เข้าสู่ระบบบทที่ 8 ใจกว้างเกินกว่าจะเป็นเพียงเมตตา
ซูเจินยืนอยู่หน้าบานหน้าต่างเรือนตะวันออก แสงอ่อนของยามสายสาดผ่านม่านไหมที่ภรรยาเอกจัดส่งมาให้ ปักลายหงส์ร่อนในทะเลเมฆงดงามวิจิตร
ทุกอย่างในเรือน…ดีเกินไป
หมอนที่นอนนุ่มเกินกว่าที่เคยสัมผัส ผ้าม่านโปร่งแสงถูกเปลี่ยนใหม่ทุกสองวัน
สาวใช้ที่จัดไว้ ล้วนฝีมือดี ทั้งยังผ่านการอบรมให้ เคารพและเชื่อฟังสตรีที่เข้ามาอยู่จวนที่ยังไม่มีตำแหน่งหรือฐานะใดรองรับโดยไม่มีข้อกังขา
แม้กระทั่งเครื่องประทินผิวบนโต๊ะ ก็ล้วนเป็นของนำเข้าจากต่างแดน ที่แม้แต่คุณหนูขุนนางบางตระกูลยังเอื้อมไม่ถึง
ทุกสิ่งดีงาม…จนเริ่มน่ากลัว
แต่ทว่า ซูเจินกลับรู้สึกเหมือนอยู่ในกรงทองทุกย่างก้าวถูกจัดวางไว้อย่างนุ่มนวล นางไม่ได้ถูกขัดขวาง ไม่ถูกข่มเหง แต่ก็ไม่มีพื้นที่ใดที่เป็นของนางเอง อยู่ชายแดนเนื้อดี ๆ สักจานยังไม่มีกิน แต่อยู่ที่นี่แค่เอ่ยเบา ๆ พ่อครัวก็ทำมาให้
“ข้าเป็นแขกที่แม่ทัพไปรับมาด้วยตนเอง แม้ข้าจะยังไม่ได้แต่งเข้าจริง ๆ แต่ก็เหมือนถูกตราไปแล้วว่าอนุท่านแม่ทัพ”
นางไม่ได้ตามเขามาที่นี่เพื่อตำแหน่งต้อยต่ำเพียงนั้น
ความอึดอัดเริ่มกัดกินหัวใจอย่างช้า ๆโดยเฉพาะเมื่อได้ยินสาวใช้กระซิบกันว่า
“ฮูหยินช่างดีเหลือเกิน ทั้งงาม ทั้งใจกว้าง สมแล้วที่เป็นภรรยาแม่ทัพ”
หลงอี้จงเดินผ่านสวนหลังจวน ระหว่างทางกลับจากวัง เมื่อเขาผ่านเรือนตะวันออก เห็นแสงไฟลอดจากช่องม่าน เสียงบ่าวในเรือนซูเจินคุยกันเบา ๆ ดังลอดออกมา
“แม่นางอยากให้เราซักผ้าให้ไหมเจ้าคะ”
“ดี… ซักให้สะอาดหน่อย ข้าอยากใส่ชุดใหม่ที่ดูสะอาดสะอ้านเสียที”
เสียงของซูเจินเบาและอ่อนโยน ฟังดูแล้วชวนให้ใจหาย
“ข้าเคยชินกับเสื้อผ้าที่เปื้อนฝุ่น มือที่เปื้อนดิน… ชายแดนไม่ใช่ที่สำหรับสตรีอยู่เพียงลำพัง”
เสียงซูเจินตอบเบา แต่ฟังดูน่าสงสารจับใจ หลงอี้จงหยุดเดินเพียงครู่หัวใจพลันสะท้านเล็กน้อย
ซูเจิน…นางน่าสงสารเหลือเกิน เมื่อครั้งยังมีบิดามารดาอยู่ ยังต้องลำบากถึงเพียงนั้น แล้วบัดนี้ไม่มีคนทั้งสองแล้ว หากเขาทอดทิ้งนางไว้เบื้องหลัง…มิใช่หรือว่าเขากลายเป็นคนใจดำ และเนรคุณไปแล้วจริง ๆ
เมื่อเขาคิดถึงใบหน้าของหลี่อินภรรยาที่ไม่เคยพูดอะไรนอกจากคำสุภาพ ไม่เคยแม้แต่เข้าหอด้วยกันตามธรรมเนียม นางไม่แม้แต่จะหึงหวงเขากับซูเจิน แต่กลับทำทุกอย่างจนซูเจินผู้มีใจให้เขาตั้งแต่ต้น…ราวกับยอมรับให้ซูเจินอยู่เคียบข้างเขาอีกคน
คืนนั้นเขากลับไปที่เรือนของตนเองจ้องมองถ้วยน้ำชาที่หลี่อินเคยใช้ในใจมีคำถามผุดขึ้นมาเงียบ ๆ
“นางใจดี…หรือเพียงใจเย็นเสียจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้”
เสียงบ่าวไพร่วิ่งวุ่นดังขึ้นตั้งแต่ยามเฉิน
“แม่นางซูเป็นลม!”
