ยามเซิน (15.00 – 16.59 น.)
ขันทีอันยังไม่ทันได้ก้าวพ้นธรณีประตูของตำหนักเหอเซิ่งก็ได้ยินเสียงของฮ่องเต้กับราชครูหม่าคุยกันค่อนข้างดัง
‘เมื่อวานก็มา วันนี้ก็มา หรือราชครูเกิดหวงฮ่องเต้ขึ้นมากันนะ’ คิดแล้วก็เดินเข้าไปยืนอยู่ข้างขันทีเซี่ยงรอปรนนิบัติฮ่องเต้
“ท่านเจ้ากี้เจ้าการกับเรื่องของเจิ้นมากไปแล้ว” เสียงขุ่นมัวของฮ่องเต้แสดงถึงความไม่พอพระทัย
“กระหม่อมทำทุกอย่างเพื่อฝ่าบาทและบัลลังก์มังกรนะพะย่ะค่ะ” ราชครูหม่าโต้แย้งขึ้นมาทันที
“หวังดีด้วยการให้เจิ้นไปค้างอ้างแรมกับพระสนมทุกคน ท่านทำเหมือนไม่รู้จักเจิ้น”
“เพราะรู้จักดีถึงต้องทำเช่นนี้พะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทห่วงบ้านเมือง กระหม่อมจะช่วยฝ่าบาทสุดความสามารถไม่เสียดายชีวิต หากห่วงบัลลังก์ กระหม่อมจะช่วยปกป้อง หากห่วงสมบัติในท้องพระคลั
กว่าจะกลับถึงตำหนักซานสุ่ยก็ใช้เวลาเกือบสองก้านธูป ขันทีหนุ่มน้อยก็อุ้มแมวส้มขนฟูฝ่าบรรดาองครักษ์เข้าตำหนัก‘ทำมาเป็นมอง เรื่องประหลาดในวังเคยจะสนใจบ้างไหม’ เถียนจิ้งหลานเหลือบตามองเหล่าองครักษ์แล้วก็ได้แค่คิดแต่ไม่กล้าพูดออกมาเมื่อเข้ามาถึงห้องที่ฮ่องเต้ใช้บรรทม เธอก็ปล่อยเสี่ยวหู่ลงบนเก้าอี้ ดวงตาหงส์ของฮ่องเต้หรี่มองมาที่คนและแมว“เช็ดตัวทำความสะอาดขนด้วย” เสียงเย็นชาเอ่ยสั่งขันทีอัน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสียงอ่อนโยนกล่าวกับเสี่ยวหู่“เจ้าตัวแสบไปดื้อที่ไหนมาอีก น่าตีนัก”ขันทีอันได้ยินเช่นนั้นจึงเพิ่มแรงเช็ดขนเสี่ยวหู่ด้วยความหมั่นไส้ แมวส้มรู้สึกไม่สบายตัวเลยอ้าปากงับไปที่มือข้างที่ถูกอุ้มและกระโจนออกจากอ้อมแขนด้วยความตกใจไม่ทันตั้งตัว ขันทีอันคว้าขาหลังของเสี่ยวหู่ที่กำลังกระโดดไปหาฮ่องเต
ยามเซิน (15.00 – 16.59 น.)ขันทีอันยังไม่ทันได้ก้าวพ้นธรณีประตูของตำหนักเหอเซิ่งก็ได้ยินเสียงของฮ่องเต้กับราชครูหม่าคุยกันค่อนข้างดัง‘เมื่อวานก็มา วันนี้ก็มา หรือราชครูเกิดหวงฮ่องเต้ขึ้นมากันนะ’ คิดแล้วก็เดินเข้าไปยืนอยู่ข้างขันทีเซี่ยงรอปรนนิบัติฮ่องเต้“ท่านเจ้ากี้เจ้าการกับเรื่องของเจิ้นมากไปแล้ว” เสียงขุ่นมัวของฮ่องเต้แสดงถึงความไม่พอพระทัย“กระหม่อมทำทุกอย่างเพื่อฝ่าบาทและบัลลังก์มังกรนะพะย่ะค่ะ” ราชครูหม่าโต้แย้งขึ้นมาทันที“หวังดีด้วยการให้เจิ้นไปค้างอ้างแรมกับพระสนมทุกคน ท่านทำเหมือนไม่รู้จักเจิ้น”“เพราะรู้จักดีถึงต้องทำเช่นนี้พะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทห่วงบ้านเมือง กระหม่อมจะช่วยฝ่าบาทสุดความสามารถไม่เสียดายชีวิต หากห่วงบัลลังก์ กระหม่อมจะช่วยปกป้อง หากห่วงสมบัติในท้องพระคลั
