“แล้ว…”
“ไม่กิน?” ช้อนสายตาขึ้นไปมองเธอที่ยืนกลืนน้ำลายคงคออยู่ มือเล็กที่จับถุงนั้นสั่นระริกเหมือนว่าเธอกำลังหิว
คงไม่ใช่ว่าไม่ได้กินอะไรตั้งแต่ตอนนั้นจริงๆ หรอกนะ เปลวเพลิงครุ่นคิดในใจ
เขาไม่ได้ตั้งใจซื้อมาให้เธอเพราะไม่คิดว่าเธอจะยังอยู่ที่นี่ เขาซื้อมากินเองและบังเอิญรถยางแตกจึงกะจะเดินมานั่งกินรอลูกน้องตรงนี้ทว่าเห็นสภาพของเธอแล้วจะให้เขากินโดยให้เธอยืนมองตาปริบๆ ก็คงจะดูโหดร้ายจนเกินไป
“กินค่ะ” ร่างเล็กพูดแล้วก็นั่งยองลงหยิบแฮมเบอร์เกอร์ออกมาแล้วกินด้วยความหิว มืออีกข้างหยิบน่องไก่มากัดแทะสลับกับแฮมเบอร์เกอร์อย่างไม่สนใจว่าคนให้จะใส่ยาอะไรลงไปไหมเพราะตอนนี้เธอหิว หิวมาก
“ถ้าฉันวางยาเธอคงตาย”
“คุณวางยาหนูเหรอคะ!?” ปากที่กำลังจะกัดน่องไก่ชะงักทันที เขาไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ดึงบุหรี่ออกจากปากพ่นควันออกมาแล้วถือไว้
“ใช่”
“…” ยกมือเล็กๆ ที่มีรอยแผลสองสามจุดขึ้นมาเช็ดปากตัวเอง ใจดวงน้อยเต้นเร็วด้วยความหวาดกลัวกับคำตอบที่ได้รับ เธอวางของกินในมือลงบนถุงแล้วยกมือขึ้นมาหวังจะล้วงคอตัวเอง
“ฉันไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่ได้เลวขนาดนั้น”
“คุณไม่ได้วางยาหนู?” มายาวีชักมือที่กำลังจะล้วงคอตัวเองกลับมากำมันไว้แน่น ดวงตากลมโตมองผู้ชายตรงหน้าด้วยหัวคิ้วที่ผูกเป็นโบว์
“เป็นขอทานเหรอ?” ไม่ตอบเพียงแต่เอ่ยถามเธอกลับ
“หนูไม่ได้เป็นขอทานค่ะ”
“งั้นเหรอ?”
“ค่ะ แต่ว่าหนูไม่มีที่ไป ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีที่อยู่ ไม่มีเงิน”
“…”
“หนูกินมันได้ไหมคะ จะตายรึเปล่าคะ?” หยิบแฮมเบอร์เกอร์กับไก่ทอดขึ้นมาพร้อมถาม และความเงียบของเขาก็ทำให้เธอชั่งใจอยู่นานแต่เพราะความหิวที่ทนไม่ไหวสุดท้ายก็นั่งกินไปจนหมดทุกอย่างเหลือเพียงถุงกับกระดูกไก่เพียงเท่านั้น
“ไม่กลัวตาย?”
“กะ กลัวค่ะ แต่คุณบอกว่าไม่ได้ซื้อมาให้หนูนั่นคงแปลว่าคุณซื้อมากินเองแต่เพราะเห็นหนูและเกิดความสงสารจึงให้กิน”
“ไม่ได้โง่อย่างที่คิด”
“ขอบคุณนะคะ หนูอยากรู้ชื่อคุณ..คุณชื่ออะไรคะ?”
“ชื่อฉันไม่ได้ทำให้ชีวิตเธอดีขึ้น ไงก็มีชีวิตต่อไปนะบนโลกนี้มีอะไรให้ทำอีกเยอะ อย่าพลาดที่จะทำมันล่ะ” เปลวเพลิงพูดพร้อมหยัดกายลุกขึ้นยืน เขาสูบบุหรี่เข้าปอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพ่นควันทิ้งตามด้วยโยนมวนบุหรี่ลงพื้นใช้เท้าขยี้จนมันดับ
“คุณจะไปแล้วเหรอคะ?”
