Share

บทที่ 3 เรื่องเข้าใจผิด

last update Terakhir Diperbarui: 2025-04-04 13:37:29

คือว่านะ...ตอนได้ยินว่าคะนิ้งจะให้คนมารับแต่เช้าก็พอทำใจแล้วแหละว่าต้องตื่นเช้ากว่าปกติ แต่ไม่คิดว่าจะเช้าขนาดนี้!!

หกโมงเช้ามะเหมียวนั่งอยู่ในสตูดิโอเสริมสวยครบวงจรของเพื่อนสนิทซึ่งเพิ่งเปิดเมื่อไม่นานมานี้และมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการไม่ขาดสาย ว่ากันว่าที่นี่นั้นจองคิวยากมากๆ ลูกค้าวอล์กอินไม่มีทางได้ใช้บริการหากไม่มีการจองล่วงหน้าก่อน ด้วยคะนิ้งให้ความสำคัญกับช่างและพนักงานในร้านเป็นหลัก มีช่วงเวลาพักและรับงานที่เป็นระบบทำให้งานออกมาดีและพนักงานมีสุขภาพใจที่แข็งแรง แต่วันนี้มะเหมียวได้รับสิทธิเป็นลูกค้า VVIP สามารถแทรกทุกคิวเข้ามานั่งทำสวยโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาทเดียว

แต่เมื่อวานเมากลับบ้านไปก็นอนยาวตั้งแต่ห้าทุ่มคิดว่าตัวเองคงตื่นมาอย่างสดชื่น เปล่าเลย ตอนนี้มะเหมียวกำลังนั่งสัปหงกอยู่หน้ากระจก ปล่อยให้ช่างดึงหน้าดึงผมดึงเล็บไปตามยถากรรม

“เอาดีๆ สวยๆ เลยนะคะพี่ วันนี้เพื่อนหนูจะได้แต่งงาน บันไดลงจากคานทองฝากความหวังไว้ที่มือพี่ๆ แล้วนะคะ”

เจ้าของร้านพูดเสียงดี๊ด๊า คนที่ตื่นเต้นที่สุดในวันนี้ไม่พ้นคะนิ้ง ทั้งสีผมสีเล็บหรือแม้แต่ชุดก็เตรียมเอาไว้เสร็จสรรพ

ชุดที่คะนิ้งเตรียมเอาไว้เป็นเกาะอกโชว์เอวและกางเกงขากระบอกสีชมพูหวานเข้าชุด แถมด้วยผ้าพันคอเส้นเล็กๆ เข้าชุดมาด้วยอีกหนึ่งเส้น เป็นคอลเล็กชั่นใหม่จากแบรนด์ของนัททิวที่เพิ่งออกมาเมื่อวาเลนไทน์ปีที่แล้ว

โป๊ โป๊มากแม่ นี่มันชุดให้ตัวเองใส่ชัดๆ ไม่ใช่ให้เธอไปดูตัวแล้ว

“แก ฉันไม่ใส่เกาะอกไปดูตัวหรอกนะ น่าอายออก”

ถึงจะชอบแบรนด์นี้อยู่แล้วตามประสาแฟนคลับที่ซัพพอร์ตศิลปิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะกล้าใส่มันไปอยู่ต่อหน้าผู้ชายที่ตัวเองเคยชอบนะคะ!

“นี่แหละเริ่ดแล้ว แกไม่เริ่ดแล้วใครจะเริ่ดคะยัยเหมียว ประกาศให้โลกรู้ว่าเรามันก็ลูกพระยานาหมื่น ไม่ยอมก้มหัวให้ใครหรอกค่ะ”

“นี่จะไปดูตัวหรือไปรบถามจริง”

“นี่แหละคือการดูตัวที่ถูกต้อง เล็บเสร็จหรือยัง ไปทำหน้าต่อ”

