เข้าสู่ระบบบทที่ 1 ฝันร้ายที่เวียนกลับ
เสียงลมโหมกระหน่ำผ่านหน้าต่างไม้ที่ผุพังร่างบอบบางในชุดนอนสีจันทร์หม่นสะดุ้งเฮือก ก่อนจะลืมตาขึ้นในยามฟ้าสาง
หัวใจของหลี่อินเต้นระรัวราวจะกระโจนออกจากอก ลมหายใจติดขัด เงาของความเจ็บปวดยังคงทาบทับไม่จางหาย
“อีกแล้ว…”
นางพึมพำเสียงแผ่ว เบือนหน้าไปมองเพดานไม้เก่าที่สั่นไหวตามแรงลมฤดูใบไม้ผลิราวกับมันจะพังครืนลงมาได้ทุกเมื่อ คลังสมบัติของตระกูลหลี่ไม่หลงเหลืออะไรอีกแล้ว แม้แต่เงินที่จะซ่อมแซมหลังคา ยังต้องคิดแล้วคิดอีก ตระกูลที่เคยรุ่งเรืองในอดีต…บัดนี้ใกล้จะล่มสลายเต็มที บ่าวไพร่ในจวนแทบไม่มีใครเหลือ เสียงฝีเท้าก็เงียบงัน อีกไม่นาน คงไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อ
ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำแววตาเต็มไปด้วยเศษเสี้ยวของอดีตที่ไม่เคยปล่อยให้นางหลุดพ้น
“การแต่งงาน…”
นางคิดกับตนเองอย่างขื่นขมมันไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ความหวัง และยังเป็น เดิมพันสุดท้าย เพื่อแลกกับลมหายใจของคนทั้งตระกูล และนาง…คือผู้ถูกวางไว้บนกระดานนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โชคชะตาบีบบังคับนางให้เดินตามหมากบนกระดานที่วางเอาไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในความฝัน…นางเห็นเขาอีกครั้งหลงอี้จงชายผู้เคยกุมมือนางไว้แน่นสาบานด้วยรอยยิ้มว่า จะปกป้องนางจากทั่วหล้า
แต่สุดท้าย…เขากลับเป็นคนเหยียบย่ำหัวใจของนางด้วยมือคู่นั้นเองนางเห็นเขาโอบเอวสตรีอีกนางรินสุราให้ด้วยความแช่มชื่นเอ่ยวาจาหวานที่เคยมีไว้ให้ตน เสียงหัวเราะของนางผู้มีใบหน้างดงามดั่งจันทร์กระจ่างแว่วก้องอยู่ในห้วงความฝันดังไม่รู้จบ และทุกครั้ง…นางก็เป็นเพียงผู้เฝ้ามองอยู่ในเงามืด
หลี่อินถอนหายใจเฮือกใหญ่ดึงผ้าห่มขึ้นมากอดแน่นราวกับมันจะช่วยปกป้องหัวใจที่แตกร้าวมานับครั้งไม่ถ้วน
แม้ตื่นขึ้นมาแล้ว…แต่ภาพฝันก็ยังแจ่มชัดจนยากจะแยกออกว่าอะไรคืออดีต อะไรคือปัจจุบัน
ที่น่าขันที่สุดคือ แม้แต่ในความฝัน นางก็ยังไม่อาจเอาชนะสตรีนางนั้นได้เลย หลี่อินยกมือแตะหน้าอกเหนือหัวใจที่เต้นแผ่วเบา
“พอแล้ว…” นางเอ่ยช้า ๆ “ข้าจะไม่ยอมให้น้ำตาไหล…เพราะบุรุษผู้นั้นอีก”
ไม่ว่าโชคชะตาจะพานางให้ข้องเกี่ยวกับเขาอีกกี่ครั้ง นางจะไม่มีวันยอมแพ้อีก