“ไม่ค่อยได้พกเงินสด มีแค่นี้” ปึก! โยนขวดน้ำเปล่าพร้อมเงินจำนวนหนึ่งพันบาทลงบนพื้นแล้วเดินไปขึ้นรถที่มาจอดด้านหน้า มายาวีหยิบเงินกับน้ำเปล่ามากอดไว้ก่อนจะโบกมือลาชายหนุ่มที่เข้าไปนั่งในรถอย่างไม่สนใจว่าเขาจะเห็นหรือไม่
บนรถ…
“ใคร?”
“กูเอง” เปลวเพลิงตอบคนข้างกายที่พอได้ยินคำตอบเขาก็รีบส่ายหน้าให้
“หมายถึงคนที่มึงโยนเงินให้นั่นน่ะ”
“ขอทาน”
“อ่อ ผู้หญิงด้วยใช่ไหม..ไม่กลัวบ้างรึไงอยู่คนเดียวในที่เปลี่ยวๆ แบบนั้น”
“ไม่รู้”
“กูไม่ได้ถามมึง กูแค่พูดเฉยๆ” ปรัชญาหันไปมองค้อนน้องชาย “ไม่ถามเหรอว่ามือขวามึงไปไหน?” ถามต่อเพราะที่จริงคนที่มารับเปลวเพลิงควรจะเป็นรัญช์ไม่ใช่เขา
“ไปตีกะหรี่”
“เชื่อแล้วว่าสนิทกัน”
“มึงไม่ไปเหรอ?”
“ไปมาแล้วไม่แซ่บเท่าไหร่ มึงอ่ะ”
“…”
“เงียบนี่คือ?”
“คิดว่าไงล่ะ”
“โคตรเกลียดประโยคนี้จากมึงเลยว่ะ” คิดว่าไงล่ะที่ต้องมานั่งถามตัวเองว่าสรุปแล้วกูคิดว่าไงวะ ทั้งที่ถามปุ๊บควรจะได้รับคำตอบปั๊บ
เปลวเพลิงแค่นหัวเราะหึหึออกมาแล้วปรับเบาะให้เอนลงเพื่อจะได้นอนหลับพักสายตา “ถึงแล้วปลุกด้วย” บอกพี่ชายด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
ปรัชญาลอบมองหน้าน้องชายพลางส่ายหน้าให้เบาๆ ไม่เอาผู้หญิงจนเหนื่อยก็น่าจะเหนื่อยจากงานมีแค่สองอย่างนี่แหละ แต่เอาผู้หญิงเหนื่อยจนหมดแรงเขาคิดว่าไม่น่าจะใช่ คงเป็นอย่างที่สองมากกว่า
กว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ตอนที่ลูกๆ ของมายาวีเติบโตเป็นสาวเป็นหนุ่มแล้ว ณลิลในวัยสิบเจ็ดปีและเป็นหนึ่งในวัยสิบสามปี ส่วนคุณแม่ก็ปาไปสามสิบปลายๆ และคุณพ่อที่จะห้าสิบอยู่ไม่กี่ปีทว่าความรักของพวกเขากลับไม่เคยลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่น้อย“คุณพ่อขา คุณแม่ไปไหนเหรอคะ” เสียงหวานใสของเด็กสาววัยสิบเจ็ดปีอย่างณลิลวิ่งเข้ามานั่งบนพื้นพับเพียงข้างผู้เป็นพ่อที่นั่งอ่านข่าวกีฬาจากไอแพดอยู่ เปลวเพลิงวางไอแพดลงยกมือขึ้นมาลูบผมบุตรสาวอย่างอ่อนโยน“คุณแม่ไปตลาดกับน้องครับ”“วันนี้วันเกิดเพื่อนหนูขอไปได้ไหมคะ?”