Home / แฟนตาซี / อาศิรวิษ / 10-เสียงเงียบของคนที่ไม่มีวันถูกเลือก 3

Share

10-เสียงเงียบของคนที่ไม่มีวันถูกเลือก 3

last update Last Updated: 2025-05-07 11:00:21

ฉันไม่เคยคิดว่า…เสียงของบ่วงนาคบาศจะเหมือนเสียงหัวใจ มันไม่ได้ดังกังวานอย่างศาสตรา แต่มันเต้นในจังหวะเดียวกับจิตของผู้ถือมัน ราวกับกำลังฟังเสียงความจริงจากเงาลึกในตัวเอง หลังจากปลดผนึกครุฑานนท์ โลกเริ่มเปลี่ยน

เส้นพลังแห่งสมดุลเริ่มเคลื่อน แต่...บางอย่างกลับต้านไว้จากเบื้องหลัง

“ผณินทร...โลกนี้ยังไม่ปลอดภัย ยังมีเงาหนึ่งที่เฝ้าจ้องอยู่หลังม่านกรรม...ในวิหารไร้เงาที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อ”

เสียงจิตตรีภพกระซิบในยามค่ำ แม้ตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนที่ฉันสัมผัสได้ตรงหน้า เขาคือพลังเงียบที่คอยคุ้มครองฉัน…ไม่ว่าวันคืนจะเลื่อนลับไปไกลเพียงใด

อาศิรวิษและฉันร่วมทางกันอีกครั้ง

“หากเจ้านางน้อยเข้าไปในวิหารนั้นแล้ว จะไม่สามารถเป็นคนเดิมได้อีก” เขาเตือนเบา ๆ

“ข้าไม่เป็นคนเดิมตั้งแต่วันที่ได้รู้จักท่านแล้ว…” ฉันตอบ

ดวงตาเขาสะท้อนแสงดาวในราตรีนั้น ก่อนจะเบือนสายตาลงต่ำ

แต่ก่อนที่เราจะก้าวข้ามเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ มีกำแพงหนึ่งที่พวกเราต้องเผชิญ ประตูแห่งกรรม ประตูนั้นไม่มีมือจับ ไม่มีกลไก มันจะเปิด…ก็ต่อเมื่อผู้ยืนอยู่ตรงหน้าสารภาพบาปลึกสุดของหัวใจ

อาศิรวิษเอื้อมมือแตะประตู ก่อนกระซิบ

“ข้ารู้...ว่าข้าคือเงาในใจเจ้า ข้ารู้...ว่าในใจเจ้ามีคนอื่นอยู่ก่อน แต่ข้าก็ยังเลือกจะอยู่ตรงนี้...แม้จะไม่เคยเป็นแสงในสายตาเจ้าเลย”

ฉันเงียบ หัวใจแน่นจนแทบหายใจไม่ออก และประตูก็เปิดอย่างเงียบงัน ในวิหารไร้เงานั้นเราพบผู้เฝ้าชะตา สิ่งมีชีวิตที่ไร้รูปร่างชัดเจน มันคือผู้ที่สร้างคำสาปครุฑ-นาค มันคือผู้ที่เคยบงการโชคชะตาทุกเผ่าพันธุ์ เพื่อรักษาสมดุลอันเทียม มันพูดด้วยเสียงสะท้อนจากทุกทิศ

“พวกเจ้าทำลายผนึกครุฑานนท์…ปลุกพลังอสงไขย...พวกเจ้ากำลังทำลายสมดุลที่เราสร้างมา!”

ฉันกำบ่วงนาคบาศแน่น ดวงตาเรืองแสงจาง

“สมดุลที่เจ้าสร้าง ไม่ได้มาจากความเข้าใจ แต่มาจากความหวาดกลัว ข้าจะสร้างสมดุลใหม่...ที่ไม่ใช่การข่มเหงเผ่าหนึ่งเพื่อยกอีกเผ่าหนึ่ง”

เสียงคำรามดังขึ้น วิหารเริ่มสั่นไหว ภาพอดีตของทุกสงครามฉายวูบผ่านหัวของฉัน และตรีภพในรูปของจิตเข้ามาคล้องแขนฉันในวินาทีสุดท้าย

“ผณินทร…เจ้ายังมีข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องฝืนทุกอย่างไว้คนเดียว”

อาศิรวิษกระชับมือของฉันอีกข้าง ทั้งสองคนอยู่ข้างฉัน หนึ่งคือผู้เคียงใจ หนึ่งคือเงาที่อยู่ในหัวใจมาตลอด และฉันจะพาทั้งสองคน…ผ่านความมืดนี้ไปให้ได้ ผู้เฝ้าชะตา ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

มันคือ เจตจำนงแห่งจักรวาล ที่กลายเป็นเงาเฝ้าสมดุลมานับพันปี ร่างของมันมีได้หลายรูปแบบ วันนี้...มันเลือกใช้เงาของฉันเอง เป็นภาพสะท้อน

“เจ้าจะทำลายข้า เพื่อสร้างสมดุลใหม่? เจ้าคิดหรือว่า ความรักของพวกเจ้าเพียงพอจะรักษาทั้งสามภพ?”

มันยิ้ม…ยิ้มแบบที่ฉันรู้สึกเยือกเย็นจนถึงกระดูก ตรีภพยืนข้าง ๆ แม้ร่างจะเป็นเพียงจิตวิญญาณ แต่พลังของเขาเชื่อมกับพลังแห่งบ่วงนาคบาศ อาศิรวิษยืนอีกข้างเต็มไปด้วยแผลเก่าและใหม่ แต่แววตาไม่เคยสั่นไหว

“ข้าไม่สนว่าสมดุลจะต้องแลกด้วยอะไร แต่ข้าจะไม่ยอมให้ผณินทรต้องกลายเป็นเครื่องมือของคำทำนายใดทั้งสิ้น” เสียงเขาต่ำและหนักแน่น ราวกับเสียงสายธารใต้ภูผา

ทันใดนั้น...เงาร่างผู้เฝ้าชะตาแผ่ขยายออก เศษเงานับร้อยนับพันพุ่งเข้าใส่ เป็นภาพอดีต ความผิดพลาด ความเสียใจ ความกลัวของพวกเราทุกคน ฉันเห็นภาพตัวเองในวัยเยาว์ วิ่งตามเสียงแม่ที่เลือนหาย เห็นภาพตรีภพถูกทิ้งไว้ในสงคราม

