‘แม่จะให้แกแต่งงาน’
เฮ้อ...นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าชีวิต ตั้งแต่เด็กชีวิตของ มะเหมียว มัณฑิตา ลูกสาวคนเล็กของบ้านวีรโชตกุลไม่เคยได้ทำอะไรตามใจ แม้ว่าแม่จะไม่ได้เลี้ยงเธอมาแบบเข้มงวดเท่ากับบ้านอื่นๆ แต่ก็ไม่เคยปล่อยให้มีอิสระ เรียนที่ไหนอะไรยังไงไม่มีสิทธิ์เลือก แม้แต่ตอนที่ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นหรือแม้แต่สถานที่ฝึกงานแม่ก็เป็นคนจัดการให้ทั้งหมด
แล้วนี่เรียนจบมาใบปริญญาหมึกไม่ทันแห้งด้วยซ้ำ ลงจากเครื่องบินเหยียบพื้นเมืองไทยแม่ก็บอกจะให้แต่งงานเลยทันที เธอเข้าใจว่าแม่กังวลเรื่องชีวิตของเธอเป็นพิเศษ เพราะพี่สาวอย่างมัดหมี่ก็มีงานมีการทำ ดูแลตัวเองได้แล้ว แต่เธอกลับเรียนจบช้ากว่าเพื่อนถึงสองปีด้วยปัญหาครอบครัวที่รุมเร้าช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเรียนจบ
แม่จับได้ว่าพ่อมีคนอื่น มีลูกสาวที่อายุน้อยกว่าเธอแค่สองปีแอบเลี้ยงดูกันมาอย่างลับๆ มาตลอด พอรู้เรื่องพ่อก็ไปอยู่กับทางนั้น ส่วนแม่ซึมเศร้าหนักทำร้ายตัวเองถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล
ตอนนั้นมะเหมียวคิดจะไม่เรียนต่อแล้วย้ายกลับมาอยู่กับแม่เลยด้วยซ้ำ แต่แม่ก็ฮึบรักษาตัวจนหายดี แล้วบอกให้เธอกลับไปเรียนให้จบพร้อมกำชับว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับพี่มัดหมี่เป็นอันขาด
ครอบครัวเธอไม่เหมือนเดิมตั้งแต่นั้นมา...เธอพยายามทำทุกอย่างตามใจแม่ ไม่ดื้อ ไม่ซน มีบ้างที่แอบหนีเที่ยวตามประสาวัยรุ่น แต่ก็ไม่เคยเกเร
แต่เรื่องแต่งงาน..มันเกินไปหน่อยไป ให้แต่งไม่ว่า แต่กับเขา ภาคินทร์เนี่ยนะ? แม่คงยังไม่รู้ว่าเมื่อก่อนลูกสาวตัวเองแสบขนาดไหน ป่านนี้เขารู้ว่าต้องแต่งงานกับเธอคงขำก๊ากจนตกเก้าอี้แล้วแน่ๆ
“เรียบร้อย นี่แกส่งฟอร์มยังสี่ทุ่มแล้วนะ เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก”
ระหว่างที่จมอยู่กับห้วงภวังค์ของตัวเองอยู่นั้น คะนิ้ง เพื่อนรักที่อยู่กันมา 25 ปีตั้งแต่ออกจากห้องคลอดก็พูดขึ้นมา ที่นั่งตรงข้ามของโซน VIP คลับดังย่านรัชดา บริเวณเบาะนั่งกำมะหยี่สีแดงมีหญิงสาวหน้าตาโฉบเฉี่ยวกำลังมองเพื่อนอย่างจับผิด
“เหมียว แกไม่ได้ลืมส่งฟอร์มใช่ปะ?”
“ฟอร์มอะไรนะ?”