ผมเรียบร้อย เล็บเรียบร้อยเหลือแต่แต่งหน้า สภาพคนมาทำสวยตอนนี้เหมือนโดนรุมทึ้งจนปวดเนื้อปวดตัวไปหมด ปกติเธอเข้าร้านเสริมสวยบ้างนานๆ ครั้ง แต่ที่ทำบ่อยคือสระผมเพราะขี้เกียจสระเอง แต่นั่งอยู่ในร้านเสริมสวยเพื่อทำตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบนี้เพิ่งเคยเป็นครั้งแรก

หกโมงก็แล้ว เจ็ดโมง แปดโมง เก้าโมงก็แล้ว ในที่สุดเวลาใกล้เที่ยงเสื้อผ้าหน้าผมก็เสร็จเรียบร้อย ที่จริงควรจะเสร็จตั้งนานแล้วถ้าคะนิ้งไม่เอาแต่สั่งให้ลบให้เปลี่ยนจนทั้งช่างแต่งหน้าทั้งมะเหมียวต้องถอนหายใจใส่ด้วยความเบื่อหน่าย

นี่ขนาดเพื่อนไปดูตัวยังจริงจังขนาดนี้ ถ้าไปดูตัวเองขึ้นมาวันไหนคงใช้เวลาประทินโฉมล่วงหน้าเป็นอาทิตย์แน่ๆ

“สวย สวยมาก สวยมากๆๆๆ นี่เพื่อนฉันจริงหรือเปล่าเนี่ยทำไมมันสวยอะไรขนาดนี้”

ชมไม่ขาดปากตั้งแต่ที่เธอเปลี่ยนชุดออกมาแล้ว วันนี้คะนิ้งเลือกผมสีน้ำตาลกลางให้เพราะรู้สึกว่าผมสีเทาสีเดิมที่มะเหมียวทำทำให้ดูหน้าแก่ไปสักหน่อย พอเปลี่ยนเป็นสีนี้แล้วหน้าสว่างสดใสขึ้นเยอะ แล้วยังเพิ่มความหวานซ่อนเปรี้ยวด้วยการทำลอนใหญ่ๆ ที่ปลายผมและรวบครึ่งหัวขึ้นไปเพื่อโชว์ใบหูที่มีจี้เพชรประดับอยู่ เมื่อรวมกับชุดที่คะนิ้งเลือกให้บอกเลยว่าเพื่อนเธอชนะเลิศทุกแคมเปญ

แต่คนใส่กลับเอาแต่ยึกๆ ยักๆ เพราะตัวเกาะอกมันทั้งโชว์ไหล่ทั้งโชว์เอว กางเกงยังเป็นเอวต่ำโชว์สะดือเลยชวนหวิวๆ จนต้องขออะไรมาปิดสักหน่อย

“แก ฉันขอใส่คาดิแกนด้วยได้ไหมอะ ลมมันเย็น”

ได้ยินอย่างนั้นคะนิ้งถึงกับเท้าเอววีนชักสีหน้าใส่เพื่อนทันที

“จะใส่ทำไม สวยแล้วเนี่ย ผิวทาครีมมาแบบแกลมแบบสับ แล้วครีมตัวนี้แพงมากนะคะ”

“แต่มันหวิว ขอเถอะ มันโชว์จั๊กแร้ด้วยนี่ไม่มั่นใจอะ”

“เลเซอร์มาอย่างแพงก็โชว์ๆ ไปเถอะน่า”

“นิ้ง...”

ยอมไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าจะยังไงมะเหมียวก็รั้นจะใส่คาดิแกนทับไปด้วยให้ได้ แม่สไตลิสคนเก่งจึงต้องยอมอะลุ่มอล่วยให้แต่มีข้อแม้ว่าติดกระดุมได้แค่เม็ดเดียวเท่านั้น

อย่างน้อยก็มีอะไรคลุมไหล่ปิดหลังไว้ก็ยังดี ขอบคุณคะนิ้งที่ยังกรุณา

แต่งตัวเสร็จแล้วคะนิ้งก็บอกให้เธอออกมารอที่หน้าร้าน สาวเจ้าย้ำนักย้ำหนาว่ายังไงก็ขอไปส่งให้ได้ ด้วยอยากเห็นกับตาเหมือนกันว่าภาคินทร์คนนั้นที่เคยปฏิเสธมะเหมียวจะมีปฏิกิริยายังไงกับคนสวยที่เธอตั้งใจปั้นมาเป็นอย่างดี

