แสงแรกของอรุณรุ่งสาดส่องลอดผ่านม่านเมฆหนาทึบ ย้อมผืนป่าให้เป็นสีเทาหม่น อิจิพยุงร่างที่อ่อนล้าของเขาเดินเคียงข้างฮารุที่ยังคงดูซีดเซียวจากการใช้พลังอย่างหนักหน่วง บาดแผลที่สีข้างของอิจิยังคงสร้างความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง แต่ความมุ่งมั่นที่จะค้นหาคำตอบและปกป้องฮารุทำให้เขาไม่ยอมหยุดพัก พวกเขากำลังเดินทางย้อนกลับไปยังศาลเจ้าโบราณที่ซ่อนอยู่ในหมู่บ้านร้าง ซึ่งเป็นที่ที่ฮารุได้เห็นนิมิตครั้งแรกและพวกเขาได้พบผ้ายันต์ผืนแรก
“นายแน่ใจนะอิจิว่าการกลับไปที่ศาลเจ้าเป็นความคิดที่ดี?” ฮารุเอ่ยถาม น้ำเสียงของเธอเจือความกังวล “ที่นั่นมีพลังงานประหลาด… และฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดีเลย” “ฉันมั่นใจฮารุ” อิจิตอบ ดวงตาคมกริบของเขาสอดส่องไปรอบตัว “บางที… ผนังศาลเจ้านั้นอาจจะบอกอะไรเราได้อีก หรืออย่างน้อยเราก็จะได้พักฟื้นร่างกายและวางแผนได้” ขณะที่พวกเขาเดินลึกเข้าไปในป่า บรรยากาศรอบตัวก็เริ่มเปลี่ยนไป ความเย็นเยียบที่แฝงด้วยพลังงานมืดมิดเริ่มปกคลุมหนาแน่นขึ้น กลิ่นอายของซากปรักหักพังและอดีตอันเลือนรางลอยมาตามลม อิจิรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น มันไม่ใช่พลังที่เกรี้ยวกราดแบบปีศาจที่พวกเขาเคยเผชิญหน้า แต่เป็นพลังที่เก่าแก่ หนักอึ้ง และเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “มันไม่ใช่ปีศาจ… แต่อะไรบางอย่างกำลังเฝ้ารอเราอยู่ที่นั่น” อิจิพึมพำ เขากระชับดาบในมือแน่นขึ้น “ระวังตัวไว้ให้ดีนะฮารุ” ในไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงขอบหมู่บ้านร้าง สภาพความเสียหายยังคงเป็นเครื่องย้ำเตือนถึงหายนะที่เคยเกิดขึ้น บ้านเรือนหลายหลังถูกทำลายจนเหลือแต่ซาก ผนังพังทลาย หลังคายุบตัวลงมาคานไม้หักระเนระนาด ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากหมู่บ้านแห่งนี้ มีเพียงความเงียบที่น่าขนลุกเท่านั้น “มันเงียบมากเลย…” ฮารุพึมพำ “เหมือนกับ… ไม่มีใครเคยอยู่ที่นี่เลย” “คงเป็นเพราะชาวบ้านอพยพหนีปีศาจไปหมดแล้ว” อิจิคาดเดา “หรืออาจจะ… ไม่เหลือใครแล้ว” พวกเขาเดินเข้าไปในหมู่บ้านร้างอย่างระมัดระวัง ทุกฝีก้าวเต็มไปด้วยความระแวง อิจิสังเกตเห็นรอยเท้าขนาดใหญ่บนพื้นดินที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากเหตุการณ์ก่อนหน้า ซึ่งไม่ใช่มนุษย์สร้างขึ้น และมีกลิ่นอายพลังงานที่คุ้นเคยจากปีศาจที่พวกเขาต่อสู้ด้วย ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงศาลเจ้า ศาลเจ้าแห่งนี้ดูเหมือนจะรอดพ้นจากความเสียหายหนักที่สุด แต่มันก็ไม่ได้สมบูรณ์นัก มีรอยร้าวบนผนังและกระเบื้องหลังคาที่แตกหัก แต่โครงสร้างหลักยังคงตั้งตระหง่านอยู่ “ดูเหมือนว่าที่นี่จะยังคงอยู่” ฮารุกล่าว