นับตั้งแต่วันปักปิ่น…หลี่อินฝันถึงอดีตชาติของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ครั้งแรก นางคิดว่าเป็นเพียงฝันร้าย แต่ยิ่งผ่านวัน…ความฝันเหล่านั้นกลับยิ่งชัดเจนราวกับนางอยู่ตรงนั้นจริง ๆ เจ็บปวดเช่นนั้นจริง ๆ
ชาติแรก ชาติที่สอง… ล้วนเป็นความทรงจำที่หล่อหลอมให้ใจนางเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังหลงเหลือความร้อนรนที่ฝังลึกและปฏิเสธไม่ได้
ครานี้…หากจะต้องข้องเกี่ยวกันอีกครั้ง ข้าจะไม่ใช่เบี้ยในกระดานของใครอีก แต่จะเป็นผู้เล่น…ที่กำหนดชะตาเอง
ภายในห้องโถงใหญ่ของเรือนหลัก ตำแหน่งสูงสุดในตระกูลยังคงเป็นของบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่หลังโต๊ะไม้หอม ข้างกายมีสุรารินอยู่ครึ่งจอก ทว่าสายตาคมกล้ายิ่งกว่าความกรุ่นของเหล้าในอากาศยามเช้า
“เจ้าจะไม่แต่งไม่ได้” เสียงของ หลี่หยาง หนักแน่น ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดโต้แย้ง “ไม่มีทางซ้ายหรือขวาให้เลือกมีแต่เส้นทางเดียวที่ข้ากำหนดไว้ให้”
หลี่หยางกล่าวเสียงเรียบ แววตาแน่วแน่ดุจคมกระบี่
หลี่อินยืนเงียบอยู่ตรงหน้าผู้ให้กำเนิด ตั้งแต่มารดาเสียไป บิดาของนางก็ติดสุราไม่ทำงานทำการ กว่าจะรู้ว่าเงินในจวนไม่เหลือแล้วก็ตอนที่นางขอเบิกซ่อมแซมจวน หลี่อินสีหน้านิ่งสงบดุจสระน้ำที่ไร้คลื่น หากแววตาภายใต้แพขนตานั้นกลับสั่นไหว
“ขอรับฟังเหตุผลของท่านพ่อเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเบา แต่ชัดถ้อยชัดคำ
หลี่หยางวางจอกสุราลง กระแทกเสียง “เจ้าจะเรียกร้องเหตุผลอะไรอีก ตระกูลเรากำลังตกต่ำ การที่เจ้าแต่งออกไปคือหนทางเดียวที่จะใช้หนี้ที่ข้าหยิบยืมมาเพื่อเลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่ และแม่ทัพหลงอี้จง…คือสะพานที่จะพาพวกเราข้ามผ่านความล่มจมนี้”
“แล้วหัวใจของข้าล่ะเจ้าคะท่านพ่อ ข้าต้องแต่งเพื่อล้างหนี้งั้นหรือ” หลี่อินถามเสียงเรียบ “หัวใจของบุตรสาวท่าน ไม่มีที่ในข้อตกลงนี้เลยหรือ”
“เจ้าจะใช้หัวใจนั้นไปไย หากครอบครัวต้องล่มสลาย” เขาสวนกลับ “เจ้าคือบุตรสาวของข้า ไม่ใช่คุณหนูในนิยายรัก บ่าวไพร่ยังรู้หน้าที่ แล้วเจ้าล่ะ”
“ไม่มีทางอื่น” นางถามอีกครั้ง
“เจ้าหนี้มายืนเฝ้าประตูจวนอยู่ทุกยัน หากเจ้าหาเงินร้อยตำลึงทองได้ภายก่อนวันแต่งงานก็คงมี”
หลี่อินหลับตา ฝ่ามือในแขนเสื้อกำแน่นจนข้อนิ้วซีด งานแต่งจะมีขึ้นในสามวัน นางไม่เคยรู้เลยว่าหนี้สินนอกจวนหนักหนาเพียงนี้นึกว่ามีปัญหาแค่ภายในจวน หลี่อินหลับตา สูดลมหายใจลึก แล้วสามวันนางจะไปหาเงินจำนวนที่สามารถเลี้ยงกองทัพได้ทั้งปีมาจากไหนกัน
