“โอ๊ย”หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจ แต่ยังคงซบอยู่ในอ้อมอกของฉินซู นางมิได้ผละออก และดูเหมือนว่าจะยอมให้อีกฝ่ายเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์บนใบหน้าของฉินซูแวบผ่านรอยยิ้มเย็นชา แต่เขาก็ยังคงมิแสดงอาการใด และกล่าวว่า “แม่นาง บุรุษสตรีมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน ขอเจ้ารักษามารยาทด้วย!”“คุณชายรูปงามเช่นนี้ ข้าหลงรักท่านตั้งแต่แรกเห็นแล้ว ที่นี่หาได้มีผู้ใดอยู่ไม่ คุณชายยังลังเลกระไรอีกหรือเจ้าคะ?”ดวงตาคู่สวยฉายแววอ้อนวอนเปี่ยมเสน่ห์ นางจ้องมองฉินซูด้วยสายตาเว้าวอนมิวางตากริชเล่มหนึ่งใต้แขนเสื้อของนางเป็นประกายเย็นเยียบหล่นลงสู่ฝ่ามือ นางกำด้ามกริชนั้นไว้แน่นฉินซูผลักนางออกด้วยมือข้างหนึ่ง และพูดอย่างเฉยเมยว่า “องค์หญิงอวิ๋นเจิง ท่านเล่นเกินบทบาทไปแล้วกระมัง มิกลัวว่าข้าจะควบคุมตัวเองมิอยู่หรืออย่างไร?”“คุณชายพูดเรื่องอันใดกัน? องค์หญิงอันใดกันเจ้าคะ?” หญิงสาวเผยสีหน้าตกใจเต็มประดาฉินซูยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ท่านมิยอมรับก็หาได้เป็นกระไรไม่ ทว่าตัวข้ายุ่งเหลือเกิน ไม่มีเวลามาเล่นกับท่าน เช่นนั้นขอตัวลา”พูดจบก็หันกายเดินออกไปทันที“ฉินซู ข้าขอสั่งให้ท่านหยุด”มู่หรงอวิ๋นเจิงเรียกฉินซูให
ทันใดนั้น เสียงครางเบา ๆ ของความเจ็บปวดก็ดังขึ้นมาจากใต้ทางเนินข้างถนนด้วยความสงสัยฉินซูจึงเดินไปดู พบว่าใต้เนินลาดนั้นมีสตรีแต่งกายหรูหรานั่งอยู่บนพื้นพลางกำข้อเท้าไว้ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดยิ่งนางสังเกตเห็นฉินซู ก็เปิดปากเอ่ยว่า “คุณชาย ข้าพลาดตกลงมาจากข้างบนจนข้อเท้าพลิก มิทราบว่าคุณชายจะช่วยได้หรือไม่เจ้าคะ?”“ได้สิ”ฉินซูมองนางอย่างลึกซึ้งผาดหนึ่ง จากนั้นก็เดินลงไปช่วยประคองนางให้ลุกขึ้นสตรีผู้นี้อายุราวยี่สิบสามย่างยี่สิบสี่ ใบหน้ารูปไข่ขาวเนียน ดวงตากลมโตเป็นประกายใสแจ๋ว ช่างน่าหลงใหลยิ่งนักเมื่อช่วยพยุงนางขึ้นมาข้างทางแล้ว ฉินซูจึงถามว่า “แม่นาง เดินกลับเองไหวหรือไม่?”“เกรงว่าอาจจะมิได้ ขอรบกวนคุณชายช่วยเหลือจนสุดทาง ช่วยพาข้ากลับบ้านหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ?” สตรีผู้น่าสงสารมองฉินซูด้วยสายตาอ้อนวอนอีกฝ่ายยักไหล่แล้วเอ่ยว่า “ได้ บ้านเจ้าอยู่ที่ใดเล่า”หญิงสาวชี้ไปเบื้องหน้าทางซ้าย “อยู่ตรงนั้นมิไกลจากตรงนี้เจ้าค่ะ”ฉินซูรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ที่นั่นมิใช่จวนส่วนตัวของมู่หรงโม่หรอกหรือ?เขาค่อย ๆ พยุงสตรีนางนั้นอย่างสุขุม และพาเดินไปทางด้านนั้นผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงสาวก
