“เสี่ยวหู่ เจ้านี่เก่งนะ ทำให้เหยาเฟยอุ้มมาส่งด้วยพระองค์เองได้”
ฝ่ามือเรียวของขันทีอันกึ่งขยี้กึ่งนวดคลึงบนลำตัวและขนของเสี่ยวหู่
‘สบายสุดๆ มันแปลกตรงไหนกัน’ “เหมียวๆๆ”
ขันทีอันเห็นการตอบกลับของเสี่ยวหู่ก็พูดต่อ
“ปกติเหยาเฟยแทบไม่ออกนอกเขตตำหนัก ถ้าไม่มีรับสั่งจากไทเฮาหรือฮ่องเต้ ขนาดสวนดอกไม้ยังไม่ค่อยไปเลย”
“เหยาเฟยเป็นพวกอินโทรเวิร์ตหรือนี่ ” “เหมียวๆๆๆ”
ขันทีอันมือหนึ่งตักน้ำอุ่นมาค่อยๆรดบนตัวของเสี่ยวหู่ มืออีกข้างค่อยๆลูบน้ำบนขนออก พลางกระซิบเบาๆ “ข้าพูดกับเจ้า เจ้าก็อย่าไปบอกใครนะ”
‘เรื่องนี้ขันทีกับนางกำนัลในวังก็น่าจะรู้มั้ย ความลับตรงไหนกัน’
“ได้ๆ ข้าจะเหยียบไว้ให้มิด” “เหมียวๆๆ” เสี่ยวหู่ตกปากรับคำ ยังไม่ทันสะบัดน้ำออกจากตัวก็ถูกผ้าผืนน้อยห่อหุ้มร่างเพื่อเช็ดตัว
เมื่ออาบน้ำเสร็จ ขณะที่อยู่ระหว่างทางกลับตำหนักเหอเซิ่ง ท้องฟ้าที่สดใสก็พลันถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆหนาดำทะมึน แสงสว่างหายไปในพริบตา ความมืดครึ้มเข้าครอบคลุม ท้องฟ้าเกิดเสียงดังกัมปนาท แสงจากอสนีบาตวาบพาดผ่านเหนือพระราชวัง ทันใดนั้นเอง ขันทีอันที่กำลังอุ้มเสี่ยวหู่ก็ล้มลง พลันหมดสติทั้งคนทั้งแมว
‘ฉันเป็นอะไรกัน หมดสติอีกแล้วหรือ แล้วเตียงทำไมแข็งแบบนี้’ คิดแล้วพลางขยับตัว
“โอะ โอ๊ย หละ หลังข้า ปวด”
“หย่วนหังเจ้าฟื้นแล้วสินะ” ขันทีหนุ่มน้อยคนหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ เอ่ยปากถามอยู่ข้างเตียง
เถียนจิ้งหลานที่กำลังมึนๆงงๆอยู่ถามอย่างสงสัย
“หย่วนหัง ผู้ใดกัน” จากนั้นหันไปมองหน้าคู่สนทนาและมองไปรอบๆห้อง
“เจ้าหมดสติจนจำอะไรไม่ได้แล้วหรือ เจ้าคืออันหย่วนหังไงล่ะ เป็นขันทีในตำหนักเหอเซิ่งของฮ่องเต้ ได้สติก็ดีแล้ว วันนี้ฮ่องเต้ให้เจ้าพักผ่อนได้ เดี๋ยวข้าไปทำหน้าที่แทนเจ้า”
ขันทีหนุ่มน้อยยังพูดเจื้อยแจ้ว ไม่ได้สนใจสายตางุนงงของฝ่ายตรงข้าม
‘ฉันย้ายมาสิงร่างขันทีอันแล้วสินะ ’เถียงจิ้งหลานในร่างขันทีอันกล่าวตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
“ขอบใจเจ้ามาก ละ แล้วแมวล่ะ”
คู่สนทนากล่าวด้วยเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยว่า
“เสี่ยวหู่ไม่เป็นอะไรหรอก แค่ข่วนแขนข้าไม่กี่แถวเอง ตอนนี้อยู่ที่ตำหนักเหอเซิ่ง” เขากล่าวพลางถลกแขนเสื้อตัวเองลูบที่รอยแผลแดงยาว
“ข้าเซี่ยงข่ายรุ่ยเกิดมาไม่เคยโดนสตรีนางใดข่วน ยกเว้นแมวอย่างเสี่ยวหู่ เสี่ยวหู่ก็นะ ทำตัวดีไม่กี่วันกลับมาดุอีกแล้ว แต่แมวของโอรสสวรรค์ ข้าไม่ถือสา ข้ายินดี ข้าเต็มใจ”
