ณ มคธนคร กลางค่ำคืนแห่งจันทราแดง ท้องฟ้าสีเลือดคลุ้งด้วยกลิ่นลางร้าย ดวงจันทร์เต็มดวงถูกหมอกพิษบดบังเพียงครึ่ง… และที่ระเบียงสูงของของตำหนัก ผณินทรยืนนิ่ง ลมเย็นปะทะใบหน้าที่เปื้อนแววหม่นเศร้า เธอยังฝันถึงเสียงของรีภพ…เพื่อนร่วมรบ แม้เขาจะสลายกลายเป็นเศษพลังแห่งนาคธาตุไปแล้ว
เสียงฝีเท้าก้าวมาช้า ๆ...อาศิรวิษในชุดนักรบสีดำทอง สะพายหอกนาคา ก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แต่สายตาเขาจับจ้องมาไม่ลดละ
“ข้าฝันถึงตรีภพอีกแล้ว…” เอ่ยเบา ๆ ราวสายลม
“เขาอาจยังไม่ได้จากเราไปเสียหมด...” อาศิรวิษพูดเสียงต่ำแผ่ว "...วิญญาณที่ยึดมั่นในคำสัตย์ จะไม่มีวันดับสูญง่ายดาย"
และแล้วทันใดนั้น...แผ่นดินก็สั่นไหวเบา ๆ เงานาคที่หลับใหลใต้มหานทีเริ่มขยับ
ณ เทวสถานบ่วงนาคบาศ ในห้องลับใต้เมืองซึ่งซ่อน บ่วงนาคบาศไว้ตราบชั่วกาล…รอยร้าวปรากฏบนผนึกหิน เสียงกระซิบดั่งจากห้วงเหว...
"ผู้ที่ควบคุมบ่วง คือผู้ปกครองพรหมแดน...แต่หากบ่วงนี้ตกอยู่ในมือของเงามืดจะไม่มีวันคืนใดปลอดภัย"
ฉันและอาศิรวิษรีบรุดไปยังเทวสถานพร้อมคณะองครักษ์
ที่นั่น...พวกเขาเจอร่องรอยการบุกรุกและสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดคือหน้ากากของศัตรูปรากฏ“นั่นใครหรือเจ้าคะเสด็จพ่อ” ฉันถามเพราะอยากรู้
“เขาคือเทวหัฏฐ์ ผู้ทรยศในคราบเทพารักษ์สูงสุดของมคธนคร!” เจ้าหลวงบอกเล่า
เทวหัฏฐ์ กล่าวด้วยเสียงดังก้อง
“ข้า...คือผู้ที่เบื้องหลังทั้งหมด ข้า...คือผู้อยู่เหนือทั้งนาคและครุฑ
ข้าจะใช้บ่วงนี้ ย้อนสร้างโลกใหม่ ใต้บารมีของข้าแต่ผู้เดียว!!”เสียงหัวเราะต่ำของ เทวหัฏฐ์ ก้องสะท้อนทั่วเทวสถานใต้ผืนพิภพ เขาสวมชุดสีเงินเจือดำ เส้นผมสีขาวปลิวว่อนราวผู้ควบคุมวิญญาณ ในมือของเขาคือ บ่วงนาคบาศ ที่ถูกกระชากออกจากแท่นศักดิ์สิทธิ์! พลังของมันแผ่กระแสคลื่นบิดเบี้ยว ทำให้เส้นผมของฉันปลิวไหวราวอยู่ในห้วงนาคา
“เจ้าขโมยมันออกมาทำไม?” ถามเสียงแข็ง ดวงตาเปล่งแสงสีฟ้าเจือทองของผู้ถือพลังตื่นรู้
เทวหัฏฐ์ยิ้ม…ก่อนจะเผยคำตอบที่สะเทือนทั้งดวงภพ
“เพราะข้าคือ…บุตรที่ถูกลืมของพญาภุชคะวิษธร...และข้าจะทำลายทุกสิ่งที่พวกเจ้ารัก เพื่อให้เจ้ารู้ว่า…ความเมตตาของพ่อเจ้า มันฆ่าข้า”
ฉันตกใจหนักเข้าไปอีก เมื่อเทวหัฏฐ์พูดจบ ใครเป็นใครบ้างก็ไม่รู้ สืบสายกันยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว ฉันเริ่มสับสนอีกครั้ง
สายฟ้าสีเทาดำผ่ากลางเทวสถานทันที! อาศิรวิษตวัดหอกนาคาเข้าปะทะพลังเวทมืดของเทวหัฏฐ์ เสียงกึกก้องสะท้อนทั่วพื้นหิน ฉันสลัดความสับสนทิ้ง แล้วรีบร่ายอัคนีนาคาห่อหุ้มพลังศักดิ์สิทธิ์ให้ดาบเทพ ก่อนพุ่งเข้าโจมตีอีกด้าน ทว่า…เทวหัฏฐ์ไม่ได้สู้เพียงลำพัง! เขาเรียกกองอสูรอาคมเงา ที่สร้างจากเศษวิญญาณที่ถูกกลืนกินตลอดศตวรรษ ภาพของ ตรีภพ ปรากฏแวบในเงา…เศษจิตที่กำลังสลาย โดนบ่วงชักพาเข้าสู่การกลืนกิน!