เห็นอาศิรวิษยืนท่ามกลางศพพี่น้องนาคที่ถูกพญาครุฑฆ่าทิ้งในอดีต แต่…พลังของบ่วงนาคบาศเริ่มส่องแสง

“พลังนี้...ไม่ใช่อาวุธ” ฉันกระซิบ “มันคือความเข้าใจ...คือสายใย” ฉันยื่นมือออกไป ให้แสงบ่วงพันกับเงานั้นไม่ใช่เพื่อ ฆ่า แต่เพื่อ ปลดปล่อย

“เจ้าจะยอมรับอดีตแทนที่จะลบล้างมันหรือ? นั่นจะทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดไปชั่วชีวิต…” 

“ข้ารู้” ฉันยิ้มบาง ๆ “แต่ข้าจะไม่หนีอีกแล้ว” เสียงหวีดหนึ่งดังขึ้น

ผู้เฝ้าชะตาแหวกม่านมิติ จงใจพุ่งเข้าใส่ฉันในจังหวะที่บ่วงนาคบาศเปล่งแสงไม่สุด ตรีภพ…เคลื่อนเข้าขวาง เศษวิญญาณที่เคยเปราะบาง บัดนี้ส่องสว่างและสลายอย่างสงบ

“ผณินทร...ถึงเวลาข้าต้องไปแล้ว จงใช้ชีวิตของเจ้าให้เป็นดั่งแสงที่ข้ารัก”

ฉันตะโกนเรียกเขา อาศิรวิษจับมือฉันไว้แน่น แต่ตรีภพยิ้ม...ก่อนลับหายไปในแสงบ่วง ผู้เฝ้าชะตาถูกปลดจากพันธนาการ ไม่ใช่ด้วยพลัง...แต่ด้วยการให้อภัย แสงของบ่วงสลาย ฟ้าคืนกลับมานิ่งสงบ และในอ้อมแขนของอาศิรวิษ ฉันร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ใช่เพราะความสูญเสียเพียงอย่างเดียว แต่เพราะหัวใจรู้ว่าคนที่ฉันรักที่สุด...กำลังโอบฉันไว้ในตอนที่โลกสงบลง

อาศิรวิษมองหน้าฉัน แววตาเขามีทั้งความเจ็บและความรัก

“เขาคงฝากเจ้านางน้อยไว้กับข้าแล้ว...ใช่หรือไม่”

ฉันยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ

“เช่นนั้น...พี่จะดูแลเจ้านางน้อยตลอดไป ไม่ใช่เพราะพี่เป็นพญานาคผู้พิทักษ์...แต่เพราะพี่รักเจ้านางน้อยอย่างไม่มีข้อแม้”

มคธนคร

กลับมาครั้งนี้ทุกสิ่งดูเหมือนเดิมแต่หัวใจของฉันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป วังบาดาลที่ทอดตัวใต้แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ยังคงงดงาม ราวกับสร้างจากหยาดน้ำค้างและเกล็ดแก้วมณี

ฉันกับอาศิรวิษก้าวเข้าประตูศิลา แวดล้อมด้วยเหล่าองครักษ์ที่โค้งศีรษะอย่างเคารพ พวกเขารู้ว่าเราผ่านความตายมา แต่ไม่มีใครรู้ว่า...หัวใจของฉันถูกเปลี่ยนไปตลอดกาล ผู้คนต่างเปรมปรีดิ์ ที่ฉันและอาศิรวิษนำบ่วงนาคบาศกลับมาได้สำเร็จ แต่มันกลับต้องแลกกับหนึ่งชีวิตของแม่ทัพผู้สำคัญแห่งแคว้น

“เจ้าทำได้ดี...ทั้งสองคน”

เสียงเจ้าหลวงประดุจเสียงคลื่นใต้ดิน สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจ

“พวกเรา...” ฉันหลุบสายตา “สูญเสียตรีภพในการปกป้องบ่วงนาคบาศ”

อาศิรวิษคุกเข่าข้างฉัน เอ่ยต่ออย่างมั่นคง

“แต่พวกเราก็ได้ปลดปล่อยคำสาปโบราณ และคืนสมดุลแก่สามภพแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าหลวงพยักหน้า ด้วยสายตาทรงเมตตา

“เจ้าทั้งสอง...ไม่เพียงปฏิบัติภารกิจ แต่ยังรักษาใจของเผ่าเราไว้ด้วย ถึงเวลาที่มคธนครจะเข้าสู่บทใหม่เช่นกัน...และข้าอยากให้เจ้าอยู่ข้างข้า...ผณินทร”

คำกล่าวนั้น...ทำให้ฉันเบิกตากว้าง รวมถึงอัปสราที่ถลึงตามองมายังฉันด้วยแววตาไม่พอใจ

“องค์หญิง...เจ้าหลวงประสงค์จะให้ท่านขึ้นดำรงตำแหน่งธิดาพิทักษ์มณีบาศ ผู้ดูแลสมดุลนาคาทั้งภพ”

“แต่ว่า...”

“เจ้าเหมาะสม เหล่าผู้อาวุโสก็เห็นพ้องต้องกัน” เจ้าหลวงพูดแทรกในขณะที่ฉันกำลังปฏิเสธ

เหล่าขุนนางอาวุโส มองมายังฉัน ต่างพนักหน้าพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร

ฉันยังไม่ได้ตอบในทันที...เพราะหัวใจของฉันยังวนเวียนอยู่กับภาพของอีกคนหนึ่งที่สูญเสียไป แม้จะได้สัมผัสและสนิทสนมกันได้ไม่นาน พวกเราร่วมทางและเผชิญหน้ากับอุปสรรคหลายอย่างร่วมกัน ทำให้ฉันรู้สึกผูกพันเหมือนรู้จักมานานหลายสิบปี และยิ่งรู้ว่าเขามีความรู้สึกดี ๆ มอบให้ ยิ่งทำให้รู้สึกเศร้า แม้ว่าฉันจะไม่ใช่ผณินทร แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกสูญเสียเช่นกัน