มู่หรงโม่เอ่ยด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณสหายฉินที่ไว้วางใจ ท่านวางใจได้เลย ข้าสัญญาว่าจะมิทรยศต่อความไว้วางใจที่ท่านมีต่อข้าเด็ดขาด”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถามว่า “ว่ากันว่า… น้องสี่ของท่านทำกิจการหอนางโลมอยู่หลายแห่งในเมือง เรื่องนี้ท่านเองก็รู้ใช่หรือไม่?”“ว่ากระไรนะ? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ? สหายฉิน ท่านแน่ใจหรือ?”เมื่อมองมู่หรงโม่ที่ประหลาดใจเต็มประดา ฉินซูก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างผิดหวังอยู่ในใจเจ้าหมอนี่ แม้แต่เรื่องพวกนี้ยังรู้ มิน่าแปลกใจเลยที่นั่งตำแหน่งรัชทายาทได้มิมั่นคงเช่นนี้เขาย้อนถามอย่างหงุดหงิด “แล้วท่านว่าอย่างไรเล่า?”มู่หรงโม่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก็พลันเข้าใจขึ้นมา “ท่านดูสมองข้าเถิด ลืมไปเสียเลยว่ายามนี้สหายฉินเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์หอดารารักษ์ในเมืองหลวงจินหลิงนี้ จะมีเรื่องใดหลุดรอดสายตาของหอดารารักษ์ไปได้กัน”เห็นเขาคิดไปเองเช่นนี้ฉินซูก็มิได้พูดอะไรให้เสียเรื่อง และปล่อยให้เขาคิดไปเช่นนั้น“ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังได้รับข่าวมาว่า น้องสามของท่านกำลังแอบสืบเรื่องนี้อยู่ ซึ่งสำหรับท่านแล้ว อาจเป็นโอกาสอันดีเลยก็ว่าได้”มู่หรงโม่ขมวดคิ้
เวลาผ่านไปราวสองเค่อ เกี้ยวก็หยุดอยู่หน้าจวนหลังหนึ่งฉินซูลงมาจากเกี้ยว ภูเขาใหญ่ของเมืองทางฝั่งทิศตะวันตกในเมืองหลวงจินหลิงก็ปรากฏเข้าสู่สายตาทันที!เมื่อมองดูดี ๆ โอ้โห นี่มิใช่เชิงเขาที่จวนส่วนตัวของมู่หรงหัวหรอกหรือ?ฉินซูกวาดสายตาพิจารณาเล็กน้อย ก็สังเกตเห็นว่าที่นี่อยู่ห่างจวนส่วนตัวของมู่หรงหัวที่มุมอีกมุมหนึ่งเขาถามด้วยความประหลาดใจว่า “สหายมู่หรง นี่คือที่ใดกัน?”“สหายฉิน ที่นี่คือจวนส่วนตัวของข้าเอง คนที่รู้มีมิมากนัก เชิญท่านด้านในเถิด”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ มุมปากของฉินซูก็อดมิได้ที่จะกระตุกสองสามครั้งเหล่าองค์ชายของเป่ยเยี่ยนพวกนี้ชอบซื้อจวนส่วนตัวข้างนอกเช่นนี้กันหมดเลยหรือไร?จะซื้อก็มิเป็นไรหรอก แต่ดันมาซื้อใกล้ ๆ กันอีก อย่าบอกว่าพวกเขามิได้สังเกตเห็นกัน?เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ฉินซูก็เอ่ยถามขึ้นอย่างนิ่งเฉยว่า “สหายมู่หรง จวนส่วนตัวแห่งนี้… องค์ชายองค์อื่นมิรู้เรื่องเลยหรือ?”“แน่นอนว่าย่อมมิรู้ ประการแรก ปกติแล้วข้ามิค่อยได้มาที่นี่ ประการที่สอง ยามที่ข้ามาก็มาเงียบ ๆ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นหรอก”ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น?ฉินซูหันกลับไปมองเกี้ยวใหญ่แบบแปดคนหามที่
หลัวซางหันกลับมาหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ และมิได้เอ่ยคำใดเห็นเช่นนั้น ฉินซูก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่เขาส่ายหัวเบา ๆ จากนั้นก็เดินมาถึงห้องโถงใหญ่ชั้นเจ็ดเมื่อเข้ามาในห้อง ซ่างกวนอวิ๋นซีก็ยื่นฝ่ามือขาวนวลไปทางเขาทันทีฉินซูขมวดคิ้วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยื่นมือออกไปหมายจะจับมือของอีกฝ่ายซ่างกวนอวิ๋นซีตบฝ่ามือของเขาออก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “อย่ามาเล่นลิ้นกับข้าเช่นนี้ ไหนเคล็ดวิชาเล่า?”“เคล็ดวิชากระไร?”“ก็เคล็ดวิชาแยกร่างพันแสงที่เจ้าสัญญาไว้เมื่อคืนอย่างไรเล่า”ฉินซูแบมือสองข้างพลางพูดว่า “เมื่อคืนข้าเพียงพูดว่าจะพิจารณา หาได้เอ่ยตกลงว่าจะให้ท่านไม่”ใบหน้าสวยของซ่างกวนอวิ๋นซีเย็นชาขึ้นทันใด เสียงของนางเย็นเยียบเสียดถึงกระดูก!“เช่นนั้นเจ้าล้อข้าเล่นรึ?”ระหว่างที่พูด กลิ่นอายสังหารหนาแน่นปะทุออกมาจากดวงตาคู่งามของนางฉินซูถอนหายใจอย่างหมดทางเลือก และพูดว่า “มิใช่ว่าข้ามิอยากถ่ายทอดให้ท่าน แต่ด้วยเพราะแม้ว่าข้าจะถ่ายทอดให้ท่าน ท่านก็ฝึกมิได้อยู่ดี!”“ตลกรึไร ข้าซ่างกวนอวิ๋นซีแม้จะมิใช่สุดยอดอัจฉริยะ แต่ก็สามารถฝึกฝนจนถึงระดับนี้ได้ ข้าถามตัวข้าเองแล้ว มิว่าจะพรสวรรค์หรื
เมื่อมองเห็นเรือนร่างอรชรที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ตินั้น ฉินซูก็ถึงกับเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที!ซ่างกวนอวิ๋นซียิ้มพรายเผยผ่านแววตา เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจ!เห็นเพียงนางโน้มตัวเข้าไปที่ข้างหูของฉินซู แล้วเอ่ยออกมาพร้อมลมหายใจหอมราวดอกกล้วยไม้ “มัวอึ้งกระไรอยู่กัน? หรือยังต้องให้ข้าสอน?”ได้ยินเช่นนั้นแล้วฉินซูมีหรือจะอดใจไหว เขาผลักซ่างกวนอวิ๋นซีลงบนเตียงทันใด พลางเริ่มเสพสุขอย่างถึงอกถึงใจซ่างกวนอวิ๋นซีนั้นกอดคอเขาไว้แน่น สีหน้าดูเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นตามธรรมชาติ และร้อนรุ่มดุจเปลวเพลิงเวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็มิอาจรู้ได้...ทันใดนั้น ฉินซูก็ได้ยินเสียงเย็นเยียบระคนหงุดหงิดดังขึ้นข้างหู “นี่มันยามใดแล้ว จะนอนไปถึงเมื่อใด ยังมิรีบลุกขึ้นอีก!”เมื่อได้ยินเสียงนั้น ฉินซูที่กำลังสงสัยอยู่ก็อดมิได้จนร่างสั่นสะท้าน หัวใจรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจแต่มินานเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบลืมตาขึ้นโดยพลัน!เพิ่งสังเกตเห็นว่าซ่างกวนอวิ๋นซีกำลังยืนกอดแขนอยู่หน้าเตียง และมองเขาด้วยสายตาเย็นชา!ฉินซูอ้าปากค้างตะลึงงัน พลันพูดออกมาอย่างมิค