ฉันใจหายและตะโกนลั่น
“หยุดนะ! เขาไม่ใช่ของเจ้า!” แต่อสูรเงาพุ่งใส่ฉันทันที
อาศิรวิษร้องเรียกชื่อของฉันสุดเสียง ก่อนจะเข้าขวางไว้ด้วยร่างของตนเองเลือดของเขาสาดกระจายเป็นละอองสีทอง แต่แม้จะเจ็บ...เขากลับยิ้ม และพูดเสียงเบา
“ตราบใดที่ข้ายังหายใจ...ข้าจะไม่ให้ใครแตะต้องเจ้าได้เลย…”
พลังนาคาในกายเขาระเบิดออกจนทำให้เงาแตกกระจายเป็นฝุ่นเถ้า เทวหัฏฐ์ถอยหลังเพียงก้าวหนึ่ง แต่รอยยิ้มเยาะยังอยู่
“พวกเจ้าจะหยุดข้าไม่ได้…แม้แต่ตรีภพก็ไม่อาจหนีชะตานี้”
ทันใดนั้น…เสียงกระซิบดังขึ้นจากใจกลางเทวสถาน
“แต่จิตที่มั่นคง...จะไม่มีวันถูกกลืน”
“ตรีภพ!!?” ฉันร้องอย่างตื่นตระหนก
เศษจิตของตรีภพที่เคยสลายไปแล้ว ปรากฏขึ้นราวแสงเรืองรอง เขาแทรกเข้าระหว่างฉันกับบ่วงนาคบาศอีกครั้ง…
แม้จะเป็นเพียงจิตไร้กาย แต่พลังที่เขาแผ่ออกมา ทำให้แม้แต่เทวหัฏฐ์ต้องชะงัก!“ข้าขอสละ...ครั้งสุดท้าย เพื่อพวกเจ้า”
“เจ้าคิดว่าเศษจิตแค่นั้นจะหยุดข้าได้งั้นหรือ?” เทวหัฏฐ์คำราม เสียงดังก้องจนผนังเทวสถานสั่นสะเทือน
ตรีภพไม่ได้ตอบ เขาเพียงเงยหน้ามองตรงมายังฉัน ด้วยรอยยิ้มสุดท้ายในชีวิต แววตาของเขาอบอุ่น ไม่ใช่ความเศร้า แต่คือความยินดี
“ผณินทรเจ้านางน้อยของข้า…เจ้าต้องสู้ต่อแม้ไม่มีข้าอยู่ แต่ใจของข้าจะอยู่กับเจ้าเสมอ”
เศษจิตของเขากระจายกลายเป็นกลีบแสงสีเงิน ลอยเข้าสู่ บ่วงนาคบาศ ทำให้มันหยุดสั่น หยุดกลืนกิน แล้วเปล่งประกายแสงบริสุทธิ์ออกมาอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
“ไม่…ข้าไม่ยอม!!!” เทวหัฏฐ์กรีดร้อง ร่ายเวทเงาดำพุ่งเข้าใส่ทุกทิศ
อาศิรวิษพุ่งเข้าหาเขาทันทีพร้อมกับเจ้าหลวง หอกแห่งวารีศักดิ์สิทธิ์สว่างขึ้น ในขณะที่ฉันยืนมั่น กางวงแหวนมนตรา วิสุทธิ์นาคินี ฉันร่ายคำสาบานด้วยเสียงแห่งบรรพนาคา!