ในค่ำคืนนั้น ฉันเดินไปยังลานกว้างกลางศาลาริมน้ำ อาศิรวิษยืนอยู่ที่นั่น มองผืนน้ำเบื้องบนที่สะท้อนแสงจันทร์สีเงิน

“รู้หรือไม่?” เขาเอ่ยเบา ๆ ขณะมือแตะสายน้ำ “มีคำกล่าวว่า หากใครมองดวงจันทร์ใต้เมืองบาดาลพร้อมกัน...หัวใจของพวกเขาจะเชื่อมถึงกันตลอดไป”

ฉันอมยิ้มแต่แฝงไว้ด้วยแววเศร้า

“ข้าไม่รู้ว่าเส้นทางต่อจากนี้จะนำเราไปทางไหน” เขาหันมาสบตา ในนั้นมีความอ่อนโยนที่ฉันไม่เคยรู้ว่าตนเองโหยหามานานแค่ไหน

“พี่รู้แค่สิ่งเดียว…ไม่ว่าเจ้านางน้อยจักอยู่ในฐานะใด อยู่ที่ใด หรือเลือกอะไร พี่จะอยู่ข้างเจ้านางน้อยเสมอ” หัวใจของฉันสั่นไหว

ตรีภพจากไปแล้ว อดีตถูกเยียวยา แต่อนาคตกำลังเริ่มต้นใหม่ตรงหน้า ฉันเอื้อมมือไปจับมืออาศิรวิษไว้แน่น พอย้อนคิดกลับ เรื่องราวที่ฉันพบเจอเหมือนกับในหนังสือที่ฉันเคยอ่านมาไม่ผิดเพี้ยน แล้วบทสรุปสุดท้ายจะเหมือนกับในหนังสือไหม?

“งั้นก็อย่าปล่อยมือนี้ไปนะ อาศิรวิษ เพราะข้า...จะเดินข้างท่านด้วยเช่นกัน”

ในความเงียบของผืนน้ำ ฉันรู้สึกได้ถึงลมแห่งการเริ่มต้นใหม่พัดผ่าน และเสียงบางอย่างจากใจลึก ๆ บอกอย่างแน่ชัดว่า ความรักนี้ไม่ใช่เพียงผลจากโชคชะตา แต่คือสิ่งที่เราทั้งสองเลือกด้วยหัวใจ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • อาศิรวิษ   บทนำ

    เรื่องเล่าที่ชาวบ้านกล่าวขานกันมาปากต่อปาก เกล็ดแห่งนาคา ที่ผู้คนต้องการครอบครองเพื่อความเป็นอมตะนิรันดร์กาล เชื่อกันว่าเกล็ดพญานาคหากได้ผสมน้ำดื่มกินคนผู้นั้นจะมีชีวิตอมตะ ฉันได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนปัจจุบันเรื่องเล่านี้ก็ยังถูกพูดถึง มันคือสิ่งที่มนุษย์กิเลสหนาอยากได้ไว้เคียงกาย ด้วยอำนาจและอิทธิฤทธิ์ประหนึ่งเทวาสถิต เสริมให้ผู้ที่ได้ครอบครองอยู่เหนือสุดของมนุษย์ทั้งปวง ทั้งที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า แต่อีกอย่างที่ฉันเคยได้ยินมาเช่นกันร่างตัวแทนแห่งนาคาที่แอบซ่อนในกายหยาบของมนุษย์ แต่คนผู้นั้นคือใครกัน? มีจริงเหมือนที่คนเฒ่าโบราณลือกันจริงหรือ?...ฉันก็ได้แต่ฟังเพราะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหล่านี้แต่ก็ไม่ได้หลบหลู่แต่อย่างใด"นั่นสินะ ในโลกนี้ย่อมมีคนดีและไม่ดีปะปนกันไป เฮ้อ~~ แต่ฉันก็อยากให้โลกใบนี้มีแต่คนดีละนะ""บ่นอะไรของแกยัยณิน อะนี่น้ำที่แกฝากซื้อ""ขอบใจจ้าเพื่อนคนสวย...ไม่ได้บ่นอะไรหรอก อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคิดเฉย ๆ น่ะ""อ่านเรื่องอะไรอะ""อาศิรวิษ""เออชื่อเรื่องแปลกแต่น่าสนใจดี ขอยืมอ่านบ้างดิ""ได้...แต่แกต้องทะนุถนอมหนังสือฉันให้ดี ๆ ห้ามยับเยินเด็ดขาดไม่งั้นฉันจะตีมือ

    Last Updated : 2025-04-25
  • อาศิรวิษ   1-เรื่องจริงหรือความฝัน(1/4)

    “ที่นี่ที่ไหนกันไม่คุ้นเลย”“แล้วนั่นอะไร?”“จะไปไหนกันเหรอคะคุณยาย”“.....”ฉันมาอยู่สถานที่นี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ เป็นเหมือนปราสาทขอมสมัยโบราณ ทางเดินก็ค่อนข้างจะชัน ฉันเดินไปตามทางเรื่อย ๆ พร้อมกับผู้คนมากมาย ถามยายคนหนึ่งที่กำลังเดินสวนไปท่านก็ไม่ตอบ ฉันเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเริ่มรู้สึกว่าเดินไม่ไหว ทางมันชันเกินไปเหมือนจะกลิ้ง แต่“จับเชือกไว้สิโยม”มีพระสงฆ์สองรูปยื่นเชือกมาให้ แล้วบอกให้ฉันจับไว้ ก็เลยทำตามเพราะกลัวว่าจะกลิ้งตกลงไป แล้วพระสงฆ์สองรูปก็ดึงพาฉันขึ้นไปจนสำเร็จ มองรอบ ๆ เป็นภูเขาสูงตระหง่าน และมียอดปราสาทอยู่บนนั้น“ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ?”“.....”ฉันพนมมือแนบอกแล้วถามพระสงฆ์ทั้งสองรูปที่พาฉันขึ้นมา แต่ว่าท่านไม่ตอบและเดินหนีฉันไปเฉยเลย ส่วนฉันก็ได้แต่ยืนงงอยู่คนเดียว ผู้คนก็เดินผ่านไปผ่านมา แต่เหมือนกับว่าไม่มีใครสนใจหรือตอบอะไรฉันเลย ฉันเดินไปถามก็เหมือนกับว่าไม่มีใครได้ยิน นี่มันคืออะไรกัน?“คุณป้าคะ ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ?”“...” ไม่ตอบฉันอีกแล้ว ฉันจึงวิ่งไปหาอีกคนที่กำลังเดิน“นั่นมัน...คุณยายคนนั้นนี่นา” ฉันตกใจเมื่อเห็นคนยายที่มาคุยกับฉันและเนยหวาน ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่