น้ำเสียงของเธอโล่งอกขึ้นเล็กน้อย เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในศาลเจ้า บรรยากาศภายในกลับมืดสลัวกว่าที่คาดไว้ แสงจากภายนอกแทบส่องเข้ามาไม่ถึง กลิ่นอายของความเก่าแก่และฝุ่นผงคละคลุ้งไปทั่ว มีเพียงแสงสลัวๆ จากช่องเล็กๆ บนผนังที่เผยให้เห็นรอยจารึกและภาพวาดโบราณบนผนังที่ฮารุเคยสัมผัส “ยังไงก็ตาม… เราต้องพักที่นี่ก่อน” อิจิพูดขึ้น เขาทรุดตัวลงพิงผนังอย่างหมดแรง ฮารุรีบเข้าไปประคองและตรวจสอบบาดแผลของเขาอีกครั้ง “นายควรจะพักให้เยอะกว่านี้” ฮารุพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ “บาดแผลมันยังเปิดอยู่เลย” “ฉันรู้… แต่ไม่มีเวลามากนัก” อิจิตอบ “เรามีผ้ายันต์สองผืนแล้ว และคำทำนายก็บอกว่าเวลาเหลือน้อยลงทุกที” ฮารุพยักหน้า เธอหยิบสมุนไพรบางอย่างที่เธอเก็บมาได้จากป่า มาประคบบนบาดแผลของอิจิอย่างเบามือ มันเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบได้บ้าง “ฉันจะพยายามฟื้นฟูพลังของฉันอีกครั้ง” ฮารุกล่าว เธอหลับตาลงและเริ่มรวบรวมสมาธิ พลังงานสีฟ้าอ่อนๆ เริ่มแผ่ออกมาจากร่างของเธอ แต่คราวนี้มันดูอ่อนแรงกว่าที่เคย ขณะที่ฮารุกำลังรวบรวมพลัง อิจิก็หยิบผ้ายันต์ทั้งสองผืนที่ได้มาออกมาจากกระเป๋า เขาพิจารณาสัญลักษณ์และอักษรโบราณอย่างละเอียดอีกครั้ง “เมื่อดวงจันทร์สีเลือดปรากฏ… พันธนาการจะคลายลง… อสูรแห่งหายนะจะตื่นขึ้น… ผู้ถือครองพลังแห่งชีวิต จะเป็นกุญแจ… และผู้กล้าหาญจะถูกทดสอบ…” อิจิท่องบทคำทำนายที่จารึกบนผ้ายันต์ผืนที่สอง “ผู้ถือครองพลังแห่งชีวิต…” อิจิพึมพำ เขามองไปยังฮารุที่กำลังนั่งหลับตาอยู่ “นี่หมายถึงเธอจริงๆ สินะฮารุ” ทันใดนั้นเอง! แสงสว่างจ้าก็ปรากฏขึ้นจากผนังศาลเจ้าที่ฮารุเคยสัมผัส แสงนั้นไม่ใช่แสงสีฟ้าอ่อนๆ แบบเดิม แต่มันเป็นแสงสีเงินวาววับราวกับกระจกที่สะท้อนแสงจันทร์ แสงนั้นส่องสว่างจนทำให้ภายในศาลเจ้าสว่างจ้าขึ้นมาทันที “อะไรน่ะ?!” ฮารุอุทาน เธอสะดุ้งตื่นและลืมตาขึ้นมอง แสงสีเงินจากผนังศาลเจ้าเริ่มหมุนวน ก่อตัวเป็นภาพโฮโลแกรมสามมิติขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศ ภาพนั้นแสดงถึงแผนที่โลกโบราณที่ไม่คุ้นเคย มีสัญลักษณ์แปลกๆ และเส้นทางคดเคี้ยวปรากฏขึ้น และที่สำคัญที่สุด… มีจุดสีแดงสามจุดที่เรืองแสงโดดเด่นอยู่บนแผนที่ “นั่นมัน… แผนที่งั้นเหรอ?” ฮารุถามด้วยความตกใจ “ใช่… แต่ไม่ใช่แผนที่ธรรมดา” อิจิตอบ ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “มันคือแผนที่ของสถานที่ที่ซ่อนผ้ายันต์ที่เหลืออยู่!” อิจิชี้ไปที่จุดสีแดงบนแผนที่ “จุดแรกคือที่ที่เราได้ผ้ายันต์ผืนแรกมา… จุดที่สองคือที่เราเพิ่งได้ผ้ายันต์ผืนที่สองมา… และอีกสองจุดที่เหลือ… นั่นคือตำแหน่งของผ้ายันต์ผืนที่สามและสี่!” ฮารุเดินเข้าไปใกล้ภาพโฮโลแกรม