“ออกไป ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ” มานูแอลเปิดประตูฝั่งของเจ้าเอยได้เขาก็รีบปลดเข็มขัดนิรภัยของเธอและลากหญิงสาวให้ลงไปจากรถของเขาทันทีท่ามกลางสายตาของผู้คนที่สัญจรไปมาไม่ขาดสาย
“เอยขอโทษค่ะคุณแอล” ภาพที่เขาหันหลังให้บีบหัวใจของเจ้าเอยจนน้ำตาเริ่มไหลพรั่งพรู เธอมองภาพรถคันหรูที่ขับหนีเธอออกไปผ่านม่านน้ำตา รู้สึกปวดหน่วงหัวใจจนยืนแทบไม่อยู่ เจ้าเอยยืนสะอื้นอยู่ข้างทางครู่ใหญ่เมื่อตั้งสติด็ก็รีบโบกมือเรียกแท็กซี่ตรงไปยังร้านอาหารของเพื่อนเธอทันที
ทางด้านมานูแอลขับรถมาถึงที่บ้านพักใหญ่แล้ว แต่เขายังไม่ยอมลงจากรถ เพราะต้องการที่จะสงบสติอารมณ์ไม่ให้น้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมา เพราะเขาจะไม่ยอมเสียแม้กระทั่งน้ำตาให้กับคนที่หลอกลวงเขามาตลอดเด็ดขาด
“คุณทำกับผมได้ยังไงเอย คุณทำกับผมได้ยังไง!...” มือหนาทั้งสองกำพวงมาลัยแน่น มองไปยังบ้านที่เขาช่วยกันเลือกกับเจ้าเอยเพื่ออยู่เป็นเรือนหอ วันเวลาที่เขาใช้ชีวิตร่วมกับเจ้าเอยไม่อยากจะคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างคือการเสแสร้ง เขาอุตส่าห์ไว้ใจเธอเลือกเธอเป็นแม่ของลูก วาดอนาคตไว้มากมายแต่สุดท้ายมันก็ไม่เป็นเช่นที่หวัง
“เอย!” อิงฟ้าที่กำลังดูความเรียบร้อยหน้าร้านอาหารของตัวเองที่กำลังจะเปิด เมื่อเห็นเจ้าเอยเดินร้องให้เขามาหาก็รีบเข้าไปดึงมือเพื่อนเข้ามานั่งคุยกันหลังร้าน
“เป็นอะไรเอย”
“คุณ... คุณแอลเค้ารู้ความจริงทุกอย่างแล้ว เค้าโกรธฉันมาก ฮือ ฮือ ฮือ...” พอเริ่มเปิดปากพูดเรื่องที่กำลังทุกข์อยู่ในใจเจ้าเอยก็เริ่มน้ำตาพรั่งพรูสะอึกสะอื้นขึ้นมาอีกรอบ
อิงฟ้านั่งนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เพราะดูท่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว
“ใจเย็นก่อน แล้วทำไมถึงมาที่นี่อย่าบอกว่าเค้าไล่มา”
“เค้าทิ้งฉันไว้กลางทาง ฉันก็เลยนั่งแท็กซี่มาที่นี่”
“เช็ดน้ำตาก่อน เดี๋ยวไปคุยกันที่คอนโดฉัน” อิงฟ้าส่งทิชชู่ให้กับเจ้าเอยก่อนจะรีบไปหยิบกระเป๋าสั่งงานลูกน้องในร้านเสร็จเรียบร้อยจึงพาเจ้าเอยเดินมาที่คอนโดของเธอที่อยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารของตัวเองมากนัก
“ดื่มน้ำก่อน” เมื่อมาถึงห้องอิงฟ้าก็รีบหาน้ำเย็นๆ ให้เจ้าเอยที่กำลังนั่งปาดน้ำตาสะอื้นได้ดื่ม
เจ้าเอยนั่งสงบอารมณ์ได้พักใหญ่ อิงฟ้าก็เริ่มถามถึงต้นสายปลายเหตุกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“คุณแอลเค้ารู้เรื่องจากใคร”
“ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่เค้าไปเฝ้าฉันทำงานก็ยังดีๆ อยู่เลย แต่พอตอนกลับเค้าก็ตึงใส่ฉันแล้วเราก็ทะเลาะกันบนรถ”
“แล้วแบบนี้จะเอายังไงต่อ จะกลับไปหาคุณแอลไหม หรือเลิกกัน?”