“รออยู่นี่นะ ไปเอารถก่อน”

คะนิ้งพูดจบก็วิ่งอ้อมตึกไปทางด้านหลังซึ่งเป็นลานจอดรถของทางโครงการ ระหว่างที่รอมะเหมียวก็หยิบมือถือขึ้นมาเล่นไปพลางๆ ส่วนใหญ่ในโซเชียลของเธอถ้าไม่ใช่ติดตามดาราที่ตัวเองชอบก็ไม่ค่อยมีอะไรมาอัปเดต มีบ้างที่ถ่ายรูปตัวเองลงแบบไม่เต็มตัว ไม่เห็นหน้า เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ขึ้นกล้องสักเท่าไร

อีกอย่าง นี่เป็นแอคหลุมที่เธอเอาไว้ติ่งโดยเฉพาะ เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ไม่มีคนมาคอยว่า ไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครยกเว้นคะนิ้งที่แทบจะรู้เรื่องทุกอย่างในชีวิตของเธออยู่แล้ว

ทว่าในระหว่างที่กำลังเล่นมือถืออยู่นั่นเอง จู่ๆ ก็มีเด็กที่ไหนไม่รู้วิ่งเข้ามาชนสะโพกด้านซ้ายของเธอเข้าให้อย่างแรง

พลั่ก!

“ว้าย!!”

แรงกระแทกนั้นไม่ได้มากพอให้เธอล้ม แต่ก็ทำให้มือถือของเธอหลุดจากมือจนกระแทกพื้นดังตุ้บ! เธอถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ มือถือตอนนี้หล่นจากมือไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นเป็นที่เรียบร้อย ภาพหน้าจอดับวูบลงต่อหน้าต่อตาทำเอาหัวใจหล่นตามลงไปด้วย

ไม่นะ...เธอเพิ่งจะซื้อมันมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี่เอง ยังใช้ไม่ทันคุ้มด้วยซ้ำ

“แงๆๆ เจ็บง่า”

แล้วเสียงร้องกระจองอแงของเด็กน้อยที่วิ่งเข้ามาชนเธอก็ดังขึ้นทำให้เธอเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะห่วงมือถือของตัวเองดีหรือหันไปปลอบใจเด็กน้อยตรงหน้านี้ดี

“เจ็บๆ คิรินเจ็บ” เจ้าเด็กที่เรียกตัวเองว่าคิรินเริ่มร้องไห้ดังขึ้น เธอที่เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เลยนั่งลงตรงหน้าเขาแล้วหยิบมือถือตัวเองใส่กระเป๋าโดยไม่ลืมเอื้อมมือไปลูบหลังปลอบเด็กไปด้วย

“เจ็บไหมคะ” มือเรียวเอื้อมไปพยายามจะพยุงเด็กน้อยให้ลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันได้แตะก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง

“คิริน!”

เสียงนั้นมาพร้อมกับร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่มะเหมียวเดาว่าน่าจะเป็นแม่ของเด็ก เธอเข้ามาพยุงคิรินขึ้นแล้วใช้สายตากวาดดูว่าเด็กบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ในจังหวะนั้นเองที่มะเหมียวกำลังจะอ้าปากขอโทษ แต่ใบหน้าของคนที่อยู่ตรงข้ามทำให้เธอชะงักไป

นี่มัน...ชมมุก?