    Last Updated : 2025-04-25
  • อาศิรวิษ   1-เรื่องจริงหรือความฝัน 2/4

    “นะ นะ นั่นมันอะไร?”และฉันต้องผงะจนขายืนทรงตัวไม่อยู่ ล้มก้นกระแทกกับพื้นหิน ดวงตาเบิกโต กับภาพตรงหน้าคุณตาคนนั้นกลายเป็นงูที่มีรูปร่างใหญ่มาก ส่วนหัวและลำคอดูแปลกประหลาด จะว่างูก็ไม่ใช่ แต่เลื้อยเหมือนงู นั่นเรียกว่าอะไร? ฉันตกใจกลัวแทบหยุดหายใจ และรู้สึกว่าตอนนี้ฉันกำลังครองสติไม่อยู่ ท้ายที่สุดจนก็ล้มฟุบกับพื้นพร้อมความมืดในดวงตาเสียงเจื้อยแจ้วดังแว่วเข้ามาในหู การรับรู้ถ้อยคำของผู้คนที่พูดคุยกัน ทำให้ฉันรู้สึกตัว และลืมตาตื่นในถัดมา ฉันมองเพดานและรอบด้าน ทุกอย่างที่เห็นมันแปลกตาไปหมด ทั้งการตบแต่ง ข้าวของเครื่องใช้มันดูไม่เหมือนกับสิ่งที่ฉันเคยเจอมา และที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ก่อนหน้าที่ฉันพบเจอ“??” ฉันงงและสงสัย พลันคิดในใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฉันอีก ทุกอย่างมันแปลกประหลาดไปเสียหมด รวมทั้งผู้คนที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้“เจ้านางน้อย” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น ฉันพยายามลุกนั่งและมองหาคนที่เธอคนนั้นเรียก“รู้สึกกระไรบ้างเพคะ” เธอยังคงถามและมองหน้าฉัน“ใครเหรอเจ้านางน้อย” ฉันงงเลยเลือกที่จะถามออกไป“พระนางอย่างไรเล่าเพคะ” เธอคนนั้นย้ำว่าเป็นฉัน นี่มันอะไรอีกล่ะเนี่ย“ฉันเหรอ?” ชี้นิ้วเข

    Last Updated : 2025-04-25
  • อาศิรวิษ   1-เรื่องจริงหรือความฝัน 3/4

    “เจ้านางน้อยพูดสำเนียงกระไรรึเพคะ?” ผู้หญิงที่ชื่อกาลัดถามขึ้น“สำเนียงไทยนี่แหละ อะไรของพวกเธอละเนี่ย” ฉันก็งงกับพวกนางทั้งที่ฉันก็พูดภาษาไทย ทำไมถึงบอกมันแปลก“สำเนียงไทยฟังดูพิลึกชอบกลเพคะ”“เออ ช่างเถอะน่าแค่ฟังออกไม่ใช่ไง?”“ไม่ใช่ไง? แปลว่ากระไรรึเพคะ?”“พอ! เลิกถามเลิกสงสัยเพราะฉันปวดหัวกับพวกเธอมาก”ฉันต้องรีบยกมือห้ามก่อนที่จะปวดหัวไปมากกว่านี้ นี่มันคือที่ไหนกันนะ ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ทั้งที่ไม่รู้จักมาก่อน“นี่พวกเธอ”(“เพคะ”) ทั้งสองคนก็ตอบฉันพร้อมกัน“นี่มันที่ไหนกันทำไมดูแปลกประหลาด สถานที่ก็แปลก คนก็ยังจะแปลกอีก” ฉันนึกได้จึงถามตามที่สงสัย“นครมคธอย่างไรเพคะเจ้านางน้อยทรงลืมไปแล้วหรือ” กลีบบัวเป็นคนให้คำตอบแก่ฉัน“นครมคธ?”“เพคะ”ฉันงงไปกันใหญ่ นี่ฉันมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงกัน แล้วนครมคธมันอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย ไม่เคยได้ยินชื่อแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน นี่ต้องเป็นความฝันซ้อนฝันแน่ ๆ ฉันว่ามันต้องใช่ เพราะฉันจะมาอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไง มันไม่ใช่ความจริงกับชีวิตของฉันสักอย่างเพี๊ยะ!(“เจ้านางน้อย!!!”)เพื่อพิสูจน์ว่าทุกอย่างนั้นเพียงแค่ฉันแค่ฝันไป จึงตบเข้าใบหน้าตัวเองเ

    Last Updated : 2025-04-25
  • อาศิรวิษ   1-เรื่องจริงหรือความฝัน 4/4

    “ท่านอาศิรวิษองครักษ์ประจำกายเจ้านางน้อยเพคะ”“หล่อจัง”คนที่ฉันเห็นทำให้ฉันเผลอลั่นปากพูดออกมา ก็ใบหน้าสมส่วนมีเสน่ห์ ใครเห็นก็ต้องทักแบบฉันนี่แหละ เขาหล่อจริง ๆ ล่ำสั่นสมชายชาตรี ฉันไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าก็หาที่ติในความหล่อเหลาของเขาไม่ได้เลย นี่คนหรือเทพบุตรกันแน่นะ“เจ้านางน้อยเพคะ...เจ้านางน้อย”“ห ห๊ะ”“ทรงเป็นกระไรหรือเพคะหม่อมฉันสะกิดอยู่นานก็ไม่ขานรับ”“ม ไม่มีอะไร กลีบบัวว่าอะไรนะ ขออีกที”ฉันรู้สึกตัวจากการจ้องหน้าผู้ชายที่เป็นองครักษ์เมื่อกลีบบัวเขย่าแขนแรง มันอดไม่ได้ที่จะมอง ครุ่นคิดในหัวเขาเหมือนกับผู้ชายที่อยู่ในหนังสือเรื่องที่เพิ่งอ่านจบไป ภาพจินตนาการของฉันจากการบรรยายในหนังสือบอกว่าเป็นเขา แต่มันคงจะไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเราออกไปกันเสียก่อน ให้เจ้านางน้อยได้พักผ่อน” เป็นเจ้าหลวงที่พูดขึ้น(พ่ะย่ะค่ะ)(“กราบลาเจ้าหลวงเพคะ”)กลีบบัวและกาลัดน้อมตัวแล้วกราบลาผู้สูงศักดิ์ จากนั้นทุกคนก็ออกจากห้องไป มีเพียงกาลัดกับกลีบบัวที่อยู่เหมือนเดิม พวกเธอคงไม่ห่างจากฉันเป็นแน่ เพราะตั้งแต่ลืมตาตื่นมาก็เห็นทั้งสองคนอยู่เคียงข้าง คงเป็นคนสนิทของเจ้าของร่างนี้

