Home / แฟนตาซี / อาศิรวิษ / 10-เสียงเงียบของคนที่ไม่มีวันถูกเลือก

Share

10-เสียงเงียบของคนที่ไม่มีวันถูกเลือก

last update Last Updated: 2025-05-06 12:00:21

พิธีเริ่มต้น กลางทะเลสาบวิญญาณ ณ ผืนป่าหิมพานต์

เราเริ่มพิธีในคืนที่ดาวทั้งหมดดับลง ฉันเปล่งเสียงเรียกชื่อตรีภพ เสียงนั้นทะลวงผ่านขอบฟ้ามิติ อาศิรวิษหลั่งเลือดลงกลางพิธี

เกล็ดทองสว่างระยิบ ร่วงหล่นเข้าวงเวท และฉันร่ายบทสวดเรียกเสี้ยวจิต ในวินาทีที่เงาเงียบทั้งหมดรวมกัน...เศษวิญญาณของตรีภพ ปรากฏขึ้นในรูปของลูกแก้วเรืองแสงสีฟ้าอ่อน พลังของเขาไม่สามารถกลับมาเป็นคนได้อีกแล้ว แต่เขายังอยู่…ในรูปของ ดวงจิตเฝ้ามอง ฉันนำลูกแก้วนั้นไปวางไว้ใต้ต้นอโศกสีทอง ที่ขึ้นจากน้ำตาหยดแรกของฉันในวันเขาจากไป มีเขาอยู่กับฉัน แม้จะไม่ใช่แบบเดิม แต่ฉันรู้ว่า...ดวงจิตเขายังมองพวกเราจากใต้แสงฟ้านั้น

อาศิรวิษยืนเคียงข้างฉัน เขาไม่เคยทวงคืนสิ่งใด

“แม้เจ้านางน้อยไม่ได้รักข้าอย่างที่ข้าเคยหวัง แต่ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ข้างเจ้านางน้อยเสมอ”

ฉันจับมืออาศิรวิษแน่น แล้วหันหน้าพูด

“รู้ได้ไงว่าไม่เคยรัก”

“?”

“หรือว่าท่านไม่เคยใส่ใจกันแน่”

“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเอ่ยเสียงแผ่ว แววตาของเขาสั่นไหว และฉันยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา

ตรีภพ...ยังอยู่กับเราเสมอในแสงของต้นอโศกนั้น

และในหัวใจของฉันที่จะไม่มีวันลืมการเสียสละของเขา

หลังจากที่เราช่วยรักษาเศษวิญญาณของตรีภพไว้ในลูกแก้ววิญญาณใต้ต้นอโศก ฉันคิดว่า...ฉันคงไม่มีหน้าที่อะไรอีกต่อไปแล้ว แต่ฉันคิดผิด! คืนหนึ่งขณะที่ฉันยืนเฝ้าลูกแก้วนั้น

เสียงหนึ่งก็กระซิบมาจากในฝัน...

“บ่วง...นาค...บาศ...”

เสียงนั้นแหบพร่าเหมือนมาจากห้วงลึกของมิติ

ฉันสะดุ้งตื่น ลมหายใจติดขัด และภาพในหัวก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

“ของวิเศษที่หายไปนับพันปี บ่วงที่ผูกโชคชะตานาคกับครุฑ...ถ้าบ่วงนาคบาศตกอยู่ผิดมือ มันจะกลืนกินดินแดนทั้งสามภพ”

อาศิรวิษมองฉันแน่นิ่ง เมื่อล่วงรู้สิ่งที่ฉันฝัน เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ

“บ่วงนาคบาศ...ของจริงเคยถูกซ่อนไว้ในเขตต้องห้ามของหิมพานต์ แต่มีคนแอบเคลื่อนมันไป ก่อนสงครามครุฑ-นาคยุคสุดท้าย” ดวงตาเขาหนักแน่นแม้ยังเจ็บจากศึกก่อนหน้า

แต่เขาก็จับมือของฉันเอาไว้

“ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด...เราจะไปด้วยกัน”

ระหว่างเดินทาง ข้ารู้สึกถึงบางสิ่ง...เหมือนเงาโปร่งใสกำลังไล่ล่าพวกเรา ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่ครุฑ ไม่ใช่นาค แต่มันคือ เศษเงาของผู้ถูกผนึก ผู้เคยครอบครองบ่วงนาคบาศ! ขณะที่พวกเราผ่าน ถ้ำแก้วสามเงา เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นตรงกลางทาง

“เจ้ากำลังตามหาบ่วงที่ผูกโชคชะตา...แต่เจ้ารู้หรือไม่มันเคยผูกใจคนจนขาดกระจุยมาแล้วกี่คน?”

ทันใดนั้น! เงาดำทะลวงผ่านกำแพงหินพุ่งใส่ฉัน แต่เศษวิญญาณในลูกแก้วเรืองแสงกะทันหัน! ตรีภพ! เขาเปล่งแสงวิญญาณ สร้างโล่แสงบังตัวฉันไว้ เงาดำนั้นหวีดร้อง ก่อนละลายหายไป ฉันรู้ทันที...เขายังคอยปกป้องฉันอยู่จริง ๆ

ฉันและอาศิรวิษมุ่งหน้าไปยัง วิหารร้างสุเนตราที่เชื่อว่าเคยเป็นที่เก็บบ่วงนาคบาศ แต่มันถูกปิดผนึกไว้ด้วยมนตราสูงสุด ต้องใช้พลังเลือดของทั้ง นาคและครุฑพร้อมกันถึงจะเปิดได้!

“ข้าจะยอมปล่อยโลหิตข้า...แม้ข้าเป็นนาค” อาศิรวิษกล่าว

“แต่ต้องมีโลหิตครุฑอีกข้าง...”

ใครจะคิดว่ในวินาทีนั้น เศษวิญญาณของตรีภพเรืองแสงขึ้นและฉันเห็น ครุฑหนุ่มในร่างเขาเป็นจิตวิญญาณอีกด้านของตรีภพที่ไม่เคยเผยมาก่อน...

“ครุฑ?” ฉันพึมพำ

“ข้าไม่ใช่ครุฑโดยสายเลือด...แต่ข้าเคยเป็นหลานของผู้ถือบ่วง ข้าเคยสืบสายวิญญาณของเขา และข้ายังเหลือเศษพลังครุฑในร่างนี้”

ฉันกับอาศิรวิษมองหน้ากัน...ก่อนจะหลั่งโลหิตร่วมกันลงบนแท่นศิลา

ปึงงงงงง!

เสียงหินสั่นสะเทือน แสงจากวิหารพวยพุ่ง บ่วงนาคบาศค่อย ๆ ลอยขึ้นจากแท่นอย่างเชื่องช้า งูทองและปีกครุฑพันรอบกันด้วยเปลวพลังน่าสะพรึง แต่ยังไม่ทันได้แตะต้อง...เสียงกึกก้องจากฟากฟ้าก็ดังขึ้น!

“เจ้าคิดว่า...จะได้มันง่ายดายนักหรือ?”

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ ศัตรูใหม่ ผู้เฝ้าบ่วงบาศ...เสียงกึกก้องจากฟากฟ้าทำให้ทั้งวิหารสั่นสะเทือน กลุ่มเมฆเหนือศีรษะปั่นป่วน กลายเป็นวงแหวนสีเทาดำ และจากกลางเมฆหมุนวน…เงาร่างหนึ่งก็ร่อนลงช้า ๆ

ร่างนั้นมีปีกครุฑขนาดใหญ่ ปลายขนน้ำเงินเข้มคล้ายฟ้าฝนก่อนฤดูมรสุม ผ้าคลุมสีดำปลิวไสว หน้ากากทองคำปิดครึ่งใบหน้า เหลือเพียงดวงตาสีแดงเข้มดุจเปลวเพลิงในถ้ำลาวา

อาศิรวิษขยับมายืนขวางหน้าฉันในทันที เสียงต่ำกดลึกหลุดออกจากปากเขา

“อคินเทวะ”

“รู้จักอีกแล้วเหรอ?” ฉันมองเขาแล้วเกิดคำถามในใจ

“ใครเหรอ?” ฉันกระซิบถามอาศิรวิษ จากนั้นเขาก็เล่าให้ฟังคร่าว ๆ

อคินเทวะ เคยเป็นหัวหน้าครุฑราชองครักษ์ในสงครามครุฑนาคยุคก่อน แต่เขาทรยศหักหลังพวกพ้องโดยหลอมพลังทั้งนาคและครุฑเข้าด้วยกัน เพื่อให้ตนเหนือกว่าทุกเผ่าพันธุ์...เขาคือผู้สร้าง บ่วงนาคบาศจำลอง ขึ้นมาด้วยพลังวิญญาณจากผู้บริสุทธิ์นับร้อย

“เลวจริง ๆ” ฉันบ่นเบา ๆ

“ข้าเฝ้าบ่วงนี้มานับพันปี เพราะข้าเป็นคนเดียวที่รู้ว่ามันทำอะไรได้จริง” อคินเทวะกล่าว

“มันไม่ได้แค่ผนึกพลัง แต่มันสามารถควบคุมจิต ผู้มีเชื้อสายทั้งสอง...รวมถึงเจ้า...อาศิรวิษ!”