“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ตายแล้วขอโทษนะที่ไม่จับมือให้ดี”

หญิงสาวหน้าตาสะสวยตรงหน้าคือเพื่อนสนิทของภาคินทร์ที่เมื่อก่อนไม่ถูกโรคกับมะเหมียวเท่าไรนัก ด้วยเราทั้งคู่ชอบผู้ชายคนเดียวกัน ซ้ำชมมุกยังชอบใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบ ใช้ความเป็นเพื่อนสนิทเขากีดกันผู้หญิงคนอื่นออกไปจากภาคินทร์จนแทบไม่มีใครเข้ามาตีสนิทเขาได้

แต่กับมะเหมียวที่สนิทกับทางบ้านเขา ทั้งยังเป็นหลานรักคุณย่าเจ้าหล่อนกลับทำอะไรไม่ได้ เลยเป็นเหตุให้สองสาวตีกันอยู่เป็นประจำ

เขาถึงว่ากันว่า เกลียดสิ่งไหนมักได้สิ่งนั้น อะไรที่ไม่อยากเจอก็ได้เจอ แล้วเมื่อกี้เธอเรียกเด็กคนนี้ว่าอะไรนะ ลูกเหรอ?

“เป็นอะไรไหมคะ?” สำรวจรอบตัวเด็กแล้วไม่พบร่องรอยอาการบาดเจ็บ ชมมุกจึงหันมาถามคนข้างๆ สายตาที่มองมาไม่ได้ดูเกลียดชังกันเหมือนแต่ก่อน คำพูดคำจาก็ดูสุภาพผิดปกติจะว่าโตขึ้นก็ไม่ใช่ หรือว่าจะจำกันไม่ได้

อีกฝ่ายเลิกคิ้วถามย้ำเมื่อเห็นว่าเธอไม่ยอมตอบ มะเหมียวทำตัวไม่ถูกเล็กน้อยแต่ก็ทำเนียนตอบกลับไปเสียงเรียบ

“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วน้องเป็นไรไหมคะ เมื่อกี้วิ่งมาชนล้มซะแรงเลย”

“ไม่เปงไยคับ” คิรินตอบเสียงเจื้อยแจ้ว สำเนียงที่พูดไม่ชัดเท่าไรนักของเด็กน้อยดูน่าเอ็นดูจนผู้ใหญ่อดยิ้มให้ความน่ารักนั้นไม่ได้

“ขอโทษพี่เขาด้วยนะ” ชมมุกบอก แต่ก่อนที่คิรินจะได้ขอโทษพี่สาวที่เขาวิ่งชน ก็มีเสียงเรียกเข้ามือถือดังขึ้นมา

มะเหมียวรีบดูของตัวเองในทันที แต่เธอก็ลืมไปว่าเมื่อกี้มันตกกระแทกพื้นดับไปแล้วตอนนี้ไม่น่าจะมีใครโทรเข้ามาได้ แล้วก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ชมมุกยกมือถือขึ้นมารับสายพอดี

“ฮัลโหล คินทร์เหรอ ตอนนี้มุกอยู่ร้านทำผมน่ะ”

ชื่อที่อีกฝ่ายพูดออกมาทำให้มือที่กำลังจับมือถือชะงักไปเล็กน้อย เธอหันกลับไปมองเด็กคนนี้อีกครั้งแล้วพูดชื่อเขาเบาๆ

“คิริน...”

คินทร์...ชื่อพ่อของเด็กเหรอ อย่าบอกนะว่าเป็นเขา...ภาคินทร์?

ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวทำให้เธอชาวาบไปทั้งตัว เมื่อก่อนเธอคิดน้อยใจมาตลอดคิดว่าเขาชอบชมมุกเลยไม่กล้าเข้าไปล้ำเส้น แล้วตลอดระยะเวลาที่เธออยู่ญี่ปุ่นก็ไม่เคยได้ติดตามข่าวคราวของเขาอีก ไม่คิดเลยว่าเขาจะถึงขั้นมีลูกด้วยกันแล้ว

ก็ถ้ามีลูกด้วยกันโตมาน่ารักขนาดนี้ ทำไมเขาถึงยังต้องแต่งงานกับเธออีก หรือว่าจะเลิกกันแล้ว?