“หากข้าต้องเดินทางเดียวโดยไร้ทางเลือก…เช่นนั้นข้าจะไม่เป็นผู้ถูกพาไป” นางลืมตาขึ้น“แต่จะเป็นผู้ก้าวด้วยตนเอง”
“เจ้า…จะไม่ขัดคำสั่งข้าแล้วแต่งแต่โดยดีงั้นหรือ”
เสียงหลี่หยางแผ่วลง แฝงแววไม่แน่ใจ รู้ดีว่าการบังคับให้บุตรสาวแต่งงานกับหลงอี้จงชายหนุ่มที่บิดาทั้งเมืองหลวงต่างอยากได้เป็นบุตรเขย ชีวิตในอนาคตบุตรสาวของเขาแม้จะหรูหรามีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ แต่ข่าวว่าอีกฝ่ายมีคนรักอยู่ที่ชายแดนเขาก็รู้เช่นเดียวกับทุกคน แต่สัญญาหมั้นหมายมีมาตั้งแต่มารดานางยังมีชีวิตอยู่ คนที่ผิดในเรื่องนี้คือหลงอี้จง ไม่ใช่ฝ่ายเขา
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ขัด ข้าจะแต่งงานกับแม่ทัพอนาคตไกลที่ท่านเลือกให้ข้า” นางตอบตรง “แต่ก็อย่าหวังว่าข้าจะอ่อนโยน ยอมยิ้มให้อีกฝ่ายราวเจ้าสาวผู้เปี่ยมความหวัง”
นางโค้งกายคำนับช้า ๆ
“ข้าจะแต่ง…เพื่อกู้เกียรติยศของตระกูล แต่มิต้องห่วง ท่านแม่ทัพผู้นั้นจะไม่มีวันได้หัวใจของข้าไป” ดั่งเช่นทุกชาติภพที่ผ่านมาอีกแล้ว
“พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมไปพบหลงอี้จงที่จวน เขาอุตส่าห์รีบกลับมาจากชายแดนเพื่อให้ทันงานแต่ง”
หลี่อินเพียงพยักหน้ารับช้า ๆ
หมากบนกระดาน…ได้เริ่มขยับแล้ว หมากสีดำกำลังบีบล้อมหมากขาวให้จนมุม จุดที่หมากขาวจะต้องวางลง ไม่มีทางหลีกเลี่ยง ไม่ว่าอย่างไร…ก็ต้องถูกกิน แต่การยอมเสียหมากหนึ่งตัว ก็หาใช่ความพ่ายแพ้ไม่ หากการเสียสละนั้น จะเปิดทางให้กินหมากทั้งกระดานได้ในท้ายที่สุด
นางหมุนกายหันหลังผ้าคลุมบางสะบัดตามแรงลมฤดูใบไม้ผลิ ก้าวเดินของนาง…สง่างาม ดั่งผู้เล่นที่แท้จริงปล่อยให้หลี่หยางนิ่งงันกับความแน่วแน่ของบุตรสาวที่เขาเคยคิดว่าอ่อนโยนและว่าง่าย ตั้งแต่พ้นวันปักปิ่น…หลี่อิน…ไม่ใช่สตรีคนเดิมอีกต่อไป
ตอนพิเศษ 3 ผลลัพธ์แห่งการรอคอยยามสนธยา ลมเย็นพัดผ่านสวนด้านหลังเรือนใหญ่ หลงอวี้จงยืนพิงเสาไม้ หันมองหญิงสาวในชุดคลุมเรียบง่ายที่กำลังจัดช่อดอกไม้ลงแจกัน นัยน์ตาของเขาสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟ และความรู้สึกบางอย่างที่เก็บซ่อนไว้ลึกเกินกว่าจะเอ่ยหลี่อินเดินเข้ามาเงียบ ๆ ก่อนหยุดยืนข้างเขา“คิดอะไรอยู่” นางถามเบา ๆเขาไม่ตอบในทันที แค่ทอดสายตาไปยังลานฝึกที่บุตรสาวกำลังลองดาบใหม่กับอาจารย์ และบุตรชายก็กำลังนั่งเขียนฎีกาเงียบ ๆ ไม่ไกลจากกันผ่านไปครู่ใหญ่…เขาจึงเอ่ย“ชาติที่หนึ่ง…” เขาเริ่ม“พวกเราแต่งงานกัน มีความสุขไม่นาน ก่อนที่ข้าจะถูกสั่งให้แต่งงานกับอดีตองค์หญิง”“ชาติที่สอง…” หลี่อินต่อคำเสียงแผ่ว “ข้าแต่งเป็นฮูหยินของท่านเพื่อที่จะได้อยู่นอกวังอย่างสงบ…แต่กลับต้องพัวพันการแย่งชิงอยู่ดี”หลงอวี้จงพยักหน้าช้า ๆ แววตาแดงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังยืนนิ่ง ราวกับใจหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม“ข้าคิด…ว่าเราถูกสวรรค์ลงโทษในสิ่งที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยทำผิดอะไรไว้”“แต่ชาติที่สามนี้…” หลี่อินพูดพลางมองลูกทั้งสอง “ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเจ็บปวดเพียงใด พวกเขา…คือคำตอบที่ดีที่สุดจากฟ้าดิน”อวี้เหมยที่ลุกขึ้นปร
ตอนพิเศษ 2 บ้านที่มีรักเช้าวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ลมอ่อนพัดพาไอแดดอบอุ่นเข้ามาในลานเรือน หลังอาหารเช้า หลี่อินกำลังนั่งจัดสมุนไพรอยู่หน้าต่าง ส่วนหลงอวี้จงนั้นนั่งอ่านรายงานกองทัพด้วยสีหน้าจริงจังตามปกติอวี้เหอ เด็กชายวัยสิบปีกำลังง่วนกับการผูกผ้าโพกหัวที่ดูยังไงก็เบี้ยว“ท่านพ่อขอรับ มัดยังไงก็ไม่ตรง!”เขาบ่นอย่างหัวเสีย ขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหมือนรังนกหลงอวี้จงละสายตาจากเอกสาร มองลูกชายแล้วถอนหายใจ“มานี่ ข้าจะทำให้ดูอีกครั้ง…แต่พรุ่งนี้เจ้าต้องมัดเองให้ได้นะ จะไปสนามฝึกแบบหัวยุ่งไม่ได้ เดี๋ยวครูฝึกจะหัวเราะเอา”“แต่เขาก็หัวเราะอยู่ดีนี่นา…” อวี้เหอพึมพำเบา ๆ พลางเดินเข้าไปใกล้ขณะเดียวกัน อวี้เหมยบุตรสาวคนโตก็เดินผ่านเข้ามาในลาน สะพายตะกร้าผักไว้ด้านหลัง“ท่านแม่ ท่านพ่อ อวี้เหอแอบเอาขนมไปซ่อนไว้ใต้หมอนอีกแล้วเจ้าค่ะ” นางรายงานพลางยิ้มขัน ๆ“ข้าแค่…แค่ไม่อยากให้บ่าวเอาไปเก็บ!” เด็กชายรีบเถียงเสียงสูงหลี่อินไม่ได้ว่าอะไร แค่ยิ้มแล้วส่ายหน้าเบา ๆ“พอเถอะ เหลือไว้ให้มดเผื่อกินบ้างเถิดลูก…”หลงอวี้จงหัวเราะในลำคอ“แม่ของเจ้ากำลังจะเริ่มเทศน์เรื่อง ‘ของกินที่วางไว้ไม่ถูกที่คือความสูญเปล