“รอขอแม่ก่อนไหมครับ”“อือ คุณแม่ไม่ให้ไปอยู่แล้ว”“แล้วคิดว่าพ่อจะให้ไปเหรอ”“ก็คุณพ่อใจดีกว่าคุณแม่นี่คะ ณินก็ไปด้วยนะคะหนูไม่ได้ไปคนเดียว”“หนูเพิ่งอายุสิบเจ็ดเองนะ จะหัดเที่ยวกลางคืนแล้วเหรอ” ถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่แข็งหรือว่าอ่อนนุ่มจนเกินไป ณลิลขยับขึ้นไปนั่งบนโซฟายกแขนขึ้นมากอดอกแสดงท่าทาเอาแต่ใจออกมา“ไม่รักหนูแล้วล่ะสิถึงพูดแบบนี้”“ถ้าหนูดื้อพ่อก็ไม่รัก”“คุณพ่ออ่า” ขยับเข้าไปโอบกอดผู้เป็นพ่อที่มีอายุจะห้าสิบแล้วทว่าความหล่อของเขากลับไม่แผ่วลงเลยสักนิด ยิ่งอายุเยอะก็ยิ่งหล่อดึงดูดสาว
ผ่านไปไม่กี่เดือนคุณแม่มือใหม่อย่างมายาวีก็ได้ให้กำเนินลูกสาว ทุกคนต่างเห่อมาก มาดูและชื่นชมกันไม่หยุดหย่อนแต่เปลวเพลิงคุณพ่อมือใหม่กับเห็นแววดื้อรั้นของลูกสาวตั้งแต่เกิดมาไม่กี่ชั่วโมง ดูจากตอนนี้ที่ร้องไม่หยุดแม้จะมีนมจากเต้าของแม่อุดปากอยู่ก็ตาม…“โอ๋ๆ หนูจะร้องทำไมลูก คุณหมอคะเขาเจ็บหรือเปล่าทำไมร้องไม่หยุดเลย” มายาวีหันไปถามคุณหมอที่กำลังยืนคุยอยู่กับเปลวเพลิงเมื่อลูกสาวตัวน้อยนั้นร้องไม่ยอมหยุด แม้จะอ้าปากคาบนมแต่ก็ยังส่งเสียงร้องออกมาด้วย“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ เด็กร้องน่ะดีแล้ว”“อ่อ เงียบแล้ว” ก้มมองเด็กน้อยในอ้อมอกที่ปิดเปลือกตาลงแล้ว ปากยังคงดูดนมเธออย่างเอร็ดอร่อย มายาวีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อลูกสาวหลับไปแล้วใช้เวลาพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลไม่กี่วันก็กลับมาเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านจนตอนนี้ครบสามเดือนแล้ว คุณแม่มือใหม่กับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นแทบทุกวันจนบางคืนคุณพลับพลึงต้องมานอนที่นี่เพื่อช่วยลูกสะใภ้เลี้ยงหลานสาวตัวน้อยที่อ้อนเก่งเสียเหลือเกิน“ณลิลน้อย ดูดนมเก่งแล้วนะเรา” เสียงหวานใสของคุณแม่ที่นั่งอุ้มเด็กน้อยอยู่ในอกดังขึ้น ดวงตากลมใสจ้องมองลูกสาวตัวน้อยที่ดูดนมจ๊วบจ๊วบหล
บ้านปรัชญา…ภายในบ้านที่กำลังครึกครื้นเมื่อทุกคนยกเว้นเรมิกับรัญช์ต่างพากันมารวมตัวกันเมื่อพูดคุยสังสรรค์กันเป็นประจำแทบทุกอาทิตย์เลยก็ว่าได้ ตอนนี้ปัณณพรกับเปมิศาย้ายมาอยู่ที่บ้านของปรัชาแล้วเพราะทั้งคู่เพิ่งแต่งงานไปเมื่อเดือนที่แล้วปัณณพรแยกทางกับสามีโดยมีปรัชญาสั่งห้ามไม่ให้พ่อของเปมิศาเข้ามาวุ่นวายที่นี่แต่จะส่งเงินให้รายเดือนเอาซึ่งสองแม่ลูกตกลงเพราะสามีเอาแต่เมาไม่ทำมาหากินตัวปัณณพรจึงไม่ได้ต้องการมาสร้างปัญหาให้ตัวเองสักเท่าไหร่“แล้วทำไมหนูเรมิไม่มาล่ะ” ปัณณพรเอ่ยขณะกำลังล้างผักเพื่อเตรียมอาหารให้เด็กๆ อยู่ในครัวกับลูกสาวคนสวยที่คอยเป็นลูกมือ“ตีกันกับพี่รัญช์มั้งคะ”“ตีกีนจริงไหม?”