำบอกเล่าของชาวบ้านที่เห็น เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่ดูแข็งแรงทั้งที่อายุก็มากแล้ว เขามาพร้อมกับชายวัย สามสิบต้น ๆ รูปร่างท้วม สักเสือเผ่น เขาคือ บักมิ่ง อีกคนรูปร่างผอม ทาหน้าขาว สักรูป ลิงลม เขาคือ บักจ้อย อีกคนรูปร่างเตี้ย เขาคือ ไปร่ง หุ่นพยนต์ พวกเขากำลังตามร่องรอยของปอบด่อนที่ทิดลือพูดถึง ซึ่งบอกเลยว่าข้อมูลที่ได้มามันมั่วไปหมด
“นายฮ้อยเจ้าเชื่ออีหลี ดิว่า ทิดลือมันบ่ได้ตั๋ว” บักมิ่งถาม
“ถ้าเป็นบักฆ้องเว้า ข่วยก็บ่เชื่อดอก แต่นี่ทิดลือ บ่แม่นคนขี้ตั๋ว ข่อยเลยต้องแลนมาเบิ่งจักหน่อย” นายฮ้อยคำแหงพูด ทุกคนเจอซากกวางจริง ๆ แต่นายไปร่งพูดขึ้นมา
“ข่อยว่า เป็นตางืด[1]”
“งืดอีหยัง” บักจ้อยถาม
“สูคิดว่า ปอบมันต้องใช้มีดเชือด กวางติ” ไปร่งพูดขึ้นมา นายฮ้อยคำแหงรีบดู
“บักไปร่งมันเว้าถึก ปอบไสต้องใช้มีดเฉียดเนื้อกวางกิน” นายฮ้อยคำแหงพูด
“เป็นคนคัก ๆ แต่เหตุอีหยัง มันต้องมาหลบ ๆ ซ่อน ๆ หรือว่าเป็นพวกนักโทษหนีอาญาแผ่นดินมา” บักมิ่งพูด
“หมู่เฮารีบตามตัวมัน ก่อนที่มันจะไปทำร้ายผู้ใดเข้า”
“มีอีกเรื่องนะ นายฮ้อย” ไปร่งพูดขึ้นมา
“มีอีหยังอีก ไปร่ง”
“ก็ไอ้ซากที่ชาวบ้านปะเนี่ย มีฮอยครูด[2]อยู่นำ แต่นี่มีแต่รอยมีด ข่อยคิดว่า ในป่านี้ต้องตัวอีหยังที่เป็นอันตรายอีกตัวแท้ ๆ ” ไปร่งพูด นายไปร่งจัดเป็นมือดีของนายฮ้อยคำแพง เพราะแกเป็นพรานมาก่อนที่จะมาอยู่ทัพควาย เรื่องตามรอย และดูซากนั้นเชื่อแกได้แน่นอน
“เบ่งให้ทั่ว อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้”
คำแพง คำพูน บักโอ่ง บักตาล เข้าในในป่า ซึ่งนอกจากหน้าไม้ของสองพี่น้องแล้ว ก็มีหนังสติ๊กของบักโอ่ง และแหของบักตาล เท่านั้น ที่เป็นอาวุธ ยิ่งเดินทางก็ยิ่งเจอซากสัตว์มากขึ้นเรื่อย ๆ บักโอ่งเริ่มบ่น
“โอย ข่อยหิวข้าวเด้ ปิ๊กบ้านกันเถอะ”
“หิวอีหยัง เจ้ากินกล้วยไปหมดหวีแล้ว ยังหิวอีกบ่” คำพูนพูด
“ก็ยังบ่ได้กินข้าว มันจะอิ่มได้จั๋งได๋ แถมปะแต่ซากสัตว์แบบนี้ มันทำข่อยฮาก[3]คัก” โอ่งพูด เบต้าแอบบินตามพวกเด็ก ๆ ไป คำพูนเห็นแสงไฟที่แรกคิดว่าเป็นหิ่งห้อย แต่รู้สึกว่าแสงมันสว่างกว่าปกติ เขาเอาขวดออกมา และใช้ความไวจับเบต้าใส่ลงขวด
“คำพูนมันบ่ใช่เวลา มาจับหิ่งห้อยเด้” คำแพงพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ
“สูเบิ่งดูก่อน นี่บ่แม่นหิ่งห้อย”
คำแพงมาดูชัด ๆ เธอเห็นเบต้าเต็ม ๆ แล้วก็ตกใจ
“ตัวอีหยังเนี่ย ผีโขมดแม่นบ่ !”
[1] แปลก ประหลาด
[2] รอยเล็บ รอยข่วน
[3] อาเจียน
“อย่าแม้แต่จะคิด” “อีหยัง ห้ามหมู่เฮาเฮ็ดหยัง ” คำแพงถามอย่างไม่พอใจนัก “อยากไปเจออีกฝูงหรือไง” ดิสมัสตอบ และทำให้เสือดำหายไป ยังไม่ทันไรชาวบ้านกลุ่มใหญ่นำโดย หมอฆ้องก็มาถึง เขาป็นชายร่างผอมสักทั้งตัว มีหนวดเคราเหมือนกับทองแดง “หมู่เฮา บักปอบด่อนที่ทิดลือปะเข้า จับโตนมันเลย” หมอฆ้องสั่ง ชาวบ้านมองดิสมิสอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “บ่แม่น เขาเพิ่งจะซอยชีวิตหมู่เฮาเอาไว้เด้” คำแพงพูด ทุกคนถึงกับชะงักไป “แม่น เจ้าดูซากศพก่อนสิ บักอั้นนี่ต่างหากที่เป็นผีร้าย” พวกชาวบ้านดูซากของพวกก็อปลิน แล้วก็ตกใจ เจ้าหมอฆ้องมองไปที่ร่างพวกนั้นและมองที่ดิสมัสแล้วพูดว่า “เบ่ง หูมัน ยื่น ๆ คือกัน ชัดแล้ว ไอ้นี่ต้องนายของบักผีห่านี่แน่” ไม่น่าเชื่อว่าชาวบ้านจะเชื่อคนง่ายขนาดนี้ คราวนี้พวกเขาเข้ามาหมายจะจับตัว ดิสมัสไม่อยากลงมือฆ่าใครเลย ใช้สันดาบฟันชาวบ้านล้มลงไปตัวงอหลายคน ฆ้องเอาเชือกออกมาเสกคาถาใส่และขว้างออกไป เชือกกลายเป็นงูมามัดร่างของดิสมัสเขายิ่งดิ้น เชือกก็ยิ่งมัดแน่น “ข่อยสิเอาเจ้า มาเป็นทาสของข่อย” “ใครจ
“บังอาจมาจับสาวน้อยน่ารักอย่างข้าได้ไงย่ะ ปล่อยนะ” เบต้าพูดแต่ขวดปิดอยู่ ทำให้ไม่ได้ยินเสียงที่นางพูด “ข่อยว่าบ่แม่นผีโขมดดอก อาจเป็นผีที่ใครเขาเลี้ยงก็ได้นะ” คำพูนพูด “ผีเลี้ยง ผู้ใดเนี่ยหรือจะเป็นของพ่อใหญ่ฆ้องกัน” โอ่งพูดขึ้นมา “บ่แม่นดอก พ่อเคยเว้าให้ฟังว่า ผีของพ่อใหญ่ฆ้อง จะมีหน้าเป็นตาย่านจนแทบจะบ่กล้าเบิ่ง แต่ดูเจ้าตัวนี้ ข่อยว่าหน้าตาน่าฮักหลาย ” คำพูนพูดขึ้นมา ทุกคนมองดู ก็เห็นจริงอย่างที่คำพูนพูด “ข่อยว่าน่าสิเป็นนางไม้กะได้” ตาลพูด ขณะที่กำลังสนใจกันอยู่ ก็เสียงแหลม ๆ ดังขึ้นมา พวกเด็ก ๆรีบมองดูรอบตัว เบต้าได้เห็นเจ้าของเสียงก็รีบร้องว่า “หนีไปเร็วเข้า” แต่ขวดเก็บเสียงของนางไปหมด นางจึงพยายามเปล่งแสง คำแพงเห็นจึงพูดขึ้นมาว่า “เหมือนมัน ย่านอีหยังอยู่เด้” สิ่งมีชีวิต ร่างสูงพอ ๆ กับเด็ก หูแหลม จมูกใหญ่ยื่น ตาเป็นสีเหลืองเหมือนกับตาของสัตว์เลื้อยคลาน ผิวสีแดงสดเหมือนเนื้อสด มีฟันแหลม และดูไม่ค่อยเป็นระเบียบเต็มปาก พวกมันคือ ก็อปลินที่ข้ามมาอยู่ที่นี่ตอนที่ประตูมิติเปิด จริง ๆ ถ้าเพียงตัวเดียว