“รีบไปตามหมอ! เร็วเข้า!”
ข่าวนี้ส่งถึงหูหลี่อินในยามที่นางกำลังรดน้ำกล้วยไม้ด้วยตนเอง สาวใช้กระซิบข้างหูเบา ๆ พลางชำเลืองมองปฏิกิริยาของนาง แต่หลี่อินเพียงพยักหน้าช้า ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“ส่งผลไม้ต้มและยาลดไข้ไปยังเรือนตะวันออก แล้วบอกแม่ครัวให้ต้มโจ๊กเจือลงเล็กน้อย ข้าจะส่งไปทุกมื้อจนกว่านางจะฟื้นดีขึ้น”
ไม่มีคำถาม ไม่มีความร้อนรนมีเพียงความเมตตาสุขุมที่เหมือนสายฝนหลั่งรด…แต่กลับเยียบเย็นจนแทบไม่รู้สึกอุ่น
เรือนตะวันออก
ซูเจินนอนอยู่บนเตียง มือบางวางแนบอก ห่มผ้าจนถึงคาง แววตาเลื่อนลอย ดวงหน้าอ่อนระโหยอย่างเหมาะเจาะ ท่ามกลางสายตาเห็นใจของสาวใช้และเสียงบ่นพึมพำจากบ่าวคนหนึ่งว่า
“แม่ทัพยังมิได้มาเยี่ยมเลยหรือเจ้าคะ”
ซูเจินได้ยินทุกคำชัดเจน นางจึงกระซิบเสียงแผ่ว
“มิเป็นไรหรอก…ท่านคงยุ่ง ข้า…ข้าไม่อยากเป็นภาระ”
ประโยคนั้นถูกส่งต่อจากปากสาวใช้ไปยังปากบ่าว ไปถึงเหล่าทหารประจำจวน และในที่สุด…ไปถึงหูของแม่ทัพหลง
ยามเย็นวันนั้น
หลงอี้จงกลับจากหน้าที่และตรงดิ่งมายังเรือนตะวันออก เมื่อเห็นร่างบางซึ่งเคยสดใส บัดนี้กลับซูบซีดและพูดน้อยลง สีหน้าของเขาก็อ่อนลงโดยไม่รู้ตัว
“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าอยู่เมืองหลวงนี้…อากาศแปรปรวนกว่าชายแดนหลายเท่า เหตุใดไม่ดูแลตัวเอง”
ซูเจินยิ้มบาง
“ข้า…คงไม่ชินกระมังเจ้าคะ” นางเว้นวรรคอย่างพอดี ก่อนพูดด้วยเสียงที่ฟังแล้วเจ็บลึก “แต่บางที…ข้าอาจแค่ไม่กล้ารบกวนท่านมากไป”
หลงอี้จงเงียบไปครู่ เขาหยิบผ้าห่มขึ้นจัดคลุมให้นางอย่างระวัง ทว่าในหางตากลับสะท้อนแสงความคิดบางอย่าง
เพราะ…ตั้งแต่เข้าจวนมา นางไม่เคยอ่อนแอเช่นนี้เลยไม่เคยแม้แต่จะร้องขอแต่มาบัดนี้…คำว่า ไม่เป็นไร ของนางกลับเต็มไปด้วย น้ำเสียงที่ขอความเห็นใจ อย่างจงใจให้เขาทำอะไรสักอย่าง ตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่เขาก็ยุ่งแต่เข้าวังรายงานฮ่องเต้เรื่องชายแดนแทบไม่มีวันหยุด
คืนนั้นหลงอี้จงกลับเรือนของตนช้ากว่าทุกคืน
ทว่าเมื่อเดินผ่านสวนหน้าศาลา
เขาเห็นหลี่อินนั่งอ่านตำราการดูแลกล้วยไม้ ด้านข้างวางถาดโจ๊กและยาไว้เรียบร้อย
ราวกับนางรู้ว่าผู้ป่วยอาจยังต้องการแค่การแสดงออกที่เหมาะสม มากกว่าการเยียวยาแท้จริง
หลงอี้จงหยุดยืนมองเงาของนางใต้แสงตะเกียงและในใจเขา…เริ่มเข้าใจแล้วว่า ดอกไม้ที่สงบเงียบตรงหน้านี้ อาจไม่เคยเบ่งบานเพื่อแย่งแสงแดดกับใคร
แต่มันกำลังปล่อยให้ทุกอย่างเติบโต จนอีกฝ่ายรู้สึกคับแคบในเงาเสียเอง