ตอนพิเศษ 1 ของขวัญจากสวรรค์ในวัยห้าสิบหลี่อินมองเงาตนเองในกระจกทองเหลือง ดวงหน้าของหญิงวัยห้าสิบที่มีร่องรอยของการต่อสู้กับชีวิตและความเศร้ามากมาย แต่แววตานั้น…กลับเปล่งประกายอ่อนโยนอย่างที่ตนไม่เคยเห็นในตัวเองมาก่อนเสียงร้องจุ๊กจิ๊กจากเปลไม้ด้านหลังทำให้นางหันกลับไปพร้อมรอยยิ้มหลงอวี้จงเดินเข้ามาพร้อมขันน้ำอุ่นในมือ เขาก้มหน้ามองทารกน้อยที่นอนหลับสนิทในผ้าอ้อม แล้วนั่งลงข้างภรรยา“นางเหมือนเจ้านัก โดยเฉพาะเวลาขมวดคิ้ว” เขาพูดเบา ๆ กลัวจะรบกวนเจ้าตัวเล็กหลี่อินหัวเราะแผ่ว“ท่านไม่ใช่หรือที่บอกว่าลูกชายหน้าเหมือนข้าจนบ่าวแยกไม่ออกว่าลูกใคร แต่คนที่ตะโกนลั่นบ้านตอนรู้ว่าตัวเองจะมีลูกตอนอายุห้าสิบ…ก็ท่าน” หลี่อินหันไปยิ้มเย้าหลงอวี้จงหน้าแดง ไม่กล้าสบตาภรรยา “ข้าแค่ตกใจ…ก็ใครบ้างจะคิดว่าจะมีลูกในวัยนี้ ข้ายังไม่หายตกใจเลย เจ้าคิดดูสิ ข้าเคยสู้ศึก เคยฆ่าคน เคยวางแผนโค่นล้มตระกูลกบฏ เคยเกือบตายเพราะยาพิษ… แต่กลับมาหวั่นไหวเพราะเสียงเด็กร้องกลางดึก”“นั่นเพราะพวกเขาคือสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่อ่อนแอที่สุด แต่กลับจับหัวใจข้าไว้แน่นที่สุด”หลงอวี้จงยกมือลูบผมลูกชายที่นอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของเ
บทที่ 56 ไม่จำเป็นต้องอธิบายอีกแล้วยามเย็นวันหนึ่ง ขณะที่แสงอาทิตย์โรยลงบนปลายไม้หลี่อินเดินกลับจากตลาด มือหนึ่งหิ้วตะกร้า อีกมือแนบจดหมายในแขนเสื้อกระดาษเพียงแผ่นเดียวไม่ใช่หนังสือหย่าไม่ใช่คำอธิบายแต่เป็นจดหมายจากคนที่เคยเป็นแผลในอดีตซูเจินเนื้อความไม่ยาว มีเพียงไม่กี่บรรทัดว่า นางแต่งงานแล้วกับขุนนางที่เคยเป็นคนที่หลงอวี้จงฝากฝังนางเอาไว้ชีวิตไม่ได้ดีนัก แต่ก็ไม่ได้แย่ส่วนแม่ทัพหลง…นางไม่อยากกล่าวถึงอีกหลี่อินพับจดหมายนั้นเก็บลงลิ้นชักไม้ไม่พูดถึงให้หลงอวี้จงรู้เพราะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปแล้วไม่มีเหตุผลที่ต้องรื้อฟื้น ไม่มีสิ่งใดต้องแข่งขันไม่มีความคาใจ ไม่มี ถ้าหาก…“วันนี้ในตลาดมีสาลี่หวาน พ่อค้าให้มาตั้งหลายลูก”นางเอ่ยขึ้นขณะช่วยเขาล้างถ้วยที่อ่างน้ำเล็กหลังเรือน“เจ้าเคยชอบกินตอนเป็นเด็ก” เขาพูดเรียบ ๆ ขณะตักน้ำรินให้“ข้าเกิดที่เมืองหลวง ท่านอยู่ชายแดน พวกเราไม่เคยได้กินด้วยกันตอนเป็นเด็กเสียหน่อย สับสนกับความทรงจำชาติไหนของท่าน”นางตอบพร้อมรอยยิ้มจาง ๆรอยยิ้มที่ไม่มีอดีตผูกพันแต่มีความอ่อนโยนที่เลือกจะอยู่กับ ปัจจุบันเมื่อค่ำลงแสงโคมในเรือนเล็ก ๆ ริบหรี่เช่นเคย กล