“ข้าจะไม่ยอมให้ใครทำลายนครมคธ และคนที่ข้ารักเป็นแน่! ด้วยเลือดแห่งเจ้าหญิงนาคา ด้วยรักที่ไม่เคยหวั่นไหว ข้าขอสลายพันธะแห่งบ่วงนาคบาศ…ด้วยหัวใจ!”
ความยาวของร่างกายที่ผันกลายจากมนุษย์เป็นนาคาสีทมิฬ ดวงตาสีแดงก่ำไม่เกรงกลัวความตาย ความกล้าหาญ จิตวิญญาณของมณีณินที่อยู่ในกายของผณินทรต่อสู้ปกป้องเหล่าประชาด้วยใจภักดิ์ แม้ร่างกายบางแห่งจะได้รับบาดเจ็บจนเลือดไหล ก็ไม่ระคายความกล้าให้ลดลง
“เจ้านางน้อย! ระวัง” เสียงเรียกก้องกังวานของชายที่ฉันรัก น้ำเสียงที่ดังจนฉันได้ยินชัดเจน ทำให้ฉันอิ่มใจแม้กำลังต่อสู้ ทำให้ฉันมองเห็นคมดาบของศัตรูที่กำลังลอยมา จึงทำให้หลบทัน
“ไอ้เลว ชั่วช้า!”
“เจ้านางน้อย...ไม่!!!”
ฉันลั่นวาจาด้วยความเกรี้ยวโกรธ คนที่มันลอบจะทำร้ายฉันข้างหลัง ต้องได้รับผลกรรมอย่างสาสม ฉันเลื้อยด้วยความเร็วสุดแรง อ้าปากออกกว้างก่อนจะถึงตัวศัตรู และคนชั่วร่างกายขาดเป็นท่อนหมดลมหายใจในที่สุด
“เราจะปกป้องเผ่าพันธุ์ของเราให้ปลอดภัย มันจะต้องไม่ดับสูญจนสิ้นชื่อไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติกี่ร้อยล้านปี...”
ลูกธนูอาคมสามดอกพุ่งมาทางอาศิรวิษ เห็นเช่นนั้นฉันไม่รอช้ารีบกำบังให้คนที่ฉันรักอย่างไม่คิดชีวิต จนฉันล้มลงกับพื้นก่อนจะกลายร่าง สายตาเห็นอาศิรวิษจัดการพวกชั่วช้าจนหมดสิ้น ก่อนที่เขาจะวิ่งเข้ามากอดฉันไว้ ใบหน้าคมแปดเปื้อนด้วยหยาดน้ำตา ฉันมองหน้าเขาแล้วพยายามยิ้มให้ ยกมือขึ้นสัมผัสกับแก้มสากที่มีหนวดเครา นี่คงเป็นสัมผัสสุดท้ายของฉันแล้วสินะ
“เจ้านางน้อย!”
“มันคงถึงเวลาพักผ่อนของข้าแล้วล่ะ” ฉันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ผณิณทร ไม่นะ ทำไมถึงทำเยี่ยงนี้ไม่รักชีวิตตนเองเลยหรือไร” อาศิรวิษจับมือฉันแนบแก้ม แล้วตำหนิฉันทั้งน้ำตา
“ข้ารักเจ้ามากกว่าอาศิรวิษ”
“ผณิณทร ข้าก็รักเจ้าเช่นกัน ข้าจะไม่มีวันให้เจ้าเป็นอะไรไปเป็นแน่”
“รักข้า ก็จงมีชีวิตต่อให้ดีเถิดนะ ข ข้าอยากจะนอนพักแล้วล่ะอาศิรวิษ”
“ไม่นะ ไม่...”
