อินถาอยู่ในชุดเดรสเชิ้ตสีขาวยาวคลุมเข่า เธอลุกจากที่นอนขณะผมเผ้ายุ่งเหยิง ที่มักจะมีปัญหากับหวีทุกครั้ง ด้วยความหยาบและแข็งกระด้างบวกกับเส้นใหญ่ ผ่านการหมักแค่เดือนละครั้ง เพราะความขี้เกียจ และงบที่ไม่สามารถผลาญได้ตามใจชอบ
เลือกถลาไปยังระเบียงก่อนการจัดเก็บที่นอน เพียงแค่ต้องการเห็นควันบุหรี่พวยพุ่งของใครบางคน
ทั้งที่รู้ว่านั่นเป็นการทำร้าย อาจเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายถึงแก่ชีวิตได้ เรื่องแปลกแต่จริง เธอกลับยินดีปรีดากับมัน
“ไม่ค่อยจะแรดเลยแฮะ..”
พึมพำออกมาเสียงเบาสุด ขณะเท้าเขย่งคอชะเง้อประดุจยีราฟ ถึงเห็นแค่ควัน หาเห็นคนพ่นควันนั้นไม่! ก็พึงพอใจมากโข
ไม่สิ เอาจริงๆคือไม่เคยเห็นเลยต่างหาก ไม่เคยเลยสักครั้งเดียว หรือแม้แต่เงาสาดส่องออกมา ยังดื้อจินตนาการเข้าข้างตัวเอง เผื่อแขนจะโผล่อีกสักนิด ตอนมายืนพิงราวกั้นระเบียง
แต่แล้ว..
ไม่นานกลับต้องชะงักกึก ปล่อยตัวกำลังเขย่งเหยียบพื้นเต็มเท้า
'ราล์ฟคะ'
“โวะ อยู่กับผู้หญิงอีกละ”
เมื่อมีเสียงผู้หญิงปริศนาคนหนึ่งหลุดออกมา บ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังคนเดียว
อินถาทำหน้าเศร้าเดินไหล่ตกเข้าห้อง โดยไม่ลืมปิดประตูระเบียงเสียงดัง หวังจงใจให้เขาคนนั้นได้ยิน รับรู้ถึงการมีชีวิตของห้องข้างๆ
“เซ็งเลย..”
คาเฟ่ประจำ..
“เอาเหมือนเดิมค่ะ”
“ลาเต้เย็นเพิ่มหวานเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ”
อินถาใช้เวลาน้อยกว่าทุกๆวัน ในการอาบน้ำแต่งตัวก่อนออกมาข้างนอก ปกติเธอจะแต่งหน้าอ่อนๆเป็นตัวช่วยกลบเกลื่อนความสดใสที่ไม่มีของตัวเอง ซึ่งในใจมีแต่พลังลบซะจนหัวสมองเจ็บปวด ถึงขนาดกล้าอวดหน้าสด แม้แต่กันแดดก็ไม่ได้ทา
ผลที่ได้คือลาเต้เย็นถูกเลื่อนมาให้ขณะคนสั่งเหม่อลอย พร้อมความแปลกใจของพนักงานบวกเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด
เจ้าตัวเลิกคิ้วสูง ไขข้อข้องใจนั้นพร้อมกับการเสียบหลอดดังปั้ก
“ไม่ได้แต่งหน้าค่ะ”
เตรียมเดินมาหาโต๊ะนั่ง ปล่อยให้พนักงานยิ้มเจื่อนรู้สึกผิดกับความคิดของตัวเองภายหลัง
“ฮื้อ ขอโทษค่ะ..”
เกือบชั่วโมงอินถานั่งอยู่ตรงนี้กับโทรศัพท์เป็นเพื่อนรู้ใจ และสีหน้าขมุกขมัว หล่อนกำลังหงุดหงิดเรื่องเงิน ลาเต้เพิ่มหวานที่ดูดจนถึงก้นก็ยังขจัดความเครียดนี้ไม่ได้ ไม่พอยังมีเพิ่มเติมเสริมเข้ามาทับถมอีก หลังเหลือบตาเห็นบนจอโทรศัพท์มีข้อความที่เพิ่งจะถูกส่งเข้ามา
+นักรบ+
'พรุ่งนี้เขานัดเจอกันที่xxxนะ ประมาณสองทุ่ม'
ผู้โชคร้ายเป็นเพื่อนร่วมงานภายในแผนก ที่ทำให้เธอเผลอสาปแช่ง จงใจเสียมารยาทโดยการเปิดอ่านแต่ไม่ตอบ
'โอเคไหมตอบด้วย'
'อ่าวอ่านไม่ตอบ โอเคไหมตอบด้วยดิ'
'ไอ้ถา!'