ตอนพิเศษ 3 ผลลัพธ์แห่งการรอคอยยามสนธยา ลมเย็นพัดผ่านสวนด้านหลังเรือนใหญ่ หลงอวี้จงยืนพิงเสาไม้ หันมองหญิงสาวในชุดคลุมเรียบง่ายที่กำลังจัดช่อดอกไม้ลงแจกัน นัยน์ตาของเขาสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟ และความรู้สึกบางอย่างที่เก็บซ่อนไว้ลึกเกินกว่าจะเอ่ยหลี่อินเดินเข้ามาเงียบ ๆ ก่อนหยุดยืนข้างเขา“คิดอะไรอยู่” นางถามเบา ๆเขาไม่ตอบในทันที แค่ทอดสายตาไปยังลานฝึกที่บุตรสาวกำลังลองดาบใหม่กับอาจารย์ และบุตรชายก็กำลังนั่งเขียนฎีกาเงียบ ๆ ไม่ไกลจากกันผ่านไปครู่ใหญ่…เขาจึงเอ่ย“ชาติที่หนึ่ง…” เขาเริ่ม“พวกเราแต่งงานกัน มีความสุขไม่นาน ก่อนที่ข้าจะถูกสั่งให้แต่งงานกับอดีตองค์หญิง”“ชาติที่สอง…” หลี่อินต่อคำเสียงแผ่ว “ข้าแต่งเป็นฮูหยินของท่านเพื่อที่จะได้อยู่นอกวังอย่างสงบ…แต่กลับต้องพัวพันการแย่งชิงอยู่ดี”หลงอวี้จงพยักหน้าช้า ๆ แววตาแดงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังยืนนิ่ง ราวกับใจหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม“ข้าคิด…ว่าเราถูกสวรรค์ลงโทษในสิ่งที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยทำผิดอะไรไว้”“แต่ชาติที่สามนี้…” หลี่อินพูดพลางมองลูกทั้งสอง “ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเจ็บปวดเพียงใด พวกเขา…คือคำตอบที่ดีที่สุดจากฟ้าดิน”อวี้เหมยที่ลุกขึ้นปร
ตอนพิเศษ 2 บ้านที่มีรักเช้าวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ลมอ่อนพัดพาไอแดดอบอุ่นเข้ามาในลานเรือน หลังอาหารเช้า หลี่อินกำลังนั่งจัดสมุนไพรอยู่หน้าต่าง ส่วนหลงอวี้จงนั้นนั่งอ่านรายงานกองทัพด้วยสีหน้าจริงจังตามปกติอวี้เหอ เด็กชายวัยสิบปีกำลังง่วนกับการผูกผ้าโพกหัวที่ดูยังไงก็เบี้ยว“ท่านพ่อขอรับ มัดยังไงก็ไม่ตรง!”เขาบ่นอย่างหัวเสีย ขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหมือนรังนกหลงอวี้จงละสายตาจากเอกสาร มองลูกชายแล้วถอนหายใจ“มานี่ ข้าจะทำให้ดูอีกครั้ง…แต่พรุ่งนี้เจ้าต้องมัดเองให้ได้นะ จะไปสนามฝึกแบบหัวยุ่งไม่ได้ เดี๋ยวครูฝึกจะหัวเราะเอา”“แต่เขาก็หัวเราะอยู่ดีนี่นา…” อวี้เหอพึมพำเบา ๆ พลางเดินเข้าไปใกล้ขณะเดียวกัน อวี้เหมยบุตรสาวคนโตก็เดินผ่านเข้ามาในลาน สะพายตะกร้าผักไว้ด้านหลัง“ท่านแม่ ท่านพ่อ อวี้เหอแอบเอาขนมไปซ่อนไว้ใต้หมอนอีกแล้วเจ้าค่ะ” นางรายงานพลางยิ้มขัน ๆ“ข้าแค่…แค่ไม่อยากให้บ่าวเอาไปเก็บ!” เด็กชายรีบเถียงเสียงสูงหลี่อินไม่ได้ว่าอะไร แค่ยิ้มแล้วส่ายหน้าเบา ๆ“พอเถอะ เหลือไว้ให้มดเผื่อกินบ้างเถิดลูก…”หลงอวี้จงหัวเราะในลำคอ“แม่ของเจ้ากำลังจะเริ่มเทศน์เรื่อง ‘ของกินที่วางไว้ไม่ถูกที่คือความสูญเปล