    Last Updated : 2025-04-25
  • อาศิรวิษ   2-แค่เพียงบังเอิญ 1/4

    “เป็นเยี่ยงไรบ้างเพคะเจ้านางน้อย รู้สึกดีหรือไม่” เพียงแค่ฉันลืมตาตื่นเสียงทักก็ดังขึ้น จึงหันไปมองพบเป็นกาลัดที่นั่งอยู่ข้างเตียง “อืม หลับสนิทดี แล้วนี่กลีบบัวไปไหนล่ะ?” ฉันพยุงตัวลุกนั่งทั้งที่ยังมีอาการงัวเงีย ไม่เห็นกลีบบัวจึงได้ถามขึ้น “ห้องครัวเพคะ เตรียมสำรับให้เจ้านางน้อย” กาลัดตอบ “ตอนนี้กี่โมงกี่ยามละ” ฉันถามกาลัดทั้งที่ยังสะลืมสะลือมือขยี้ตาเบา ๆ “ย่ำค่ำแล้วเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดตอบฉัน และมันก็ทำเอาตาฉันสว่างโล่ เพราะงุนงงกับเวลาที่กาลัดบอก “ย่ำค่ำนี่กี่โมงวะ” ฉันเกาหัวงึมงำกับตัวเอง “เออย่ำค่ำก็ย่ำค่ำ” “เจ้านางน้อยทรงตรัสว่ากระไรหรือเพคะ” กาลัดถามพลางขมวดคิ้วงง “ไม่มีอะไรหรอก บ่นไปเรื่อยน่ะ” ฉันฉีกยิ้มแล้วตอบเธอ “กลีบบัวไปนานนัก ทำให้เจ้านางน้อยต้องคอยอยู่นาน” กาลัดบ่น พร้อมกับชะเง้อมองไปทางบานประตู “เออนี่กาลัด แล้วถ้าฉันอยากจะอาบน้ำล่ะต้องไปตรงไหน” “สระบัวแก้วมรกตเพคะ เป็นสระส่วนพระองค์ที่เจ้าหลวงสร้างขึ้นเพื่อเจ้านางน้อยพ

    Last Updated : 2025-04-27
  • อาศิรวิษ   2-แค่เพียงบังเอิญ 2/4

    “โอ้แม่เจ้า! มันตัวอะไรวะนั่น”ฉันเงยหน้ามองขึ้นไปยังกลางอากาศ ความใหญ่โตของสิ่งตรงหน้าทำเอาฉันอ้าปากค้างและรู้สึกกลัว ตัวหนึ่งเหมือนนกยักษ์ ส่วนอีกตัวเหมือนกับพญางูใหญ่กำลังต่อสู้กัน หัวใจของฉันเต้นระส่ำและกลัวมาก อยากจะวิ่งหนีไปหลบแต่ขาดันก้าวไม่ออกเสียอย่างนั้น ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอเงยหน้ามองดูเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างสิ่งมีชีวิตแสนแปลกประหลาดด้วยความหวาดหวั่น“นั่นมันท่านอาศิรวิษนี่เพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงตระหนก“จริงด้วย” กาลัดเอ่ยตาม“!!!” ส่วนฉันได้แต่ยืนนิ่งประหนึ่งคนหยุดหายใจ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่การต่อสู้และสิ่งตรงหน้าทำให้ฉันกลัวจนตัวเริ่มสั่น อยากจะก้าวขาวิ่งหนีแต่ก็เหมือนมีใครฉุดไว้ จึงทำได้เพียงกลั้นลมหายใจกัดฟันมองดูภาพตรงหน้า พร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัว“เจ้านางน้อยหลบเถิดเพคะ” กาลัดจับแขนของฉันไว้“ข ข ขาฉันก้าวไม่ได้ อยากวิ่งตั้งนานแล้ว” แต่ขาเจ้ากรรมดันแข็งทื่อประหนึ่งท่อนไม้“ขยับสิเพคะเจ้านางน้อย อันตรายนักหากยังยืนอยู่ตรงนี้” กลีบบัวพูดด้วยความวิตกลนลานทั้งกาลัดและกลีบบัวพยายามยกขาของฉันให้ก้าวเดิน แต่มันก็แสนจะลำบากเหลือเกิน ยิ่งฉันอยากจะวิ่งให้