“ก็ทะเลาะกันปกติแหละค่ะ เถียงกันนิดๆ หน่อย”“เรมิเอาแต่ใจครับ พอถูกรัญช์ตามใจก็เคยตัวแต่ช่วงนี้รัญช์มันเริ่มเอาจริงเรมิก็เลยงอแงน้อยใจ” ปรัชญาที่นั่งหั่นเนื้อสัตว์อยู่บนโต๊ะกลางครัวเอ่ยขึ้นบ้าง เขารู้มาจากเปลวเพลิงว่าช่วงนี้รัญช์ดุขึ้นซึ่งนั่นคือนิสัยที่แท้จริงของหมอนั่นและที่ดุก็คงเพราะภรรยาสาวของตัวเองคงจะดื้อมากจนเกินไป เขาไม่ได้ห้ามหรือเข้าไปยุ่งเพียงแต่แค่กำชับรัญช์ไว้แค่สองอย่างคือเรื่องนอ
หลายเดือนต่อมา…“พี่เพลิงคะ” เสียงหวานของหญิงสาวร่างเล็กเอ่ยเรียกแฟนหนุ่มที่กำลังปลูกดอกไม้อยู่หน้าบ้าน เขาละมือจากงานตรงหน้าเพื่อหันไปมองแฟนสาวที่กำลังเดินตรงมาทางเขา“ว่าไงครับ?”“พี่เรมิโทรมาชวนไปนั่งเล่นที่คาเฟ่ ขอไปนะคะ”“อืม รอพี่ไปอาบน้ำก่อนนะครับ”“หนูไปคนเดียวไม่ได้เหรอคะ?”“นัดผู้ชายไว้?” ถามเสียงเข้มๆ จ้องหน้าแฟนสาวอย่างจับผิด ร่างเล็กส่ายหัวให้ก่อนจะจูงมือหนาพาเดินเข้าไปในบ้าน“มีผู้ชายให้นัดก็ดีสิคะ”“แล้วทำไมถึงอยากไปคนเดียว”“พี่เรมิอยากมาระบายเรื่องความรักกับพี่รัญช์ พี่เขาบอกว่าไม่อยากให้พี่ไปกลัวพี่จะไปหาเรื่องพี่รัญช์”“มันทำอะไรเรมิ?”“ก็แบบนั้นแหละ”“มีอะไรกันแล้ว?”“อือ”“แล้วทำไมจะต้องมาระบาย แต่งงานแล้วจะมีเซ็กส์กันก็ไม่แปลกอะไรนี่นา เรมินี่ยิ่งนับวันปัญหายิ่งเยอะนะ”“ก็เพราะแบบนี้ไงคะพี่เรมิถึงไม่อยากให้พี่ไปกับหนู”“และพี่ก็ไม่ให้หนูไปด้วยครับ ท้องอยู่เดินทางบ่อยไม่ดีอยู่บ้านนี่แหละ” บอกอย่างเป็นคำสั่งจ้องหน้าแฟนสาวด้วยสายตาแข็งๆ มายาวีจึงซบหน้าลงบนต้นแขนถูใบหน้าไปมาเบาๆ เหมือนแมวตัวน้อยที่กำลังอ้อนเจ้าของ“งื้ออ! แต่หนูอยากไป”“ไม่ครับ ขึ้นไปนอนพักบนห้อง”“พ
หลายวันต่อมา… สุดท้ายวันที่ได้กลับมาบ้านก็ถึงสักที ร่างเล็กลงจากรถวิ่งตรงเข้าไปในตัวบ้านที่จากลาไปเสียหลายเดือนกว่าจะมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ดวงตากลมโตมองไปรอบตัวบ้านที่ยังคงใหม่สะอาดน่าอยู่เหมือนกับเมื่อก่อน “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆ ขาเรียวก้าวตรงไปยังรูปภาพพ่อกับแม่ที่ติดอยู่ข้างผนังบ้าน