คนถูกถามเลิกคิ้วถามกลับอย่างงงๆ ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสายตาก็เหลือบไปเห็นบิลสองสามใบที่วางอยู่ข้างแขนของคะนิ้งก็จำได้ในทันที
“อ๋อ ส่งสิทธิ์ลัคกี้แฟน ใช่ๆๆๆ”
สิทธิ์ที่ว่าคือลัคกี้แฟนงานหนึ่งซึ่งเธอและเพื่อนเพิ่งมาเจอประกาศเอา 2 วันสุดท้ายก่อนหมดเขตส่ง แน่นอนว่าแฟนคลับหลายคนบ่นกันระนาวว่าค่ายทำงานแย่มากๆ ไม่ยอมโปรโมทงานให้ศิลปินจนแฟนคลับต้องไปเจอเอง แล้วประเด็นคือสินค้าที่ร่วมรายการไปที่ไหนก็หมดเพราะมีแฟนคลับคนอื่นไปกว้านซื้อ กว่าจะหาเจอและได้บิลมาลงทะเบียนเล่นเอาปาดเหงื่อไปหลายยก
หลายคนมองว่าพวกเธอไร้สาระ โตป่านนี้แล้วยังจะตามกรี๊ดดาราอยู่ได้ แต่ถ้าเกิดว่าช่วงฝึกงานเธอไม่ได้มีโอกาสเจอกับ นัททิว ดาราหนุ่มไทยหน้าหวานที่ไปจัดแฟนมีตที่ญี่ปุ่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ครอบครัวเธอมีปัญหา เธอก็คงไม่ได้มีแรงใจใช้ชีวิตต่อมาจนทุกวันนี้
แต่ว่า...เรื่องนั้นมันไม่สำคัญเท่าไรแล้วนะสิ
“แกลงให้หน่อย” ว่าพลางยื่นบิลของตัวเองให้เพื่อนเป็นคนลงทะเบียนให้ ซึ่งคะนิ้งก็รับไปแต่โดยดี
“มีอะไรหรือเปล่า แกดูเหม่อๆ นะ”
ระหว่างที่ก้มหน้าลงทะเบียนให้เพื่อนคะนิ้งก็ได้ถามขึ้นมาอีกครั้ง
“นิ้ง แม่ว่าให้ฉันแต่งงานอะ”
มะเหมียวตัดสินใจเล่าให้เพื่อนฟังหลังจากเก็บมาตลอดทั้งบ่าย แต่แทนที่คะนิ้งจะแปลกใจสักหน่อยกลับทำแค่ตอบกลับมาเสียงเรียบ
“อือ ปกติ แกก็โตพอจะแต่งงานแล้วนี่”
“ไม่ปกติค่ะ แกรู้ไหมว่าคนที่ฉันต้องแต่งงานด้วยคือใคร เฮียคินทร์ ผู้ชายคนนั้นอะแกจำได้ไหม”
คะนิ้งแทบจะอยู่กับเธอในทุกเหตุการณ์ของชีวิต ไม่ว่าจะช่วงที่เธอดื้อสุดๆ อย่างตอนมัธยม หรือแม้แต่ช่วงที่ไปเรียนญี่ปุ่นก็ตามไปติ่งด้วยกันแทบทุกที่ แน่นอนว่าพอพูดชื่อภาคินทร์คะนิ้งก็พอเดาได้ว่าทำไมเพื่อนถึงได้ดูเหม่อลอยผิดปกติ
“รีบลงทะเบียนให้เสร็จก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
“นิ้ง นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ นี่เรื่องคอขาดบาดตายนะเว้ย” มะเหมียวเริ่มใช้น้ำเสียงจริงจังขึ้นให้เพื่อนรู้ถึงระดับความเครียดของตัวเอง
เรื่องไปเจอน้องนัททิวเธอเองก็อยากไปอยู่หรอก แต่ก็มีนิดหน่อยที่เธออยากได้คำปรึกษาจากเพื่อนมากกว่า