    Last Updated : 2025-04-27
  • อาศิรวิษ   2-แค่เพียงบังเอิญ 3/4

    (“ไม่นึกฝันว่าเราจะได้เจอกันในเวลานี้ เจ้านางน้อยผณินทร”)“เฮือก! 0.0”ร่างสูงใหญ่ปีกหนาค่อย ๆ โฉบบินลงมาสู่พื้นดินพร้อมกับประกายรัศมีสีขาว ก่อนจะผันกลายเป็นร่างมนุษย์กำยำยืนตรงหน้าของฉัน คนที่มาใหม่ทำให้ฉันรับรู้ทันทีว่าเป็นใคร กาลัดกับกลีบบัวรีบเข้ามายืนบังด้านหน้าของฉัน พร้อมกับกางแขนออกทั้งสองข้างอย่างปกป้อง“เวนไตย?” ฉันพูดชื่อของคนตรงหน้าออกมาเบา ๆ พร้อมกับจดจ้องมองหน้าอย่างใจสู้ ทั้งที่ภายในอกนั้นสั่นเทิ้มหวาดกลัว ทำเป็นใจดีสู้เสือเพื่อไม่ให้ศัตรูได้ใจ“ปลื้มใจเหลือเกินที่เจ้านางน้อยผู้สูงศักดิ์ยังจดจำนามของข้าได้” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มร้ายกาจ พร้อมกับก้าวขาเดินเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้า กลีบบัวและกาลัดก็ดันให้ฉันเดินถอยหลังออกห่างก้าวต่อก้าวเช่นกัน“ท่านอย่าคิดแตะต้องเจ้านางน้อยเด็ดขาด” กาลัดพูดขึ้นอย่างไม่คิดกลัวฉันจ้องมองคนที่กลายร่างเป็นคนยืนตรงหน้าด้วยสายตาแข็งกร้าว เขาดูร้ายกาจจนทำให้ฉันขนลุกไปทั้งตัว ขาค่อย ๆ ขยับถอยออกห่างทีละก้าวอย่างเชื่องข้า จับสังเกตพฤติกรรมว่าจะกระทำอะไรที่มันไม่น่าไว้ใจมากกว่านี้ไหม จะได้หาทางหนีทีไล่ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าพวกฉันต้องเจออันตรายแค่ไหน

    Last Updated : 2025-04-27

Latest chapter

  • อาศิรวิษ   10-เสียงเงียบของคนที่ไม่มีวันถูกเลือก 3

    ฉันไม่เคยคิดว่า…เสียงของบ่วงนาคบาศจะเหมือนเสียงหัวใจ มันไม่ได้ดังกังวานอย่างศาสตรา แต่มันเต้นในจังหวะเดียวกับจิตของผู้ถือมัน ราวกับกำลังฟังเสียงความจริงจากเงาลึกในตัวเอง หลังจากปลดผนึกครุฑานนท์ โลกเริ่มเปลี่ยนเส้นพลังแห่งสมดุลเริ่มเคลื่อน แต่...บางอย่างกลับต้านไว้จากเบื้องหลัง“ผณินทร...โลกนี้ยังไม่ปลอดภัย ยังมีเงาหนึ่งที่เฝ้าจ้องอยู่หลังม่านกรรม...ในวิหารไร้เงาที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อ”เสียงจิตตรีภพกระซิบในยามค่ำ แม้ตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนที่ฉันสัมผัสได้ตรงหน้า เขาคือพลังเงียบที่คอยคุ้มครองฉัน…ไม่ว่าวันคืนจะเลื่อนลับไปไกลเพียงใดอาศิรวิษและฉันร่วมทางกันอีกครั้ง“หากเจ้านางน้อยเข้าไปในวิหารนั้นแล้ว จะไม่สามารถเป็นคนเดิมได้อีก” เขาเตือนเบา ๆ“ข้าไม่เป็นคนเดิมตั้งแต่วันที่ได้รู้จักท่านแล้ว…” ฉันตอบดวงตาเขาสะท้อนแสงดาวในราตรีนั้น ก่อนจะเบือนสายตาลงต่ำแต่ก่อนที่เราจะก้าวข้ามเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ มีกำแพงหนึ่งที่พวกเราต้องเผชิญ ประตูแห่งกรรม ประตูนั้นไม่มีมือจับ ไม่มีกล

  • อาศิรวิษ   10-เสียงเงียบของคนที่ไม่มีวันถูกเลือก

    พิธีเริ่มต้น กลางทะเลสาบวิญญาณ ณ ผืนป่าหิมพานต์เราเริ่มพิธีในคืนที่ดาวทั้งหมดดับลง ฉันเปล่งเสียงเรียกชื่อตรีภพ เสียงนั้นทะลวงผ่านขอบฟ้ามิติ อาศิรวิษหลั่งเลือดลงกลางพิธีเกล็ดทองสว่างระยิบ ร่วงหล่นเข้าวงเวท และฉันร่ายบทสวดเรียกเสี้ยวจิต ในวินาทีที่เงาเงียบทั้งหมดรวมกัน...เศษวิญญาณของตรีภพ ปรากฏขึ้นในรูปของลูกแก้วเรืองแสงสีฟ้าอ่อน พลังของเขาไม่สามารถกลับมาเป็นคนได้อีกแล้ว แต่เขายังอยู่…ในรูปของ ดวงจิตเฝ้ามอง ฉันนำลูกแก้วนั้นไปวางไว้ใต้ต้นอโศกสีทอง ที่ขึ้นจากน้ำตาหยดแรกของฉันในวันเขาจากไป มีเขาอยู่กับฉัน แม้จะไม่ใช่แบบเดิม แต่ฉันรู้ว่า...ดวงจิตเขายังมองพวกเราจากใต้แสงฟ้านั้นอาศิรวิษยืนเคียงข้างฉัน เขาไม่เคยทวงคืนสิ่งใด“แม้เจ้านางน้อยไม่ได้รักข้าอย่างที่ข้าเคยหวัง แต่ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ข้างเจ้านางน้อยเสมอ”ฉันจับมืออาศิรวิษแน่น แล้วหันหน้าพูด“รู้ได้ไงว่าไม่เคยรัก”“?”“หรือว่าท่านไม่เคยใส่ใจกันแน่”“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเอ่ยเสียงแผ่ว แววตาของเ

