เวลาผ่านไปหลายวันหลังจากพวกเรากลับมาจากการเดินทางอันยาวไกล มคธนครเริ่มกลับมาสงบอีกครั้ง แต่หัวใจของฉันกลับค่อย ๆ ก่อเกิดบางอย่างใหม่ในความเงียบ...ความรู้สึกอ่อนโยน ความอบอุ่นค่อย ๆ แทรกเข้ามาจากอาศิรวิษ เขาไม่เคยพูดคำว่ารัก ไม่เคยขออะไรจากฉัน แต่เขาอยู่ตรงนั้นเสมอ แม้ยามฉันเงียบ แม้ยามฉันหวั่นไหว เขาก็ยังอยู่
วันนี้ฉันเดินไปยังสวนบุษบันอันสงบ ท่ามกลางเสียงของสายน้ำและกลิ่นหอมจาง ๆ ของเกสรดอกไม้ ที่นั่นมีอาศิรวิษยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“ข้ารู้เจ้านางน้อยชอบที่นี่ เลยเก็บดอกไม้ที่เจ้าชอบมาด้วย” เขายื่นดอกบุษบันสีชมพูอ่อนให้ ฉันรับมันมาเงียบ ๆ หัวใจอบอุ่นโดยไม่ต้องมีคำใด พวกเรานั่งข้างกันใต้ร่มไม้
“อาศิรวิษ…ท่านเคยรู้สึกไหม ว่าเราทั้งคู่ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว”
เขายิ้มอ่อนเมื่อฉันพูดจบ
“เพราะเราเติบโตขึ้นพร้อมกัน…” อาศิรวิษเอ่ยขึ้น
ฉันมองมือของเขาเงียบ ๆ วางไว้ใกล้มือของฉัน มือที่เคยปกป้อง เคยดึงฉันขึ้นจากความกลัว แล้วฉันก็วางมือลงไปบนมือนั้น...ด้วยความรู้สึกวูบไหว
“ข้าไม่รู้ว่าความรักของนาคา...เป็นเยี่ยงไร แต่ถ้าท่านอนุญาต...ข้าขอลองเรียนรู้มันไปพร้อมกับท่านได้หรือไม่” ฉันตัดสินใจพูดคำขอเหล่านี้ เพราะแน่ใจแล้วว่าความรู้สึกที่เก็บซ่อนลึกในหัวใจ มันคือความรัก
อาศิรวิษนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแผ่วเบา แววตาของเขาสั่นระริก แต่เปี่ยมด้วยความยินดี
“ข้ารอมานาน...แค่ให้เจ้านางน้อยหันมา เพราะรู้ตัวเองดีว่าไม่คู่ควร”
“แต่ท่านก็มีฐานะเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าหลวง เรื่องนั้น...” มันคือสิ่งที่ฉันกังวลใจ
“เจ้านางน้อยลืมพระประสงค์ของเจ้าหลวงสิ้นแล้วหรืออย่างไร?”
“...” ฉันเงียบด้วยความไม่เข้าใจ และรอฟังคำกล่าวต่อไป
“ฐานะบุตรบุญธรรมที่เจ้าหลวงแต่งตั้งให้พี่ ก็เพื่อรอคอยท่านยามเติบโต” อาศิรวิษพูดพร้อมระบายรอยยิ้ม
“จริงรึ?”