“เลิกเหรอ!...” เจ้าเอยหันขวับมองจ้องหน้าของอิงฟ้าเขม็ง คำว่าเลิกกันกับมานูแอลคำนี้ยิ่งทำให้หัวใจของเจ้าเอยปวดหน่วงมากขึ้นไปอีก
“แก... รักเค้าไปแล้วใช่ไหม”
“ฉัน... ก็... ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“เจ็บมากใช่ไหมที่เห็นเค้าเสียใจ หน่วงใจมากใช่ไหมที่เห็นเค้าหันหลังให้”
เจ้าเอยพยักหน้าน้อยๆ เธอเป็นทุกอย่างอย่างที่อิงฟ้าได้พูดออกมา
“รักเค้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ แล้ววินล่ะ” อิงฟ้ายกมือเกาหัว
“เรื่องนี้ฉันก็เครียดเหมือนกัน ฉันรู้สึกผิดกับวินมากๆ”
“เรื่องวินเอาไว้ก่อน คืนนี้แกก็พักที่นี่ แล้วพรุ่งนี้ก็ไปคุยกับคุณแอลให้รู้เรื่องว่าเค้าจะเอายังไง แกเคารพการตัดสินใจของเค้าใช่ไหม”
“เค้าบอกว่าไม่อยากเห็นหน้าฉัน”
“ไม่อยากเห็นก็ต้องเห็น ยังไงแกก็ต้องคุยกับเค้าถึงความรู้สึกของแกตอนนี้ เค้าจะเอายังไงก็ค่อยว่ากันอีกที”
เจ้าเอยรู้สึกหนักใจกับปัญหาที่เกิด ไอ้เรื่องที่จะคุยขอโทษและเรื่องความรู้สึกของเธอมันน่าจะพูดไม่ยาก แต่มานูแอลจะยอมให้เธอเข้าถึงตัวของเขาไหมนั่นแหละประเด็นที่ยาก หากเขาได้ลั่นวาจาออกมาว่าไม่อยากเห็นหน้าเธอแล้วรู้ชะตากรรมเลยว่าเธอคงไม่ได้เจอเขาง่ายๆ แน่
เช้าของวันนี้อิงฟ้าขับรถพาเจ้าเอยมาส่วที่บ้านแต่เห็นทีจะต้องพาเพื่อนเธอกลับไปด้วย เพราะป้าวันดีแม่บ้านของมานูแอลเตรียมกระเป๋าของเจ้าเอยมาวไหน้าบ้านแล้ว
“ทะเลาะกันรุนแรงมากเหรอคะ คุณแอลถึงให้ป้าเก็บกระเป่าคุณเอยมากองไว้ที่หน้าบ้าน” แม่บ้านร่างท้วมเอ่ยถามเจ้านายคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ก็เหมือนจะต้องจากกันแล้ว
“ถ้าเค้าไม่อยากให้เอยอยู่ที่นี่ต่อเอยก็จะไม่อยู่ค่ะ” เจ้าเอยพูดน้ำเสียงติดขัด เพราะไม่คิดว่ามานูแอลจะไม่ยอมรับฟังอะไรจากเธอเลย หากเขาเลือกที่จะให้เธอออกไปจากชีวิตเธอก็จะยอมรับ
“เฮ้อ...” อิงฟ้าเข้าไปช่วยเจ้าเอยขนกระเป๋าขึ้นรถด้วยสีหน้าและท่าทางหดหู่หัวใจ
ตลอดทางตั้งแต่เจ้าเอยเก็บของออกมาจากบ้านมานูแอล เธอร้องห่มร้องให้มาตลอดทางจวบจนเก็บกระเป๋าเข้าห้องของอิงฟ้าเรียบร้อยแล้วเธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“เพื่อนฉัน” อิงฟ้ายืนเท้าเอวมองเจ้าเอยที่เอาแต่กอดเข่าร้องให้อยู่ห่างๆ เวลานี้เธอทำได้ดีที่สุดก็คือปล่อยให้เจ้าเอยร้องให้ระบายความทุกข์ใจเงียบๆ อยู่คนเดียว นึกย้อนถึงชีวิตเพื่อนของเธอก็รันทดแทนพอสมควร
ก่อนหน้านี้เพื่อนเธอจากที่อยู่สุขสบายหลังจากพ่อป่วยก็ต้องปากกัดตีนถีบกว่าจะเรียนจบ พ่อป่วยเดินไม่ได้แม่เลี้ยงก็เอาแต่ผลาญเงินเล่นเป็นกระดาษ แถมยังรวมหัวกับลูกชายแล้วก็ลูกสะใภ้กดดันคะยั้นคะยอจนเจ้าเอยต้องยอมนอกใจมาวินเพื่อมาคบหาและแต่งงานกับมานูแอล