คำพูดนั้นทำให้ฉันสะอึก

“อาศิรวิษไม่ใช่นาคโดยเนื้อแท้?” ฉันเริ่มงงไปหมด นี่มันอะไรกันนักหนา

แวบหนึ่งรู้สึกถึงคลื่นพลังแปลกประหลาดในร่างอาศิรวิษ เขา...นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะกัดฟันแน่น

“ข้า...ไม่ใช่หุ่นเชิดของใคร!”

ทันใดนั้นเอง อคินเทวะสะบัดมือ บ่วงนาคบาศที่เพิ่งถูกปลุกพุ่งออกมารัดรอบวิหาร!

มันไม่ใช่เชือกธรรมดา แต่มันเป็นสายพันธะวิญญาณ

ที่สามารถผนึกจิตของผู้ที่มีเลือดนาคและครุฑผสมอยู่ และนั่นหมายถึง…อาศิรวิษ!

“ข้าจะใช้เจ้า เป็นกุญแจคืนชีวิตอมตะให้ข้า!” อคินเทวะตะโกนเสียงดังกึกก้อง

ฉันรู้ทันที...ว่าต้องแย่งบ่วงคืนให้ได้ ก่อนที่มันจะดูดวิญญาณของอาศิรวิษไป!

ขณะนั้นเอง เศษแสงสีทองจากลูกแก้ววิญญาณของตรีภพก็พวยพุ่งขึ้น เสียงของเขาดังเข้ามาในจิตของฉัน

“ผณินทร...เจ้าต้องเป็นคนหยุดเขา...เจ้าเท่านั้น!”

ฉันมองไปที่อาศิรวิษที่กำลังทรุดลงต่อหน้า เขายังยิ้มให้ฉันทั้งที่โดนพันธนาการทางวิญญาณอย่างรุนแรง สีหน้าอันแสนเจ็บปวดทำให้ฉันร้องไห้

“อย่าร้องไห้เลย...ท่านมีพลังมากกว่าที่คิด”

ฉันรวบรวมพลังทั้งหมดจากดวงจิต นึกถึงวันที่เราเคยยืนเคียงข้างกัน เสียงหัวเราะของอาศิรวิษยามเห็นดอกนาคห่มแสงแดดและรอยยิ้มของตรีภพ...ที่แฝงไว้ด้วยความห่วงใย

“ในฐานะทายาทแห่งนาคินีเอกวรา...ข้าขอปลุกพลังสืบสายด้วยความรัก ไม่ใช่ด้วยความแค้น!”

พริบตานั้น พลังบริสุทธิ์ไหลบ่า บ่วงนาคบาศที่พุ่งใส่ฉันกลับหยุดนิ่งกลางอากาศ ก่อนจะแตกเป็นเสี้ยวแสง

อคินเทวะ คำรามลั่นก่อนร่างของเขาจะสั่นสะเทือน

เพราะพลังที่เขาดูดกลืนไว้เริ่มย้อนกลับเข้าสู่บ่วง...

“บ่วงไม่ได้เลือกเจ้า...มันเลือกผู้ยึดมั่นในหัวใจโดยแท้!”

พลังจากฉันและอาศิรวิษ รวมถึงเศษวิญญาณของตรีภพ

หลอมรวมกลายเป็นพลังเพลิงทอง แผดเผาเงาอดีตและความทรยศของอคินเทวะไปในชั่วพริบตา ...เหลือเพียงความเงียบสงบ

กับบ่วงนาคบาศที่ลอยนิ่งอยู่ตรงหน้า มันไม่ใช่อาวุธอีกต่อไป แต่มันคือสิ่งที่รอ ผู้สมควรครอบครอง อย่างแท้จริง

ฉันหันไปหาอาศิรวิษ เขายังยืนอยู่ข้าง ๆ แม้เหนื่อยล้า แม้บอบช้ำ...แต่สายตาของเขาไม่เคยเปลี่ยน ฉันรู้แล้วว่า

ต่อจากนี้ ไม่ว่าจะเจออะไร เราจะเดินไปด้วยกัน

ฟ้าคืนนี้สงบนิ่ง...ราวกับไม่มีใครเคยร้องไห้ ราวกับไม่มีใครเคยเจ็บปวด แต่ฉันกลับยืนนิ่งอยู่กลางความเงียบนั้น ใจเต้นช้า ๆ ทว่าหนักแน่นกว่าที่เคย ในมือของฉันคือ บ่วงนาคบาศ ที่ตอนนี้...ไม่ใช่อาวุธแห่งการจองจำอีกต่อไป มันคือตัวแทนของสิ่งที่เหลืออยู่จากอดีต สิ่งที่ต้องเยียวยา และสิ่งที่เราต้องใช้เพื่อต่อกรกับอนาคตอันมืดมนที่ยังรออยู่

อาศิรวิษเดินเข้ามาข้างฉัน เงาสะท้อนในดวงตาเขา สะท้อนภาพของฉัน...และฉันก็รู้ในวินาทีนั้นว่า เขาเห็นฉันไม่ใช่แค่ ผณินทรผู้สืบสาย แต่เห็นทั้งบาดแผล ความกลัว และหัวใจที่กำลังเต้นเพื่อใครบางคน

“เราต้องตามหาบ่วงอีกเส้น...บ่วงที่เคยหายไปตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ข้าได้กลิ่นมันในสายลมจากทิศตะวันออก...ดินแดน อุษานที ที่จมอยู่ใต้ทะเลหมอกมาเป็นพันปี”

ก่อนเราจะออกเดินทาง ลูกแก้ววิญญาณของตรีภพก็เปล่งแสงจาง ๆ ฉันกุมมันไว้แนบอก

“ผณินทร ท่านต้องปลอดภัยนะ ถ้าข้ายังพอมีประโยชน์...ข้าจะเป็นดวงตาให้ท่านในความมืด เป็นเกราะให้ทุกครั้งที่ท่านเผลอสั่นกลัว”

เสียงของเขาอ่อนโยนปนเศร้า...เพราะตรีภพรู้ว่า เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะยืนอยู่ข้างฉันในรูปแบบเดิมอีกแล้ว แต่เขาก็ยังไม่หายไป...เพราะใจยังแน่วแน่ และเพราะเขายังเลือกจะอยู่

พวกเราออกเดินทางผ่านป่าหิมะและแม่น้ำแข็ง จนถึงหน้าผาสูงแห่งหนึ่ง ที่ว่ากันว่าเป็นจุดเริ่มต้นของทะเลหมอก อุษานที

ฟ้าร่วงลงต่ำ เมฆลอยข้างเท้า อุณหภูมิหนาวจนฉันแทบพูดไม่ได้ แต่ยังอบอุ่นอยู่ เพราะอาศิรวิษยื่นมือมาจับมือของฉันเอาไว้

ฉันหันไปสบตาอาศิรวิษในดวงตานั้น ไม่มีคำว่าครุฑหรือ นาค ไม่มีคำว่าศัตรูหรือเผ่าพันธุ์ มีแค่เขาและฉัน

ขณะที่เรากำลังจะก้าวข้ามแนวหมอก เงาร่างสีดำขลับ ก็ปรากฏเบื้องหน้า มันคือ ครุฑไร้ร่าง วิญญาณเฝ้าทางของบ่วงอีกเส้นที่เราตามหา

“ผู้ใดประสงค์จะเข้าดินแดนอุษานที ต้องแลกด้วย... ความทรงจำที่ลึกที่สุด”