  • อาศิรวิษ   เสียงเงียบของคนที่ไม่มีวันถูกเลือก

    ลมเย็นพัดแผ่วผ่านลานศิลาใต้แสงจันทร์ ฉันเดินเคียงข้างอาศิรวิษ บรรยากาศเงียบสงบอย่างประหลาด แสงไฟวาวจากโคมนาคายามค่ำ ค่อย ๆ ส่องสะท้อนระยิบบนพื้นน้ำ เขายังคงเดินอย่างเงียบขรึมตามแบบของเขา แต่ฉันจับได้ว่าทุกครั้งที่ฉันชะงักฝีเท้า...เขาจะหยุดก่อนฉันเสี้ยววินาทีเสมอ“อาศิรวิษ” ฉันเอ่ยเบา ๆ “ท่านเคยกลัวบ้างไหม ว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะหายไปหมด”เขาหยุดเดิน แล้วหันมามอง ดวงตาสีทองนวลวาวใต้แสงจันทร์“เคย...กระหม่อมเคยกลัวจะสูญเสียท่านทั้งที่ตอนนั้นท่านยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าคือใคร” คำพูดนั้นทำให้ฉันเผลอยิ้ม“แล้วตอนนี้ล่ะยังกลัวอยู่ไหม?”“ไม่แล้ว” เขาตอบก่อนจะเอื้อมมือมาแตะที่มือฉัน“เพราะกระหม่อมจะไม่ยอมปล่อยเจ้านางน้อยไปไหนอีก”“อยู่กันแค่สองคน เราเคยคุยกันแล้วว่าจะไม่พูดคำเป็นทางการไง”“...”“แต่ช่างเถอะอยากพูดยังไงก็พูด ข้าเคยคิดว่าท่านเย็นชาแต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า...ท่านแค่ไม่เคยมีใครให้เปิดหัวใจ”เขายิ้มเบา ๆ แล้วพูดช้า ๆ“และพี่ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครอยากเปิดหัวใจให้เช่นกัน” มืออุ่นของเขาจับมือฉันไว้แน่น ไม่ใช่เพราะกลัวจะหลุดจากกัน...แต่เพราะอยากจะอยู่ด้วยกันให้นานที่สุดแต่ในขณะเดียวกัน พญาน

  • อาศิรวิษ   9-บ่วงกรรมแห่งตรีภพ 2

    หลายพันปีก่อน เอกวรา นาคินีแห่งรัก ผู้เป็นที่รักยิ่งของเหล่านาค แต่หัวใจของเธอกลับมิได้อยู่ในวิมานบาดาล เธอตกหลุมรัก อริยะ พญาครุฑหนุ่มผู้กล้าหาญ ผู้ขึ้นสู้กับทวยเทพเพื่อขอความยุติธรรมให้เหล่าสัตว์ครึ่งอสูร ความรักของทั้งคู่ต้องห้ามเด็ดขาด แต่เอกวรายอมเสียทุกสิ่ง แม้กระทั่งบัลลังก์สูงสุดเพื่อใช้ชีวิตกับอริยะในดินแดนลับแล ไม่นานเอกวราก็ให้กำเนิด เวนไตย ทารกผู้มีปีกทองแดงเหมือนครุฑ แต่ดวงตาสีแดงเรืองแสงเหมือนพญานาคทว่า...พลังที่เวนไตยถือกำเนิดมานั้น คือพลังของครุฑพันคำสาป การรวมคำสาปจากสองภพ คำสาปแห่งการหวงแหนและคำสาปแห่งการพลัดพราก“ข้าไม่อาจควบคุมเขาได้...เวนไตยเติบโตมาพร้อมความแค้น และอำนาจที่แม้แต่ข้าก็เกรงกลัว”เอกวราจึงตัดสินใจ ผนึกวิญญาณตนเองไว้ใน ดาบบุษบง เพื่อเป็นดาบที่สามารถหยุดเวนไตยได้ แต่แลกกับการที่ลูกอีกคนหนึ่ง...ต้องแบกภาระอันโหดร้ายนี้ไว้“ตรีภพ...เจ้าคือผู้สืบสายเลือดของข้า ลูกแห่งความรัก และเจ้าจะต้องเลือกระหว่างคำสาบานหรือความรัก”//ปัจจุบัน//ตรีภพลืมตาขึ้น ท่าม

  • อาศิรวิษ   9-บ่วงกรรมแห่งตรีภพ

    ฉันลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใต้เท้าคือพื้นศิลาของ วิหารเงานาคากำลังแตกแยกจากแรงอาคมสะท้อนของคำสาป ในมือยังอบอุ่นจากการกุมของอาศิรวิษ พลังในร่างกายเปลี่ยนไปคล้ายมีบางสิ่งแฝงตัวในเลือดและลมหายใจ เห็นบางอย่างในเงาสะท้อนของผืนน้ำ...นัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มเรืองแสง มีอักขระคล้ายเกล็ดนาคาซ้อนกันอยู่“นี่คืออะไร ทำไมมันเปลี่ยนไปมากขนาดนี้”อาศิรวิษยกมือประคองบ่าของฉันเบา ๆ ดวงตาคมเหมือนพญานาคที่หลับใหลมานานมองฉัน“มันคือตัวตนแท้จริงของท่านเจ้านางน้อย ข้ารู้ว่าท่านสงสัย เพียงแต่ตอนนี้เราต้องไปช่วยตรีภพเสียบัดเดี๋ยวนี้ ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป”ฉันกับอาศิรวิษรีบเดินทางผ่านประตูเงานาคาชั้นใน อาศิรวิษเล่าว่านี่เป็นช่องว่างที่เชื่อมระหว่างภพมนุษย์กับแดนพันธนา สถานที่ที่ตรีภพถูกคุมขังด้วยตราอาคมของครุฑ และฉันมองเห็นเขาตรีภพ นั่งคุกเข่าอยู่กลางวงแหวนอาคม มีเสาเทพครุฑ ปักไว้สี่ทิศ อาคมค่อย ๆ ดูดพลังชีวิตเขาทีละหยด ผิวของตรีภพเริ่มซีดเผือด ริมฝีปากแตก แต่แววตายังแน่วแน่“เกี่ยวกับเวนไตยด้วยอย่างนั้นเหรอเนี่ย ซับซ้อนเกิน” ฉันพึมพำในใจฉันเลิกคิดเรื่องกวนใจ แล้วพุ่งเข้าไปแต่กลับถูกม่านครุฑศิลป์ต้า