“เทวดาทั้งหลาย อีกทั้งผู้มีฤทธิ์และอำนาจ ผู้ตัดสินชะตา โปรดจงรับรู้ไว้ว่า ที่ข้าต้องกระทำเช่นนี้ ข้าไม่ได้เป็นผู้เริ่มก่อน ได้โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วยบุญบารมีที่ได้สร้างสมหา หากวันนี้ชะตาลิขิตแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้สร้างบุญในเส้นทางธรรม ได้มีโอกาสเป็นมนุษย์ตามกรรมที่มีเป็นแดนเกิดด้วยเถิด”
ฉันที่อยู่ในร่างใหญ่ยาวไม่ใช่มนุษย์ผู้ย่ำเดินด้วยสองขา หันไปมองหน้าอาศิรวิษแล้วบอกพนมมือด้วยแรงที่มี กล่าวอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในใจ ตอนนี้ฉันรู้ได้ว่าคงไม่อาจจะเคียงบ่าเคียงไหล่และอยู่ครองรักกับอาศิรวิษได้อีกแล้ว ฉันกลายร่างเป็นมนุษย์อยู่ในอ้อมแขนของชายที่รัก คมธนูลงอาคมปักลงกลางอกของฉันสามดอก และโดนจุดสำคัญจนฉันไม่สามารถขยับร่างกายได้ไหว ฉันรู้ชะตาของตัวเองในตอนนี้แล้ว ก่อนสติที่เคยมีเลือนหายไปและไม่รับรู้สิ่งใดอีกเลย...
หรือสุดท้ายตอนจบก็เหมือนหนังสือที่ฉันเคยอ่าน
-ปัจจุบัน-ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน ฉันเริ่มรู้สึกตัวและได้กลิ่นคละคลุ้งของยา พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น และมองโดยรอบเห็นแม่กับพี่น้ำที่นอนตรงโซฟา นี่คงเป็นห้องพักพิเศษถึงได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย“ณินฟื้นแล้วค่ะ” เสียงของแม่ดังขึ้นด้วยความดีใจฉันกวาดสายตามองรอบ ๆ เห็นพ่อ แม่และพี่ชาย ยืนยิ้มมองมาทางฉันด้วยสีหน้าดีใจ“เป็นยังไงบ้างลูก น้ำไปตามหมอบอกณินฟื้นแล้ว”“ครับพ่อ”พ่อถามแต่ฉันยังไม่ตอบ เหมือนกับปากของฉันมันไม่มีแรงอ้าจะพูดกับใคร ได้แต่พยายามฉีกยิ้มให้ สื่อว่าฉันไม่เป็นอะไร จากนั้นพ่อกันหันไปบอกพี่น้ำให้ตามหมอ แล้วพี่ชายของฉันก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ไม่นานพี่น้ำก็มาพร้อมหมอและพยาบาลหนึ่งคน มาถึงก็จับนั่นตรวจนี่ ฉันรู้สึกตัวทุกครั้งและมีสติดี เพียงแต่ยังรู้สึกอ่อนแรงเท่านั้น มองเห็นทุกการกระทำของหมอและคนอื่น ๆ“ร่างกายปกติดีนะครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ช่วงนี้ก็นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ” หมอพูดขึ้น“แต่ลูกสาวดิฉันนอนสลบ
ณ มคธนคร กลางค่ำคืนแห่งจันทราแดง ท้องฟ้าสีเลือดคลุ้งด้วยกลิ่นลางร้าย ดวงจันทร์เต็มดวงถูกหมอกพิษบดบังเพียงครึ่ง… และที่ระเบียงสูงของของตำหนัก ผณินทรยืนนิ่ง ลมเย็นปะทะใบหน้าที่เปื้อนแววหม่นเศร้า เธอยังฝันถึงเสียงของรีภพ…เพื่อนร่วมรบ แม้เขาจะสลายกลายเป็นเศษพลังแห่งนาคธาตุไปแล้วเสียงฝีเท้าก้าวมาช้า ๆ...อาศิรวิษในชุดนักรบสีดำทอง สะพายหอกนาคา ก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แต่สายตาเขาจับจ้องมาไม่ลดละ“ข้าฝันถึงตรีภพอีกแล้ว…” เอ่ยเบา ๆ ราวสายลม“เขาอาจยังไม่ได้จากเราไปเสียหมด...” อาศิรวิษพูดเสียงต่ำแผ่ว "...