ส่วนนางโชคดีขึ้นมาหน่อย อยู่ใต้กิ่งก้านเขียวชอุ่มเป็นพุ่มของต้นเหมยต้นหนึ่งพอดี ตอนนี้จึงไม่มีหิมะตกลงบนศีรษะของนางร่มของเจาซีและเซิ่งเฟิง ต่างกางเข้ามาแล้วเฉินเยี่ยนซูกระแอมเบา ๆ เสียงหนึ่ง เขาอดกลั้นความดีอกดีใจเอาไว้ไม่อยู่ พร้อมกับกล่าวขึ้นทั้งหน้าแดงก่ำว่า “ขอบคุณท่านหญิงที่เป็นห่วง”เขารู้สึกเพียงหัวใจของตนเต้นระรัวราวกับป๋องแป๋ง คล้ายกับจะหลุดออกมาจากอกของตน และแยกเป็นสองส่วนกับเขาก็มิปานหรงจือจือรีบโยนหิมะในมือทิ้งไป พร้อมกระแอมเสียงเบาทีหนึ่งอย่างไม่เป็นตัวเอง “ไหน ๆ ก็หิมะตกแล้ว ข้าเองก็ออกมานานแล้ว เช่นนั้นขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”เฉินเยี่ยนซู “ข้าไปส่งท่านหญิงเอง”หรงจือจือกระวนกระวายใจ ทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธ พวกเขาขึ้นหลังรถม้าของแต่ละคนตามลำดับ นางยังรู้สึกว้าวุ่นใจอย่างมากเมื่อนางหลับตาลง ก็เห็นใบหน้าเทียบได้กับเทพเซียน ไร้ซึ่งที่ติใบหน้านั้นของเขาผุดขึ้นมาอยู่ในหัวของนาง อยู่ใกล้กับนางอย่างมากเจาซีอดไม่ได้ที่จะโพล่งขำออกมาพร้อมกับเอ่ยว่า “คุณหนู บ่าวอยู่กับคุณหนูมานานหลายปีขนาดนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคุณหนูหน้าแดงเช่นนี้!”เมื่อได้ยินนางหยอกล้อ บนหน้าของหรง
เมื่อหรงจือจือได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ออกมาทั้งที่แสร้งทำเป็นเรียบเฉย ก็แทบจะหลุดขำออกมาเหตุใดก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า นิสัยของท่านเสนาบดีปากไม่ตรงกับใจและน่ารักเช่นนี้?นางอดกลั้นเอาไว้ แต่ท้ายที่สุดก็ยังอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่เล็กน้อย...ดังนั้นหลังเฉินเยี่ยนซูเอ่ยอย่างระมัดระวังจบ ยังไม่ทันได้ตอบรับ ครั้นเบือนศีรษะไปก็เห็นคนในใจเม้มปากพลางก้มหน้าก้มตา เห็นได้ชัดว่ากลัวหลุดขำแล้วตนจะได้ยินเฉินเยี่ยนซู “...”ในจังหวะนี้ เขาเองก็เข้าใจแล้ว เกรงว่าตนจะถูกนางหลอกเข้าแล้ว ในเวลาเพียงชั่วครู่บอกไม่ได้ว่าสิ่งที่ผุดขึ้นในใจคือความหงุดหงิดหรือว่าน่าขันเสียแรงที่เขาโอ้อวดตัวเองว่าฉลาดมาทั้งชีวิต ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้านาง กลับอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้รากับเด็กน้อยอย่างนั้นหลายปีมานี้ใช้ชีวิตเสียเปล่าจริง ๆสิ่งนี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะโพล่งขำออกมาเสียงหนึ่งครั้นได้ยินเสียงหัวเราะแสนไพเราะราวกับหยกใส หรงจือจือก็อดไม่ได้ที่จะมองเขาทีหนึ่ง ในใจรู้ว่าเขาเองก็รู้ว่าตัวเองติดกับแล้วในน้ำเสียงของเฉินเยี่ยนซูแฝงรอยยิ้มเอาไว้ “เช่นนี้ดูแล้ว วันนี้ข้าถูกท่านหญิงวางแผนทำร้ายเสียแล้ว”หรงจือจือ