“อะๆๆ ไหนเล่ามา” คะนิ้งลงทะเบียนเรียบร้อยก็คืนมือถือให้ พร้อมมองหน้าตั้งใจฟังเพื่อนเต็มที่
“ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ แม่บอกว่าพรุ่งนี้ฉันต้องไปดูตัวกับเฮียคินทร์ แต่แกก็จำเรื่องเมื่อก่อนได้ใช่ปะ เคยมีปัญหากันขนาดนั้นจะมองหน้ากันติดได้ไง บ้าไปแล้ว”
คะนิ้งที่นั่งอยู่ตรงข้ามเพื่อนได้แต่ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ ไหนบอกตอนย้ายไปเรียนญี่ปุ่นว่าลืมเขาได้แล้ว ตัดใจได้แล้ว นี่ก็ผ่านมาตั้ง 10 ปี ฮัลโหลค่ะ จากสีหน้าของมะเหมียวในตอนนี้อย่าว่าแต่ตัดใจ เจอหน้าเขาก็พร้อมจะลืมนัททิวที่รักนักรักหนาพุ่งเข้าไปหาเขาแล้ว
จำได้ว่าเมื่อก่อนยัยนี่น่ะคลั่งรักเฮียหนักมาก ขนาดที่ว่ายอมแกล้งเมาดิบเพื่อเข้าไปอ่อยเขาทั้งที่อายุตัวเองยังไม่ถึง 18 ด้วยซ้ำ ตอนนั้นเพื่อนสนิทอย่างคะนิ้งทั้งเหนื่อยทั้งอาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะยัยเพื่อนคนนี้มันดื้อเสียเหลือเกิน
“เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว เขาน่าจะจำไม่ได้หรอกมั้ง”
คะนิ้งปลอบเพื่อน แต่ในใจเธอก็อยากให้ทางนั้นจำได้อยู่เหมือนกัน มันคงน่าสนุกดีที่ผู้ชายคนนั้นต้องมาแต่งงานกับคนที่เขาเคยปฏิเสธ เมื่อก่อนเขาไม่คิดจะมองมะเหมียวเลยด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นยังเด็กมาก แต่งตัวก็เฉิ่มๆ แต่งหน้าแต่งตายังไม่ค่อยเป็น แล้วดูตอนนี้สิ เป็นสาวสะพรั่งชนิดที่ว่าใครได้เห็นเป็นต้องเหลียวหลัง ไม่มีทางหรอกที่คนไม่ยุ่งกับผู้หญิงประหนึ่งพระไม่ยุ่งกับสีกาอย่างเขาจะไม่ใจอ่อน
“ว่าแต่นี่แกต้องไปดูตัวกับเฮียเขาตอนไหนอะ หรือไม่ต้องดูแล้วแต่ไปแต่งกันเลย” คะนิ้งถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พรุ่งนี้ไง”
“หา?”
พรุ่งนี้! นี่มันบ้าไปแล้วชัดๆ มะเหมียวเพิ่งจะลงเครื่องจากญี่ปุ่นมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน นอนก็ยังไม่ได้นอน หน้าก็ยังไม่ได้ทำ ผมยังไม่ได้สระด้วยซ้ำ แถมตอนนี้ยังเริ่มเมาจนพูดไม่รู้เรื่อง ให้ไปดูตัวพรุ่งนี้มันกระชั้นชิดเกินไปหรือเปล่า
“ไปแก ไปจ่ายเงิน”
“ฮะ?”