“หึ่...” ตอนนี้มานูแอลนั่งดื่มอยู่ในห้องไม่ยอมออกไปไหน เขายิ่งเจ็บใจเมื่อเห็นเจ้าเอยยอมไปจากชีวิตของเขาง่ายๆ โดยที่ไม่คิดคัดค้าน ดวงตาคมจ้องมองไปยังชุดแต่งงานของเขาและเธอที่แขวนคู่ในตู้กระจก และแล้วสมองก็พลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“ขอให้ปัญหาหมดไปเร็วๆ นะเอย” และแล้วเย็นวันนี้อิงฟ้าก็ต้องกลับมาส่งเจ้าเอยที่บ้านของมานูแอล เพราะหลังจากเจ้าเอยไปถึงคอนโดเธอไม่เท่าไหร่ มานูแอลก็โทรขู่ว่าหากเจ้าเอยไม่กลับไปที่บ้านเขาจะทำให้ร้านอาหารที่พ่อเจ้าเอยรักถูกปิด และตัวของเธอก็จะถูกขึ้นบัญชีดำทำงานหาเงินที่ไหนไม่ได้
“ขอบคุณนะ” เจ้าเอยก็หวังว่าคำอวยพรของอิงฟ้าจะเป็นจริง เพราะตอนนี้เธอไม่รู้เลยว่ามานูแอลกำลังคิดอะไรอยู่ที่ไล่เธอไปยังไม่เท่าไหร่ก็เรียกกลับมาด้วยคำขู่
“เป็นยังไงบ้างคะ” ม่อนไหมเดินอุ้มลูกสาวของเธอเข้ามาในห้องนอนของลอเลนโซหลังจากที่หมอฟิลิปได้เข้ามาตรวจอาการสามีของเธอจนกลับไปแล้วลอเลนโซมองจ้องหญิงสาวกับลูกน้อยไม่วางตา จนม่อนไหมเริ่มประหม่าเพราะไม่รู้ว่าลอเลนโซกำลังคิดอะไรอยู่“มองหน้าม่อนแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า”“ป้อ...ป้อ...” เด็กหญิงถูกวางลงที่เตียงได้ก็รีบคลานเข้าไปนอนซบอกคนเป็นพ่อทันที“ยังมีอาการปวดหัวอยู่หรือเปล่าคะ”ลอเลนโซกอดลูกน้อยไว้ในอ้อมอกและส่ายหัวน้อยๆ ก่อนจะมองไปที่เท้าอวบอูมของเจ้าตัวกลมที่สวมถุงเท้าสีขาวเอาไว้“ถ้าสวมถุงเท้าไหมพรมสีฟ้าคงจะน่ารักน่าดูนะ”“คุณลอส” ม่อนไหมนั่งอ้าปากค้างไม่กี่วินาทีน้ำตาของเธอก็ไหลอาบแก้ม“ผมจำทุกอย่างได้แล้วครับ” ลอเลนโซลุกขึ้นมารวบกอดทั้งลูกและภรรยาแน่น ก่อนจะปล่อยน้ำตาแห่งความตื้นตันดีใจออกมาอาบที่แก้ม และแล้วเขาก็จำทุกอย่างได้เสียที“จำได้แล้ว เย่...” ต้นสายตะโกนเสียงหลงเมื่อรับรู้ข่าวจากม่านแก้วว่าตอนนี้ลอเลนโซจำเรื่องราวทุกอย่างได้แล้ว“ดีใจที่สุดเลย” นิลน้ำกระโดดกอดคอกับต้นสายแน่น ที่รับรู้ว่าม่อนไหมนั้นพ้นจากความทุกข์ใจเสียทีหลังจากที่ทรมานใจมาพักใหญ่“หลังจากนี้ก็น่าจะมีแต่ความสุ
“ก็ถ้าคนรักของฉันเจ็บป่วยฉันก็อยากจะดูแลใกล้ชิดเหมือนกันค่ะ ยิ่งอยู่ห่างก็ยิ่งห่วงกว่าเดิมค่ะ คุณลองคิดสิคะว่าพ่อคุณนอนเจ็บอยู่โรงพยาบาลแล้วไม่ให้คุณเข้าเยี่ยมคุณจะทุกข์ใจแค่ไหน”ลอเลนโซนั่งเงียบ ด้วยคิดตามพยาบาลสาวแล้วมันก็เป็นความจริงอย่างที่เธอพูด“ไม่มีอะไรจะเถียงล่ะสิ”“ยุ่ง ผมอิ่มแล้วพาผมเข้าห้องไปพักด้วย”“กินยาก่อนค่ะ”“เอามา” ครั้งนี้ลอเลนโซยอมกินยาง่ายๆ เพราะรู้ว่าหากยื้อเวลาก็จะต้องมานั่งต่อปากต่อคำกับพยาบาลสาวจอมปากจัดคนนี้ต่อ“ทำตัวไม่ดื้อก็เป็นนี่คะ” ม่อนไหมยืนถ้วยยาเล็กใส่มือของลอเลนโซ เธอยืนยิ้มแก้มปริเพราะวันนี้ไม่ต้องเหนื่อยสู้รบกับชายหนุ่มในเรื่องบังคับกันกินยา“เค้ามีวี่แววว่าจะจำอะไรได้หรือยังม่อน”ม่อนไหมส่ายหัวเป็นคำตอบให้กับม่านแก้ว