มาถึงตำหนักซินหยวนก็เข้าช่วงปลายของยามซวี (19.00 – 20.59 น.) เหล่าขันทีและนางกำนัลในตำหนักล้วนทราบว่าฮ่องเต้จะเสด็จมาตั้งแต่เย็น ถึงอย่างนั้นก็ยังงุนงงกันอยู่“ถวายพระพรฝ่าบาท” เหล่าขันทีและนางกำนัลต่างกล่าวรับเสด็จพร้อมกัน“เถียนเฟยอยู่ห้องไหน คืนนี้เจิ้นจะค้างที่นี่” ฮ่องเต้กล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา“หม่อมฉันจะนำเสด็จเองเพคะ” เสียงหวานของโหรวม่านดังขึ้น พร้อมกับส่งสายตาให้กับซิ่วฟางและเซียงหรูให้ตามไปด้วยกันเมื่อถึงห้องบรรทมของเถียนเฟย โหรวม่านกับซิ่วฟางก็ยืนหลบมุมภายในห้องรอรับสั่งของฮ่องเต้ ส่วนเซียงหรูกับเนี่ยนเหวินก็ยกถาดของว่างและน้ำชาเข้ามาถวายแก่ฮ่องเต้ฮ่องเต้กวาดสายตามองไปทั่วห้องเห็นพระสนมร่างเล็กนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงก็เอ่ยขึ้นว่า “นำเสื้อคลุมขนสัตว์ของเถียนเฟยมาให้เจิ้น แล้วพวกเจ้าก็ออกไปได้” พลัน
หลังจากออกว่าราชกิจที่ท้องพระโรง ฮ่องเต้และราชครูหม่าก็ไปยังห้องทรงงาน ณ ตำหนักหย่งฟู่“เรื่องที่ฝ่าบาทให้กระหม่อมสืบได้ความว่าท่านมหาเสนาบดีเหยาอยากอุ้มหลาน เลยสั่งให้เหยาเฟยใกล้ชิดกับฝ่าบาทเพิ่มขึ้นพะย่ะค่ะ ”“เจ้าคิดว่าสาเหตุมีเพียงเท่านี้หรือ” ฮ่องเต้ถามกลับด้วยความคลางแคลงใจ“แค่นี้จริงๆพะย่ะค่ะ เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย มิต้องทรงวิตกกังวล เรื่องสำคัญสำหรับฝ่าบาทในตอนนี้คือให้กำเนิดองค์รัชทายาทได้แล้วพะย่ะค่ะ”ราชครูหม่าทำมือประสานกันค้อมตัว หลบสายตาขณะกล่าวตอบฮ่องเต้ เขาก้มหน้าแล้วกล่าวต่อ“กระหม่อมคิดว่า ฝ่าบาทควรต้องใช้เวลาในยามค่ำคืนกับพระสนมได้แล้วพะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นจะส่งผลต่อความมั่นคงของพระราชบัลลังก์และความสงบของรัฐต้าเซี่ยได้”“เจ้าอย่ารวบรัดเจิ้น เจิ้นยังไม่อ
“เสี่ยวหู่ เจ้านี่เก่งนะ ทำให้เหยาเฟยอุ้มมาส่งด้วยพระองค์เองได้”ฝ่ามือเรียวของขันทีอันกึ่งขยี้กึ่งนวดคลึงบนลำตัวและขนของเสี่ยวหู่‘สบายสุดๆ มันแปลกตรงไหนกัน’ “เหมียวๆๆ”ขันทีอันเห็นการตอบกลับของเสี่ยวหู่ก็พูดต่อ“ปกติเหยาเฟยแทบไม่ออกนอกเขตตำหนัก ถ้าไม่มีรับสั่งจากไทเฮาหรือฮ่องเต้ ขนาดสวนดอกไม้ยังไม่ค่อยไปเลย”“เหยาเฟยเป็นพวกอินโทรเวิร์ตหรือนี่ ” “เหมียวๆๆๆ”ขันทีอันมือหนึ่งตักน้ำอุ่นมาค่อยๆรดบนตัวของเสี่ยวหู่ มืออีกข้างค่อยๆลูบน้ำบนขนออก พลางกระซิบเบาๆ “ข้าพูดกับเจ้า เจ้าก็อย่าไปบอกใครนะ”‘เรื่องนี้ขันทีกับนางกำนัลในวังก็น่าจะรู้มั้ย ความลับตรงไหนกัน’“ได้ๆ ข้าจะ
ภายใต้ร่มเงาไม้แสงแดดรำไร สายลมเย็นๆพัดผ่าน ใบไม้พลิ้วไหวตามแรงลม เหยาเฟยสตรีหน้าตางดงามรูปร่างบอบบาง สวมอาภรณ์สีเขียวสดใสกำลังนั่งท่ามกลางมวลดอกไม้พูดคุยหยอกเย้าอยู่กับนางกำนัลของตนหลิงฮุ่ยจ้องมองใบหน้าของเหยาเฟยด้วยความชื่นชม ปากน้อยๆส่งเสียงเจื้อยแจ้วได้ยินชัดเจนว่า“เหยาเฟยเพคะ พระองค์ทรงงดงามขนาดนี้ ขนาดหม่อมฉันที่เป็นสตรีด้วยกันยังหลงใหล ทำไมพระองค์ไม่เสด็จไปหาฮ่องเต้ล่ะเพคะ ฮ่องเต้น่าจะโปรดปรานพระองค์ไม่มากก็น้อย”เหยาเฟยเอื้อมมือเรียวไปบีบแก้มหลิงฮุ่ย กล่าวอย่างเอ็นดู“เจ้าก็พูดไป เจ้าก็รู้ว่าฝ่าบาทไม่ทรงโปรดสตรี ต้องให้ข้าทำอย่างไรให้ฝ่าบาทมาสนใจข้าดีล่ะ”“ชายหนุ่มอย่างไรก็ต้องแพ้สัญชาตญาณของบุรุษเพศอยู่ดีเพคะ อาจจะต้องพยายามปลุกมันบ่อยๆเท่านั้นเอง”หลิงฮุ่ยโน้มตัวไปแนบกาย พูดกึ่งกระซิบข้างหูของเหยาเฟย มือน้อยพลางเล่นม้วนปอยผมขอ