ฉันและอาศิรวิษสบตากัน ก่อนที่อาศิรวิษจะเป็นคนเอ่ยขึ้น

“ข้า...จะยอมแลกความทรงจำที่เกี่ยวกับพ่อของข้า เขาคือผู้ที่ทำให้ข้ากลายเป็นคนที่กลัวความรัก”

ฉันเบิกตากว้าง แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร แสงก็สว่างวาบ และสิ่งมีชีวิตปีกดำก็ยอมเปิดทางให้ เราสองคนก้าวผ่านม่านหมอกไป ใจของฉันเต็มไปด้วยคำถาม แต่รู้ว่าไม่ว่าวิถีทางข้างหน้าจะลึกลับหรือโหดร้ายเพียงใด เราสองคน...ก็จะไม่ปล่อยมือกันอีกแล้ว

หมอกหนาทึบที่พัดมาปะทะใบหน้า ไม่เหมือนหมอกใดที่เคยเจอ มันเย็น...ไม่ใช่แค่กับผิวกาย แต่กับหัวใจเหมือนมันแอบดูเราทุกฝีก้าว...กระซิบบางอย่างผ่านสายลม

"พวกเขา...รู้จักเจ้านางน้อยดีเกินไป รู้ว่าท่านกลัวอะไรที่สุด" อาศิรวิษจับมือฉันไว้แน่นขึ้น เขาส่งพลังปราณแผ่วเบาไหลเข้าสู่ฝ่ามือของฉัน ราวกับจะย้ำว่า ฉันจะไม่เดินเพียงลำพัง

ไม่นาน...เราก็มาถึงทุ่งดอกไม้ประหลาด กลีบดอกของมันใสราวหยดน้ำตา และมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ แต่กลิ่นนั้นไม่ได้เย้ายวน หากแต่ชวนให้นึกถึง เรื่องที่เสียใจที่สุด

พริบตานั้น…ฉันเห็นแม่อยู่กลางทุ่ง เธอยิ้มให้ฉัน ยิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมานาน...ฉันทิ้งดาบและวิ่งเข้าไปหา

“แม่! แม่ขา” แต่เมื่อฉันจะสัมผัสตัว กลับพบว่า

มือของฉันจมลงในอากาศ...ก่อนร่างนั้นจะกลายเป็นดอกไม้ที่มีกลีบมากมาย ที่กรีดผิวของฉันด้วยความเย็นเฉียบ

“เจ้านางน้อย! อย่ามองตาเขา!!” เสียงของอาศิรวิษดังแทรกเข้ามา เขาพุ่งเข้าโอบฉันไว้ กลางสายดอกไม้ที่กลายเป็นใบมีด ปราณหัตถ์ทองของเขาสว่างขึ้นป้องกันไว้ เขาหอบหายใจถี่...เลือดไหลจากบาดแผลใหม่ที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตอนไหน

แต่ในดวงตานั้น เขายังไม่ปล่อยมือจากฉันเลย

“เจ้านางน้อยถูกลวงจิต...ดอกไม้พวกนี้ดูดความเจ็บปวดในใจ และใช้มันเป็นกับดัก ท่านต้องจำไว้...ความเจ็บปวดไม่ใช่ความจริงทั้งหมดของท่าน”

เมื่อเราเดินผ่านทุ่งดอกไม้ หมอกก็เปิดออก เผยให้เห็น เงาบ่วงนาคบาศ อีกเส้นหนึ่งลอยอยู่กลางแท่นหินลอยฟ้า แต่ก่อนที่เราจะเข้าไปใกล้ได้ ใครบางคนก็ปรากฏตัว...ชายหนุ่มปีกทองแดงเรืองแสง นัยน์ตาคมเศร้า ...

“เขาคือใคร?” ฉันเอ่ยปากถาม แต่สายตายังคงจับจ้องไปยังคนที่โผล่มาใหม่

“ศฤงฆาร พญาครุฑผู้ถูกสาปให้เฝ้าบ่วงด้วยหัวใจที่แตกสลายจากรัก”

“รู้จักอีกละ”

“ถ้าเจ้าต้องการบ่วงนี้...เจ้าต้องตอบคำถามข้าให้ได้ สิ่งใดกัน ที่ล่ามมนุษย์ไว้แน่นยิ่งกว่าบ่วง?”

อาศิรวิษนิ่ง ฉันมองหน้าเขา ก่อนตอบเบา ๆ

“...ความกลัวที่จะสูญเสีย”

ศฤงฆารนิ่งงัน แล้ว...รอยยิ้มเจือจางก็ปรากฏขึ้นแทนคำตอบ เขาลดปีกลงช้า ๆ ก่อนจะหลอมตัวเป็นแสง ละลายเป็นดวงดาวดวงหนึ่ง

“เจ้าตอบถูก...จงใช้บ่วงนี้ เพื่อปลดปล่อย ไม่ใช่จองจำ”

เมื่อบ่วงเส้นที่สองรวมกับเส้นแรก แสงสีทองพลันแผ่กระจายกลางอากาศ กลายเป็น เข็มทิศหน้าตาประหลาดอันหนึ่ง ที่บอกทิศของคำสาปสุดท้าย ซึ่งยังหลงเหลือในผืนพิภพ

ฉันกับอาศิรวิษจับมือกันแน่น...เพื่อจะเดินต่อ แม้ดินแดนข้างหน้าจะมืดกว่านี้มากนัก  แต่ก็ยังมีเสียงของตรีภพ กระซิบเบา ๆ อยู่ในหัวใจเราเสมอ

“พวกเจ้าทำดีแล้ว...ข้าจะเฝ้าดูอยู่ทุกย่างก้าว”

พลังของบ่วงนาคบาศทั้งสองเส้น เมื่อหลอมรวมกันแล้ว

กลายเป็นสิ่งที่แม้แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมด...มันไม่ได้แค่เปล่งแสง มันชี้ทางและสิ่งที่มันชี้ไป ไม่ใช่ทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก หรือตะวันตก แต่มันชี้ลงลึก…สู่ใต้แผ่นดิน ใต้ดินแดนที่ไม่เคยมีในแผนที่ ใต้เงาของขุนเขามืดมิดที่ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์จะส่องลงถึง…ที่นั่นคือ

“ที่ไหนเหรอ?” ฉันถามอาศิรวิษ

“นครศิวาลัย เมืองที่ถูกผนึกไว้ด้วยคำสาปแห่งอดีต”

“รู้อีกแล้วเหรอ?”

“ท่านอาจารย์ชี้แนะทุกอย่าง”

“มิน่าล่ะ”

“เรารีบเข้าไปกันเถิด”

ฉันกับอาศิรวิษมาถึงหน้าผาลี้ลับ ที่เปิดออกเป็นทางลงใต้ดิน ปราณของตรีภพยังอยู่รอบตัวเรา เป็นแสงหมอกบาง ที่คอยป้องกันสิ่งลวงตา แม้เจ้าตัวจะเป็นเพียงเศษจิต แต่กลับรู้สึกว่า เขาอยู่ใกล้กว่าครั้งไหน ๆ

“เจ้านางน้อย ท่านจะต้องเจอกับสิ่งที่ไม่มีในตำรา แต่จำไว้ว่าท่านจะไม่สู้เพียงลำพัง”

อาศิรวิษเดินข้างฉัน มือของเขากุมบ่วงนาคบาศแน่น

บนหลังมือเขายังมีรอยแผลจากศึกก่อนหน้า แต่เขาไม่เคยบ่น ไม่เคยถอย และทุกครั้งที่เรามองตากัน ฉันก็แน่ใจ ไม่ว่าโลกจะมืดแค่ไหน เขาก็จะเป็นแสงส่องทางให้ฉันเสมอ

ประตูหินแกะสลักหน้าครุฑพันปีเปิดออก ไม่ใช่ด้วยกุญแจ แต่ด้วยหยาดเลือดของผู้ครองใจนาค และนั่นคืออาศิรวิษ เขาใช้หัตถ์ปิดบาดแผลเล็กที่ฝ่ามือ แล้วแตะลงบนแท่นศิลา

ทันใดนั้น…พื้นดินสั่นสะเทือน เสียงโซ่ล่ามและเสียงปีกเหล็กขยับขานดังขึ้น

“ใคร...บังอาจปลุกวิญญาณแห่งนครลับแล!” เสียงนั้นดังก้องในโพรงถ้ำจากเงามืด ปรากฏร่าง ครุฑโลหิต สิ่งมีชีวิตที่กึ่งครุฑกึ่งเครื่องจักร ผิวกายแข็งราวเหล็กกล้า แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

อาศิรวิษก้าวขึ้นข้างหน้า ดึงพลังออกจากบ่วงนาคบาศ

ฉันควบปราณนาคีเข้าคู่ พลังของเราประสานกันเป็นเกลียวทองพุ่งเข้าเผชิญหน้า

“หยุดก่อน!!” เสียงของตรีภพดังขึ้นในจิต “มันไม่ได้ต้องการสู้...มันถูกพันธนาด้วยคำสาปของพวกตนเอง!”