บทที่ 55 เพื่อนคู่คิดกลางฤดูใบไม้ผลิดอกเหมยที่บานผิดฤดูโปรยกลีบลงบนระเบียงไม้ของบ้านหลังเล็กหลี่อินนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคาในมือลูบผ้าปักลายมังกรที่ยังเย็บไม่เสร็จ กลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยจากกาน้ำข้างกายเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้น ก่อนจะมีเงาร่างหนึ่งนั่งลงอีกฟากของโต๊ะหลงอวี้จงไม่พูดอะไร เพียงนั่งเงียบอยู่ข้างกัน ราวกับการมีอยู่ของเขานั้น ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีกแล้วเวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนกระทั่งนางพูดขึ้น“ยังคิดอยู่หรือ ว่าชาติหน้าจะเกิดใหม่จริง ๆ”เขาเงยหน้าขึ้นแววตานั้นยังคงเป็นดวงตาเดิมที่มองนางในทุกชาติ หากแต่ในตอนนี้ มันนิ่ง สงบ และอ่อนโยนอย่างไม่เคยเป็น“ข้าไม่รู้” เขาตอบตรง “แต่ข้าจำได้ว่าเคยลั่นวาจาไว้…”เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างคนที่ไม่ต้องการคำสัญญาอีก“หากชาติหน้ามีอยู่จริง…ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด อยู่ในฐานะใดข้าจะมองเพียงเจ้าผู้เดียว”หลี่อินนิ่งเงียบไปนานลมหายใจของนางหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย มือที่จับเข็มปักเริ่มสั่นเล็กน้อย“…ท่านจะไม่เหนื่อยหรือ เพียงได้มอง ไม่ได้ขอครอง” เขาตอบเบา ๆ “ข้าไม่เคยเหนื่อย”แสงตะวันเช้าสาดเข้ามาในเรือนอย่างนุ่ม
บทที่ 54 ใกล้กันจนผมเริ่มมีสีดอกเลาเสียงด้ายขูดผ่านผืนผ้าเบา ๆแสงอ่อนในยามเช้าเริ่มลอดผ่านบานหน้าต่างไม้ไอเย็นของต้นฤดูใบไม้ผลิแตะผิวแก้มนางอย่างแผ่วเบาหลี่อินยกมือรวบเส้นผมขึ้นอย่างเคยชิน แต่ในจังหวะนั้นเอง ด้านหลังพลันมีเงาร่างหนึ่งยื่นมือมาช่วยเก็บปิ่นปักผมที่ตกลงพื้น“ข้าทำให้ตก…” เขาว่าเบา ๆเสียงนั้นไม่ดังนัก แต่ใกล้มาก ใกล้จนกลิ่นจากชุดคลุมสีหม่นของเขาแตะปลายจมูกนางมือของเขายื่นมาช้า ๆ อย่างลังเลก่อนจะรวบเส้นผมนางขึ้น แล้วใช้ปิ่นปักให้อย่างเบาแรงนางไม่พูดเพียงแต่รู้สึกได้ว่า มือคู่นั้น…เริ่มหยาบขึ้นกว่าที่จำได้เพราะฝึกทำอาหารเองบ่อยขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลี่อินยืนนิ่งและนั่นทำให้เขากล้าก้มลงกระซิบเบา ๆ“เจ้าเห็นไหม…”“เห็นอะไร” นางเอ่ยถามเสียงแผ่วเขาชี้ไปยังข้างขมับตนเอง“ผมข้าเริ่มมีสีขาวปนอยู่หนึ่งเส้น” เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ “เจ้าคงจะบอกว่าไม่แปลก…แต่รู้หรือไม่ว่ามันเป็นเส้นแรกที่ข้าอยู่ข้าง…เจ้า” เสียงเขาแผ่วเบา“แต่มันเพิ่งเริ่มกลายเป็นสีดอกเลา…ก็ในวันที่เราอยู่ใกล้กันมากที่สุด”หลี่อินเงียบ…ความรู้สึกอุ่นแปลก ๆ ค่อย ๆ ไหลซึมขึ้นกลางอกเงาร่างเขายังยืนอยู่ข้างหลัง