“เอ็งจะย่านเฮ็ดหยัง มีเอื้อยอยู่ทั้งคน เอื้อยจะให้อีพ่อได้ฮู้ว่า เอื้อยเก่งพอที่จะเข่าร่วมทัพควยได้แล้ว” คำแพงพูด“แม่นคำแพงเว้าถูกแล้ว พวกเราใหญ่แล้ว ควรได้ร่วมทัพควย” คำพูนพูดทั้งสองตั้งใจจะเข้าป่าเพื่อที่ไปล่าผีด้วยหน้าไม้ของตน เพื่อให้พ่อเห็นว่าทั้งสองพร้อมร่วมทัพควายในการเดินทางคราวหน้า“เจ้าสองโตนบ่ย่านผีบ่ มื้อนี้ สัตว์เลี้ยงถูกฆ่ากิน เครื่องในดู๊ ๆ แถมมื้อก่อน ทิดลือก็เพิ่งเว้าว่า ปะผีปอบด่อนในป่าด้วย โอยแค่เว้าก็เป็นตาย่านแท้” บักตาลพูด“บักตาล เจ้านี่ตัวโตซื่อ ๆ แต่ขี้โย่ยโตยดัง” คำพูนว่า“เอ๊า ก็ข่อยบ่ได้อยากเข้าทัพควยนี่ แล้วพวกเจ้าสิลากข่อยสองคนมาเฮ็ดหยัง” ตาลพูด“ซอย ๆ กันหน่อย ได้บ่ รีบไปดีกว่า มัวเว้าอยู่ฮั่นแล้ว” คำแพงพูดทั้งสี่เดินทางเข้าไปในป่าทันที ดิสมัสแอบอยู่ในป่าเรียกว่าอยู่ไม่ค่อยเป็นที่จะถูกกว่า เขาพยายามอยู่ใกล้น้ำให้มากที่สุด และซ่อนตัวไม่ให้ใครเห็น ป่าที่นี่อุดมสมบูรณ์ทำให้เรื่องการหาอาหารเขาไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ ดิสมัสทำสลิงขึ้นมาสำหรับหาอาหารซึ่งจะเน้นไปที่นก ไก่ป่า ซึ่งการใช้สลิงนี่เขาเห็นมาจากเอลฟ์ฟอร์แคร์เลยลองหัดเอามาใช้ดูและมักถูกสองฝาแฝดพูดเสมอว่า
“ทำไมข้าฟังที่ท่านพูดรู้เรื่อง เป็นไปได้ไง” “ข้าเปิดลิ้นกับเปิดหูให้เจ้านั่นล่ะ แปลกนะปกติพวกที่มากับประตูนี่ จะฟังภาษาข้าออกทันที”ดิสมัสได้ยินคำว่าประตูก็รีบพูดว่า “เปิดประตูนั้นอีกครั้ง ข้าจะกลับไปช่วยพวกเขา” “ข้าทำไม่ได้หรอก ข้าทำลายมันไปแล้ว เจ้าคงต้องไปหาประตูอื่นแทน”ดิสมัสกำลังสู้กับเขาอีกครั้ง แต่เบต้ารีบห้าม “เจ้าสู้เขาไม่ได้หรอก ดิสมัส เขาจะฆ่าเจ้าได้ง่าย ๆ เลยนะแต่กลับไม่ทำ” “ข้าถือศีลน่ะ แต่ถ้ายังคิดจะต่อสู้ ข้าคงจะต้องสาปเจ้าแล้วล่ะ” ชายห่มหนังเสือพูด “ท่านเป็นใครกันแน่” ดิสมัสถาม “ข้าเป็นฤาษี นามว่า ศุภมิตร แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร” “ข้าชื่อ ดิสมัสเป็นเอลฟ์รานุน” “เอลฟ์เหรอ ไม่เคยได้ยินชื่อเผ่านี้เลยนี่ เอาล่ะยังไงเจ้าพักผ่อนก่อนดีกว่า เจ็บหนักขนาดนั้นคงอยากได้อาหารและน้ำสินะ” ศุภมิตรเขาเสกกระท่อมขึ้นมา ดิสมัสมองอย่างไม่ไว้วางใจ แต่ศุภมิตรบอกว่า “อย่าได้กังวล ข้าบอกแล้วไงข้าไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรอก”ดิสมัสเลยเดินเข้าไป ศุกมิตรส่งกล้วยให้เครือหนึ่งพร้อมกับกระบ