ครุฑโลหิตร้องครวญคราง และสิ่งที่ฉันสัมผัสได้จากพลังนาคีก็คือความเศร้า ไม่ใช่ความชั่วร้าย ฉันจึงเปลี่ยนปราณนาคีเป็นบทสวดปลดคำสาป เสียงสวดถักทอไปในหิน หลอดเลือดเครื่องจักรค่อย ๆ คลายตัว สุดท้าย…ครุฑโลหิตทรุดลง ก้มหน้าลงเบื้องหน้าเราสองคน

“จงผ่านไป...สู่เมืองที่แม้แต่สวรรค์ยังไม่อยากจำ และเตรียมใจพบกับ... อสุรครุฑานนท์ ผู้ครองเงาในนครศิวาลัย”

เมื่อเราสองคนเดินเข้าเมือง...สิ่งที่เห็นคือซากศิวิไลยอันงดงามเกินบรรยาย แต่ทุกหลังคาเรือนกลับว่างเปล่า

ไม่มีผู้คน มีเพียงเศษภาพในปราณอากาศ เหมือนเมืองทั้งเมือง ยังจำว่าเคยมีชีวิตอยู่ และฉันก็เห็นบางอย่างที่ทำให้หยุดหายใจ

ภาพนาคินีเอกวรา กำลังสนทนากับพญาครุฑผู้หนึ่ง

เขาสวมมงกุฎเงา ดวงตาดำสนิท

“นั่น...คืออสุรครุฑานนท์” อาศิรวิษเอ่ยเสียงแผ่ว “ผู้ล่มสวรรค์ด้วยพลังจากคำสาปบ่วงบาศ...ผู้ที่หายไปจากทุกบันทึก”

และนั่นเองที่ฉันรู้ว่า การตามหาบ่วงเส้นที่สามจะไม่ใช่แค่การรวมอาวุธ แต่มันคือการเผชิญกับอดีตของโลก และความจริงของเลือดในตัวฉันเอง

ในใจกลางของนครศิวาลัย ใต้แสงจันทร์จำแลงที่ไม่มีวันดับ มีเงาร่างหนึ่ง...เฝ้ามองพวกเรามาตั้งแต่แรก

“ข้ามาในนามของผู้ถือบ่วงนาคบาศ” ฉันตะโกนขึ้นท่ามกลางลานศิลา เสียงสะท้อนลอดผนึกเงาโบราณ ปลุกสิ่งบางอย่างให้เคลื่อนไหว...พื้นใต้เท้าเราสั่นสะเทือนก่อนเกิดรอยแยก เสียงปีกเหล็กกางออกช้า ๆ และร่างของ อสุรครุฑานนท์ ก็ปรากฏ ใหญ่โตมหึมาราวเทพยักษ์ ดวงตาสีดำสนิทเรืองแสงขาว

ร่างเขาเป็นทองแดงผสมหินศักดิ์สิทธิ์จากใจโลก เส้นเลือดสลักยันต์พันปี

“เจ้าคือ...ผณินทรผู้ถือพลังของทั้งศาสตรา และสายเลือดต้องห้าม…” เสียงของเขาเป็นดั่งสายฟ้าที่ตกกลางใจ

และเมื่อฉันได้สบตากับเขา กลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งในตัวสั่นสะท้านตาม อสุรครุฑานนท์ยกมือขึ้น เงาพลังจารึกภาพอดีตกลางอากาศ เห็นนาคินีเอกวรา ยืนอยู่กลางศึกครั้งสุดท้าย แต่แทนที่เธอจะสู้กับเขา เธอกลับยื่นมือไปแตะหัวใจของครุฑานนท์

“ข้ายอมผนึกตัวเองไว้...เพื่อรักษาความหวังของเผ่าพันธุ์ทั้งสอง และเพื่อลูกของข้า...ผู้ถือคำอธิษฐานแทนคำสาป”

ภาพนั้นทำให้หัวใจของฉันแทบหยุดเต้น ความจริงก็คือครุฑานนท์ คือผู้ที่เอกวราเคยรัก

“เจ้ามีบ่วงนาคบาศเจ้าพร้อมหรือยังที่จะปลดผนึกของข้า? เพราะถ้าเจ้าทำ...โลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

อาศิรวิษยืนข้างฉัน แม้ดวงตาเขาจะนิ่งสงบ แต่ฉันรู้ว่าเขาเองก็ลังเล ตรีภพในรูปจิตปรากฏขึ้นเบื้องขวา ดวงตาเขาเศร้าอย่างไม่อาจเอ่ย

“ผณินทร...ถ้าท่านปลดเขา โลกอาจไม่รอดจากพลังแห่งอดีต แต่ถ้าท่านทำลายเขา...ท่านจะไม่มีวันรู้ว่า ความจริงของตัวเองคืออะไร”

หัวใจของฉันถูกฉีกออกเป็นสองส่วน หนึ่งคือลูกของนาคินีผู้รักษาสันติ อีกหนึ่งคือเลือดที่ไหลเวียนจากคำสาบานของครุฑ ฉันเลือกจะไม่ทำลาย...แต่ปลดผนึกเพื่อเข้าใจ ฉันกับอาศิรวิษร้อยบ่วงนาคบาศทั้งสองเส้นเข้ากับใจกลางครุฑานนท์และสิ่งที่ปรากฏออกมาคือ...บ่วงเส้นที่สาม 

เส้นที่ไม่ใช่เพียงอาวุธ แต่คือเส้นทางแห่งสมดุล มันโค้งวนเป็นสัญลักษณ์ของอสงไขย พลังแห่งความไม่มีที่สิ้นสุด และการเริ่มต้นที่ไม่มีจุดจบ เมื่อฉันถือมันไว้ในมือ...สิ่งที่ได้ยินในใจคือเสียงกระซิบจากแม่

“ลูกเอ๋ย...จงใช้มันไม่ใช่เพื่อรบ แต่เพื่อฟังเสียงของเผ่าพันธุ์ทั้งสองอีกครั้ง...”

และเมื่อพลังบ่วงต้องห้ามปลุกขึ้น...เงาแห่งครุฑานนท์ก็ยืนสงบนิ่ง พร้อมรอยยิ้มเจือจางในแววตา

“เจ้าคือคำตอบของเราทุกคน...ผณินทร”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • อาศิรวิษ   10-เสียงเงียบของคนที่ไม่มีวันถูกเลือก 3

    ฉันไม่เคยคิดว่า…เสียงของบ่วงนาคบาศจะเหมือนเสียงหัวใจ มันไม่ได้ดังกังวานอย่างศาสตรา แต่มันเต้นในจังหวะเดียวกับจิตของผู้ถือมัน ราวกับกำลังฟังเสียงความจริงจากเงาลึกในตัวเอง หลังจากปลดผนึกครุฑานนท์ โลกเริ่มเปลี่ยนเส้นพลังแห่งสมดุลเริ่มเคลื่อน แต่...บางอย่างกลับต้านไว้จากเบื้องหลัง“ผณินทร...โลกนี้ยังไม่ปลอดภัย ยังมีเงาหนึ่งที่เฝ้าจ้องอยู่หลังม่านกรรม...ในวิหารไร้เงาที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อ”เสียงจิตตรีภพกระซิบในยามค่ำ แม้ตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนที่ฉันสัมผัสได้ตรงหน้า เขาคือพลังเงียบที่คอยคุ้มครองฉัน…ไม่ว่าวันคืนจะเลื่อนลับไปไกลเพียงใดอาศิรวิษและฉันร่วมทางกันอีกครั้ง“หากเจ้านางน้อยเข้าไปในวิหารนั้นแล้ว จะไม่สามารถเป็นคนเดิมได้อีก” เขาเตือนเบา ๆ“ข้าไม่เป็นคนเดิมตั้งแต่วันที่ได้รู้จักท่านแล้ว…” ฉันตอบดวงตาเขาสะท้อนแสงดาวในราตรีนั้น ก่อนจะเบือนสายตาลงต่ำแต่ก่อนที่เราจะก้าวข้ามเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ มีกำแพงหนึ่งที่พวกเราต้องเผชิญ ประตูแห่งกรรม ประตูนั้นไม่มีมือจับ ไม่มีกล