เธอใช้ปลายนิ้วสัมผัสที่แผนที่ ทันใดนั้น! แผนที่ก็เปลี่ยนไป มันซูมเข้าไปใกล้จุดสีแดงจุดหนึ่ง เผยให้เห็นภาพของอาคารเก่าแก่ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาล “ทะเลทรายงั้นเหรอ?!” ฮารุอุทาน “ผ้ายันต์ผืนที่สามอยู่ที่ทะเลทรายงั้นหรือ?” “ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น” อิจิพึมพำ “แต่มันก็ไม่ใช่แค่ทะเลทรายธรรมดา ดูเหมือนว่าจะมีโครงสร้างอะไรบางอย่างอยู่ใต้พื้นทรายด้วย” ทันใดนั้น ภาพโฮโลแกรมก็สั่นไหวอย่างรุนแรง แสงสีเงินกะพริบถี่ๆ ก่อนที่ภาพจะเริ่มบิดเบี้ยวและเปลี่ยนเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัว ภาพของเงาปีศาจขนาดยักษ์ที่ยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขาไฟที่กำลังคุกรุ่น ดวงตาของมันเรืองแสงสีม่วงดำ สื่อถึงความเกรี้ยวกราดและพลังอำนาจที่ไม่อาจหยั่งถึง และรอบกายของมันมีวงแหวนแห่งความมืดที่ดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่าง “อึก!” ฮารุร้องขึ้น เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าว “นั่นมัน… ปีศาจในนิมิตของฉัน!” “มันคือ ‘ผู้ตื่น’” เสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบาดังขึ้นจากภายในศาลเจ้า ไม่ใช่เสียงของผู้คุ้มกันที่พวกเขาเคยเจอ แต่เป็นเสียงที่เก่าแก่และลึกซึ้งกว่า ราวกับเสียงที่มาจากส่วนลึกของโลก อิจิและฮารุหันขวับไปมองรอบตัว พวกเขาไม่เห็นใคร แต่เสียงนั้นกลับดังก้องอยู่ในโสตประสาทของพวกเขา “พวกเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว… ผู้ถูกเลือก…” เสียงนั้นกล่าวต่อ “ผ้ายันต์ทั้งสี่ผืนคือพันธนาการที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อผนึกมัน… แต่กาลเวลาได้กัดกร่อนพลังของมันลงไปมากแล้ว” “คุณคือใคร?!” อิจิถามขึ้น “และคุณรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?!” “ข้าคือผู้เฝ้ามอง… ผู้ดูแลศาลเจ้าแห่งนี้มานับพันปี…” เสียงนั้นตอบ “และข้าคือผู้ที่มอบนิมิตให้แก่เจ้า… มนุษย์หญิง” ฮารุเบิกตากว้าง “คุณคือคนที่ส่งนิมิตมาให้ฉันงั้นหรือ?!” “ใช่… เพื่อเตือนให้พวกเจ้าตระหนักถึงหายนะที่กำลังจะมาถึง…” เสียงนั้นกล่าว “ผู้ตื่น กำลังจะคลายผนึกอย่างสมบูรณ์ และเมื่อดวงจันทร์สีเลือดปรากฏ… มันก็จะถูกปลดปล่อยสู่โลก” “แล้วเราจะหยุดมันได้อย่างไร?!” อิจิถามอย่างร้อนรน “ผ้ายันต์ทั้งสี่ผืน… เมื่อรวมกันครบถ้วน… จะกลายเป็นอาวุธเพียงหนึ่งเดียวที่จะสามารถผนึกมันได้อีกครั้ง… หรือไม่ก็ทำลายมันไปตลอดกาล” เสียงนั้นตอบ “แต่การจะรวบรวมผ้ายันต์นั้นไม่ง่ายดาย… เจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับบททดสอบที่แท้จริง… บททดสอบแห่ง ‘ศรัทธา’” ทันใดนั้น ภาพโฮโลแกรมบนผนังก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้มันแสดงภาพของประตูหินขนาดมหึมาที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย ประตูนั้นมีสัญลักษณ์ที่คุ้นเคยปรากฏอยู่… สัญลักษณ์ที่คล้ายกับผ้ายันต์ผืนที่สอง “ประตูงั้นเหรอ?” ฮารุพึมพำ “ประตูแห่งบททดสอบ… ที่จะตัดสินว่าพวกเจ้าคู่ควรกับผ้ายันต์แห่งความจริงหรือไม่” เสียงนั้นกล่าว “หากเจ้าต้องการผ้ายันต์ผืนที่สาม… เจ้าจะต้องผ่านบททดสอบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังประตูบานนั้น” “บททดสอบอะไร?” อิจิถาม “บททดสอบแห่งความมืด… แห่งความกลัว… และแห่งความหวัง…” เสียงนั้นตอบ “มีเพียงจิตใจที่บริสุทธิ์และศรัทธาที่มั่นคงเท่านั้นที่จะสามารถผ่านไปได้… และเจ้ามนุษย์หญิง… เจ้าคือผู้ที่ถูกเลือก” ฮารุรู้สึกเหมือนหัวใจของเธอกำลังจะหยุดเต้น “ฉัน… ฉันเหรอ?” “ใช่… พลังแห่งชีวิตที่อยู่ในตัวเจ้าคือพลังเดียวที่จะสามารถไขปริศนาแห่งศรัทธานี้ได้… เจ้าคือผู้ที่สามารถนำพาแสงสว่างเข้าสู่ความมืดมิด…” เสียงนั้นกล่าว “แต่จงจำไว้… เส้นทางข้างหน้าเต็มไปด้วยอันตรายที่ยากจะหยั่งถึง… พวกเจ้าพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมันหรือไม่?” อิจิมองไปยังฮารุ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสับสนและความหวาดกลัว แต่ในดวงตาของเธอก็มีความมุ่งมั่นปรากฏอยู่ “เราพร้อมแล้ว!” อิจิตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้ร่างกายจะอ่อนล้า แต่จิตใจของเขากลับเปี่ยมไปด้วยพลัง “เช่นนั้นก็จงออกเดินทางเถิด… ผู้ถูกเลือก… กาลเวลาเหลือน้อยแล้ว…” เสียงนั้นกล่าวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่แสงสีเงินจากผนังศาลเจ้าจะค่อยๆ จางหายไป ทิ้งไว้เพียงความมืดมิดและความเงียบงันอีกครั้ง อิจิและฮารุนั่งเงียบไปชั่วขณะ ทั้งคู่ต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง เรื่องราวที่พวกเขาได้ยินนั้นซับซ้อนและน่าเหลือเชื่อเกินกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้ แต่พวกเขาก็รู้ว่านี่คือภารกิจที่พวกเขาต้องแบกรับไว้ “นายเชื่อเรื่องที่เขาพูดเหรออิจิ?” ฮารุถามขึ้นมาเบาๆ “ฉันไม่รู้ว่าจะเชื่อได้หมดหรือไม่… แต่นิมิตที่เธอเห็น ผ้ายันต์ที่เราได้มา… และการปรากฏตัวของปีศาจพวกนั้น… ทุกอย่างมันเชื่อมโยงกัน” อิจิตอบ เขาหยิบผ้ายันต์ทั้งสองผืนออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “ผ้ายันต์พวกนี้ไม่ใช่แค่ของวิเศษ แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น” “แล้ว… ถ้าฉันคือผู้ถือครองพลังแห่งชีวิตจริงๆ… ฉันจะทำอะไรได้บ้าง?” ฮารุถาม น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความสับสน “ฉันไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนนาย ฉันไม่มีดาบ ไม่มีพลังที่จะต่อสู้” “พลังของเธอไม่ใช่พลังที่จะใช้ต่อสู้โดยตรงฮารุ” อิจิอธิบาย “มันคือพลังที่จะเชื่อมโยงกับสิ่งที่มองไม่เห็น… พลังที่จะนำทางเราไปสู่ความจริง… พลังที่จะปลดปล่อยและเยียวยา” เขาชี้ไปที่สัญลักษณ์บนผ้ายันต์ผืนที่สอง “สัญลักษณ์ที่คล้ายกับภูเขาและลำธารนี้… มันอาจจะบอกใบ้ถึงสถานที่แห่งที่สาม” “แล้วเราจะไปทะเลทรายนั้นได้อย่างไร?” ฮารุถาม “มันไกลมากนะ” “เราจะหาทางไปให้ได้” อิจิตอบด้วยความมุ่งมั่น “แต่ก่อนอื่น… เราต้องพักฟื้นร่างกายให้ดีกว่านี้ และเตรียมตัวสำหรับบททดสอบแห่งศรัทธา” พวกเขาใช้เวลาที่เหลือในศาลเจ้าเพื่อพักผ่อน อิจิพยายามทำสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังของเขา และฮารุก็หลับตาลงเพื่อเชื่อมโยงกับพลังแห่งชีวิตในตัวเธออีกครั้ง เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงอ่อนๆ ผ่านช่องว่างบนหลังคา อิจิก็รู้สึกได้ว่าบาดแผลของเขาดีขึ้นกว่าเดิมมาก แม้จะไม่หายสนิท แต่ก็เพียงพอที่จะให้เขาสามารถเดินทางต่อไปได้ “เราไปกันเถอะฮารุ” อิจิพูดขึ้น เขาเก็บผ้ายันต์ทั้งสองผืนเข้ากระเป๋าอย่างระมัดระวัง ฮารุพยักหน้า เธอเดินตามอิจิออกจากศาลเจ้า บรรยากาศภายนอกยังคงเงียบสงัด แต่ความหวังและเป้าหมายที่ชัดเจนก็ทำให้จิตใจของพวกเขามั่นคงขึ้น “นายคิดว่าบททดสอบแห่งศรัทธาจะเป็นอย่างไรอิจิ?” ฮารุถามขึ้นขณะที่พวกเขาเดินผ่านซากปรักหักพังของหมู่บ้านร้าง “ฉันไม่รู้… แต่มันจะต้องยากกว่าการต่อสู้กับปีศาจแน่นอน” อิจิตอบ “มันอาจจะเป็นการทดสอบจิตใจ… หรือบางทีอาจจะเป็นความกลัวที่ซ่อนอยู่ในตัวเราเอง” “แต่เราจะผ่านมันไปได้ใช่ไหม?” อิจิหันมามองฮารุ เขายิ้มเล็กน้อย “เราจะผ่านมันไปได้… ตราบใดที่เรายังเชื่อในกันและกัน” พวกเขาเดินเคียงข้างกันไปภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้าที่เริ่มสาดส่องลงมา แสงนั้นนำพาความอบอุ่นและแสงสว่างมาสู่ผืนป่าที่มืดมิด แต่เส้นทางข้างหน้าของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและอันตรายที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า การตามหาผ้ายันต์ที่เหลือ การเผชิญหน้ากับ ‘ผู้ตื่น’ และการไขปริศนาแห่งพันธสัญญาที่ถูกลืม… ทั้งหมดนี้คือภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่พวกเขาจะต้องแบกรับไว้ปดปีผ่านไปนับจากเหตุการณ์บน เกาะแห่งม่านหมอก โลกยังคงสงบสุขภายใต้การดูแลของ อิจิ และ ฮารุ พวกเขายังคงทำหน้าที่ผู้พิทักษ์แห่งสมดุลอย่างเงียบๆ ฮารุในวัย 26 ปี กลายเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาชุมชนให้กับเมืองหลวง เธอใช้ความเข้าใจในธรรมชาติของผู้คนและความผูกพันกับผืนดินในการช่วยฟื้นฟูหมู่บ้านและส่งเสริมการศึกษา