จู่ๆ คะนิ้งก็เก็บกระเป๋าลุกขึ้น ทำให้คนที่กำลังจะพร่ำพรรณนาความเจ็บปวดที่มีต่อว่าที่คู่ดูตัวถึงกับเงยหน้ามองด้วยความงุนงง
“ก็ไปจ่ายเงินไง ตอนนี้สี่ทุ่มครึ่งแล้ว แกต้องนอนให้อิ่มหน้าจะได้สดใสๆ แล้วตอนเช้าฉันจะให้รถมารับ ไปทำหน้าทำผมทำเล็บก่อนไปดูตัว”
คะนิ้งเรียนจบมาก่อนมะเหมียว 2 ปี ตอนนี้เปิดสตูดิโอเสริมความงามครบวงจรที่กำลังเป็นกระแส เพื่อนรักจะไปดูตัวทั้งทีจะให้เสียชื่อไม่ได้อย่างเด็ดขาด
“แต่นี่ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไป”
“แม่แกตอบตกลงไปแล้วนี่”
“ก็นั่นแหละ แต่ฉันไม่อยากไปไง ไม่ไปหรอก ถ้าไปก็ได้แต่งสิ ชาตินี้ฉันแต่งงานกับใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่เฮียคินทร์เด็ดขาด”
สีหน้ามุ่งมั่นของเพื่อนซ่อนความหวั่นไหวเอาไว้ในนั้นไม่มิด คนที่คบกันมาตั้งยี่สิบกว่าปีมีเหรอจะไม่รู้ว่ามะเหมียวดีใจแค่ไหนที่ได้ยินข่าวนี้ แต่ที่มานั่งเครียดคงเพราะตอนเด็กทำเรื่องสะเหล่อๆ เอาไว้เยอะมาก กลายเป็นความทรงจำไม่ดีที่อยากลืมแต่ก็ยังจำได้ติดตา
“แล้วแกจะแต่งงานกับใคร?” คะนิ้งเริ่มพูดเสียงเครียด “ทั้งชีวิตนี้ฉันไม่เห็นแกจะไปรู้จักใครเลย ผู้ชายเข้ามาจีบก็โวยวายใส่จนเขาหนีหมด หล่อๆ งานดีๆ ปัดทิ้ง แล้วคนนี้เขาก็เป็นรักแรกรักเดียวของแก ไม่แต่งกับเฮียแกจะไปแต่งกับใครได้อีก อายุก็ปูนนี้แล้ว”
“นิ้ง... ฉันเพิ่งเรียนจบมาได้ไม่กี่วันเองนะ”
เธอเรียนจบช้ากว่าคะนิ้ง 2 ปี ตอนนี้อายุ 25 ถ้าพูดว่าเธอทั้งคู่อายุปูนนี้ เฮียคินทร์ไม่ใกล้ลงโลงแล้วเหรอ อายุมากกว่าเธอตั้ง 10 ปี
“เออ นั่นแหละ แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก โลกนี้มันจะมีสักกี่คนวะที่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองชอบ ก็ถ้าแกชอบเขาขนาดนั้น แกยังลังเลอะไรอยู่?”
มะเหมียวเงียบ คำพูดของเพื่อนทำให้เธอเริ่มลังเลขึ้นมา ก็ใช่ที่เธอยังชอบเขามากๆ แต่ถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้ชอบเธอล่ะ ถ้าเกิดว่าการไปเจอกันครั้งนี้นอกจากจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้นแล้วยังทำให้ความสัมพันธ์ของเราแย่ลง ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอจะทำยังไงดี...
“อีกอย่างนะ ถ้าเกิดว่าแกอยากลบภาพจำที่ตัวเองเคยทำไว้เมื่อ 10 ปีก่อนมันก็ต้องคราวนี้แหละ ฉันจะเปลี่ยนแกให้เป็นสาวสวยที่จึ้งที่สุดให้เขาเห็น เอาให้เขาปฏิเสธแกไม่ลงไปเลย”
“เอางั้นเหรอ”
“เออ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เจอกัน ฉันจะให้คนไปรับ โอเคไหม?”