    Last Updated : 2025-05-07
  • อาศิรวิษ   บทนำ

    เรื่องเล่าที่ชาวบ้านกล่าวขานกันมาปากต่อปาก เกล็ดแห่งนาคา ที่ผู้คนต้องการครอบครองเพื่อความเป็นอมตะนิรันดร์กาล เชื่อกันว่าเกล็ดพญานาคหากได้ผสมน้ำดื่มกินคนผู้นั้นจะมีชีวิตอมตะ ฉันได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนปัจจุบันเรื่องเล่านี้ก็ยังถูกพูดถึง มันคือสิ่งที่มนุษย์กิเลสหนาอยากได้ไว้เคียงกาย ด้วยอำนาจและอิทธิฤทธิ์ประหนึ่งเทวาสถิต เสริมให้ผู้ที่ได้ครอบครองอยู่เหนือสุดของมนุษย์ทั้งปวง ทั้งที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า แต่อีกอย่างที่ฉันเคยได้ยินมาเช่นกันร่างตัวแทนแห่งนาคาที่แอบซ่อนในกายหยาบของมนุษย์ แต่คนผู้นั้นคือใครกัน? มีจริงเหมือนที่คนเฒ่าโบราณลือกันจริงหรือ?...ฉันก็ได้แต่ฟังเพราะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหล่านี้แต่ก็ไม่ได้หลบหลู่แต่อย่างใด"นั่นสินะ ในโลกนี้ย่อมมีคนดีและไม่ดีปะปนกันไป เฮ้อ~~ แต่ฉันก็อยากให้โลกใบนี้มีแต่คนดีละนะ""บ่นอะไรของแกยัยณิน อะนี่น้ำที่แกฝากซื้อ""ขอบใจจ้าเพื่อนคนสวย...ไม่ได้บ่นอะไรหรอก อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคิดเฉย ๆ น่ะ""อ่านเรื่องอะไรอะ""อาศิรวิษ""เออชื่อเรื่องแปลกแต่น่าสนใจดี ขอยืมอ่านบ้างดิ""ได้...แต่แกต้องทะนุถนอมหนังสือฉันให้ดี ๆ ห้ามยับเยินเด็ดขาดไม่งั้นฉันจะตีมือ

    Last Updated : 2025-04-25
  • อาศิรวิษ   1-เรื่องจริงหรือความฝัน(1/4)

    “ที่นี่ที่ไหนกันไม่คุ้นเลย”“แล้วนั่นอะไร?”“จะไปไหนกันเหรอคะคุณยาย”“.....”ฉันมาอยู่สถานที่นี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ เป็นเหมือนปราสาทขอมสมัยโบราณ ทางเดินก็ค่อนข้างจะชัน ฉันเดินไปตามทางเรื่อย ๆ พร้อมกับผู้คนมากมาย ถามยายคนหนึ่งที่กำลังเดินสวนไปท่านก็ไม่ตอบ ฉันเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเริ่มรู้สึกว่าเดินไม่ไหว ทางมันชันเกินไปเหมือนจะกลิ้ง แต่“จับเชือกไว้สิโยม”มีพระสงฆ์สองรูปยื่นเชือกมาให้ แล้วบอกให้ฉันจับไว้ ก็เลยทำตามเพราะกลัวว่าจะกลิ้งตกลงไป แล้วพระสงฆ์สองรูปก็ดึงพาฉันขึ้นไปจนสำเร็จ มองรอบ ๆ เป็นภูเขาสูงตระหง่าน และมียอดปราสาทอยู่บนนั้น“ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ?”“.....”ฉันพนมมือแนบอกแล้วถามพระสงฆ์ทั้งสองรูปที่พาฉันขึ้นมา แต่ว่าท่านไม่ตอบและเดินหนีฉันไปเฉยเลย ส่วนฉันก็ได้แต่ยืนงงอยู่คนเดียว ผู้คนก็เดินผ่านไปผ่านมา แต่เหมือนกับว่าไม่มีใครสนใจหรือตอบอะไรฉันเลย ฉันเดินไปถามก็เหมือนกับว่าไม่มีใครได้ยิน นี่มันคืออะไรกัน?“คุณป้าคะ ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ?”“...” ไม่ตอบฉันอีกแล้ว ฉันจึงวิ่งไปหาอีกคนที่กำลังเดิน“นั่นมัน...คุณยายคนนั้นนี่นา” ฉันตกใจเมื่อเห็นคนยายที่มาคุยกับฉันและเนยหวาน ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่

    Last Updated : 2025-04-25
  • อาศิรวิษ   1-เรื่องจริงหรือความฝัน 2/4

    “นะ นะ นั่นมันอะไร?”และฉันต้องผงะจนขายืนทรงตัวไม่อยู่ ล้มก้นกระแทกกับพื้นหิน ดวงตาเบิกโต กับภาพตรงหน้าคุณตาคนนั้นกลายเป็นงูที่มีรูปร่างใหญ่มาก ส่วนหัวและลำคอดูแปลกประหลาด จะว่างูก็ไม่ใช่ แต่เลื้อยเหมือนงู นั่นเรียกว่าอะไร? ฉันตกใจกลัวแทบหยุดหายใจ และรู้สึกว่าตอนนี้ฉันกำลังครองสติไม่อยู่ ท้ายที่สุดจนก็ล้มฟุบกับพื้นพร้อมความมืดในดวงตาเสียงเจื้อยแจ้วดังแว่วเข้ามาในหู การรับรู้ถ้อยคำของผู้คนที่พูดคุยกัน ทำให้ฉันรู้สึกตัว และลืมตาตื่นในถัดมา ฉันมองเพดานและรอบด้าน ทุกอย่างที่เห็นมันแปลกตาไปหมด ทั้งการตบแต่ง ข้าวของเครื่องใช้มันดูไม่เหมือนกับสิ่งที่ฉันเคยเจอมา และที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ก่อนหน้าที่ฉันพบเจอ“??” ฉันงงและสงสัย พลันคิดในใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฉันอีก ทุกอย่างมันแปลกประหลาดไปเสียหมด รวมทั้งผู้คนที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้“เจ้านางน้อย” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น ฉันพยายามลุกนั่งและมองหาคนที่เธอคนนั้นเรียก“รู้สึกกระไรบ้างเพคะ” เธอยังคงถามและมองหน้าฉัน“ใครเหรอเจ้านางน้อย” ฉันงงเลยเลือกที่จะถามออกไป“พระนางอย่างไรเล่าเพคะ” เธอคนนั้นย้ำว่าเป็นฉัน นี่มันอะไรอีกล่ะเนี่ย“ฉันเหรอ?” ชี้นิ้วเข