วิญญาณที่ยึดมั่นในคำสัตย์ จะไม่มีวันดับสูญง่ายดาย"และแล้วทันใดนั้น...แผ่นดินก็สั่นไหวเบา ๆ เงานาคที่หลับใหลใต้มหานทีเริ่มขยับณ เทวสถานบ่วงนาคบาศ ในห้องลับใต้เมืองซึ่งซ่อน บ่วงนาคบาศไว้ตราบชั่วกาล…รอยร้าวปรากฏบนผนึกหิน เสียงกระซิบดั่งจากห้วงเหว..."ผู้ที่ควบคุมบ่วง คือผู้ปกครองพรหมแดน...แต่หากบ่วงนี้ตกอยู่ในมือของเงามืดจะไม่มีวันคืนใดปลอดภัย"ฉันและอาศิรวิษรีบรุดไปยังเทวสถานพร้อมคณะองครักษ์ที่นั่น...พวกเขาเจอร่องรอยการบุกรุกและสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดคือหน้ากากของศัตรูปรากฏ“นั่นใครหรือเจ้าคะเสด็จพ่อ
“ความลับที่อยู่ในใจของอาศิรวิษ... คือกุญแจสุดท้าย”และก่อนที่ฉันจะถามต่อ เสียงระเบิดพลังพุ่งเข้ามาจากทิศตะวันตก เสียงร้องเตือนจากทหารของมคธนครดังสนั่น“มีเงามืดบุกเข้ามา! พวกมันมีตราเหมือนกับศศินา!”ฉันเบิกตากว้าง“หมายความว่าไง?!”เสียงของอาศิรวิษตะโกนมาอย่างรีบเร่ง“เจ้านางน้อย! อยู่ข้างหลังข้า!”เขาคว้าฉันไว้ในอ้อมแขน ดึงออกจากระเบียงก่อนเปลวพลังจะระเบิดฟาดผ่านจากเงามืด...ศศินาค่อยๆ เดินออกมาอีกครั้ง“ข้า...ไม่ใช่ศศินาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว อาศิรวิษ”และเบื้องหลังนางคือเงาในคราบอดีตของอาศิรวิษ ที่เขาไม่เคยเปิดเผยกับใคร...ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าไม่ใช่เพียงศศินา หากแต่คือใครบางคนที่มีเงาทาบซ้อนอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตานางไม่ใช่ศศินาอีกต่อไปแต่คือผู้ที่ครอบครองนางอาศิรวิษหน้าถอดสี ฉันสัมผัสได้ว่าเขากำลังสั่นเล็กน้อย“นางคือ...อาคิรนัย”เสียงของอาศิรวิษหลุดเบาออกมาราวกับวิญญาณเขาจะหลุดจากร่าง ฉันหันไปมองเขาด้วยความสงสัยปนสั่นไหว
ฉันก้าวเดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง หัวใจหนักอึ้งด้วยความสูญเสีย ในมือยังคงกำผ้าผูกข้อมือสีทองของอาศิรวิษและจี้หยดครามของตรีภพไว้แน่น ความทรงจำของพวกเขายังคงชัดเจนในจิตใจ ฉันตัดสินใจเดินทางสู่แดนต้องห้าม สถานที่ซึ่งเล่าขานว่าเป็นที่สถิตของ ผู้เฝ้าประตูแห่งวิญญาณ เชื่อกันว่าผู้เฝ้าประตูสามารถนำวิญญาณกลับคืนสู่โลกได้ แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ฉันต้องฝ่าฟันผ่านป่าทึบที่มีสัตว์ร้ายและกับดักมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพ จึงไม่ยอมแพ้ เมื่อมาถึงประตูแห่งวิญญาณ ฉันพบกับผู้เฝ้าประตู เธอเป็นหญิงสาวลึกลับที่มีดวงตาสีเงินเปล่งประกาย เธอมองฉันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก"เจ้าปรารถนาจะนำวิญญาณกลับคืนหรือ?" เธอถามด้วยเสียงเย็นชาฉันพยักหน้าและตอบด้วยเสียงสั่นเครือ"ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้พวกเขากลับมา"ผู้เฝ้าประตูยิ้มบางๆ และกล่าวว่า"การแลกเปลี่ยนนี้ เจ้าต้องสละสิ่งที่เจ้ารักที่สุด เจ้าพร้อมหรือไม่?"ฉันนิ่งคิด ความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพคือสิ่งที่มีค่