ขันทีหนุ่มน้อยแซ่เซี่ยง กล่าวด้วยน้ำเสียงภูมิใจ แต่คนฟังกลับรู้สึกว่าเขากำลังปลอบใจตัวเองอยู่
“เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าไปทำงานต่อล่ะ” กล่าวจบขันทีเซี่ยงก็เดินออกจากห้องไป
“เหมียว” เสียงแมวน้อยร้องเรียกให้ขันทีอันต้องลืมตาตื่นขึ้นท่ามกลางแสงสลัวจากภายนอก
“เจ้าการ์ฟีลด์ มาปลุกข้าทำไมแต่เช้ามืด เจ้าหิวหรือ”
แม้เถียนจิ้งหลานจะเคยเป็นแมวในช่วงเวลาไม่กี่วันก็ตาม แต่ก็พอเดาได้ว่าเจ้าแมวน้อยต้องการสื่อถึงอะไร
“แล้วข้าต้องทำอะไรบ้างเนี่ย เจ้าอย่าเพิ่งเร่งข้า ข้าขอคิดก่อน”
กล่าวจบก็หลับตาลงทบทวนถึงความทรงจำของขันทีอัน ภาระหน้าที่ในแต่ละวันที่ต้องทำ รวมถึงชื่อเพื่อนร่วมงานแต่ละคน
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการรู้แล้วก็ค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ “เข้าใจล่ะ เดี๋ยวข้าไปบอกห้องครัวหลวงให้เตรียมอาหารให้เจ้า”
เมื่อขึ้นยามเหม่า (5.00-6.59 น.) ของอีกวัน เถียนจิ้งหลานในร่างของขันทีอันก็รีบไปตำหนักเหอเซิ่งเพื่อรอรับใช้ฮ่องเต้
“เจ้าทำอะไรกับเสี่ยวหู่ของเจิ้น เมื่อวานพอฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นแมวที่ร้ายกาจเหมือนเดิม” เสียงเย็นเยียบของฮ่องเต้เอ่ยถาม
ขันทีหนุ่มออกอาการขยุกขยิก กล่าวเสียงเลิกลักตอบฮ่องเต้
“มะ หม่อมฉันไม่ได้ทำอันใดเลยพะย่ะค่ะ คงเป็นเพราะเสียงฟ้าผ่า กะ กาฟี เอ้ย เสี่ยวหู่ตกใจ สติเลยกลับมาเหมือนเดิมพะย่ะค่ะ”
“เป็นเช่นนั้นหรือ” ตาหงส์ของฮ่องเต้มองไปยังขันทีอัน ดูจากที่ไกลๆก็รู้ว่ากำลังทรงจับผิดอยู่
“เจ้าไปเตรียมอาหารให้เสี่ยวหู่ได้แล้ว”
“พะย่ะค่ะ” ขันทีอันน้อมรับคำสั่ง หมุนตัวกลับเพื่อจะก้าวเดินออกจากห้อง เพียงแต่เขาหมุนตัวขณะที่กำลังประหม่าทำให้ขาไม่ตอบสนองกับความคิด ขาซ้ายขวาพันกันเอง จากนั้นก็ ‘โครม’ ล้มหน้าคะมำตรงประตู
มิรอให้ฮ่องเต้เอื้อนเอ่ยอะไร ก็ตะลีตะลานตะกายออกนอกห้อง เมื่อลุกขึ้นได้จึงรีบเดินออกจากตำหนัก
ฮ่องเต้ซึ่งจับตามองตั้งแต่แรก เห็นขันทีอันทุกอากัปกริยา ก็ถอนหายใจ “เสี่ยวหู่สติมา ขันทีอันสติไป” แถมท่าเดินยังคล้ายสตรีไม่มีผิดเพี้ยน