    Last Updated : 2025-04-25
  • อาศิรวิษ   1-เรื่องจริงหรือความฝัน 3/4

    “เจ้านางน้อยพูดสำเนียงกระไรรึเพคะ?” ผู้หญิงที่ชื่อกาลัดถามขึ้น“สำเนียงไทยนี่แหละ อะไรของพวกเธอละเนี่ย” ฉันก็งงกับพวกนางทั้งที่ฉันก็พูดภาษาไทย ทำไมถึงบอกมันแปลก“สำเนียงไทยฟังดูพิลึกชอบกลเพคะ”“เออ ช่างเถอะน่าแค่ฟังออกไม่ใช่ไง?”“ไม่ใช่ไง? แปลว่ากระไรรึเพคะ?”“พอ! เลิกถามเลิกสงสัยเพราะฉันปวดหัวกับพวกเธอมาก”ฉันต้องรีบยกมือห้ามก่อนที่จะปวดหัวไปมากกว่านี้ นี่มันคือที่ไหนกันนะ ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ทั้งที่ไม่รู้จักมาก่อน“นี่พวกเธอ”(“เพคะ”) ทั้งสองคนก็ตอบฉันพร้อมกัน“นี่มันที่ไหนกันทำไมดูแปลกประหลาด สถานที่ก็แปลก คนก็ยังจะแปลกอีก” ฉันนึกได้จึงถามตามที่สงสัย“นครมคธอย่างไรเพคะเจ้านางน้อยทรงลืมไปแล้วหรือ” กลีบบัวเป็นคนให้คำตอบแก่ฉัน“นครมคธ?”“เพคะ”ฉันงงไปกันใหญ่ นี่ฉันมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงกัน แล้วนครมคธมันอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย ไม่เคยได้ยินชื่อแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน นี่ต้องเป็นความฝันซ้อนฝันแน่ ๆ ฉันว่ามันต้องใช่ เพราะฉันจะมาอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไง มันไม่ใช่ความจริงกับชีวิตของฉันสักอย่างเพี๊ยะ!(“เจ้านางน้อย!!!”)เพื่อพิสูจน์ว่าทุกอย่างนั้นเพียงแค่ฉันแค่ฝันไป จึงตบเข้าใบหน้าตัวเองเ

    Last Updated : 2025-04-25
  • อาศิรวิษ   1-เรื่องจริงหรือความฝัน 4/4

    “ท่านอาศิรวิษองครักษ์ประจำกายเจ้านางน้อยเพคะ”“หล่อจัง”คนที่ฉันเห็นทำให้ฉันเผลอลั่นปากพูดออกมา ก็ใบหน้าสมส่วนมีเสน่ห์ ใครเห็นก็ต้องทักแบบฉันนี่แหละ เขาหล่อจริง ๆ ล่ำสั่นสมชายชาตรี ฉันไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าก็หาที่ติในความหล่อเหลาของเขาไม่ได้เลย นี่คนหรือเทพบุตรกันแน่นะ“เจ้านางน้อยเพคะ...เจ้านางน้อย”“ห ห๊ะ”“ทรงเป็นกระไรหรือเพคะหม่อมฉันสะกิดอยู่นานก็ไม่ขานรับ”“ม ไม่มีอะไร กลีบบัวว่าอะไรนะ ขออีกที”ฉันรู้สึกตัวจากการจ้องหน้าผู้ชายที่เป็นองครักษ์เมื่อกลีบบัวเขย่าแขนแรง มันอดไม่ได้ที่จะมอง ครุ่นคิดในหัวเขาเหมือนกับผู้ชายที่อยู่ในหนังสือเรื่องที่เพิ่งอ่านจบไป ภาพจินตนาการของฉันจากการบรรยายในหนังสือบอกว่าเป็นเขา แต่มันคงจะไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเราออกไปกันเสียก่อน ให้เจ้านางน้อยได้พักผ่อน” เป็นเจ้าหลวงที่พูดขึ้น(พ่ะย่ะค่ะ)(“กราบลาเจ้าหลวงเพคะ”)กลีบบัวและกาลัดน้อมตัวแล้วกราบลาผู้สูงศักดิ์ จากนั้นทุกคนก็ออกจากห้องไป มีเพียงกาลัดกับกลีบบัวที่อยู่เหมือนเดิม พวกเธอคงไม่ห่างจากฉันเป็นแน่ เพราะตั้งแต่ลืมตาตื่นมาก็เห็นทั้งสองคนอยู่เคียงข้าง คงเป็นคนสนิทของเจ้าของร่างนี้

    Last Updated : 2025-04-25
  • อาศิรวิษ   2-แค่เพียงบังเอิญ 1/4

    “เป็นเยี่ยงไรบ้างเพคะเจ้านางน้อย รู้สึกดีหรือไม่” เพียงแค่ฉันลืมตาตื่นเสียงทักก็ดังขึ้น จึงหันไปมองพบเป็นกาลัดที่นั่งอยู่ข้างเตียง “อืม หลับสนิทดี แล้วนี่กลีบบัวไปไหนล่ะ?” ฉันพยุงตัวลุกนั่งทั้งที่ยังมีอาการงัวเงีย ไม่เห็นกลีบบัวจึงได้ถามขึ้น “ห้องครัวเพคะ เตรียมสำรับให้เจ้านางน้อย” กาลัดตอบ “ตอนนี้กี่โมงกี่ยามละ” ฉันถามกาลัดทั้งที่ยังสะลืมสะลือมือขยี้ตาเบา ๆ “ย่ำค่ำแล้วเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดตอบฉัน และมันก็ทำเอาตาฉันสว่างโล่ เพราะงุนงงกับเวลาที่กาลัดบอก “ย่ำค่ำนี่กี่โมงวะ” ฉันเกาหัวงึมงำกับตัวเอง “เออย่ำค่ำก็ย่ำค่ำ” “เจ้านางน้อยทรงตรัสว่ากระไรหรือเพคะ” กาลัดถามพลางขมวดคิ้วงง “ไม่มีอะไรหรอก บ่นไปเรื่อยน่ะ” ฉันฉีกยิ้มแล้วตอบเธอ “กลีบบัวไปนานนัก ทำให้เจ้านางน้อยต้องคอยอยู่นาน” กาลัดบ่น พร้อมกับชะเง้อมองไปทางบานประตู “เออนี่กาลัด แล้วถ้าฉันอยากจะอาบน้ำล่ะต้องไปตรงไหน” “สระบัวแก้วมรกตเพคะ เป็นสระส่วนพระองค์ที่เจ้าหลวงสร้างขึ้นเพื่อเจ้านางน้อยพ

    Last Updated : 2025-04-27
  • อาศิรวิษ   2-แค่เพียงบังเอิญ 2/4

    “โอ้แม่เจ้า! มันตัวอะไรวะนั่น”ฉันเงยหน้ามองขึ้นไปยังกลางอากาศ ความใหญ่โตของสิ่งตรงหน้าทำเอาฉันอ้าปากค้างและรู้สึกกลัว ตัวหนึ่งเหมือนนกยักษ์ ส่วนอีกตัวเหมือนกับพญางูใหญ่กำลังต่อสู้กัน หัวใจของฉันเต้นระส่ำและกลัวมาก อยากจะวิ่งหนีไปหลบแต่ขาดันก้าวไม่ออกเสียอย่างนั้น ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอเงยหน้ามองดูเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างสิ่งมีชีวิตแสนแปลกประหลาดด้วยความหวาดหวั่น“นั่นมันท่านอาศิรวิษนี่เพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงตระหนก“จริงด้วย” กาลัดเอ่ยตาม“!!!” ส่วนฉันได้แต่ยืนนิ่งประหนึ่งคนหยุดหายใจ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่การต่อสู้และสิ่งตรงหน้าทำให้ฉันกลัวจนตัวเริ่มสั่น อยากจะก้าวขาวิ่งหนีแต่ก็เหมือนมีใครฉุดไว้ จึงทำได้เพียงกลั้นลมหายใจกัดฟันมองดูภาพตรงหน้า พร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัว“เจ้านางน้อยหลบเถิดเพคะ” กาลัดจับแขนของฉันไว้“ข ข ขาฉันก้าวไม่ได้ อยากวิ่งตั้งนานแล้ว” แต่ขาเจ้ากรรมดันแข็งทื่อประหนึ่งท่อนไม้“ขยับสิเพคะเจ้านางน้อย อันตรายนักหากยังยืนอยู่ตรงนี้” กลีบบัวพูดด้วยความวิตกลนลานทั้งกาลัดและกลีบบัวพยายามยกขาของฉันให้ก้าวเดิน แต่มันก็แสนจะลำบากเหลือเกิน ยิ่งฉันอยากจะวิ่งให้