ตอนพิเศษ 1 ของขวัญจากสวรรค์ในวัยห้าสิบหลี่อินมองเงาตนเองในกระจกทองเหลือง ดวงหน้าของหญิงวัยห้าสิบที่มีร่องรอยของการต่อสู้กับชีวิตและความเศร้ามากมาย แต่แววตานั้น…กลับเปล่งประกายอ่อนโยนอย่างที่ตนไม่เคยเห็นในตัวเองมาก่อนเสียงร้องจุ๊กจิ๊กจากเปลไม้ด้านหลังทำให้นางหันกลับไปพร้อมรอยยิ้มหลงอวี้จงเดินเข้ามาพร้อมขันน้ำอุ่นในมือ เขาก้มหน้ามองทารกน้อยที่นอนหลับสนิทในผ้าอ้อม แล้วนั่งลงข้างภรรยา“นางเหมือนเจ้านัก โดยเฉพาะเวลาขมวดคิ้ว” เขาพูดเบา ๆ กลัวจะรบกวนเจ้าตัวเล็กหลี่อินหัวเราะแผ่ว“ท่านไม่ใช่หรือที่บอกว่าลูกชายหน้าเหมือนข้าจนบ่าวแยกไม่ออกว่าลูกใคร แต่คนที่ตะโกนลั่นบ้านตอนรู้ว่าตัวเองจะมีลูกตอนอายุห้าสิบ…ก็ท่าน” หลี่อินหันไปยิ้มเย้าหลงอวี้จงหน้าแดง ไม่กล้าสบตาภรรยา “ข้าแค่ตกใจ…ก็ใครบ้างจะคิดว่าจะมีลูกในวัยนี้ ข้ายังไม่หายตกใจเลย เจ้าคิดดูสิ ข้าเคยสู้ศึก เคยฆ่าคน เคยวางแผนโค่นล้มตระกูลกบฏ เคยเกือบตายเพราะยาพิษ… แต่กลับมาหวั่นไหวเพราะเสียงเด็กร้องกลางดึก”“นั่นเพราะพวกเขาคือสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่อ่อนแอที่สุด แต่กลับจับหัวใจข้าไว้แน่นที่สุด”หลงอวี้จงยกมือลูบผมลูกชายที่นอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของเ
บทที่ 56 ไม่จำเป็นต้องอธิบายอีกแล้วยามเย็นวันหนึ่ง ขณะที่แสงอาทิตย์โรยลงบนปลายไม้หลี่อินเดินกลับจากตลาด มือหนึ่งหิ้วตะกร้า อีกมือแนบจดหมายในแขนเสื้อกระดาษเพียงแผ่นเดียวไม่ใช่หนังสือหย่าไม่ใช่คำอธิบายแต่เป็นจดหมายจากคนที่เคยเป็นแผลในอดีตซูเจินเนื้อความไม่ยาว มีเพียงไม่กี่บรรทัดว่า นางแต่งงานแล้วกับขุนนางที่เคยเป็นคนที่หลงอวี้จงฝากฝังนางเอาไว้ชีวิตไม่ได้ดีนัก แต่ก็ไม่ได้แย่ส่วนแม่ทัพหลง…นางไม่อยากกล่าวถึงอีกหลี่อินพับจดหมายนั้นเก็บลงลิ้นชักไม้ไม่พูดถึงให้หลงอวี้จงรู้เพราะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปแล้วไม่มีเหตุผลที่ต้องรื้อฟื้น ไม่มีสิ่งใดต้องแข่งขันไม่มีความคาใจ ไม่มี ถ้าหาก…“วันนี้ในตลาดมีสาลี่หวาน พ่อค้าให้มาตั้งหลายลูก”นางเอ่ยขึ้นขณะช่วยเขาล้างถ้วยที่อ่างน้ำเล็กหลังเรือน“เจ้าเคยชอบกินตอนเป็นเด็ก” เขาพูดเรียบ ๆ ขณะตักน้ำรินให้“ข้าเกิดที่เมืองหลวง ท่านอยู่ชายแดน พวกเราไม่เคยได้กินด้วยกันตอนเป็นเด็กเสียหน่อย สับสนกับความทรงจำชาติไหนของท่าน”นางตอบพร้อมรอยยิ้มจาง ๆรอยยิ้มที่ไม่มีอดีตผูกพันแต่มีความอ่อนโยนที่เลือกจะอยู่กับ ปัจจุบันเมื่อค่ำลงแสงโคมในเรือนเล็ก ๆ ริบหรี่เช่นเคย กล