นั่นไม่ใช่คำถาม แต่เป็นประโยคบังคับ ต่อให้มะเหมียวปฏิเสธเธอก็จะลากเพื่อนไปจนได้นั่นแหละ
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้ ยัยเพื่อนรัก”
ใครๆ ต่างก็บอกว่า เธอช่างโชคดีจังเลย เกิดมาไม่มีอะไรสักอย่าง ครอบครัวก็กลางๆ หน้าตาก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมากมาย ขนาดถึงขั้นล้มละลายก็ยังมีครอบครัวว่าที่สามีเอ็นดูซัพพอร์ตเสมอ ล้มแต่ละครั้งเหมือนล้มลงบนฟูก จนถึงตอนนี้ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างแต่ก็ได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดหากเป็นเมื่อก่อนเธอคงนอยจนซึมไปหลายวัน แต่พอเล่าให้ภาคินทร์ฟัง เขาก็บอกว่าทำไมต้องสน คนพวกนั้นมีดีแค่พูดเรื่องคนอื่นไปวันๆ ไม่เห็นว่าชีวิตพวกเขาจะดีกว่าเราตรงไหน ครอบครัวล้มละลายแล้วยังไง ต้องพึ่งพาครอบครัวสามีแล้วยังไง การมีคนที่พร้อมหนุนหลังเราไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นยังไงก็ดีกว่าตัวคนเดียวไม่ใช่หรือไงเพราะอย่างนั้น...เธอจึงปล่อยวางทุกอย่าง ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตแล้วเข้าพิธีแต่งงานโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไปต่อหน้าผู้คนมากมายที่มาร่วมยินดีในวันแห่งความสุขของหลานชายคนโตตระกูลคัลเลน ต่อหน้าเพลงบรรเลงที่ดังคลออยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่อหน้าดอกไม้ ผ้าประดับ เธอยังคงสั่นด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่าทุกก้าวบนพรมสีขาวที่นำไปสู่แท่นพิธี คือจุดจบของความวุ่นวายทั้งหมดที่ชีวิตได้เจอมาชีวิตที่ตกหลุมรัก
“ปล่อยกู กูบอกว่าให้ปล่อยกู!!”วัชระถูกจับกุมตัวในที่สุด เขาถูกตั้งข้อหาหนักทั้งทำร้ายร่างกาย ฉ้อโกง รวมไปถึงพยายามฆ่า ภาคินทร์ทำทุกอย่างแม้แต่การใช้อำนาจในทางมิชอบ ทำให้เขาไม่ได้รับการประกันตัว แต่คนอย่างวัชระมีหรือจะยอม ทุกครั้งที่มีคนเข้าเยี่ยมเขามักจะโวยวายขอประกันตัวสู้คดี แต่คงไม่คิดว่าทุกครั้งจะเป็นภาคินทร์ที่เข้ามาเขาไม่ยอมให้มะเหมียวหรือใครได้เจอผู้ชายคนนี้อย่างเด็ดขาด เรื่องบางเรื่อง คนของเขาช้ำใจแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว อย่ามาเสียใจกับอะไรเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกเลย อีกอย่างงานแต่งงานก็ใกล้เข้ามาแล้ว เขาไม่อยากให้มีอะไรมากระทบทั้งนั้นแต่เห็นคนในชุดนักโทษแล้วก็อดเวทนาไม่ได้ คนพวกนี้ทรยศครอบครัว หักหลังโดยคิดถึงแค่ผลประโยชน์ แค่ความพึงพอใจของตัวเอง สมควรแล้วที่จะต้องทรมานไปตลอดชีวิต“กูบอกว่าให้ปล่อยกูไง ไปเรียกทนายมาเดี๋ยวนี้ แล้วนี่ลูกเมียกูอยู่ไหน ทำไมไม่เห็นมีใครมาเยี่ยมเลย โธ่เว้ย!!!”วัชระทุบกระจกหนาตรงหน้าด้วยความหัวเสีย ระหว่างภาคินทร์และเขานอกจากกระจกหนาที่กั้นเอาไว้ยังมีตาข่ายเหล็กอีกชั้น ทั้งคนในห้องขังยังมีกุญแจมือสวมอยู่อีก อิสระที่หายไปในชั่วพริบตาเพียงเพราะความขาดการ