    Last Updated : 2025-04-27

Latest chapter

  • อาศิรวิษ   10-เสียงเงียบของคนที่ไม่มีวันถูกเลือก 3

    ฉันไม่เคยคิดว่า…เสียงของบ่วงนาคบาศจะเหมือนเสียงหัวใจ มันไม่ได้ดังกังวานอย่างศาสตรา แต่มันเต้นในจังหวะเดียวกับจิตของผู้ถือมัน ราวกับกำลังฟังเสียงความจริงจากเงาลึกในตัวเอง หลังจากปลดผนึกครุฑานนท์ โลกเริ่มเปลี่ยนเส้นพลังแห่งสมดุลเริ่มเคลื่อน แต่...บางอย่างกลับต้านไว้จากเบื้องหลัง“ผณินทร...โลกนี้ยังไม่ปลอดภัย ยังมีเงาหนึ่งที่เฝ้าจ้องอยู่หลังม่านกรรม...ในวิหารไร้เงาที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อ”เสียงจิตตรีภพกระซิบในยามค่ำ แม้ตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนที่ฉันสัมผัสได้ตรงหน้า เขาคือพลังเงียบที่คอยคุ้มครองฉัน…ไม่ว่าวันคืนจะเลื่อนลับไปไกลเพียงใดอาศิรวิษและฉันร่วมทางกันอีกครั้ง“หากเจ้านางน้อยเข้าไปในวิหารนั้นแล้ว จะไม่สามารถเป็นคนเดิมได้อีก” เขาเตือนเบา ๆ“ข้าไม่เป็นคนเดิมตั้งแต่วันที่ได้รู้จักท่านแล้ว…” ฉันตอบดวงตาเขาสะท้อนแสงดาวในราตรีนั้น ก่อนจะเบือนสายตาลงต่ำแต่ก่อนที่เราจะก้าวข้ามเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ มีกำแพงหนึ่งที่พวกเราต้องเผชิญ ประตูแห่งกรรม ประตูนั้นไม่มีมือจับ ไม่มีกล

  • อาศิรวิษ   10-เสียงเงียบของคนที่ไม่มีวันถูกเลือก

    พิธีเริ่มต้น กลางทะเลสาบวิญญาณ ณ ผืนป่าหิมพานต์เราเริ่มพิธีในคืนที่ดาวทั้งหมดดับลง ฉันเปล่งเสียงเรียกชื่อตรีภพ เสียงนั้นทะลวงผ่านขอบฟ้ามิติ อาศิรวิษหลั่งเลือดลงกลางพิธีเกล็ดทองสว่างระยิบ ร่วงหล่นเข้าวงเวท และฉันร่ายบทสวดเรียกเสี้ยวจิต ในวินาทีที่เงาเงียบทั้งหมดรวมกัน...เศษวิญญาณของตรีภพ ปรากฏขึ้นในรูปของลูกแก้วเรืองแสงสีฟ้าอ่อน พลังของเขาไม่สามารถกลับมาเป็นคนได้อีกแล้ว แต่เขายังอยู่…ในรูปของ ดวงจิตเฝ้ามอง ฉันนำลูกแก้วนั้นไปวางไว้ใต้ต้นอโศกสีทอง ที่ขึ้นจากน้ำตาหยดแรกของฉันในวันเขาจากไป มีเขาอยู่กับฉัน แม้จะไม่ใช่แบบเดิม แต่ฉันรู้ว่า...ดวงจิตเขายังมองพวกเราจากใต้แสงฟ้านั้นอาศิรวิษยืนเคียงข้างฉัน เขาไม่เคยทวงคืนสิ่งใด“แม้เจ้านางน้อยไม่ได้รักข้าอย่างที่ข้าเคยหวัง แต่ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ข้างเจ้านางน้อยเสมอ”ฉันจับมืออาศิรวิษแน่น แล้วหันหน้าพูด“รู้ได้ไงว่าไม่เคยรัก”“?”“หรือว่าท่านไม่เคยใส่ใจกันแน่”“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเอ่ยเสียงแผ่ว แววตาของเ

  • อาศิรวิษ   เสียงเงียบของคนที่ไม่มีวันถูกเลือก

    ลมเย็นพัดแผ่วผ่านลานศิลาใต้แสงจันทร์ ฉันเดินเคียงข้างอาศิรวิษ บรรยากาศเงียบสงบอย่างประหลาด แสงไฟวาวจากโคมนาคายามค่ำ ค่อย ๆ ส่องสะท้อนระยิบบนพื้นน้ำ เขายังคงเดินอย่างเงียบขรึมตามแบบของเขา แต่ฉันจับได้ว่าทุกครั้งที่ฉันชะงักฝีเท้า...เขาจะหยุดก่อนฉันเสี้ยววินาทีเสมอ“อาศิรวิษ” ฉันเอ่ยเบา ๆ “ท่านเคยกลัวบ้างไหม ว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะหายไปหมด”เขาหยุดเดิน แล้วหันมามอง ดวงตาสีทองนวลวาวใต้แสงจันทร์“เคย...กระหม่อมเคยกลัวจะสูญเสียท่านทั้งที่ตอนนั้นท่านยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าคือใคร” คำพูดนั้นทำให้ฉันเผลอยิ้ม“แล้วตอนนี้ล่ะยังกลัวอยู่ไหม?”“ไม่แล้ว” เขาตอบก่อนจะเอื้อมมือมาแตะที่มือฉัน“เพราะกระหม่อมจะไม่ยอมปล่อยเจ้านางน้อยไปไหนอีก”“อยู่กันแค่สองคน เราเคยคุยกันแล้วว่าจะไม่พูดคำเป็นทางการไง”“...”“แต่ช่างเถอะอยากพูดยังไงก็พูด ข้าเคยคิดว่าท่านเย็นชาแต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า...ท่านแค่ไม่เคยมีใครให้เปิดหัวใจ”เขายิ้มเบา ๆ แล้วพูดช้า ๆ“และพี่ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครอยากเปิดหัวใจให้เช่นกัน” มืออุ่นของเขาจับมือฉันไว้แน่น ไม่ใช่เพราะกลัวจะหลุดจากกัน...แต่เพราะอยากจะอยู่ด้วยกันให้นานที่สุดแต่ในขณะเดียวกัน พญาน

  • อาศิรวิษ   9-บ่วงกรรมแห่งตรีภพ 2

    หลายพันปีก่อน เอกวรา นาคินีแห่งรัก ผู้เป็นที่รักยิ่งของเหล่านาค แต่หัวใจของเธอกลับมิได้อยู่ในวิมานบาดาล เธอตกหลุมรัก อริยะ พญาครุฑหนุ่มผู้กล้าหาญ ผู้ขึ้นสู้กับทวยเทพเพื่อขอความยุติธรรมให้เหล่าสัตว์ครึ่งอสูร ความรักของทั้งคู่ต้องห้ามเด็ดขาด แต่เอกวรายอมเสียทุกสิ่ง แม้กระทั่งบัลลังก์สูงสุดเพื่อใช้ชีวิตกับอริยะในดินแดนลับแล ไม่นานเอกวราก็ให้กำเนิด เวนไตย ทารกผู้มีปีกทองแดงเหมือนครุฑ แต่ดวงตาสีแดงเรืองแสงเหมือนพญานาคทว่า...พลังที่เวนไตยถือกำเนิดมานั้น คือพลังของครุฑพันคำสาป การรวมคำสาปจากสองภพ คำสาปแห่งการหวงแหนและคำสาปแห่งการพลัดพราก“ข้าไม่อาจควบคุมเขาได้...เวนไตยเติบโตมาพร้อมความแค้น และอำนาจที่แม้แต่ข้าก็เกรงกลัว”เอกวราจึงตัดสินใจ ผนึกวิญญาณตนเองไว้ใน ดาบบุษบง เพื่อเป็นดาบที่สามารถหยุดเวนไตยได้ แต่แลกกับการที่ลูกอีกคนหนึ่ง...ต้องแบกภาระอันโหดร้ายนี้ไว้“ตรีภพ...เจ้าคือผู้สืบสายเลือดของข้า ลูกแห่งความรัก และเจ้าจะต้องเลือกระหว่างคำสาบานหรือความรัก”//ปัจจุบัน//ตรีภพลืมตาขึ้น ท่าม