ครืน~
“อะไรของแกวะเนี่ย”
(อ่านแล้วไม่ตอบก็ต้องโทรสิครับ สรุปว่าไง จะไปพร้อมกันไหมจะได้แวะรับ)
คอนโดของอินถาเป็นทางผ่านของบ้านนักรบ จึงไม่แปลกที่เขาจะอาสา อีกอย่างจะได้ไม่รู้สึกเป็นเป้าสายตาด้วยเวลาเดินเข้าไปในงาน สาวเจ้าทำหน้ามุ่ยนั่งเงียบกริบ กว่าจะพูดออกมาทำเอาปลายสายใจคอไม่ดี
“พูดได้ด้วยเหรอ เอาจริง?”
ปลายสายขำ
(ก็ไม่นะ)
“ก็ใช่ไง แล้วจะเอาไงได้ล่ะ”
(โอเคครับคุณอินถา เดี๋ยวผมไปรับนะครับ)
“หึ อย่าพูดว่ามารับ แกไม่ได้ยูเทิร์น แกจอดอีกฝั่ง แล้วฉันต้องข้ามถนนไป”
(ฮ่าๆๆ แสนรู้จริงๆ)
“ไม่ใช่หมานะยะ แค่นี้แหละ!”
(อ่าฮะ เจอกันๆ)
สายถูกตัดไปพร้อมกับโรคซึมเศร้า หญิงสาวยังคงนั่งหน้าตึงอยู่กับที่ ความหวานของลาเต้เย็นที่มีการละลายของน้ำแข็งเจือปนครึ่งแก้วก็ไม่สามารถช่วยได้ เธอจึงยุติแผนการพักผ่อนหย่อนใจในคาเฟ่นั้นและคิดจะสั่งเค้กมากินร่วมด้วยก่อนนักรบจะส่งข้อความมา เปลี่ยนเป็นกลับไปนอนเปื่อยอยู่ที่ห้องแทน
แต่แล้ว..
ความเหม่อลอยขาดสติมักจะนำพาหายนะมาสู่ตนเองตลอด เมื่อจังหวะลุกขึ้นหมุนตัวเตรียมเดินโดยไม่ทันระวังเป็นจังหวะนรก เกิดไปชนเข้ากับใครคนหนึ่งเข้า
ซ่า~
ความตกใจถูกปลุกด้วยความเจ็บแสบบริเวณหัวไหล่ข้างขวาลามลงมาถึงแขน หญิงสาวมือสั่น ขมวดคิ้วนิ่วหน้าแทบจะร้องไห้
“ขอโทษค่ะ ขอโทษ เป็นอะไรไหมคะ”
กาแฟดำร้อนจากแก้วเซรามิคในมือคนปริศนารดราดใส่เธอเต็มๆ อินถาเงยหน้าขึ้น สัญชาตญาณของความเจ็บปวดกระตุ้นความเคืองโกรธ เกือบจะหลุดคำหยาบ โชคดีที่จิตใต้สำนึกทำงานทัน เปลี่ยนจากการขยุมหัวเป็นการกระชากสติตัวเองแทน
“ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ”
คำพูดนั้นถูกเบาเสียงตรงท้ายประโยค หลังช้อนตาขึ้นพบว่าคนตรงหน้าไม่ได้มีคนเดียว แต่มีใครอีกคนยืนมองอยู่ เขาเป็นผู้ชายจัดว่าหน้าตาดีมากคนหนึ่ง ที่มีผิวเด่นเป็นกิจจะลักษณะ ถึงขนาดทำให้ต้องย้อนกลับไปนึกถึงตัวเองตอนอาบน้ำแค่ห้านาที เขาอยู่ในท่าเท้าเอวสอบ สายตาขณะจับจ้องมานั้นแสดงออกถึงความเย็นชาสุดๆ
ไม่มีความเห็นใจ ไม่มีความสงสาร ไม่มีอะไรเลยในสายตามีเสน่ห์คู่นั้น ไร้ความรู้สึกประหนึ่งว่าสิ่งที่ผู้หญิงของเขาตรงหน้าของเธอเดินชนเมื่อกี้นี้คือถังขยะ
อินถาเม้มปากแน่น ลากสายตากลับมายังคู่กรณี
“ฉันว่าคุณไปล้างดีกว่านะคะ ไปค่ะ เดี๋ยวฉันพาไป”
ส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรีบ”
ตัดบทเพียงเท่านั้น ก็หมุนตัวแบกหน้าที่ชาวาบและอับอายออกมาทันที ด้วยสภาพแสบแขนสุดๆ
กว่าจะตั้งสติและกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้ ก็ตอนอยู่ในรถ ระบายความอัดอั้นที่อุตส่าห์ข่มเอาไว้ กับพวงมาลัยและก็แตร
“อร๊ายยย!!! หล่อมาก! หล่อไม่ไหว ผู้ชายอะไรเนี่ย!!”