อิจิในวัย 30 ปี ยังคงเป็นองครักษ์เงาที่แข็งแกร่งและรอบคอบ แต่บทบาทของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากผู้ปกป้องส่วนตัวของฮารุ เขากลายเป็นผู้ดูแลความมั่นคงของเมือง คอยสืบสวนเหตุการณ์แปลกประหลาดที่อาจคุกคามความสงบสุขของประชาชน ผ้ายันต์แห่งความจริงที่เคยเป็นกุญแจสำคัญในการผจญภัยครั้งก่อนๆ บัดนี้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในหอคอยแห่งปัญญาของเมืองหลวง เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้และความจริงที่ไม่มีวันถูกลืมแม้โลกจะสงบสุข แต่ภายในใจของอิจิกลับมีความรู้สึกบางอย่างค้างคามาตลอด เขาไม่เคยลืมคำพูดของ ‘ผู้ตื่น’ ที่ว่า “ข้าจะกลับมา!” และความรู้สึกของเขาบอกว่าความสงบสุขนี้อาจเป็นเพียงม่านบังตา“อิจิ นายยังคงกังวลเรื่องนั้นอยู่หรือเปล่า?” ฮารุถามในขณะที่พวกเขากำลังเดินเล่นในสวนของวังหลวง แสงจันทร์สาดส่องลงมาต้องใบ
สองปีผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับความฝัน อิจิ และ ฮารุ กลับมาใช้ชีวิตที่เงียบสงบในเมืองหลวงของสยามประเทศ เมืองที่เคยถูกม่านหมอกแห่งการลืมเลือนปกคลุม บัดนี้กลับมาคึกคักและสดใสกว่าเดิม ผู้คนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน แม้บาดแผลจากอดีตจะยังคงอยู่ แต่พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและสร้างอนาคตที่ดีกว่า ฮารุในวัย 18 ปี เติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงามและเปี่ยมด้วยจิตใจที่เมตตา เธอทุ่มเทเวลาให้กับการสอนหนังสือเด็กๆ ในหมู่บ้านที่เคยถูกทำลาย และช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา แม้พลังแห่งชีวิตจะหายไปจนหมดสิ้น แต่จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์และเข้มแข็งของเธอกลับเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม อิจิยังคงเป็นองครักษ์เงาของเธอ คอยปกป้องเธอจากห่างๆ และเฝ้ามองการเติบโตของเธอด้วยความภาคภูมิใจ เขารู้สึกถึงความสงบสุขที่แท้จริงที่เขาไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน“อาจารย์ฮารุ! วันนี้จะเล่านิทานเรื่องอะไรให้ฟังคะ?!” เสียงใสๆ ของเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งดังขึ้น เด็กๆ หลายคนมารวมตัวกันรอบๆ ฮารุ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังฮารุยิ้มอ่อนโยน “วันนี้อาจารย์จะเล่าเรื่องของ ผู้กล