ที่แท้ผณินทรก็ถูกตีตราจองไว้นานแล้ว ฉันล่ะ? ฉันคือมณีณิน หากเขารู้ว่าฉันไม่ใช่ตัวจริงจะยังพร้อมอยู่เคียงข้างแบบนี้ไหม
ขณะจันทร์คล้อยลง ฉันรู้สึกถึงกระแสพลังแปลกประหลาดบางอย่าง
“มีบางสิ่ง...ตื่นขึ้นจากบาดาลชั้นลึก”
“นั่นไม่ใช่ศัตรูธรรมดา...” อาศิรวิษกระซิบเสียงต่ำ
“มันคือพลังที่เคยถูกผนึกไว้ในยุคก่อน...อาจเป็นหนึ่งในห้าดวงญาณต้องสาป ที่บรรพชนเคยเตือน จงระวัง...สิ่งที่กำลังตื่นขึ้นไม่ใช่แค่ปีศาจ แต่มันรู้จักเจ้าดีเกินไป ผณินทร…” เสียงของตรีภพแว่วเข้ามาในหัวของฉัน เศษจิตของเขายังเฝ้ามองเราเสมอ...ดั่งเงาเฝ้าปกปัก
ฉันหันไปสบตาอาศิรวิษอีกครั้ง และบอกตัวเองว่า ไม่ว่าอะไรจะตื่นขึ้นมาฉันจะไม่กลัวอีก เพราะครั้งนี้...หัวใจของฉันมีที่ให้ยึดแล้ว
ราตรีนั้นฉันไม่อาจข่มตาหลับได้ แม้จะอยู่ห้องพักในปราสาทมคธนคร อบอวลด้วยกลิ่นสมุนไพรนาคา และเสียงสายธารจากลำธารศักดิ์สิทธิ์…แต่ฉันรู้บางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว เสียงของตรีภพในเศษวิญญาณยังคงดังชัดในจิต
“จงระวัง…ดวงญาณที่กำลังตื่นขึ้น มันไม่ได้ลืมเจ้า…และเจ้าเองก็เคยสัญญากับมันไว้…”
ไม่รู้ว่าฉันต้องเจอเรื่องราวเลวร้ายอะไรอีก แต่ในเมื่อชะตานำพามาแล้ว ฉันก็คงต้องเดินหน้าสู้ต่อ
ฉันฝัน...ในฝันนั้นฉันยืนอยู่ริมหุบเขาแห่งหนึ่ง ใต้ฟ้าสีแดงฉาน ผู้ชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้ ผ้าคลุมสีดำคล้ายหมึกไหล เคลื่อนไหวตามแรงลม เขาหันมาช้า ๆ ใบหน้า…มีผ้าผืนหนึ่งปิดตาไว้ แต่ฉันกลับรู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเขาเคยมองฉันด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างยิ่ง
“เจ้า…เคยให้คำสัญญาไว้ ว่าจะกลับมาแต่มาวันนี้ เจ้าอยู่ข้างใครล่ะ ผณินทร”
เสียงนั้นเจือปนความแค้น…แต่ฟังแล้วก็เศร้า จากด้านหลังของเขา เงาสีดำเริ่มกระเพื่อม มันเหมือนจะมีเขาอีกหลายคน หลายเงา ค่อย ๆ ทับซ้อนกัน บางเงากระซิบว่า
“เจ้าทรยศ” บางเงาเอ่ยว่า
“เจ้าเลือกเขา ไม่ใช่ข้า”
ฉันสะดุ้งตื่น หัวใจเต้นแรง แล้วประตูก็เปิดออกอย่างเงียบงัน อาศิรวิษ ก้าวเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด หรือเขารับรู้ถึงพลังที่สั่นคลอนจากฉัน
“ฝันหรือ?…กระหม่อมได้ยินเสียงเจ้านางน้อยร้องชื่อใครบางคนเบา ๆ”
เขาพูดเป็นทางการเพราะมีบริวารอยู่ด้วย ฉันมองไปยังกาลัดและกลีบบัว ที่นั่งอยู่ข้างเตียง จากนั้นทั้งสองคนก็ถอยออกจากห้องไปอย่างรู้สิ่งที่ควรทำ ฉันมองอาศิรวิษ ดวงตาเขาเจือปนแววห่วงใย…แต่ลึกลงไปมีอะไรบางอย่างที่บอกว่าหัวใจเขากำลังไหวหวั่น