คำถามเกิดขึ้นในหัวเต็มไปหมด มองเด็กน้อยตาใสที่ยืนนิ่งๆ รอแม่ของเขาคุยโทรศัพท์โดยไม่ดื้อไม่งอแง เป็นเด็กดีขนาดนี้แต่ต้องโตมาในครอบครัวที่พ่อไปทางแม่ไปทาง คิดแล้วก็นึกถึงตัวเอง

แม้ว่าเธอจะเจอเรื่องราวพวกนั้นตอนที่ตัวเองโตขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังเสียใจอยู่ทุกวันที่พ่อแม่ต้องแยกทางกัน ไม่มีใครในครอบครัวเลยที่มีความสุข แล้วกับเด็กน้อยคนนี้ที่อายุดูแล้วไม่ถึงสี่ขวบด้วยซ้ำเขาจะรู้สึกยังไง

“อ่าๆ จะมารับคิรินเลยใช่ไหม หรือว่าอยากให้มุกไปส่งที่บ้าน...โอเค ไม่เป็นไร เข้าใจ แล้วเจอกันนะ”

อีกฝ่ายกดวางสายไป ก่อนจะเดินมาจับมือเด็กน้อยแล้วยิ้มให้คนที่ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่คนเดียว

“ขอโทษที่น้องวิ่งไม่ระวังมาชนนะคะ”

“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ น้องไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

“คิรินขอโทษพี่เขาหรือยังลูก”

“ขอโทษคับ” เสียงใสพูดดังฟังชัด ยิ่งทำให้มะเหมียวรู้สึกแย่เข้าไปอีก

เธอสิที่ต้องขอโทษ ตัวเองจะไปดูตัวกับพ่อเขาแท้ๆ ถ้าเกิดว่าเขารู้คงมองเธอไม่เหมือนเดิมอีกแน่ๆ

ชมมุกก็ด้วย ตอนนี้มะเหมียวเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยยังจำกันไม่ได้ แต่ถ้ารู้แล้วจะเป็นยังไงกันนะ...

“ไม่เป็นไรค่ะ วันหลังวิ่งระวังๆ นะคะ”

เธอเลือกจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วหันกลับไปตอบสั้นๆ ทั้งสามยิ้มให้กันเป็นการบอกลาก่อนที่สองคนนั้นจะจูงมือกันเดินขึ้นร้านของคะนิ้งไป เป็นจังหวะเดียวกับที่เพื่อนรักของเธอขับรถอ้อมมาจอดเทียบฟุตพาทพอดี

กระจกรถได้เลื่อนลงมาพร้อมเสียงเรียกของคะนิ้งที่ดึงเธอออกจากภวังค์

“ไปยัง?”

“อ่า”

เธอเลือกจะวางความสนใจที่มีต่อทั้งสองคนนั้นเอาไว้แล้วขึ้นรถไปกับเพื่อน แต่ระหว่างทางในหัวก็เต็มไปด้วยความคิดวุ่นวายที่เธอสลัดมันไม่หลุดสักที

เรื่องของเขากับชมมุก เรื่องของเด็กคนนั้น เรื่องการแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องที่ควรเกิดขึ้นจริงๆ ไหมนะ?

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ไม่ยั่วได้ไหมคะ ท่านประธาน   ตอนจบ ท้ายที่สุดแล้ว