“เบต้า” ดิสมัสเรียกเบต้าออกมา นางบินไปเกาะตัวของโลกิและรักษาให้“ต้องใช้เวลาหน่อย ที่เขาโดนเนี่ยหนักมากเลย” ยังไม่ทันไรก็เกิดฟ้าผ่าขึ้นมา ธอร์ และลูก ๆ ทั้งสี่ หาพวกเขาเจอแล้ว แต่ที่ทำให้ดิสมัสตะลึงคือดิดีเย่ร์ กับ ดาเมี่ยงตามมาด้วย ! ดิสมัสจับดาบตั้งท่าเตรียพร้อม เฮลเองก็เช่นกัน ที่มือของนางมีควันสีดำออกมา “นึกแล้วเชียวว่านางนี่ต้องหลอกพวกเรามาตลอด ว่าเป็นพวกขี้โรคใกล้ตาย ที่แท้ก็กดพลังตัวเองเอาไว้สินะ” ดิดิเย่ร์พูด เขาสร้างโกเล็ม จากดิน และทหารโครงกระดูกรอไว้แล้ว ดาเมี่ยงหันไปหาธอร์ “ให้พวกเราจัดการเองขอรับ” “ก็เอาสิ” ธอร์พูด เขาหันไปสั่งให้เพาเดอร์ตัดต้นไม้ ต้นหนึ่ง เพื่อมาทำเป็นที่นั่ง ชมการต่อสู้ “ท่านพี่ทั้งสอง ทำไมท่านเข้าร่วมกับพวกมัน มันฆ่าท่านพ่อและยังยึดบ้านเมืองเรา” ดิสมัสพูดเพื่อหวังเรียกสติพี่ชายทั้งสอง “หุบปากไปเลย ไอ้ตัวประหลาด แกนั่นล่ะทำให้ท่านพ่อกลายเป็นไอ้โง่ เสียสติไปแล้วด้วย เป็นแบบนั้นก็สู้ตายอย่างมีเกียรติยังจะดีซะกว่า แล้วแกน่ะ ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าพี่เลย แกมันความอัปยศที่ข้าจะต้องลบออกไปจ
“ท่านพ่อ” ดิสมัสมาถึงพอดี และกำลังจะเข้าไปต่อสู้ แต่ถูกบาลเดอร์ปล่อยพลังแสงใส่ ดิสมัสถึงกับเจ็บปวดจนลุกไม่ขึ้น เท่ากับว่าคนในราชวงศ์ถูกกำจัดในพริบตา “โอดินเสด็จ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา โอดินเดินมาพร้อมกับสามจิ้งจอก เขาเดินมาหาเทียรี่เอาเท้าเหยียบเข้าที่หัวขององค์ราชาและกดเท้าลงไปเป็นเครื่องหมายว่าตอนนี้เหล่าเอลฟ์รานุนได้แพ้แก่เขาแล้ว ลูก ๆ ทั้งสามของเทียรี่กัดฟันด้วยความโกรธแค้น และยังไม่ไรไทร์ก็เดินมาพร้อมกับ ลิซ่าและเฮล เมื่อทั้งสองเห็นหน้าของโอดินก็หน้าเสียทันที “ท่านแม่ อย่าทำอะไรแม่ข้านะ” ดิสมัสพูด โอดินหันมามองลิซ่า และหันไปมองเทียรี่กับดิสมัส “นี่ข้าได้ยินไม่ผิดใช่มั้ย เจ้าเรียกไอ้นี่ว่าแม่เหรอ” โอดินพูด เทียรี่หันมาพูดว่า “นางเป็นเมียข้า ก็ต้องเป็นแม่ของลูกข้าสิ” โอดินหัวเราะเสียงดังเหมือนกับมีเรื่องตลกตรงหน้า แต่ลิซ่าหน้าซีดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เทียรี่ไม่เคยเห็นภรรยาหวาดกลัวขนาดนี้มาก่อน “นี่เจ้ารู้จักมันเหรอ หรือว่ามันเป็นสามีเก่าเจ้ากัน” โอดินหยุดหัวเราะแล้วแตะเข้าที่หน้าของเทียรี่อย่างแรง
ดิสมันเดินทางไปทันที “เจ้าเนี่ยทำไม ไม่บอกราชาเทียรี่ล่ะ เราโดนแกล้งชัด ๆ ” เบต้าบ่น “เจ้าคิดว่ามีเรื่องกับพี่ ๆ เขาแล้ว มันจะจบแบบไหนกัน ข้าน่ะทำได้แค่อดทนเท่านั้นล่ะ” ดิสมัสพูดตลอดทางดิสมัสรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะว่า เขาไม่เห็นร่องรอยของพวกโจรเลยแม้คนเดียว แต่ก็ยิ่งต้องตกใจเมื่อมาถึงเมือง พบว่าเมืองโดนถล่มไปแล้ว ดิสมัสรีบสั่งให้ตรวจสอบทันที พบว่าไม่มีใครรอดชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว !“รีบกลับไปที่เมืองหลวงเร็ว” ดิสมัสสั่งก่อนไปเขาร่ายมนตร์สร้างกองทัพโครงกระดูกจากทุกศพที่เห็นที่เมืองหลวงยออาน เหล่านักรบโจมตีโดยที่ไม่มีใครคาดถึง แต่กระนั้นเหล่าเอลฟ์นรานุนก็ต่อสู้อย่างกล้าหาญ โดยดาเมี่ยงกับดิดิเย่ร์เป็นคนนำทัพมาเอง ขณะที่กำลังต่อสู้อยู่นั้นก็ร่างของทหารกระเด็นมา“ทำไมท่านพ่อต้องให้นำทัพมารบกับพวกนี้ด้วยนะ งานแบบนี้มันของไอ้อ้วนธอร์ไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่ม ผมสั้นสีทอง ตาสีฟ้า ใบหน้างดงาม จนแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นบุรุษเพศ รูปร่างของเขาดูไม่เหมือนนักรบเลยนักนิดแต่เหมือนกับพวกกวี หรือ หนุ่มเจ้าชู้ซะมากกว่า ไม่รู้ทำไม สองแฝดรู้สึกถึงพลังที่แผ่ออกมา ทำให้พวกเขาขนลุก“ฝาแฝดเหรอ ข้าจะเกลียดฝาแฝดท
เสียงสี่เสียงดังขึ้นมา เป็นผู้ชายสองคน และผู้หญิงหนึ่งคน และเอลฟ์อีกหนึ่งตน ชายคนแรกรูปร่างสูงใหญ่ผมยาวสีทอง ในมือถือขวาน เขาคือ โมดิ บุตรแห่งธอร์ อีกคนรูปร่างเตี้ยล่ำเป็นมะขามข้อเดียว ใช้ตะบองเป็นอาวุธ เขาคือ แม็กนี บุตรแห่งธอร์ สวนผู้หญิงในกลุ่มนั้น มีใบหน้างดงาม ผมสีแดง ถักเปีย