แสงแรกของอรุณรุ่งสาดส่องเข้ามาในศาลเจ้าโบราณที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของป่า อิจิ และ ฮารุ ยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ใบหน้าของพวกเขามีร่องรอยความเหนื่อยล้าจากการผจญภัยที่ยาวนาน แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว หลังจากการเดินทางผ่าน เมืองแห่งความทรงจำ และการเผชิญหน้ากับ ‘ผู้พิทักษ์’ ที่ถูกควบคุมโดย ‘ผู้ตื่น’ พวกเขาได้รับรู้ถึงแผนการอันชั่วร้ายของ ‘ผู้ตื่น’ ที่ต้องการจะลบเลือนความทรงจำของมนุษย์เกี่ยวกับอดีตทั้งหมด เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ที่มันคือผู้ปกครองสูงสุด“เราจะทำลาย ‘คำสาปแห่งการลืมเลือน’ ได้ยังไงอิจิ?” ฮารุถาม น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา เธอวางผ้ายันต์แห่งความจริงลงบนฝ่ามือ มันเป็นเพียงแผ่นผ้าเก่าๆ ธรรมดาๆ ไม่มีแสงเรืองรองใดๆ เหลืออยู่แล้วอิจิหยิบผ้ายันต์ขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ “ไคบอกว่าพลังของเธอที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณแห่งความทรงจำที่แท้จริงคือกุญแจ… และการทำลายคำสาปนี้จะต้องแลกด้วยพลังแห่งชีวิตของเธอทั้งหมด”“ฉันรู้… และฉันก็พร้อมที่จะเสียสละมัน” ฮารุกล่าว ดวงตาของเธอฉายแววแน่วแน่ “ฉันจะไม่ยอมให้ความจริงถูกบิดเบือนไปตลอดก
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือยอดเขาไฟอัคคีแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานยาม ดวงจันทร์สีเลือด โคจรขึ้นมาเต็มดวง แสงสีโลหิตอาบไล้ทิวทัศน์รอบข้างให้ดูน่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม เสียงคำรามกึกก้องจากปากปล่องภูเขาไฟดังกึกก้องไม่หยุดหย่อน ราวกับเสียงหายใจอันหนักหน่วงของอสูรร้ายที่กำลังจะตื่นจากการหลับใหลที่ยาวนานนับพันปี กลิ่นกำมะถันและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ยิ่งสร้างความกดดันอันหนักอึ้งให้แก่ อิจิ และ ฮารุ ที่กำลังปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเขา“อีกนิดเดียวอิจิ! เราจะไปถึงแล้ว!” ฮารุตะโกนบอก เสียงของเธอสั่นเครือจากความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัว แต่ดวงตาของเธอยังคงเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ผ้ายันต์แห่งความจริงที่สถิตอยู่ในฝ่ามือของเธอเรืองแสงสีรุ้งอ่อนๆ ตอบรับกับพลังงานมหาศาลของดวงจันทร์สีเลือด“ฉันรู้ฮารุ… ฉันสัมผัสได้ถึงมัน” อิจิตอบ เขาปีนป่ายก้อนหินที่แหลมคมอย่างรวดเร็ว แม้ร่างกายจะยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ แต่จิตใจของเขามุ่งมั่นกว่าครั้งไหนๆ ดาบในมือของเขาเปล่งประกายสีเงินจางๆ พร้อมรับมือกับทุกสิ่งลมพายุโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นบนยอดเขา เสียงกรีดร้องโหยหวนคล้ายเสียงวิญญาณดังมาจากปากปล่องภูเขาไฟที่กำลังคุกรุ่น ลาวาสีแดงฉา