ทว่าเขาทั้งสิ้นหวังและประหลาดใจที่ได้ค้นพบเรื่องหนึ่ง ขอแค่เขาปรารถนา ปกติไม่ว่ากับผู้ใด เขาล้วนพูดคุยได้อย่างอิสระ ทว่าอยู่กับหรงจือจือ ในใจกลับทั้งกระสับกระส่ายและอึดอัดคล้ายกับอยากพูดคุยกับนางในทุกหัวข้อ ทว่าไม่กล้าเอ่ยเลยสักหัวข้อเป็นกังวลว่าจะไม่ถูกกาลเทศะ เป็นกังวลว่านางจะไม่มีความสุข เป็นกังวลว่านางจะคิดว่าเขาน่าเบื่อ...สุดท้าย เขากลับเค้นออกมาประโยคหนึ่ง คล้ายกับพยายามทุกวิถีทางก็มิปาน “อากาศวันนี้ หนาวจริง ๆ”เซิ่งเฟิงหลับตาลงด้วยความทุกข์ใจ แล้วพูดในใจว่า ท่านเสนาบดีถ้าท่านจะพูดเช่นนี้ ก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า เขาละยอมแล้วจริง ๆ!หรงจือจือชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านเสนาบดีจะกลับไปก่อนหรือไม่เจ้าคะ?”เฉินเยี่ยนซู “...ไม่ต้องกลับไปหรอก”ในใจของเขาเองก็หงุดหงิดอยู่เล็กน้อย เหตุใดถึงได้บอกไปว่าวันนี้หนาวได้นะ? บางทีเขาควรบอกว่าวันนี้อบอุ่นจริง ๆ?กลับกันเซิ่งเฟิงคลี่ยิ้มพร้อมช่วยแก้ไขสถานการณ์ “ท่านหญิงพบเจอกับท่านเสนาบดีของเราไม่บ่อย มีเรื่องสงสัยอะไรอยากจะถามท่านเสนาบดีของเราหรือไม่?”คาดหวังกับท่านเสนาบดีผู้ไร้ประโยชน์นี่ วันนี้คงยากจะได้พูดคุย
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเซิ่งเฟิงดูสนใจจริง ๆ หรงจือจือย่อมอดไม่ได้ที่จะมองอีกสองสามทีครั้นนางมองเช่นนี้เฉินเยี่ยนซูเองก็หันหน้ากลับมาด้วยความสงสัย หางตาของเซิ่งเฟิงจ้องนายบ้านตนอยู่ตลอด หนำซ้ำยังเป็นวรยุทธ์ ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ย่อมปรับสีหน้าได้ทันทีอยู่แล้วฉะนั้นเฉินเยี่ยนซูเพียงมองใบหน้าที่แฝงรอยยิ้มเล็กน้อยของเขา ทว่าไม่ได้มีสีหน้าพิเศษอะไรในใจหรงจือจือคาดการณ์อะไรบางอย่างได้ จึงอดกลั้นเอาไว้ไม่ให้ขำออกมาครั้นหวังหยวนหลินออกมา ก็เห็นท่านเสนาบดีบ้านตน ไหนเลยเขาจะไม่รู้เจตนาในการมาของอีกฝ่าย? ที่จริงในสายตาของลูกศิษย์อย่างพวกเขา ท่านเสนาบดีใจกว้างตรงไปตรงมาที่สุด และสมบูรณ์แบบที่สุดต่อให้หรงจือจือจะดีแค่ไหน อย่างไรก็เป็นสตรีที่ผ่านการหย่ามาผู้หนึ่ง มากน้อยในใจของทุกคนก็ต้องคิดว่าไม่คู่ควรกับท่านเสนาบดีทว่าเห็นท่านเสนาบดีใส่ใจเช่นนี้...เช่นนั้นก็ต้องเห็นแก่ความสุขของท่านเสนาบดี จะให้พวกเขาทนเห็นท่านเสนาบดีอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังไปตลอดชีวิตไม่ได้หรือเปล่า?หวังหยวนหลินประสานมือพลางกล่าว “ข้าน้อยขอคารวะท่านเสนาบดี จัดการคดีเสร็จสิ้นแล้วขอรับ!”ฉีอวิ่นรีบขอความเมตตาให้คนทั้