    ใครๆ ต่างก็บอกว่า เธอช่างโชคดีจังเลย เกิดมาไม่มีอะไรสักอย่าง ครอบครัวก็กลางๆ หน้าตาก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมากมาย ขนาดถึงขั้นล้มละลายก็ยังมีครอบครัวว่าที่สามีเอ็นดูซัพพอร์ตเสมอ ล้มแต่ละครั้งเหมือนล้มลงบนฟูก จนถึงตอนนี้ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างแต่ก็ได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดหากเป็นเมื่อก่อนเธอคงนอยจนซึมไปหลายวัน แต่พอเล่าให้ภาคินทร์ฟัง เขาก็บอกว่าทำไมต้องสน คนพวกนั้นมีดีแค่พูดเรื่องคนอื่นไปวันๆ ไม่เห็นว่าชีวิตพวกเขาจะดีกว่าเราตรงไหน ครอบครัวล้มละลายแล้วยังไง ต้องพึ่งพาครอบครัวสามีแล้วยังไง การมีคนที่พร้อมหนุนหลังเราไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นยังไงก็ดีกว่าตัวคนเดียวไม่ใช่หรือไงเพราะอย่างนั้น...เธอจึงปล่อยวางทุกอย่าง ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตแล้วเข้าพิธีแต่งงานโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไปต่อหน้าผู้คนมากมายที่มาร่วมยินดีในวันแห่งความสุขของหลานชายคนโตตระกูลคัลเลน ต่อหน้าเพลงบรรเลงที่ดังคลออยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่อหน้าดอกไม้ ผ้าประดับ เธอยังคงสั่นด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่าทุกก้าวบนพรมสีขาวที่นำไปสู่แท่นพิธี คือจุดจบของความวุ่นวายทั้งหมดที่ชีวิตได้เจอมาชีวิตที่ตกหลุมรัก

  • ไม่ยั่วได้ไหมคะ ท่านประธาน   บทที่ 31 จุดจบของคนหักหลัง

    “ปล่อยกู กูบอกว่าให้ปล่อยกู!!”วัชระถูกจับกุมตัวในที่สุด เขาถูกตั้งข้อหาหนักทั้งทำร้ายร่างกาย ฉ้อโกง รวมไปถึงพยายามฆ่า ภาคินทร์ทำทุกอย่างแม้แต่การใช้อำนาจในทางมิชอบ ทำให้เขาไม่ได้รับการประกันตัว แต่คนอย่างวัชระมีหรือจะยอม ทุกครั้งที่มีคนเข้าเยี่ยมเขามักจะโวยวายขอประกันตัวสู้คดี แต่คงไม่คิดว่าทุกครั้งจะเป็นภาคินทร์ที่เข้ามาเขาไม่ยอมให้มะเหมียวหรือใครได้เจอผู้ชายคนนี้อย่างเด็ดขาด เรื่องบางเรื่อง คนของเขาช้ำใจแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว อย่ามาเสียใจกับอะไรเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกเลย อีกอย่างงานแต่งงานก็ใกล้เข้ามาแล้ว เขาไม่อยากให้มีอะไรมากระทบทั้งนั้นแต่เห็นคนในชุดนักโทษแล้วก็อดเวทนาไม่ได้ คนพวกนี้ทรยศครอบครัว หักหลังโดยคิดถึงแค่ผลประโยชน์ แค่ความพึงพอใจของตัวเอง สมควรแล้วที่จะต้องทรมานไปตลอดชีวิต“กูบอกว่าให้ปล่อยกูไง ไปเรียกทนายมาเดี๋ยวนี้ แล้วนี่ลูกเมียกูอยู่ไหน ทำไมไม่เห็นมีใครมาเยี่ยมเลย โธ่เว้ย!!!”วัชระทุบกระจกหนาตรงหน้าด้วยความหัวเสีย ระหว่างภาคินทร์และเขานอกจากกระจกหนาที่กั้นเอาไว้ยังมีตาข่ายเหล็กอีกชั้น ทั้งคนในห้องขังยังมีกุญแจมือสวมอยู่อีก อิสระที่หายไปในชั่วพริบตาเพียงเพราะความขาดการ