สายลมแห่งยามรุ่งอรุณพัดโชยมาปะทะร่าง อิจิ และ ฮารุ ที่ยืนอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ แสงแรกของดวงอาทิตย์สาดส่องลงมายังทิวทัศน์เบื้องหน้า เผยให้เห็นยอดเขาไฟที่สูงเสียดฟ้า มันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางผืนป่าดิบชื้นที่พวกเขาเพิ่งฝ่าฟันออกมา หมอกจางๆ ลอยปกคลุมรอบฐานของภูเขาไฟราวกับผ้าห่มสีขาว กลิ่นกำมะถันจางๆ ลอยมาตามลมเป็นสัญญาณเตือนถึงพลังงานที่ไม่สงบนิ่งที่อยู่ภายใน“นั่นแหละ… ยอดเขาไฟ” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความกังวล “มันดูน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะอิจิ”อิจิพยักหน้า สีหน้าของเขาเคร่งเครียด “ใช่… พลังงานมืดมิดที่แผ่ออกมาจากที่นั่นมันมหาศาลมาก ‘ผู้ตื่น’ กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาในไม่ช้า”ผ้ายันต์แห่งความจริงที่ผนึกอยู่ในฝ่ามือของฮารุเรืองแสงจางๆ เป็นการยืนยันถึงความรู้สึกของอิจิ พวกเขามีเวลาเพียงสองราตรีเท่านั้นก่อนที่ ดวงจันทร์สีเลือด จะปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พันธนาการของ ‘ผู้ตื่น’ จะอ่อนแอที่สุด“เราต้องไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด” อิจิกล่าว “และเราต้องหารหัสลับแห่งบรรพกาลให้เจอด้วย”“รหัสลับนั่น… มันอยู่ที่ไหนกันนะ?” ฮารุถาม “จิตวิญญาณแห่งต้นไม้บอกแค่ว่ามันอยู่ในผืนป่าแห่งนี้
คืนเดือนมืดปกคลุมผืนป่าดิบชื้นทางตอนเหนือของสยามประเทศ แสงจันทร์แทบไม่สามารถส่องผ่านม่านไม้หนาทึบลงมาได้ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงม และเสียงลมกระโชกแรงที่พัดกิ่งไม้ใบหญ้าให้เสียดสีกันเป็นระยะ ราวกับเสียงกระซิบกระซาบจากวิญญาณแห่งป่า อิจิและฮารุยังคงก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ร่างกายของอิจิอ่อนล้าจากบาดแผลที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ ส่วนฮารุก็ดูซีดเซียวจากการใช้พลังแห่งชีวิตครั้งล่าสุด แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงฉายแววความมุ่งมั่นที่จะค้นหาผ้ายันต์ผืนสุดท้ายที่ปรากฏในนิมิตของฮารุ“อากาศที่นี่มันแปลกๆ นะอิจิ” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา “มันเย็นยะเยือกกว่าที่ควรจะเป็น… เหมือนมีบางอย่างกำลังจับจ้องเราอยู่”“ใช่… ฉันก็รู้สึกได้” อิจิตอบ เขากระชับดาบในมือแน่นขึ้น “พลังงานที่นี่ไม่ใช่พลังงานของปีศาจ แต่มันเป็นพลังที่เก่าแก่กว่านั้น… ลึกซึ้งกว่านั้น”ตามนิมิตของฮารุ ผ้ายันต์ผืนสุดท้ายถูกซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้โบราณที่สูงเสียดฟ้าในป่าลึกแห่งนี้ ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมไปทั่วบริเวณ และมีแสงสีม่วงเข้มเปล่งออกมาจากรากของมัน“เรามาถูกทางแล้วใช่ไหมอิจิ?” ฮารุถาม“ฉันหวังว่าอย่างนั้นฮารุ” อิจ