ยามเซิน (15.00 – 16.59 น.)ขันทีอันยังไม่ทันได้ก้าวพ้นธรณีประตูของตำหนักเหอเซิ่งก็ได้ยินเสียงของฮ่องเต้กับราชครูหม่าคุยกันค่อนข้างดัง‘เมื่อวานก็มา วันนี้ก็มา หรือราชครูเกิดหวงฮ่องเต้ขึ้นมากันนะ’ คิดแล้วก็เดินเข้าไปยืนอยู่ข้างขันทีเซี่ยงรอปรนนิบัติฮ่องเต้“ท่านเจ้ากี้เจ้าการกับเรื่องของเจิ้นมากไปแล้ว” เสียงขุ่นมัวของฮ่องเต้แสดงถึงความไม่พอพระทัย“กระหม่อมทำทุกอย่างเพื่อฝ่าบาทและบัลลังก์มังกรนะพะย่ะค่ะ” ราชครูหม่าโต้แย้งขึ้นมาทันที“หวังดีด้วยการให้เจิ้นไปค้างอ้างแรมกับพระสนมทุกคน ท่านทำเหมือนไม่รู้จักเจิ้น”“เพราะรู้จักดีถึงต้องทำเช่นนี้พะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทห่วงบ้านเมือง กระหม่อมจะช่วยฝ่าบาทสุดความสามารถไม่เสียดายชีวิต หากห่วงบัลลังก์ กระหม่อมจะช่วยปกป้อง หากห่วงสมบัติในท้องพระคลั
มาถึงตำหนักซินหยวนก็เข้าช่วงปลายของยามซวี (19.00 – 20.59 น.) เหล่าขันทีและนางกำนัลในตำหนักล้วนทราบว่าฮ่องเต้จะเสด็จมาตั้งแต่เย็น ถึงอย่างนั้นก็ยังงุนงงกันอยู่“ถวายพระพรฝ่าบาท” เหล่าขันทีและนางกำนัลต่างกล่าวรับเสด็จพร้อมกัน“เถียนเฟยอยู่ห้องไหน คืนนี้เจิ้นจะค้างที่นี่” ฮ่องเต้กล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา“หม่อมฉันจะนำเสด็จเองเพคะ” เสียงหวานของโหรวม่านดังขึ้น พร้อมกับส่งสายตาให้กับซิ่วฟางและเซียงหรูให้ตามไปด้วยกันเมื่อถึงห้องบรรทมของเถียนเฟย โหรวม่านกับซิ่วฟางก็ยืนหลบมุมภายในห้องรอรับสั่งของฮ่องเต้ ส่วนเซียงหรูกับเนี่ยนเหวินก็ยกถาดของว่างและน้ำชาเข้ามาถวายแก่ฮ่องเต้ฮ่องเต้กวาดสายตามองไปทั่วห้องเห็นพระสนมร่างเล็กนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงก็เอ่ยขึ้นว่า “นำเสื้อคลุมขนสัตว์ของเถียนเฟยมาให้เจิ้น แล้วพวกเจ้าก็ออกไปได้” พลัน
หลังจากออกว่าราชกิจที่ท้องพระโรง ฮ่องเต้และราชครูหม่าก็ไปยังห้องทรงงาน ณ ตำหนักหย่งฟู่“เรื่องที่ฝ่าบาทให้กระหม่อมสืบได้ความว่าท่านมหาเสนาบดีเหยาอยากอุ้มหลาน เลยสั่งให้เหยาเฟยใกล้ชิดกับฝ่าบาทเพิ่มขึ้นพะย่ะค่ะ ”“เจ้าคิดว่าสาเหตุมีเพียงเท่านี้หรือ” ฮ่องเต้ถามกลับด้วยความคลางแคลงใจ“แค่นี้จริงๆพะย่ะค่ะ เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย มิต้องทรงวิตกกังวล เรื่องสำคัญสำหรับฝ่าบาทในตอนนี้คือให้กำเนิดองค์รัชทายาทได้แล้วพะย่ะค่ะ”ราชครูหม่าทำมือประสานกันค้อมตัว หลบสายตาขณะกล่าวตอบฮ่องเต้ เขาก้มหน้าแล้วกล่าวต่อ“กระหม่อมคิดว่า ฝ่าบาทควรต้องใช้เวลาในยามค่ำคืนกับพระสนมได้แล้วพะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นจะส่งผลต่อความมั่นคงของพระราชบัลลังก์และความสงบของรัฐต้าเซี่ยได้”“เจ้าอย่ารวบรัดเจิ้น เจิ้นยังไม่อ