  • ไม่ยั่วได้ไหมคะ ท่านประธาน   บทที่ 30 ไม่มีวัน

    “กรี๊— อุ๊บ!”มะเหมียวเผลอหลุดกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ ในจังหวะที่เธอหันมาแล้วเจอว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไร ทว่าเพียงแค่อ้าปากยังไม่ทันได้ส่งเสียง กลับถูกมือเย็นๆ อุดปากเอาไว้ก่อน“ชู่ว อย่าเสียงดัง นี่โรงพยาบาลนะ”คนตรงหน้ายกมือขึ้นแตะปากตัวเองพลางบอกให้เธอเงียบ ดวงตาที่เบิกโพลงเริ่มมีน้ำตาคลอเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงนี้คือใครไอ้เฮียบ้า เขานี่เอง“ฮึก...” คนที่ทั้งกลัวทั้งตกใจเริ่มสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลลงมาเป็นทางโดนใส่มือภาคินทร์ที่ปิดปากของเธออยู่ เขาตกใจรีบปล่อยเธอให้เป็นอิสระก่อนจะถามเสียงตื่น“เป็นอะไรครับ เฮียขอโทษที่เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง ตกใจมากไหมมาโอ๋ๆ นะ”เขารั้งคนตัวเล็กเข้ามากอดจนทั้งตัวจมอก เสียงสะอื้นไม่มีท่าทีสงบลงง่ายๆ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ยกมือขึ้นลูบหัวคนน้องเบาๆ แล้วพูดปลอบใจเท่านั้น“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว”“ฮึก...ฮือ...”ตกใจเรื่องที่เขาเล่นอะไรไม่รู้เรื่องก็เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิมคงไม่พ้นเรื่องที่คิดอยู่ก่อนหน้านี้ มันอึดอัดมากจริงๆ ยากจะหาที่ระบายในยามที่ทุกคนต่างก็กำลังเครียด ทำได้แค่ร้องไห

  • ไม่ยั่วได้ไหมคะ ท่านประธาน   บทที่ 29 ทำไมต้องทำขนาดนี้

    เมื่อวานเกิดเรื่องที่บริษัทนิดหน่อย เขาไม่คิดว่าจู่ๆ คนที่ไม่ควรจะอยู่ที่นั่นมากที่สุดกลับไปโผล่ที่บริษัทหน้าตาเฉยวัชระ พ่อของมะเหมียวเขาเป็นประธานบริษัทเล็กๆ ที่ทำด้านส่งออกบรรจุภัณฑ์พลาสติก เมื่อก่อนคุณย่าของเขาก็เคยร่วมหุ้นด้วยแต่พอเพื่อนรักอย่างคุณยายของมะเหมียวเสียท่านก็ขายหุ้นทิ้งและไม่ได้สนใจบริษัทนั้นอีก ภาคินทร์เพิ่งจะได้ข่าวว่าบริษัทขาดทุนหนักและกำลังจะล้มละลายแต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วอย่างนี้“คือว่า...อา...แค่เห็นว่าเราสองครอบครัวกำลังจะเกี่ยวดองกัน”ร้อยวันพันปีคนอย่างวัชระไม่เคยคิดเข้ามาข้องเกี่ยวกับตระกูลคัลเลน อย่าว่าแต่เรื่องเกี่ยวดองกัน แม้แต่ช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดที่ทางนี้ต้องเผชิญข่าวเสียหายก็ไม่เคยเห็นหัว มีแค่วันนั้นที่คุณย่าเชิญเขามาร่วมงานในฐานะแขกเลยได้พบกันมันทำให้เขารู้ว่าจริงๆ แล้วไม่ควรทำอย่างนั้นเลย คนพรรค์นี้ให้เกียรติไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับชีวิต ทั้งยังหาแต่เรื่องวุ่นวายมาให้“คุณอามีเรื่องอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”คุยนานไปก็มีแต่จะเสียเวลา เขารีบตรงเข้าประเด็นพร้อมทั้งหยิบมือถือขึ้นมาเล่นไปพลาง เขาไม่ได้กำลังทำตัวเสียมารยาทแต่กำลังหาข่าวของบริษัทนั