บทที่ 55 เพื่อนคู่คิดกลางฤดูใบไม้ผลิดอกเหมยที่บานผิดฤดูโปรยกลีบลงบนระเบียงไม้ของบ้านหลังเล็กหลี่อินนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคาในมือลูบผ้าปักลายมังกรที่ยังเย็บไม่เสร็จ กลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยจากกาน้ำข้างกายเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้น ก่อนจะมีเงาร่างหนึ่งนั่งลงอีกฟากของโต๊ะหลงอวี้จงไม่พูดอะไร เพียงนั่งเงียบอยู่ข้างกัน ราวกับการมีอยู่ของเขานั้น ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีกแล้วเวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนกระทั่งนางพูดขึ้น“ยังคิดอยู่หรือ ว่าชาติหน้าจะเกิดใหม่จริง ๆ”เขาเงยหน้าขึ้นแววตานั้นยังคงเป็นดวงตาเดิมที่มองนางในทุกชาติ หากแต่ในตอนนี้ มันนิ่ง สงบ และอ่อนโยนอย่างไม่เคยเป็น“ข้าไม่รู้” เขาตอบตรง “แต่ข้าจำได้ว่าเคยลั่นวาจาไว้…”เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างคนที่ไม่ต้องการคำสัญญาอีก“หากชาติหน้ามีอยู่จริง…ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด อยู่ในฐานะใดข้าจะมองเพียงเจ้าผู้เดียว”หลี่อินนิ่งเงียบไปนานลมหายใจของนางหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย มือที่จับเข็มปักเริ่มสั่นเล็กน้อย“…ท่านจะไม่เหนื่อยหรือ เพียงได้มอง ไม่ได้ขอครอง” เขาตอบเบา ๆ “ข้าไม่เคยเหนื่อย”แสงตะวันเช้าสาดเข้ามาในเรือนอย่างนุ่ม
บทที่ 54 ใกล้กันจนผมเริ่มมีสีดอกเลาเสียงด้ายขูดผ่านผืนผ้าเบา ๆแสงอ่อนในยามเช้าเริ่มลอดผ่านบานหน้าต่างไม้ไอเย็นของต้นฤดูใบไม้ผลิแตะผิวแก้มนางอย่างแผ่วเบาหลี่อินยกมือรวบเส้นผมขึ้นอย่างเคยชิน แต่ในจังหวะนั้นเอง ด้านหลังพลันมีเงาร่างหนึ่งยื่นมือมาช่วยเก็บปิ่นปักผมที่ตกลงพื้น“ข้าทำให้ตก…” เขาว่าเบา ๆเสียงนั้นไม่ดังนัก แต่ใกล้มาก ใกล้จนกลิ่นจากชุดคลุมสีหม่นของเขาแตะปลายจมูกนางมือของเขายื่นมาช้า ๆ อย่างลังเลก่อนจะรวบเส้นผมนางขึ้น แล้วใช้ปิ่นปักให้อย่างเบาแรงนางไม่พูดเพียงแต่รู้สึกได้ว่า มือคู่นั้น…เริ่มหยาบขึ้นกว่าที่จำได้เพราะฝึกทำอาหารเองบ่อยขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลี่อินยืนนิ่งและนั่นทำให้เขากล้าก้มลงกระซิบเบา ๆ“เจ้าเห็นไหม…”“เห็นอะไร” นางเอ่ยถามเสียงแผ่วเขาชี้ไปยังข้างขมับตนเอง“ผมข้าเริ่มมีสีขาวปนอยู่หนึ่งเส้น” เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ “เจ้าคงจะบอกว่าไม่แปลก…แต่รู้หรือไม่ว่ามันเป็นเส้นแรกที่ข้าอยู่ข้าง…เจ้า” เสียงเขาแผ่วเบา“แต่มันเพิ่งเริ่มกลายเป็นสีดอกเลา…ก็ในวันที่เราอยู่ใกล้กันมากที่สุด”หลี่อินเงียบ…ความรู้สึกอุ่นแปลก ๆ ค่อย ๆ ไหลซึมขึ้นกลางอกเงาร่างเขายังยืนอยู่ข้างหลัง