“เสี่ยวหู่ เจ้านี่เก่งนะ ทำให้เหยาเฟยอุ้มมาส่งด้วยพระองค์เองได้”ฝ่ามือเรียวของขันทีอันกึ่งขยี้กึ่งนวดคลึงบนลำตัวและขนของเสี่ยวหู่‘สบายสุดๆ มันแปลกตรงไหนกัน’ “เหมียวๆๆ”ขันทีอันเห็นการตอบกลับของเสี่ยวหู่ก็พูดต่อ“ปกติเหยาเฟยแทบไม่ออกนอกเขตตำหนัก ถ้าไม่มีรับสั่งจากไทเฮาหรือฮ่องเต้ ขนาดสวนดอกไม้ยังไม่ค่อยไปเลย”“เหยาเฟยเป็นพวกอินโทรเวิร์ตหรือนี่ ” “เหมียวๆๆๆ”ขันทีอันมือหนึ่งตักน้ำอุ่นมาค่อยๆรดบนตัวของเสี่ยวหู่ มืออีกข้างค่อยๆลูบน้ำบนขนออก พลางกระซิบเบาๆ “ข้าพูดกับเจ้า เจ้าก็อย่าไปบอกใครนะ”‘เรื่องนี้ขันทีกับนางกำนัลในวังก็น่าจะรู้มั้ย ความลับตรงไหนกัน’“ได้ๆ ข้าจะ
ภายใต้ร่มเงาไม้แสงแดดรำไร สายลมเย็นๆพัดผ่าน ใบไม้พลิ้วไหวตามแรงลม เหยาเฟยสตรีหน้าตางดงามรูปร่างบอบบาง สวมอาภรณ์สีเขียวสดใสกำลังนั่งท่ามกลางมวลดอกไม้พูดคุยหยอกเย้าอยู่กับนางกำนัลของตนหลิงฮุ่ยจ้องมองใบหน้าของเหยาเฟยด้วยความชื่นชม ปากน้อยๆส่งเสียงเจื้อยแจ้วได้ยินชัดเจนว่า“เหยาเฟยเพคะ พระองค์ทรงงดงามขนาดนี้ ขนาดหม่อมฉันที่เป็นสตรีด้วยกันยังหลงใหล ทำไมพระองค์ไม่เสด็จไปหาฮ่องเต้ล่ะเพคะ ฮ่องเต้น่าจะโปรดปรานพระองค์ไม่มากก็น้อย”เหยาเฟยเอื้อมมือเรียวไปบีบแก้มหลิงฮุ่ย กล่าวอย่างเอ็นดู“เจ้าก็พูดไป เจ้าก็รู้ว่าฝ่าบาทไม่ทรงโปรดสตรี ต้องให้ข้าทำอย่างไรให้ฝ่าบาทมาสนใจข้าดีล่ะ”“ชายหนุ่มอย่างไรก็ต้องแพ้สัญชาตญาณของบุรุษเพศอยู่ดีเพคะ อาจจะต้องพยายามปลุกมันบ่อยๆเท่านั้นเอง”หลิงฮุ่ยโน้มตัวไปแนบกาย พูดกึ่งกระซิบข้างหูของเหยาเฟย มือน้อยพลางเล่นม้วนปอยผมขอ
ณ หน้าตำหนักเหอเซิ่งเสี่ยวหู่รับรู้ได้ถึงไอของความเย็นยะเยือกและหมอกดำแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ เงาดำที่เห็นเมื่อสักครู่แวบหายไปก่อนที่จะมาถึง‘ทำไมคืนนี้ถึงปรากฏความผิดปกติเกิดขึ้นนะ กำลังจะเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นหรือเปล่าเนี่ย’เมื่อเธอเดินสำรวจไปรอบๆหน้าตำหนักยังไม่พบเจอสิ่งใดผิดสังเกต‘รอดูพรุ่งนี้อีกวันละกัน อาจจะเป็นแค่วันปล่อยผีก็ได้มั้ง’ จากนั้นเถียนจิ้งหลานในร่างเสี่ยวหู่ก็กลับเข้าตำหนักไปนอนบนเตียงนุ่มๆของตนเองยามแสงสว่างสาดส่องมาทางหน้าต่าง ยังไม่ทันที่จะรู้สึกตัวตื่นจากความอบอุ่นในตอนเช้า กลับต้องสะดุ้งตกใจตื่นเพราะเสียงของเฉิงกงกง“ฝ่าบาทๆ พะย่ะค่ะ”“มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น” เสียงเนือยๆของฮ่องเต้ดังขึ้น&ldquo