“ข้าฝันถึงใครบางคน...ที่อาจจะเคยรู้จักในอดีต เขาเหมือนจะผูกพันกับข้า...มากเกินกว่าที่ข้าจำได้”
อาศิรวิษเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะนั่งลงข้างฉัน แล้วเอ่ยเบา ๆ
“ไม่ว่าจะเป็นใครในอดีต...แต่ปัจจุบันเจ้ามีพี่ และตราบใดที่เจ้าต้องการ พี่จะไม่ปล่อยให้ใครมาแย่งเจ้าไปอีก” คำพูดนั้นอบอุ่นจนฉันเผลอเอียงไหล่ซบเขาเบา ๆ แต่ในความอบอุ่น…ฉันกลับรู้ว่าดวงญาณต้องสาปดวงแรก กำลังใกล้เข้ามา
ในยามเช้าฉันและอาศิรวิษถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าเจ้าหลวงเป็นการส่วนตัว
“แม้พวกเจ้าจะนำบ่วงนาคบาศกลับมาได้ แต่พลังของมันยังไม่สมบูรณ์โดยแท้จริง เพราะจิตแห่งนาคราชเทวา ที่จะเติมเต็มพลังยังไม่ปรากฏ และดวงญาณต้องสาปจะเริ่มตามหาเจ้า ก่อนที่เจ้าได้พบมัน”
เหมือนเจ้าหลวงจะรู้บางอย่างล่วงหน้า ถึงได้เรียกฉันกับอาศิรวิษเข้าพบ
“แล้วหม่อมฉันควรจะทำเยี่ยงไร ท่านช่วยข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ผณิทรเอ๋ย ชะตาของเจ้าซับซ้อนนัก แม้กายหยาบที่ปรากฎต่อหน้าพ่อตอนนี้จักเป็นผณิทร แต่ดวงจิตของเจ้ากลับหาใช่ไม่” เจ้าหลวงพูดขึ้น ทำเอาฉันเบิกตากว้างทันที หัวใจกระตุกวูบ แล้วหันไปมองอาศิรวิษ แต่สีหน้าของเขานิ่ง หรือเขารู้อยู่แล้วอย่างนั้นเหรอ?
“ท ท่านรู้?”
เจ้าหลวงไม่ตอบเพียงแต่พยักหน้า
“แล้วท่านล่ะอาศิรวิษ?” ฉันหันไปถามอีกคน
“ต่อให้เจ้านางน้อยจักเป็นผู้ใด แต่สุดท้ายก็คือผณินทรอยู่ดีมิใช่หรือ?” อาศิรวิษตอบด้วยรอยยิ้ม เขาไม่มีแววโกรธเลยแม้แต่น้อย
ความอึดอัดที่ไม่ใช่ตัวตนเริ่มผ่อนคลาย ฉันโล่งใจขึ้นมาก หลังจากที่อาศิรวิษรู้ความจริง
-ปัจจุบัน-ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน ฉันเริ่มรู้สึกตัวและได้กลิ่นคละคลุ้งของยา พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น และมองโดยรอบเห็นแม่กับพี่น้ำที่นอนตรงโซฟา นี่คงเป็นห้องพักพิเศษถึงได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย“ณินฟื้นแล้วค่ะ” เสียงของแม่ดังขึ้นด้วยความดีใจฉันกวาดสายตามองรอบ ๆ เห็นพ่อ แม่และพี่ชาย ยืนยิ้มมองมาทางฉันด้วยสีหน้าดีใจ“เป็นยังไงบ้างลูก น้ำไปตามหมอบอกณินฟื้นแล้ว”“ครับพ่อ”พ่อถามแต่ฉันยังไม่ตอบ เหมือนกับปากของฉันมันไม่มีแรงอ้าจะพูดกับใคร ได้แต่พยายามฉีกยิ้มให้ สื่อว่าฉันไม่เป็นอะไร