“อ๋อ..”อินถาลากเสียงยานคาง หันไปมองเจ้าของชื่อที่แฟนหนุ่มแนะนำ จงใจยียวนกวนประสาท ก่อนจะโน้มตัวลงโค้งคำนับ“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่จินดา หนู..อินถา แฟนพี่ราล์ฟนะคะพี่”ฝ่ายชายถึงกับทำปากอมลมขณะยืดอก พลางหันไปทางอื่น รู้สึกร้อนวูบวาบทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเด็กผู้หญิงตรงหน้ามีดีอะไร ทำไมถึงเลือกที่จะปกป้องด้วยการเงียบ ปล่อยให้เธอจิกกัดอีกฝ่าย“จริงเหรอ ราล์ฟไม่เห็นเคยพูดเรื่องนี้เลย พี่ก็นึกว่าโสดอยู่ซะอีก ยินดีที่ได้รู้จักนะคะน้องอิน”“อินถาค่ะ ชื่อมีสองพยางค์”ถ้าไม่นับว่าสถานการณ์ตอนนี้กำลังเคร่งเครียดอยู่ละก็ เขาคงขำไปแล้ว ขำให้กับความก๋ากั่นของเธอเขาเองรับรู้ถึงความอึดอัดของจินดา แต่ช่วยไม่ได้หล่อนอยากวอนหาเรื่องเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้คุยกันเรียบร้อยแล้ว เกี่ยวกับเรื่องสถานะ และความสัมพันธ์ที่ใคร่จะเปลี่ยนแปลงไปอนาคตจินดาเองก็ลากเสียง แต่นั่นคงไม่ใช่ประเด็นใหญ่ที่เธอจะเอาเรื่อง คนข้างๆต่างหากที่จะต้องรับผิดชอบ หญิงสาวปรายตาหันไปมองพร้อมกอดอกราล์ฟถึงกับถอนหายใจ“โอเค..”พยักหน้าเป็นอันเข้าใจในความต้องการ ก่อนจะจูงมือบาง พาเดินออกมาจากตรงนั้น ไม่คิดจะเอ่ยลาจินดาสักคำ ชายหนุ
“มากับไอ้ราล์ฟมันหรือ”ดวงตาพร่ามัวขึงขึ้นและเปลี่ยนเป็นชัดแจ๋วในเวลาต่อมา หลังต้องใช้ม่านตาเพ่งเล็งคนตรงหน้า ชายปริศนาที่เธอไม่รู้จัก“คะ?”“เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสินะ" เธอไม่รู้ประโยคที่เขาพูดหมายถึงอะไร อีกนัยคือเสียงดนตรีดังซะจนฟังไม่ถนัด แต่ก็พออ่านปากออกและเข้าใจได้ "ผมเป็นเพื่อนมันฮะ”สาวเจ้าพยักหน้า ดูจากการแต่งตัวก็น่าจะใช่ ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร“สวัสดีค่ะ”“รอมันอยู่ใช่ไหม”“ใช่ค่ะ อีกเดี๋ยวคงมา เขาบอกแบบนั้น”“ราล์ฟงานเข้าแบบนี้จะนานนะ อย่ารอมันเลย”คิ้วคู่สวยขมวดเข้าหา มองคนตรงหน้าผ่านกระจกแว่นกรองแสงที่ใส่ พลางขยับให้เข้าที่หลังประหม่าจนขาแว่นกระโดด“อย่ารอ? อ่อไม่ได้หรอกค่ะ ฉันมากับเขา”“มากับมัน?" การถามย้ำ ทำให้เธอเริ่มรับรู้ถึงแรงกดดันปนไม่น่าไว้ใจสุด "อยู่ด้วยกันจริงๆสินะ ไอ้ที่บอกว่าย้ายออกแล้ว จริงๆคือย้ายไปอยู่ห้องเธอ?”“เดี๋ยวค่ะ ฉันไม่รู้คุณหมายถึงอะไร แต่คุณไม่ควรมาพูดกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแบบนี้นะคะ”ดวงตาทรงพระจันทร์เสี้ยวหรี่เข้าหากันเป็นวงรี พร้อมแสงประกายเจิดจรัสขณะมองเธออยู่ เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา ถึงขนาดทำอังครชะงักค้างกลางคันได้ ยาม