มีรูปร่างกำยำล่ำสัน ใช้ดาบกับโล่เป็นอาวุธ นางคือ ทรุด บุตรีแห่งธอร์ส่วนเอลฟ์นั้นรูปร่างสูงโย่ง ผมสีแดง ผิวเข้ม ในมือถือดาบ เขาชื่อว่า เพาเดอร์ บุตรแห่งธอร์“หวังว่าข้าจะไม่เผลอฆ่าญาติของเจ้าไปนะ” แม็กนีพูด เพาเตอร์หันไปพูดว่า“ข้าไม่ใช่เอลฟ์แถวนี้”ทั้งสี่เข้าต่อสู้ทันที มารีสนำทหารเข้าต่อสู้ เขาเป่าขลุ่ยและมีแท่งน้ำแข็งพุ่งใส่พวกทหารผู้รุกราน ทำให้พวกมันต้องเริ่มถอยห่าง ส่วนอลิซซ่า เธอใช้คถาปล่อยพลังสายฟ้าใส่พวกทหารล้มตายไปจำนวนมาก แต่แล้วบุตรของธอร์ทั้งสี่ก็บุกเข้ามา และจัดการเหล่าเอลฟ์ได้ ทั้งหมด เมื่อ อลิซซ่าเห็นเพาเดอร์ก็พูดว่า“นี่เจ้าเป็นเอลฟ์เผ่าไหนกัน ทำไมถึงช่วยเผ่าอื่นโจมตีพวกเรา” “ข้าไม่ใช่เอลฟ์ที่นี่ ข้าขอจัดการพวกมันเอง พวกเจ้าอยู่เฉย ๆ นะ” เพาเดอร์พูด และควงดาบออกไป แล
“ข้าคิดว่า พวกเราสองดินแดนน่าจะร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน แลกเปลี่ยนทำการค้าด้วยกัน และยังสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ด้วยกันได้อีกด้วย” อสิซซ่าพูด“ตูไม่เห็นอยากจะได้ความรู้อะไรจากสูเลย” แคนนอร์สวน อลิซช่า ตั้งสติระงับอารมณ์โกรธและรีบพูดต่อไปว่า“พวกท่านกับข้ามีศัตรูคนเดียวก็สมควรแล้วล่ะที่จะต้องร่วมกันสู้กับพวกมัน”“นี่สูหาพวกตูจะสู้ ไอ้ตัวซีดนั่นไม่ได้หรือไงกัน !” แคนนอร์เริ่มหัวเสียแล้ว อลิซซ่ารีบพูดว่า“มิได้เป็นเช่นนั้น พวกเราต่างหากที่ต้องพึ่งความแข็งแกร่งของท่าน” อลิซซ่าพูด แคนนอร์ถามทันที“หมายความว่าอะไร”“พวกเราไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนท่าน จึงต้องให้ท่านช่วยเหลือ เราถึงจะต่อสู้กับพวกรานุนได้” อลิซซ่าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แคนนอร์เริ่มมีทางทีที่อ่อนลง อลิซซ่าส่งสัญญาณ มารีสเป่าขลุ่ยนักดนตรีคนอื่นเริ่มเล่นเครื่องดนตรีของตนด้วยทำนองเพลงที่เป็นจังหวะเพลงช้า อลิซซ่าเป็นคนร้อง เสียงของนางไพเราะจับใจมาก จนทำให้แคนนอร์เริ่มที่จะเคลิ้ม แต่เพลงก็เริ่มที่มีจังหวะสนุกสนานขึ้น อลิซซ่าเริ่มร้ายรำด้วยลีลาสวยงามและอ่อนช้อย หลังเพลงจบ แคนนอร์ตบมือให้ด้วยความชื่นชม“เยี่ยมมาก ตูตกลงที่จะเป็นพันธมิตรกั