มือเล็กยื่นไปแตะใบหน้าของพวกเขาพร้อมฉีกยิ้มหวานให้ “หนูมาร์กลับมาแล้วนะแม่จ๋าพ่อจ๋า” “กลับมาแล้วก็อย่ามาส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น” จิตรดาที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาเอ่ยขึ้น หล่อนเบะปากใส่ลูกเลี้ยงที่หันมามองก่อนจะหยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านแทนการสบตากับหญิงสาวที่เป็นเจ้าของบ้าน “พี่จันตรีล่ะคะ ไหนว่ากลับมาอยู่ที่นี่แล้ว” มายาวีเดินไปจูงมือแฟนหนุ่มแล้วพากันไปนั่งบนโซฟาตรงข้ามแม่เลี้ยงจิตรดา “อยู่ในครัว” “พี่ให้ทำขนมหวานให้เธอน่ะ” เปลวเพลิงบอกพลางโน้มใบหน้าลงมาหอมแก้มแฟนสาว มายาวีพยักหน้ารับแล้วมองแม่เลี้ยง “ไม่ได้ไปทำงานเหรอคะ?” “วันนี้หยุด” “อ่อ พี่จันก็หยุดเหรอคะ” “จะถามอะไรมากมา…” เมื่อหันไปสบกับสายตาคมกริบของเปลวเพลิงจากที่จะใส่อารมณ์กับลูกเลี้ยงจิตรดาก็ต้อง
สิบห้านาทีต่อมา…“เมียครับ กลับบ้านกันเถอะ” เปลวเพลิงเดินผิวปากเข้ามาในร้านพร้อมเอ่ยเรียกแฟนสาว ด้านหลังเขามีปรัชญาเดินตามมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่“คุณปรัช…” เปมิศาเดินไปสำรวจใบหน้าร่างกายของปรัชญาก็พบว่าทุกอย่างปกติเหมือนตอนเดินออกไป มีเพียงแค่สีหน้าเขาเท่านั้นที่ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ “เป็นอะไรเหรอคะ”“ไม่ได้เป็นไร”“แต่สีหน้าคุณดูหงุดหงิดนะคะ”“ก็ไอ้เวรนี่มันให้ฉันจัดการคนพวกนั้นคนเดียวไง!” ตอบด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ไม่สบอารมณ์“คุณปรัชจัดการคนเดียวเหรอคะ แล้วพวกนั้นมีกี่คน” มายาวีถามต่อ มองหน้าแฟนหนุ่มที่เอื้อมมือมายีผมเธอพร้อมรอยยิ้ม“ใช่ครับ มันจัดการคนเดียวพวกนั้นก็แค่ห้าคนเอง”“มันน่าภูมิใจมากไหมคะ?”“ก็ประมาณหนึ่งครับ มีพี่ชายเก่ง” ยกหน้ายกตาพูดอย่างกับภูมิใจจริงๆ มายาวีได้แต่ส่ายหน้าให้เขาเบาๆ ก่อนจะยกมือโบกลาเปมิศาแล้วเดินตามเปลวเพลิงออกไป“จันตรีล่ะคะ?”“วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปแล้ว”“แล้วผู้ชายพวกนั้น…”“โดนไอ้ปรัชกับไอ้รัญช์จัดการแล้ว เธออยากไปไหนไหมเดี๋ยวพี่พาไป” เปลวเพลิงหยุดเดินเมื่อมาถึงรถ เขายื่นมือไปแตะแก้มนุ่มของแฟนสาวเบาๆ ระหว่างรอคำตอบจากเธอ“อยากกลับบ้านค่ะ แต่ว