  • อาศิรวิษ   8-เพลิงคำสาปและเสียงครูบา 2

    เสียงคำรามของเงานาคาก้องไปทั่วซากวิหารโบราณพื้นดินแตกระแหง ต้นไม้ล้มระเนระนาด และ “ตรีภพ” ถูกตรึงร่างไว้กลางลานพิธีด้วยเงาดำ พันธะคำสาปที่กำลังจะกลืนกินหัวใจของเขา“พี่ภพ!!” ฉันแผดเสียงเรียกอย่างแหบพร่า หัวใจเหมือนจะแตกออกจากอก เห็นตรีภพเหมือนกำลังจะขาดใจ ฉันหยัดแรงและตั้งท่าจะพุ่งเข้าไปช่วย แต่เสียงกึกก้องดุจสายฟ้าผ่าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง“อย่าเข้าไป!! นั่นคือคำสาปของเทวนาคา ท่านจะแตะต้องมันไม่ได้!!”เสียงนั้น... ฉันรู้ดีว่าเป็นใคร“อาศิรวิษ”ชายร่างสูงสง่าในชุดนักรบโบราณสีดำปักลายเกล็ดนาคา อาศิรวิษพญานาคองครักษ์ประจำตัว และคนที่ฉันเฝ้ามองอยู่เงียบ ๆเมื่อลงจอดกลางวิหารเงานาคา...อาศิรวิษเข่าทรุดลงกับพื้น ดวงตาของเขาจ้องมาทางฉัน มันเป็นแววตาที่หนักแน่นปะปนด้วยค

  • อาศิรวิษ   8-เพลิงคำสาปและเสียงครูบา

    รุ่งเช้าของวันใหม่ ฟ้าสางเหนือเทือกเขานาคบาศงามจับใจ แต่ภายใต้ความสงบกลับซ่อนบางสิ่งที่อึดอัดไว้ลึก ๆ ฉันนั่งอยู่บนหลังม้าสีหมอก ข้างกายเป็นสหายแต่วัยเยาว์ สายตาเขามองตรงไปเบื้องหน้า แต่ใจเราสองคนกลับจดจ่อกับอดีตที่ยังไม่ได้รับคำตอบ มันเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างมักฉายภาพเข้ามาในหัวของฉัน ซึ่งฉันไม่เข้าใจ“ศาลาพันธะนาคาอยู่ห่างจากวังหลวงหนึ่งวันทางม้า ทว่าหากเรากลายร่างเป็นพญานาคไปจักเร็วขึ้น แต่อาจจะทำให้ศัตรูเห็น จึงจำเป็นต้องเดินทางด้วยม้า เจ้านางน้อยพร้อมหรือไม่” เขาถามเสียงเรียบ“ตั้งแต่ที่ข้าถูกใส่ความ ข้าก็ไม่เคยหยุด...พร้อมมากเลยล่ะ” ฉันตอบพลางกระตุกบังเหียนเบา ๆ พลันหวนคิดคำแทนตัวก็นึกตลก ฉันอยู่จนพูดคำโบราณเหล่านี้ออกมาอย่างไม่ขัดเขินแล้วเหรอเนี่ย ก็อย่างว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามฉันและตรีภพเดินทางผ่านป่าทึบและธารน้ำใส ก่อนจะไปถึงเนินเขาเตี้ย ๆ ที่ตั้งของ ศาลาโบราณ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่ผูกสา

  • อาศิรวิษ   7-ปัญหาที่ต้องรับมือ 4/4

    ประตูท้องพระโรงเปิดออกอย่างฉับพลัน“หัวหน้ายามวิหารอาคมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ชายชราร่างผอม ผมเผ้าขาวโพลน เดินเข้ามาพร้อมกับก้มกราบเจ้าหลวงอย่างเคารพ“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”“เราต้องการให้เจ้าตอบความหนึ่ง” เจ้าหลวงเอ่ย “คืนก่อนบ่วงนาคบาศจะหาย เจ้าได้อนุญาตให้ผู้ใดเข้าวิหารหรือไม่?”“ไม่ได้มีผู้ใดเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างสงบเรียบร้อยดี” เขาขมวดคิ้ว “เว้นแต่...”“เว้นแต่?” เจ้าหลวงถามเสียงเข้ม“เว้นแต่มีข้ารับใช้คนหนึ่งมาขอเข้าไปตรวจตราตอนก่อนรุ่งสาง พ่ะย่ะค่ะ”ทุกคนในท้องพระโรงตกใจ ฉันหันขวับไปมองตรีภพ ดวงตาของเขาฉายแววคาดเดาออกมาแล้ว“เป็นใคร?” ฉันถามเสียงดังหัวหน้ายามนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบผ้าแพรผืนเล็กออกจากอกเสื้อ ยื่นให้เจ้าหลวง“ข้ารับใช้ผู้นั้นลืมผ้าไว้พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยเก็บไว้ยังไม่ได้ส่งคืน ในผ้ามีลายปักรูปดอกบุนนาค...ข้าน้อยจำได้ดี”ฉันกับตรีภพสบตากันทันที“ดอกบุนนาค

  • อาศิรวิษ   7-ปัญหาที่ต้องรับมือ 3/4

    “ตอนนี้ไม่มีผู้ใดแล้ว นับว่ามีแต่คนในครอบครัว พ่อจักไม่ยื้อถามให้มากความ...อัปสรา”“เพคะ”“ครั้นก่อนหน้าไยเจ้าจึงได้บอกว่าผณินทรเป็นผู้ขโมยบ่วงนาคบาศไป” เจ้าหลวงเอ่ยอย่างตรงประเด็น ฉันเห็นสีหน้าของอัปสราสลดลงทันตา ทุกคนจ้องมองไปยังเธออย่างเฝ้ารอการโต้ตอบ เธอดูประหม่ากำมือแน่น แขนสั่นเทา ฉันเห็นความกลัวในแววตาของเธอชัดเจน“เช้ามืดของวันนั้นลูกตื่นแต่เช้า เพราะนอนไม่หลับ ลูกเห็นเจ้าพี่ผณินทรออกมาจากวิหารอาคมเพคะ ต่อมาก็ได้ยินข่าวว่าบ่วงนาคบาศหายไป จึงไปกราบทูลให้เสด็จพ่อทรงทราบ หากไม่ใช่ท่านพี่จักเป็นผู้ใดได้เล่าเพคะ ในเมื่อไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปในวิหารอาคมนี้ได้”อัปสราเล่าเรื่องราว ทำเอาฉันถึงกับกำมือแน่นด้วยความโมโห แต่ต้องข่มอารมณ์ไว้ รอดูต่อไปว่าเธอจะใส่ร้ายฉันยังไงอีก จากที่เธอเล่ามามันย้อนแย้งกันมาก เพราะเป็นวันที่ฉันไม่ได้อยู่ในเขตพระราชวัง เรื่องนี้มันชักจะไม่

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status