  • ไม่ยั่วได้ไหมคะ ท่านประธาน   บทที่ 28 โดนจับได้

    ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้...วัชระนั่งทำแผลอยู่ในบ้านตัวเองด้วยความเจ็บใจ นึกถึงเรื่องที่บ้านหลังนั้นแล้วก็ได้แต่กัดฟันกรอด สองแม่ลูกนั่นมันกล้าดียังไงถึงทำกับเขาแบบนี้ ที่ผ่านมาลูกสาวของเขาเป็นเด็กดี ว่าง่าย ไม่เคยเถียงพ่อแม้สักคำเดียว ทั้งหมดนี่ต้องเป็นความผิดของแม่มันอย่างไม่ต้องสงสัย“แล้วเรื่องที่ให้ไปคุยเป็นยังไงบ้างคะ เนี่ย ถ้าเราไม่หาเงินไปจ่ายค่าปรับในเดือนหน้าเราจะล้มละลายกันจริงแล้วนะคะ”กานพลู ภรรยาใหม่ของวัชระว่าด้วยสีหน้าหงุดหงิด หลังช่วยกันประคับประคองบริษัทมาหลายปีแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ติดหนี้หัวโตกำลังถูกฟ้องล้มละลาย โชคยังดีที่มีเงินสดติดตัวอยู่บ้างให้พอได้ซื้อข้าวกินไปวันๆ แต่เรื่องหนี้สินก็เป็นเรื่องที่เจ้าหล่อนคิดไม่ตกคิดแล้วก็อยากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 18 ปีก่อน ตอนนั้นไม่น่าเห็นแก่เงินเป็นชู้กับผัวชาวบ้านจนมีลูกด้วยกัน วัชระในตอนนั้นทั้งหล่อทั้งรวย เป็นลูกเขยของตระกูลที่มีทรัพย์สินกว่าห้าร้อยล้าน ซ้ำตอนที่เผลอใจมีอะไรกันหลายครั้งจนตั้งท้อง เขายังบอกให้หล่อนเก็บเรื่องลูกไว้เป็นความลับ จะเลี้ยงดูปูเสื่อสองแม่ลูกอย่างดีไม่ให้ลำบากเรื่องมาโป๊ะแตกตอนที่ลูกสาวคนเล็กของเขาอ

  • ไม่ยั่วได้ไหมคะ ท่านประธาน   บทที่ 27 แค่บางที...

    พ่อออกไปแล้ว ทิ้งความเงียบหลังความวุ่นวายเอาไว้ที่เบื้องหลัง ยอมรับว่าเรื่องเมื่อกี้เธอตกใจมากๆ จนแทบสติแตก แต่พอเห็นว่าแม่ที่จิตใจไม่ปกติพยายามอย่างมากที่จะเข้มแข็งเพื่อต่อต้านพ่อเป็นครั้งแรก ลูกสาวอย่างเธอจึงต้องพยายามฮึบเพื่อไม่ให้แม่ต้องดิ่งมากไปกว่านี้เธอพาแม่ขึ้นมาบนห้องแล้ววานแม่บ้านมาทำความสะอาดเศษแก้วให้ ก่อนจะส่งแม่เข้านอนโดยไม่พูดหรือไม่ถามอะไรแม่สักคำแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าระหว่างเราสองแม่ลูกจะไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจ“เหมียวลูก...”ก่อนจะล้มตัวลงนอนเป็นแม่ที่พูดขึ้นมาก่อน ฝ่ามือสั่นเทายกขึ้นมาลูบกรอบหน้าลูกสาวอย่างแผ่วเบา มองรอยตบที่ตอนนี้เริ่มจางลงไปบ้างแล้ว แต่ก็รับรู้ได้ว่าลูกคงเจ็บอยู่บ้าง“หนูเจ็บไหม แม่ขอโทษนะที่ปล่อยให้มันมาทำร้ายลูก”“ไม่เจ็บค่ะแม่ แม่ไม่ต้องห่วงหนูนะคะ สมัยเรียนหนูก็ตบกับเพื่อนบ่อยจะตาย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่แรงตบเมื่อกี้ก็เริ่มทำพิษแล้วเช่นกัน เธอไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจมากไปกว่านี้ เรื่องแค่นี้เธอทนได้สบายมากอยู่แล้ว“แม่นอนพักนะคะ เรื่องวันนี้แม่ลืมมันไปซะ อย่าเก็บมาคิดอีก”“เหมียว แม่ถามจริงๆ นะลูก ถ้าเกิดว่าเฮียรู้เรื่องบ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status