“กรี๊— อุ๊บ!”มะเหมียวเผลอหลุดกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ ในจังหวะที่เธอหันมาแล้วเจอว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไร ทว่าเพียงแค่อ้าปากยังไม่ทันได้ส่งเสียง กลับถูกมือเย็นๆ อุดปากเอาไว้ก่อน“ชู่ว อย่าเสียงดัง นี่โรงพยาบาลนะ”คนตรงหน้ายกมือขึ้นแตะปากตัวเองพลางบอกให้เธอเงียบ ดวงตาที่เบิกโพลงเริ่มมีน้ำตาคลอเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงนี้คือใครไอ้เฮียบ้า เขานี่เอง“ฮึก...” คนที่ทั้งกลัวทั้งตกใจเริ่มสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลลงมาเป็นทางโดนใส่มือภาคินทร์ที่ปิดปากของเธออยู่ เขาตกใจรีบปล่อยเธอให้เป็นอิสระก่อนจะถามเสียงตื่น“เป็นอะไรครับ เฮียขอโทษที่เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง ตกใจมากไหมมาโอ๋ๆ นะ”เขารั้งคนตัวเล็กเข้ามากอดจนทั้งตัวจมอก เสียงสะอื้นไม่มีท่าทีสงบลงง่ายๆ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ยกมือขึ้นลูบหัวคนน้องเบาๆ แล้วพูดปลอบใจเท่านั้น“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว”“ฮึก...ฮือ...”ตกใจเรื่องที่เขาเล่นอะไรไม่รู้เรื่องก็เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิมคงไม่พ้นเรื่องที่คิดอยู่ก่อนหน้านี้ มันอึดอัดมากจริงๆ ยากจะหาที่ระบายในยามที่ทุกคนต่างก็กำลังเครียด ทำได้แค่ร้องไห
เมื่อวานเกิดเรื่องที่บริษัทนิดหน่อย เขาไม่คิดว่าจู่ๆ คนที่ไม่ควรจะอยู่ที่นั่นมากที่สุดกลับไปโผล่ที่บริษัทหน้าตาเฉยวัชระ พ่อของมะเหมียวเขาเป็นประธานบริษัทเล็กๆ ที่ทำด้านส่งออกบรรจุภัณฑ์พลาสติก เมื่อก่อนคุณย่าของเขาก็เคยร่วมหุ้นด้วยแต่พอเพื่อนรักอย่างคุณยายของมะเหมียวเสียท่านก็ขายหุ้นทิ้งและไม่ได้สนใจบริษัทนั้นอีก ภาคินทร์เพิ่งจะได้ข่าวว่าบริษัทขาดทุนหนักและกำลังจะล้มละลายแต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วอย่างนี้“คือว่า...อา...แค่เห็นว่าเราสองครอบครัวกำลังจะเกี่ยวดองกัน”ร้อยวันพันปีคนอย่างวัชระไม่เคยคิดเข้ามาข้องเกี่ยวกับตระกูลคัลเลน อย่าว่าแต่เรื่องเกี่ยวดองกัน แม้แต่ช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดที่ทางนี้ต้องเผชิญข่าวเสียหายก็ไม่เคยเห็นหัว มีแค่วันนั้นที่คุณย่าเชิญเขามาร่วมงานในฐานะแขกเลยได้พบกันมันทำให้เขารู้ว่าจริงๆ แล้วไม่ควรทำอย่างนั้นเลย คนพรรค์นี้ให้เกียรติไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับชีวิต ทั้งยังหาแต่เรื่องวุ่นวายมาให้“คุณอามีเรื่องอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”คุยนานไปก็มีแต่จะเสียเวลา เขารีบตรงเข้าประเด็นพร้อมทั้งหยิบมือถือขึ้นมาเล่นไปพลาง เขาไม่ได้กำลังทำตัวเสียมารยาทแต่กำลังหาข่าวของบริษัทนั