คืนหลังศึกใหญ่...สายลมพัดเบา ใบไม้ไหวคล้ายลมหายใจแห่งพงไพร ฉันยืนอยู่ริมระเบียงเรือนรับรองของมคธนครจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือผืนน้ำเบื้องล่าง มือยังอบอุ่นจากสัมผัสสุดท้ายของใครบางคน เสียงฝีเท้าแผ่วเบา... แต่ฉันรู้ทันทีว่าเป็นเขา“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตื่นอยู่” เสียงของเขาเบาราวกระซิบ“ข้ารอท่านอยู่ต่างหาก...”ฉันหันไปยิ้มอ่อนให้ชายตรงหน้า อาศิรวิษเดินเข้ามาใกล้ ยังสวมชุดนาคาธิคุณที่ซีดจางไปเล็กน้อย แผลบนร่างเขาเกือบหายดีแล้ว แต่ในดวงตายังมี ความอ่อนล้า...และบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าเดิม“ท่านรู้ไหม… ตอนที่ท่านกางแขนป้องข้าไว้ข้างหลัง ข้าคิดว่า…ข้ากำลังจะเสียท่านไป” เสียงของฉันเบาราวเสียงสายฝนแรกของปี “แต่ท่านก็ยังอยู่ตรงนี้…ยังอยู่กับข้า”เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้“ข้าเคยคิดว่า ความรักของข้า…ต้องจางหายไปเหมือนละอองควัน แต่ท่านทำให้ข้ารู้ว่า ความรักไม่ต้องดัง ไม่ต้องร้อนแรง แค่อยู่ตรงนั้นเสมอ…ก็พอแล้ว”ฉันรู้สึกได
หลังจากที่เข้าพบเจ้าหลวง ในคืนเดียวกันฉันรู้สึกถึงแรงบางอย่างที่กำลังเริ่มคืบคลานเข้ามา...อาศิรวิษพาฉันมายืนใต้แสงจันทร์ เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น“พี่มีเรื่องจะถาม…ถ้าวันหนึ่งเจ้าพบว่ามีบางคนจากอดีตชาติ กลับมาทวงคำสัญญา…เจ้าจักเลือกอะไร?”ฉันชะงักทันที คำถามนั้นแฝงความกลัว...ไม่ใช่ต่ออดีตแต่ต่อการสูญเสีย ฉันไม่ตอบ แต่กุมมือเขาไว้แน่น แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า“อดีตอาจมีคำสัญญา แต่ปัจจุบันคือความรู้สึก และในวันนี้...ข้าเลือกท่าน”อาศิรวิษหลับตาแน่น ดวงตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อยแล้วกอดฉันไว้ เหมือนกลัวว่าฉันจะหายไปแต่ในเงาจันทร์เหนือสระบูชา เงาดำรูปหนึ่งก้าวออกจากเงาสะท้อนของน้ำ เขายืนเงียบ ใบหน้ายังปิดด้วยผ้าดำ...แต่เสียงแผ่วนั้นดังก้องในเงามืด เหมือนในฝันคืนก่อน“อ อาศิรวิษดูนั่น” ฉันเรียกให้เขาเงยมองเบื้องบน อาศิรวิษเจ้ามือฉันแน่น เหมือนสื่อว่าไม่ต้องกลัวตราบใดที่เขายังอยู่ตรงนี้“ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางของเจ้า เยี่ยงนั้นข้าก็จะเลือกทางของข้าเช่นกัน...ผณินทร”
เวลาผ่านไปหลายวันหลังจากพวกเรากลับมาจากการเดินทางอันยาวไกล มคธนครเริ่มกลับมาสงบอีกครั้ง แต่หัวใจของฉันกลับค่อย ๆ ก่อเกิดบางอย่างใหม่ในความเงียบ...