ติ๊ด!เสียงเครื่องสแกนดังก่อนประตูถูกผลักเข้า ดวงตาเฉี่ยวรีปะทะกับกลมโตแต่เศร้ามอง ราวกับคนไม่ได้นอนมาหลายคืน พลางเลิกคิ้ว เลือกที่จะปิดประตูแล้วเดินเข้ามาก่อนจะตั้งคำถาม“ทำไมขอบตาดำแบบนั้นละคะ”คนมาใหม่ทำตัวไม่ทุกข์ร้อน ทั้งที่เป็นต้นเหตุเพราะเขานั้นหายไปทั้งวันทั้งคืน“นอนไม่ค่อยหลับค่ะ”เธอตอบ ไม่ได้มองหน้า ยังคงจ้องมองจอโทรศัพท์ตัวเองทำทีไม่สนใจ ทั้งที่น้ำเสียงในประโยคไม่ใช่แบบนั้น ซึ่งชายหนุ่มเองก็รู้ สาวเจ้าโกรธเขาเรื่องกลับบ้านไม่ตรงเวลาเขายิ้มมุมปากด้วยความเอ็นดู สูดลมหายใจเข้าปอดสุดลึก มือล้วงกระเป๋ากางเกงเดินมาหยุดฝั่งตรงข้าม ก่อนจะโน้มตัวลงใบหน้าอยู่ระดับเดียว ที่ห่างกันสองคืบ“เนี่ย ปากกับจมูกมันจะชนกันแล้วค่ะ”แหย่เธอพร้อมยักคิ้วอินถาละสายตาจากสิ่งที่ถือขึ้นมามองเขา สีหน้าแปรเปลี่ยนทันที“ไม่ต้องเลย”“โอ๋~ ก็พี่บอกหนูแล้วไงคะ ว่าพี่ติดประชุม”“ประชุมอะไรตอนดึก รุ่งสาง เช้าตรู่..”เธอแวดใส่ ชายหนุ่มหลุดเสียงขำ“ไม่เอาน่า อย่าเป็นอย่างนี้ดิ ก็นี่ไงพี่กลับมาแล้วไง ไม่ได้หายไปไหนสักหน่อย”“หาย หายไปทำงาน หนึ่งวันหนึ่งคืน..”“โอเค..” แขนแกร่งยกขึ้นราวกับยกธงขาว พร้อมพยักหน้
จินดาหน้าชา ริมฝีปากบางจิ้มลิ้มอ้าขึ้นอัตโนมัติ และขยับภายหลังโดยไม่มีเสียง หล่อนคงตกใจหนักซะจนลืมพูด หรือไม่สมองก็ขาวโพลนหยุดทำงานชั่วคราวหมายความว่าไง?การเลื่อนสถานะจากบุคคลที่เคยถูกหลอก เข้าหาเพื่อหวังผลประโยชน์ กลายเป็นคนพิเศษในเวลาต่อมา ต่อจากนี้จะไม่ได้มีแค่หล่อนเพียงคนเดียวแล้ว แต่จะมีอีกบุคคลปริศนาหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะหลงรักซะมากกว่าจะทำยังไงดี..สาวเจ้าขบริมฝีปากตัวเอง รู้สึกถึงกลิ่นคาวรสชาติปะแล่มของเลือด แต่ความเจ็บปวดตรงนี้ยังเทียบไม่เท่ากับหัวใจเสียงถามตัวเองกึกก้องไปทั่วทั้งหัว“แล้วยังไง ยูจะไปจากไอเหรอ”ราล์ฟเงียบ ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงออกถึงความเมตตา ต่างกันกลับถัดไปฝั่งตรงข้ามมากกว่า ราวกับเขาเตรียมการเอาไว้แล้วชายหนุ่มส่ายศีรษะ“ยังไม่ได้พูดสักคำ”“ถ้างั้น?”“ยูอยู่ได้ไหมล่ะ”“ฮะ..”ความรู้สึกราวตะคริวกินอก เพิ่มเติมเป็นใบหน้าชาวาบและหูดับ หัวใจเต้นแรงเร็วเสี่ยงทะลุออกมาดิ้นพล่าน มือบางผสานกุมกันเอาไว้“ถ้ายูอยู่ได้ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม”ดวงตาเคยสดใสเต็มไปด้วยหยดน้ำตา อันที่จริงหล่อนทราบดีคนตรงหน้าโคตรเห็นแก่ตัว ไม่เคยสนใจ ไม่เคยมองเห็นหัวใครหน้าไหน ทว่าไม