ฉีจื่อเสียนพูดด้วยความโมโห “ท่านหญิง อย่างไรที่นี่ก็ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่อยู่แล้ว ให้พวกข้าพักอยู่สักระยะจะเป็นอันใดไป? จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนั้นด้วยหรือ?”หรงจือจือพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ต่อให้ข้าต้องจุดไฟเผาบ้านหลังนี้ ข้าก็จะไม่ให้พวกเจ้าอยู่!”ผู้ว่าการชอบที่ได้ฟังหรงจือจือพูดขีดเส้นแบ่งเขตกับคนสกุลฉีอย่างชัดเจน เขาพูดเข้าข้างทันที “ท่านหญิงจัดการทุกเรื่องได้อย่างสะอาดหมดจด สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะในหมู่สตรี!”หรงจือจือเลิกคิ้วขึ้น นางพบว่ารอบตัวเฉินเยี่ยนซูมีแต่คนน่าสนใจ หากได้แต่งงานกับอีกฝ่ายจริงๆ คิดว่าชีวิตคงไม่น่าเบื่อฉีจื่อฟู่หน้าซีดเผือด “เจ้าเกลียดข้ามากถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”หรงจือจือพูดอย่างราบเรียบ “ก็ไม่ได้เกลียดหรอก แต่ไม่จะไม่มีทางช่วยเหลือเจ้าเด็ดขาดก็เท่านั้น”ฉีจื่อฟู่เขียนสัญญาติดหนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขาดก็แค่จำนวนเงิน เขาอดกลั้นต่อความอัปยศและถามออกไป “พวกเจ้าต้องการเงินเท่าไร?”หรงจือจือมองไปทางคนเฝ้าบ้านทั้งสองทั้งสองคนสบตากันและตอบ “ยี่สิบตำลึง ทั้งหมดยี่สิบตำลึงก็พอแล้ว!”เงินยี่สิบตำลึง นี่เป็นค่าแรงตลอดหนึ่งปีกว่าของทั้งสองคน พวกเขาเพียงแ
ผู้ว่าการกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องตลกอะไร? มีผู้ใดในเมืองหลวงไม่รู้อีกหรือว่าท่านหญิงหย่ากับบุตรชายของเจ้าแล้ว?”ยังจะมาบอกว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน? ช่างเหลวไหลเสียจริง!ในฐานะที่หวังหยวนหลินเป็นผู้ว่าการและเป็นศิษย์ของท่านราชเลขาธิการ เขามองออกมานานแล้วว่าท่านหญิงก็คืออาจารย์แม่ของตัวเองในอนาคตในกลยุทธ์ขอแต่งงานสามร้อยข้อของเซินเฮ่อ หวังหยวนหลินได้อุทิศกำลังอัน ‘น้อยนิด’ ของตัวเองลงไปด้วย เขามีส่วนช่วยเขียนกลยุทธ์ถึงห้าสิบสามข้อ!หากว่าสุดท้ายแล้วท่านหญิงยังเป็นคนของสกุลฉีอยู่ เช่นนั้นกลยุทธ์ที่ลำบากคิดออกจะนับเป็นอะไร? เป็นเรื่องตลกหรือ?ผู้ว่าการยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เขาพูดต่อ “พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าอะไรคือการหย่า? ข้าต้องอธิบายความหมายคำนี้ให้พวกเจ้าฟังโดยละเอียดหรือไม่?”อันที่จริงแล้ว ก่อนที่บ่าวรับใช้จากจวนท่านหญิงจะมาแจ้งความ ท่านราชเลขาธิการก็ได้ทราบเรื่องที่คนสกุลฉีมาที่นี่และสั่งให้หวังหยวนหลินมาจัดการก่อนแล้วหวังหยวนหลินได้พบกับเจาอู้ตอนที่กำลังออกมาพอดี หากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับอาจารย์แม่ เขามีหรือจะมาด้วยตัวเอง?เพราะเรื่องแค่นี้มอบให้เจ้าหน้าท