ความรู้สึกอ่อนโยน ความอบอุ่นค่อย ๆ แทรกเข้ามาจากอาศิรวิษ เขาไม่เคยพูดคำว่ารัก ไม่เคยขออะไรจากฉัน แต่เขาอยู่ตรงนั้นเสมอ แม้ยามฉันเงียบ แม้ยามฉันหวั่นไหว เขาก็ยังอยู่วันนี้ฉันเดินไปยังสวนบุษบันอันสงบ ท่ามกลางเสียงของสายน้ำและกลิ่นหอมจาง ๆ ของเกสรดอกไม้ ที่นั่นมีอาศิรวิษยืนรออยู่ก่อนแล้ว“ข้ารู้เจ้านางน้อยชอบที่นี่ เลยเก็บดอกไม้ที่เจ้าชอบมาด้วย” เขายื่นดอกบุษบันสีชมพูอ่อนให้ ฉันรับมันมาเงียบ ๆ หัวใจอบอุ่นโดยไม่ต้องมีคำใด พวกเรานั่งข้างกันใต้ร่มไม้“อาศิรวิษ…ท่านเคยรู้สึกไหม ว่าเราทั้งคู่ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว”เขายิ้มอ่อนเมื่อฉันพูดจบ“เพราะเราเติบโตขึ้นพร้อมกัน…” อาศิรวิษเอ่ยขึ้น ฉันมองมือของเขาเงียบ ๆ วางไว้ใกล้มือของฉัน มือที่เคยปกป้อง เคยดึงฉันขึ้นจากความกลัว แล้วฉันก็วางมือลงไปบนมือนั้น...ด้วยความรู้สึกวูบไหว“ข้าไม่รู้ว่าความรัก
ฉันไม่เคยคิดว่า…เสียงของบ่วงนาคบาศจะเหมือนเสียงหัวใจ มันไม่ได้ดังกังวานอย่างศาสตรา แต่มันเต้นในจังหวะเดียวกับจิตของผู้ถือมัน ราวกับกำลังฟังเสียงความจริงจากเงาลึกในตัวเอง หลังจากปลดผนึกครุฑานนท์ โลกเริ่มเปลี่ยนเส้นพลังแห่งสมดุลเริ่มเคลื่อน แต่...บางอย่างกลับต้านไว้จากเบื้องหลัง“ผณินทร...โลกนี้ยังไม่ปลอดภัย ยังมีเงาหนึ่งที่เฝ้าจ้องอยู่หลังม่านกรรม...ในวิหารไร้เงาที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อ”เสียงจิตตรีภพกระซิบในยามค่ำ แม้ตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนที่ฉันสัมผัสได้ตรงหน้า เขาคือพลังเงียบที่คอยคุ้มครองฉัน…ไม่ว่าวันคืนจะเลื่อนลับไปไกลเพียงใดอาศิรวิษและฉันร่วมทางกันอีกครั้ง“หากเจ้านางน้อยเข้าไปในวิหารนั้นแล้ว จะไม่สามารถเป็นคนเดิมได้อีก” เขาเตือนเบา ๆ“ข้าไม่เป็นคนเดิมตั้งแต่วันที่ได้รู้จักท่านแล้ว…” ฉันตอบดวงตาเขาสะท้อนแสงดาวในราตรีนั้น ก่อนจะเบือนสายตาลงต่ำแต่ก่อนที่เราจะก้าวข้ามเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ มีกำแพงหนึ่งที่พวกเราต้องเผชิญ ประตูแห่งกรรม ประตูนั้นไม่มีมือจับ ไม่มีกล
พิธีเริ่มต้น กลางทะเลสาบวิญญาณ ณ ผืนป่าหิมพานต์เราเริ่มพิธีในคืนที่ดาวทั้งหมดดับลง ฉันเปล่งเสียงเรียกชื่อตรีภพ เสียงนั้นทะลวงผ่านขอบฟ้ามิติ อาศิรวิษหลั่งเลือดลงกลางพิธีเกล็ดทองสว่างระยิบ ร่วงหล่นเข้าวงเวท และฉันร่ายบทสวดเรียกเสี้ยวจิต ในวินาทีที่เงาเงียบทั้งหมดรวมกัน...เศษวิญญาณของตรีภพ ปรากฏขึ้นในรูปของลูกแก้วเรืองแสงสีฟ้าอ่อน พลังของเขาไม่สามารถกลับมาเป็นคนได้อีกแล้ว แต่เขายังอยู่…ในรูปของ ดวงจิตเฝ้ามอง ฉันนำลูกแก้วนั้นไปวางไว้ใต้ต้นอโศกสีทอง ที่ขึ้นจากน้ำตาหยดแรกของฉันในวันเขาจากไป มีเขาอยู่กับฉัน แม้จะไม่ใช่แบบเดิม แต่ฉันรู้ว่า...ดวงจิตเขายังมองพวกเราจากใต้แสงฟ้านั้นอาศิรวิษยืนเคียงข้างฉัน เขาไม่เคยทวงคืนสิ่งใด“แม้เจ้านางน้อยไม่ได้รักข้าอย่างที่ข้าเคยหวัง แต่ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ข้างเจ้านางน้อยเสมอ”ฉันจับมืออาศิรวิษแน่น แล้วหันหน้าพูด“รู้ได้ไงว่าไม่เคยรัก”“?”“หรือว่าท่านไม่เคยใส่ใจกันแน่”“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเอ่ยเสียงแผ่ว แววตาของเ