จากนั้นพ่อกันหันไปบอกพี่น้ำให้ตามหมอ แล้วพี่ชายของฉันก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ไม่นานพี่น้ำก็มาพร้อมหมอและพยาบาลหนึ่งคน มาถึงก็จับนั่นตรวจนี่ ฉันรู้สึกตัวทุกครั้งและมีสติดี เพียงแต่ยังรู้สึกอ่อนแรงเท่านั้น มองเห็นทุกการกระทำของหมอและคนอื่น ๆ“ร่างกายปกติดีนะครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ช่วงนี้ก็นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ” หมอพูดขึ้น“แต่ลูกสาวดิฉันนอนสลบ
ณ มคธนคร กลางค่ำคืนแห่งจันทราแดง ท้องฟ้าสีเลือดคลุ้งด้วยกลิ่นลางร้าย ดวงจันทร์เต็มดวงถูกหมอกพิษบดบังเพียงครึ่ง… และที่ระเบียงสูงของของตำหนัก ผณินทรยืนนิ่ง ลมเย็นปะทะใบหน้าที่เปื้อนแววหม่นเศร้า เธอยังฝันถึงเสียงของรีภพ…เพื่อนร่วมรบ แม้เขาจะสลายกลายเป็นเศษพลังแห่งนาคธาตุไปแล้วเสียงฝีเท้าก้าวมาช้า ๆ...อาศิรวิษในชุดนักรบสีดำทอง สะพายหอกนาคา ก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แต่สายตาเขาจับจ้องมาไม่ลดละ“ข้าฝันถึงตรีภพอีกแล้ว…” เอ่ยเบา ๆ ราวสายลม“เขาอาจยังไม่ได้จากเราไปเสียหมด...” อาศิรวิษพูดเสียงต่ำแผ่ว "...วิญญาณที่ยึดมั่นในคำสัตย์ จะไม่มีวันดับสูญง่ายดาย"และแล้วทันใดนั้น...แผ่นดินก็สั่นไหวเบา ๆ เงานาคที่หลับใหลใต้มหานทีเริ่มขยับณ เทวสถานบ่วงนาคบาศ ในห้องลับใต้เมืองซึ่งซ่อน บ่วงนาคบาศไว้ตราบชั่วกาล…รอยร้าวปรากฏบนผนึกหิน เสียงกระซิบดั่งจากห้วงเหว..."ผู้ที่ควบคุมบ่วง คือผู้ปกครองพรหมแดน...แต่หากบ่วงนี้ตกอยู่ในมือของเงามืดจะไม่มีวันคืนใดปลอดภัย"ฉันและอาศิรวิษรีบรุดไปยังเทวสถานพร้อมคณะองครักษ์ที่นั่น...พวกเขาเจอร่องรอยการบุกรุกและสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดคือหน้ากากของศัตรูปรากฏ“นั่นใครหรือเจ้าคะเสด็จพ่อ
“ความลับที่อยู่ในใจของอาศิรวิษ... คือกุญแจสุดท้าย”และก่อนที่ฉันจะถามต่อ เสียงระเบิดพลังพุ่งเข้ามาจากทิศตะวันตก เสียงร้องเตือนจากทหารของมคธนครดังสนั่น“มีเงามืดบุกเข้ามา! พวกมันมีตราเหมือนกับศศินา!”ฉันเบิกตากว้าง“หมายความว่าไง?!”เสียงของอาศิรวิษตะโกนมาอย่างรีบเร่ง“เจ้านางน้อย! อยู่ข้างหลังข้า!”เขาคว้าฉันไว้ในอ้อมแขน ดึงออกจากระเบียงก่อนเปลวพลังจะระเบิดฟาดผ่านจากเงามืด...ศศินาค่อยๆ เดินออกมาอีกครั้ง“ข้า...ไม่ใช่ศศินาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว อาศิรวิษ”และเบื้องหลังนางคือเงาในคราบอดีตของอาศิรวิษ ที่เขาไม่เคยเปิดเผยกับใคร...ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าไม่ใช่เพียงศศินา หากแต่คือใครบางคนที่มีเงาทาบซ้อนอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตานางไม่ใช่ศศินาอีกต่อไปแต่คือผู้ที่ครอบครองนางอาศิรวิษหน้าถอดสี ฉันสัมผัสได้ว่าเขากำลังสั่นเล็กน้อย“นางคือ...อาคิรนัย”เสียงของอาศิรวิษหลุดเบาออกมาราวกับวิญญาณเขาจะหลุดจากร่าง ฉันหันไปมองเขาด้วยความสงสัยปนสั่นไหว
ฉันก้าวเดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง หัวใจหนักอึ้งด้วยความสูญเสีย ในมือยังคงกำผ้าผูกข้อมือสีทองของอาศิรวิษและจี้หยดครามของตรีภพไว้แน่น ความทรงจำของพวกเขายังคงชัดเจนในจิตใจ ฉันตัดสินใจเดินทางสู่แดนต้องห้าม สถานที่ซึ่งเล่าขานว่าเป็นที่สถิตของ ผู้เฝ้าประตูแห่งวิญญาณ เชื่อกันว่าผู้เฝ้าประตูสามารถนำวิญญาณกลับคืนสู่โลกได้ แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ฉันต้องฝ่าฟันผ่านป่าทึบที่มีสัตว์ร้ายและกับดักมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพ จึงไม่ยอมแพ้ เมื่อมาถึงประตูแห่งวิญญาณ ฉันพบกับผู้เฝ้าประตู เธอเป็นหญิงสาวลึกลับที่มีดวงตาสีเงินเปล่งประกาย เธอมองฉันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก"เจ้าปรารถนาจะนำวิญญาณกลับคืนหรือ?" เธอถามด้วยเสียงเย็นชาฉันพยักหน้าและตอบด้วยเสียงสั่นเครือ"ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้พวกเขากลับมา"ผู้เฝ้าประตูยิ้มบางๆ และกล่าวว่า"การแลกเปลี่ยนนี้ เจ้าต้องสละสิ่งที่เจ้ารักที่สุด เจ้าพร้อมหรือไม่?"ฉันนิ่งคิด ความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพคือสิ่งที่มีค่
คืนหลังศึกใหญ่...สายลมพัดเบา ใบไม้ไหวคล้ายลมหายใจแห่งพงไพร ฉันยืนอยู่ริมระเบียงเรือนรับรองของมคธนครจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือผืนน้ำเบื้องล่าง มือยังอบอุ่นจากสัมผัสสุดท้ายของใครบางคน เสียงฝีเท้าแผ่วเบา... แต่ฉันรู้ทันทีว่าเป็นเขา“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตื่นอยู่” เสียงของเขาเบาราวกระซิบ“ข้ารอท่านอยู่ต่างหาก...”ฉันหันไปยิ้มอ่อนให้ชายตรงหน้า อาศิรวิษเดินเข้ามาใกล้ ยังสวมชุดนาคาธิคุณที่ซีดจางไปเล็กน้อย แผลบนร่างเขาเกือบหายดีแล้ว แต่ในดวงตายังมี ความอ่อนล้า...และบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าเดิม“ท่านรู้ไหม… ตอนที่ท่านกางแขนป้องข้าไว้ข้างหลัง ข้าคิดว่า…ข้ากำลังจะเสียท่านไป” เสียงของฉันเบาราวเสียงสายฝนแรกของปี “แต่ท่านก็ยังอยู่ตรงนี้…ยังอยู่กับข้า”เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้“ข้าเคยคิดว่า ความรักของข้า…ต้องจางหายไปเหมือนละอองควัน แต่ท่านทำให้ข้ารู้ว่า ความรักไม่ต้องดัง ไม่ต้องร้อนแรง แค่อยู่ตรงนั้นเสมอ…ก็พอแล้ว”ฉันรู้สึกได