บ้านหลังหนึ่ง สร้างด้วยช่างฝีมือดี ตั้งตระหง่านอยู่บนเขตนอกชานเมือง ถูกรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ และพืชเขียวขจี ราวกับอาณาเขตนั้นจงใจถูกจัดแต่งโดยเจ้าของบ้านที่รักอิสระทว่าไม่ใช่ ไม่เลย..เพราะนั่นคือตรงกันข้ามหล่อนมักจะอ้างว้างทุกครั้งยามต้องอยู่คนเดียว และยิ้มดีอกดีใจก็ตอนประตูรั้วค่อยๆเลื่อนเปิด ตอนรถหรูคันหนึ่งเคลื่อนผ่านเข้ามา ใช่เลยเป็นเขาคนที่รออยู่“มาแล้วเหรอ”เสียงหวานถามทันทีที่เห็นร่างสูงหลุดวงกบประตูเข้ามา“เป็นไงบ้าง”เสียงแหบพร่าถามกลับ ไม่ได้มองหล่อนเต็มตาสักเท่าไหร่ เลือกที่จะเดินไปทิ้งตัวลงบนฟูกพร้อมพ่นลมหายใจเขาคงเหนื่อยมาก มากซะจนไม่มีอารมณ์จะมองตากันดวงตากลมโตของจินดาขึงกว้างขึ้นเล็กน้อย หล่อนเป็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งจัดว่ารู้จักเขาดีมากกว่าใครอื่น ถึงได้รู้อารมณ์ที่แสดงออกมาตอนนี้นั้นยากจะควบคุมของเขา หากพูดผิดหูไปเพียงนิดเดียว อาจจะโดนตะเพิด และทำเขาหายไปจากบ้านหลังนี้ได้ จึงเลือกที่จะกลืนน้ำลายดับความน้อยใจลงก่อน ถึงจะเอาตัวเข้าไปใกล้“อะไรเย็นๆหน่อยไหม”แม้ว่าจินดาจะจัดไปทางคนเจ้าอารมณ์ ชอบเหวี่ยงชอบวีน แต่หล่อนก็อยู่เป็น เลือกที่จะใช้ท่าทางและคำพูดได้ดีและถู
นับตั้งแต่นั้น ความระแวงก่อให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจ ภายในห้องใหญ่แต่เบาเสียง ชนิดไร้ซึ่งการหยอกล้อระหว่างคนสองคน และกำลังเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ ที่อาจทำให้เกิดการสั่นคลอนได้ราล์ฟกลับบ้านดึกทุกวัน บางครั้งอินถาหลับไปแล้ว กว่าจะเห็นเขานอนอยู่ข้างๆก็ตอนเช้าตรู่ความตึงเครียดจึงเริ่มมีอิทธิพล สาวเจ้าในวันทำงานไร้รอยยิ้มและวันผ่อนคลายเหมือนเช่นเคย จนนักรบเพื่อนร่วมงานทันสังเกต และเริ่มสงสัยจริงจังก็ตอนอยู่กันตามลำพังในร้านกาแฟของบริษัท“มีปัญหากันใช่ไหม”“อืม”“ตั้งแต่เมื่อไหร่”“สักพักละ”“ตั้งแต่ตอนนั้นเหรอ”“อืม”คนถูกถามเอาแต่พยักหน้า ขณะสายตาหลุบต่ำจ้องเพียงแก้วกาแฟที่เพิ่งจะลดลงไปไม่ถึงคืบ เพียงเพราะมันขมกว่าวันปกติจนกลืนไม่ลงชายหนุ่มถอนลมหายใจพรืด ฉุดมือนั้นไว้และบังคับให้แก้วลดลง เพื่อจะเห็นสีหน้าบูดบึ้งอย่างชัดเจน“อิน..”“หืม?”“รบหวังดีนะ”ประโยคบอกเล่า ให้ความรู้สึกถึงคนพูดไม่สู้ดีนัก ทำคนฟังชะงักกึก ยอมที่จะละทิ้งความตะขิดตะขวงใจไว้เบื้องหลัง ความประหม่าถูกทาบทับลดระดับลง หลงเหลือความซึ้งใจให้พึงระลึกแทน“เรารู้” หญิงสาวพยักหน้า ช้อนตาขึ้น “แยกแยะได้แหละน่า มันไม่เกี่ยวกับร