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้...วัชระนั่งทำแผลอยู่ในบ้านตัวเองด้วยความเจ็บใจ นึกถึงเรื่องที่บ้านหลังนั้นแล้วก็ได้แต่กัดฟันกรอด สองแม่ลูกนั่นมันกล้าดียังไงถึงทำกับเขาแบบนี้ ที่ผ่านมาลูกสาวของเขาเป็นเด็กดี ว่าง่าย ไม่เคยเถียงพ่อแม้สักคำเดียว ทั้งหมดนี่ต้องเป็นความผิดของแม่มันอย่างไม่ต้องสงสัย“แล้วเรื่องที่ให้ไปคุยเป็นยังไงบ้างคะ เนี่ย ถ้าเราไม่หาเงินไปจ่ายค่าปรับในเดือนหน้าเราจะล้มละลายกันจริงแล้วนะคะ”กานพลู ภรรยาใหม่ของวัชระว่าด้วยสีหน้าหงุดหงิด หลังช่วยกันประคับประคองบริษัทมาหลายปีแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ติดหนี้หัวโตกำลังถูกฟ้องล้มละลาย โชคยังดีที่มีเงินสดติดตัวอยู่บ้างให้พอได้ซื้อข้าวกินไปวันๆ แต่เรื่องหนี้สินก็เป็นเรื่องที่เจ้าหล่อนคิดไม่ตกคิดแล้วก็อยากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 18 ปีก่อน ตอนนั้นไม่น่าเห็นแก่เงินเป็นชู้กับผัวชาวบ้านจนมีลูกด้วยกัน วัชระในตอนนั้นทั้งหล่อทั้งรวย เป็นลูกเขยของตระกูลที่มีทรัพย์สินกว่าห้าร้อยล้าน ซ้ำตอนที่เผลอใจมีอะไรกันหลายครั้งจนตั้งท้อง เขายังบอกให้หล่อนเก็บเรื่องลูกไว้เป็นความลับ จะเลี้ยงดูปูเสื่อสองแม่ลูกอย่างดีไม่ให้ลำบากเรื่องมาโป๊ะแตกตอนที่ลูกสาวคนเล็กของเขาอ
พ่อออกไปแล้ว ทิ้งความเงียบหลังความวุ่นวายเอาไว้ที่เบื้องหลัง ยอมรับว่าเรื่องเมื่อกี้เธอตกใจมากๆ จนแทบสติแตก แต่พอเห็นว่าแม่ที่จิตใจไม่ปกติพยายามอย่างมากที่จะเข้มแข็งเพื่อต่อต้านพ่อเป็นครั้งแรก ลูกสาวอย่างเธอจึงต้องพยายามฮึบเพื่อไม่ให้แม่ต้องดิ่งมากไปกว่านี้เธอพาแม่ขึ้นมาบนห้องแล้ววานแม่บ้านมาทำความสะอาดเศษแก้วให้ ก่อนจะส่งแม่เข้านอนโดยไม่พูดหรือไม่ถามอะไรแม่สักคำแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าระหว่างเราสองแม่ลูกจะไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจ“เหมียวลูก...”ก่อนจะล้มตัวลงนอนเป็นแม่ที่พูดขึ้นมาก่อน ฝ่ามือสั่นเทายกขึ้นมาลูบกรอบหน้าลูกสาวอย่างแผ่วเบา มองรอยตบที่ตอนนี้เริ่มจางลงไปบ้างแล้ว แต่ก็รับรู้ได้ว่าลูกคงเจ็บอยู่บ้าง“หนูเจ็บไหม แม่ขอโทษนะที่ปล่อยให้มันมาทำร้ายลูก”“ไม่เจ็บค่ะแม่ แม่ไม่ต้องห่วงหนูนะคะ สมัยเรียนหนูก็ตบกับเพื่อนบ่อยจะตาย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่แรงตบเมื่อกี้ก็เริ่มทำพิษแล้วเช่นกัน เธอไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจมากไปกว่านี้ เรื่องแค่นี้เธอทนได้สบายมากอยู่แล้ว“แม่นอนพักนะคะ เรื่องวันนี้แม่ลืมมันไปซะ อย่าเก็บมาคิดอีก”“เหมียว แม่ถามจริงๆ นะลูก ถ้าเกิดว่าเฮียรู้เรื่องบ