หลังจากที่เข้าพบเจ้าหลวง ในคืนเดียวกันฉันรู้สึกถึงแรงบางอย่างที่กำลังเริ่มคืบคลานเข้ามา...อาศิรวิษพาฉันมายืนใต้แสงจันทร์ เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น“พี่มีเรื่องจะถาม…ถ้าวันหนึ่งเจ้าพบว่ามีบางคนจากอดีตชาติ กลับมาทวงคำสัญญา…เจ้าจักเลือกอะไร?”ฉันชะงักทันที คำถามนั้นแฝงความกลัว...ไม่ใช่ต่ออดีตแต่ต่อการสูญเสีย ฉันไม่ตอบ แต่กุมมือเขาไว้แน่น แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า“อดีตอาจมีคำสัญญา แต่ปัจจุบันคือความรู้สึก และในวันนี้...ข้าเลือกท่าน”อาศิรวิษหลับตาแน่น ดวงตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อยแล้วกอดฉันไว้ เหมือนกลัวว่าฉันจะหายไปแต่ในเงาจันทร์เหนือสระบูชา เงาดำรูปหนึ่งก้าวออกจากเงาสะท้อนของน้ำ เขายืนเงียบ ใบหน้ายังปิดด้วยผ้าดำ...แต่เสียงแผ่วนั้นดังก้องในเงามืด เหมือนในฝันคืนก่อน“อ อาศิรวิษดูนั่น” ฉันเรียกให้เขาเงยมองเบื้องบน อาศิรวิษเจ้ามือฉันแน่น เหมือนสื่อว่าไม่ต้องกลัวตราบใดที่เขายังอยู่ตรงนี้“ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางของเจ้า เยี่ยงนั้นข้าก็จะเลือกทางของข้าเช่นกัน...ผณินทร”
เวลาผ่านไปหลายวันหลังจากพวกเรากลับมาจากการเดินทางอันยาวไกล มคธนครเริ่มกลับมาสงบอีกครั้ง แต่หัวใจของฉันกลับค่อย ๆ ก่อเกิดบางอย่างใหม่ในความเงียบ...ความรู้สึกอ่อนโยน ความอบอุ่นค่อย ๆ แทรกเข้ามาจากอาศิรวิษ เขาไม่เคยพูดคำว่ารัก ไม่เคยขออะไรจากฉัน แต่เขาอยู่ตรงนั้นเสมอ แม้ยามฉันเงียบ แม้ยามฉันหวั่นไหว เขาก็ยังอยู่วันนี้ฉันเดินไปยังสวนบุษบันอันสงบ ท่ามกลางเสียงของสายน้ำและกลิ่นหอมจาง ๆ ของเกสรดอกไม้ ที่นั่นมีอาศิรวิษยืนรออยู่ก่อนแล้ว“ข้ารู้เจ้านางน้อยชอบที่นี่ เลยเก็บดอกไม้ที่เจ้าชอบมาด้วย” เขายื่นดอกบุษบันสีชมพูอ่อนให้ ฉันรับมันมาเงียบ ๆ หัวใจอบอุ่นโดยไม่ต้องมีคำใด พวกเรานั่งข้างกันใต้ร่มไม้“อาศิรวิษ…ท่านเคยรู้สึกไหม ว่าเราทั้งคู่ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว”เขายิ้มอ่อนเมื่อฉันพูดจบ“เพราะเราเติบโตขึ้นพร้อมกัน…” อาศิรวิษเอ่ยขึ้น ฉันมองมือของเขาเงียบ ๆ วางไว้ใกล้มือของฉัน มือที่เคยปกป้อง เคยดึงฉันขึ้นจากความกลัว แล้วฉันก็วางมือลงไปบนมือนั้น...ด้วยความรู้สึกวูบไหว“ข้าไม่รู้ว่าความรัก