  • อาศิรวิษ   9-บ่วงกรรมแห่งตรีภพ

    ฉันลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใต้เท้าคือพื้นศิลาของ วิหารเงานาคากำลังแตกแยกจากแรงอาคมสะท้อนของคำสาป ในมือยังอบอุ่นจากการกุมของอาศิรวิษ พลังในร่างกายเปลี่ยนไปคล้ายมีบางสิ่งแฝงตัวในเลือดและลมหายใจ เห็นบางอย่างในเงาสะท้อนของผืนน้ำ...นัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มเรืองแสง มีอักขระคล้ายเกล็ดนาคาซ้อนกันอยู่“นี่คืออะไร ทำไมมันเปลี่ยนไปมากขนาดนี้”อาศิรวิษยกมือประคองบ่าของฉันเบา ๆ ดวงตาคมเหมือนพญานาคที่หลับใหลมานานมองฉัน“มันคือตัวตนแท้จริงของท่านเจ้านางน้อย ข้ารู้ว่าท่านสงสัย เพียงแต่ตอนนี้เราต้องไปช่วยตรีภพเสียบัดเดี๋ยวนี้ ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป”ฉันกับอาศิรวิษรีบเดินทางผ่านประตูเงานาคาชั้นใน อาศิรวิษเล่าว่านี่เป็นช่องว่างที่เชื่อมระหว่างภพมนุษย์กับแดนพันธนา สถานที่ที่ตรีภพถูกคุมขังด้วยตราอาคมของครุฑ และฉันมองเห็นเขาตรีภพ นั่งคุกเข่าอยู่กลางวงแหวนอาคม มีเสาเทพครุฑ ปักไว้สี่ทิศ อาคมค่อย ๆ ดูดพลังชีวิตเขาทีละหยด ผิวของตรีภพเริ่มซีดเผือด ริมฝีปากแตก แต่แววตายังแน่วแน่“เกี่ยวกับเวนไตยด้วยอย่างนั้นเหรอเนี่ย ซับซ้อนเกิน” ฉันพึมพำในใจฉันเลิกคิดเรื่องกวนใจ แล้วพุ่งเข้าไปแต่กลับถูกม่านครุฑศิลป์ต้า

  • อาศิรวิษ   8-เพลิงคำสาปและเสียงครูบา 2

    เสียงคำรามของเงานาคาก้องไปทั่วซากวิหารโบราณพื้นดินแตกระแหง ต้นไม้ล้มระเนระนาด และ “ตรีภพ” ถูกตรึงร่างไว้กลางลานพิธีด้วยเงาดำ พันธะคำสาปที่กำลังจะกลืนกินหัวใจของเขา“พี่ภพ!!” ฉันแผดเสียงเรียกอย่างแหบพร่า หัวใจเหมือนจะแตกออกจากอก เห็นตรีภพเหมือนกำลังจะขาดใจ ฉันหยัดแรงและตั้งท่าจะพุ่งเข้าไปช่วย แต่เสียงกึกก้องดุจสายฟ้าผ่าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง“อย่าเข้าไป!! นั่นคือคำสาปของเทวนาคา ท่านจะแตะต้องมันไม่ได้!!”เสียงนั้น... ฉันรู้ดีว่าเป็นใคร“อาศิรวิษ”ชายร่างสูงสง่าในชุดนักรบโบราณสีดำปักลายเกล็ดนาคา อาศิรวิษพญานาคองครักษ์ประจำตัว และคนที่ฉันเฝ้ามองอยู่เงียบ ๆเมื่อลงจอดกลางวิหารเงานาคา...อาศิรวิษเข่าทรุดลงกับพื้น ดวงตาของเขาจ้องมาทางฉัน มันเป็นแววตาที่หนักแน่นปะปนด้วยค

  • อาศิรวิษ   8-เพลิงคำสาปและเสียงครูบา

    รุ่งเช้าของวันใหม่ ฟ้าสางเหนือเทือกเขานาคบาศงามจับใจ แต่ภายใต้ความสงบกลับซ่อนบางสิ่งที่อึดอัดไว้ลึก ๆ ฉันนั่งอยู่บนหลังม้าสีหมอก ข้างกายเป็นสหายแต่วัยเยาว์ สายตาเขามองตรงไปเบื้องหน้า แต่ใจเราสองคนกลับจดจ่อกับอดีตที่ยังไม่ได้รับคำตอบ มันเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างมักฉายภาพเข้ามาในหัวของฉัน ซึ่งฉันไม่เข้าใจ“ศาลาพันธะนาคาอยู่ห่างจากวังหลวงหนึ่งวันทางม้า ทว่าหากเรากลายร่างเป็นพญานาคไปจักเร็วขึ้น แต่อาจจะทำให้ศัตรูเห็น จึงจำเป็นต้องเดินทางด้วยม้า เจ้านางน้อยพร้อมหรือไม่” เขาถามเสียงเรียบ“ตั้งแต่ที่ข้าถูกใส่ความ ข้าก็ไม่เคยหยุด...พร้อมมากเลยล่ะ” ฉันตอบพลางกระตุกบังเหียนเบา ๆ พลันหวนคิดคำแทนตัวก็นึกตลก ฉันอยู่จนพูดคำโบราณเหล่านี้ออกมาอย่างไม่ขัดเขินแล้วเหรอเนี่ย ก็อย่างว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามฉันและตรีภพเดินทางผ่านป่าทึบและธารน้ำใส ก่อนจะไปถึงเนินเขาเตี้ย ๆ ที่ตั้งของ ศาลาโบราณ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่ผูกสา

  • อาศิรวิษ   7-ปัญหาที่ต้องรับมือ 4/4

    ประตูท้องพระโรงเปิดออกอย่างฉับพลัน“หัวหน้ายามวิหารอาคมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ชายชราร่างผอม ผมเผ้าขาวโพลน เดินเข้ามาพร้อมกับก้มกราบเจ้าหลวงอย่างเคารพ“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”“เราต้องการให้เจ้าตอบความหนึ่ง” เจ้าหลวงเอ่ย “คืนก่อนบ่วงนาคบาศจะหาย เจ้าได้อนุญาตให้ผู้ใดเข้าวิหารหรือไม่?”“ไม่ได้มีผู้ใดเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างสงบเรียบร้อยดี” เขาขมวดคิ้ว “เว้นแต่...”“เว้นแต่?” เจ้าหลวงถามเสียงเข้ม“เว้นแต่มีข้ารับใช้คนหนึ่งมาขอเข้าไปตรวจตราตอนก่อนรุ่งสาง พ่ะย่ะค่ะ”ทุกคนในท้องพระโรงตกใจ ฉันหันขวับไปมองตรีภพ ดวงตาของเขาฉายแววคาดเดาออกมาแล้ว“เป็นใคร?” ฉันถามเสียงดังหัวหน้ายามนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบผ้าแพรผืนเล็กออกจากอกเสื้อ ยื่นให้เจ้าหลวง“ข้ารับใช้ผู้นั้นลืมผ้าไว้พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยเก็บไว้ยังไม่ได้ส่งคืน ในผ้ามีลายปักรูปดอกบุนนาค...ข้าน้อยจำได้ดี”ฉันกับตรีภพสบตากันทันที“ดอกบุนนาค

  • อาศิรวิษ   7-ปัญหาที่ต้องรับมือ 3/4

    “ตอนนี้ไม่มีผู้ใดแล้ว นับว่ามีแต่คนในครอบครัว พ่อจักไม่ยื้อถามให้มากความ...อัปสรา”“เพคะ”“ครั้นก่อนหน้าไยเจ้าจึงได้บอกว่าผณินทรเป็นผู้ขโมยบ่วงนาคบาศไป” เจ้าหลวงเอ่ยอย่างตรงประเด็น ฉันเห็นสีหน้าของอัปสราสลดลงทันตา ทุกคนจ้องมองไปยังเธออย่างเฝ้ารอการโต้ตอบ เธอดูประหม่ากำมือแน่น แขนสั่นเทา ฉันเห็นความกลัวในแววตาของเธอชัดเจน“เช้ามืดของวันนั้นลูกตื่นแต่เช้า เพราะนอนไม่หลับ ลูกเห็นเจ้าพี่ผณินทรออกมาจากวิหารอาคมเพคะ ต่อมาก็ได้ยินข่าวว่าบ่วงนาคบาศหายไป จึงไปกราบทูลให้เสด็จพ่อทรงทราบ หากไม่ใช่ท่านพี่จักเป็นผู้ใดได้เล่าเพคะ ในเมื่อไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปในวิหารอาคมนี้ได้”อัปสราเล่าเรื่องราว ทำเอาฉันถึงกับกำมือแน่นด้วยความโมโห แต่ต้องข่มอารมณ์ไว้ รอดูต่อไปว่าเธอจะใส่ร้ายฉันยังไงอีก จากที่เธอเล่ามามันย้อนแย้งกันมาก เพราะเป็นวันที่ฉันไม่ได้อยู่ในเขตพระราชวัง เรื่องนี้มันชักจะไม่

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status