ฉันไม่เคยคิดว่า…เสียงของบ่วงนาคบาศจะเหมือนเสียงหัวใจ มันไม่ได้ดังกังวานอย่างศาสตรา แต่มันเต้นในจังหวะเดียวกับจิตของผู้ถือมัน ราวกับกำลังฟังเสียงความจริงจากเงาลึกในตัวเอง หลังจากปลดผนึกครุฑานนท์ โลกเริ่มเปลี่ยนเส้นพลังแห่งสมดุลเริ่มเคลื่อน แต่...บางอย่างกลับต้านไว้จากเบื้องหลัง“ผณินทร...โลกนี้ยังไม่ปลอดภัย ยังมีเงาหนึ่งที่เฝ้าจ้องอยู่หลังม่านกรรม...ในวิหารไร้เงาที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อ”เสียงจิตตรีภพกระซิบในยามค่ำ แม้ตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนที่ฉันสัมผัสได้ตรงหน้า เขาคือพลังเงียบที่คอยคุ้มครองฉัน…ไม่ว่าวันคืนจะเลื่อนลับไปไกลเพียงใดอาศิรวิษและฉันร่วมทางกันอีกครั้ง“หากเจ้านางน้อยเข้าไปในวิหารนั้นแล้ว จะไม่สามารถเป็นคนเดิมได้อีก” เขาเตือนเบา ๆ“ข้าไม่เป็นคนเดิมตั้งแต่วันที่ได้รู้จักท่านแล้ว…” ฉันตอบดวงตาเขาสะท้อนแสงดาวในราตรีนั้น ก่อนจะเบือนสายตาลงต่ำแต่ก่อนที่เราจะก้าวข้ามเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ มีกำแพงหนึ่งที่พวกเราต้องเผชิญ ประตูแห่งกรรม ประตูนั้นไม่มีมือจับ ไม่มีกล
พิธีเริ่มต้น กลางทะเลสาบวิญญาณ ณ ผืนป่าหิมพานต์เราเริ่มพิธีในคืนที่ดาวทั้งหมดดับลง ฉันเปล่งเสียงเรียกชื่อตรีภพ เสียงนั้นทะลวงผ่านขอบฟ้ามิติ อาศิรวิษหลั่งเลือดลงกลางพิธีเกล็ดทองสว่างระยิบ ร่วงหล่นเข้าวงเวท และฉันร่ายบทสวดเรียกเสี้ยวจิต ในวินาทีที่เงาเงียบทั้งหมดรวมกัน...เศษวิญญาณของตรีภพ ปรากฏขึ้นในรูปของลูกแก้วเรืองแสงสีฟ้าอ่อน พลังของเขาไม่สามารถกลับมาเป็นคนได้อีกแล้ว แต่เขายังอยู่…ในรูปของ ดวงจิตเฝ้ามอง ฉันนำลูกแก้วนั้นไปวางไว้ใต้ต้นอโศกสีทอง ที่ขึ้นจากน้ำตาหยดแรกของฉันในวันเขาจากไป มีเขาอยู่กับฉัน แม้จะไม่ใช่แบบเดิม แต่ฉันรู้ว่า...ดวงจิตเขายังมองพวกเราจากใต้แสงฟ้านั้นอาศิรวิษยืนเคียงข้างฉัน เขาไม่เคยทวงคืนสิ่งใด“แม้เจ้านางน้อยไม่ได้รักข้าอย่างที่ข้าเคยหวัง แต่ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ข้างเจ้านางน้อยเสมอ”ฉันจับมืออาศิรวิษแน่น แล้วหันหน้าพูด“รู้ได้ไงว่าไม่เคยรัก”“?”“หรือว่าท่านไม่เคยใส่ใจกันแน่”“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเอ่ยเสียงแผ่ว แววตาของเ