ม่อนไหมดูแลลอเลนโซมาร่วมสองอาทิตย์จนตอนนี้ชายหนุ่มต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาดวงตา เธอเริ่มหมดกำลังใจในการรื้อฟื้นความจำของสามีเธอพอสมควร เพราะอุตส่าห์ตะล่อมให้ลอเลนโซยอมเจอพ่อและน้องๆ ได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถพูดให้เขาอยากเจอลูกกับภรรยาได้เลยทุกๆ เช้าเธอจะสรรหาเมนูที่เขาเคยชอบในฝีมือของเธอให้เขาได้รับประทานเป็นประจำ แต่ทำอย่างไรเ
“แต่ไม่ใช่ฉันค่ะ ยังไงคุณก็ต้องกินค่ะ ไม่ห่วงตัวเองก็สนใจความรู้สึกของคนที่เค้าคอยเป็นห่วง คนที่เค้ารอคอยว่าคุณจะหายอย่างใจจดใจจ่อหน่อยเถอะค่ะ”“ผมแค่ไม่อยากกินยา ทำไมคุณต้องโยงไปถึงคนอื่นด้วย” ลอเลนโซรู้สึกว่าจะไม่ค่อยถูกชะตากับพยาบาลคนใหม่เสียแล้ว“ถ้าคุณไม่ยอมกินยา ฉันจะเข็นคุณออกไปนั่วนอกบ้านให้ปวดกระดูกจนเป็นไข้เลยเอาไหมคะ” เธอก้มกระซิบข้างหูของคนเป็นสามีเบาๆ เพราะกลัวว่ากล้องวงรปิดจะได้ยินว่าพยาบาลคนใหม่อย่างเธอพูดอะไรกับคนไข้“คุณไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับผม รู้หรือเปล่าว่าผมสามารถทำให้คุณตกงานได้ตลอดชีวิต” ลอเลนโซเริ่มน้ำเสียงขุ่น ไม่รู้ว่าหญิงสาวเป็นพยาบาลจริงๆ หรือเปล่าถึงได้พูดจากับคนไข้เช่นนี้“ไม่รู้จริงๆ ค่ะ” ม่อนไหมพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี และอาศัยจังหวะที่ลอเลนโซอ้าปากใส่ยาตามด้วยน้ำเข้าไปในปากของเขา“อื้อ” และแล้วลอเลนโซก็ต้องรีบกลืนยาลงลอเพราะหากไม่กลืนก็อาจจะทำให้เขาสำลักม่อนไหมยืนยิ้มกรุ้มกริ่มและเข็นรถเข็นพาคนไข้จอมพยศไปที่ห้องของเขา เมื่อครู่เธอไม่ได้กลัวเขาสำลักแม้แต่น้อยเพราะจำได้ดีว่าในตอนที่ดูแลลอเลนโซตอนครั้งที่บาดเจ็บตอนนั้น เขาก็พยศไม่ชอบกินยาเธอก็ใช้วิธีนี้
“ประมาณสามปีล่าสุดครับ”“แสดงว่า...” หญิงสาวเข่าทรุด เท่ากับว่าตอนนี้ลอเลนโซไม่รู้เลยว่ามีเธอและลูกอยู่บนโลกใบนี้ ตอนนี้เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมากกว่าตอนที่เห็นเขานอนเจ็บเสียอีก“ม่อน...ใจเย็นๆ ก่อนนะยังไงหมอก็บอกว่าลอสมีโอกาสหาย” ม่านแก้วรีบกอดปลอบม่อนไหมที่ขาอ่อนจนฟุบนั่งร้องให้ลงไปกับพื้น“คุณม่อน” มานูแอลรีบพยุงพี่สะใภ้ของเขามานั่งที่โซฟา“ทำไม ต้อง...เป็นแบบนี้ด้วยนะ” ม่อนไหมสะอึกสะอื้นซุกอยู่กับอกของม่านแก้ว สามีเธอฟื้นขึ้นมาแล้วแท้ๆ คิดว่าจะไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรอีกแต่เรื่องที่เธอเพิ่งรับรู้กลับทำให้เธอปวดหัวใจเป็นทวีคูณอเลสซานโดเดินเข้ามาลูบหัวคนที่สะอื้นตัวโยนอยู่ในอ้อมอกของม่านแก้ว ตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าจะหาคำไหนมาปลอบใจม่อนไหมเช่นกัน เพราะตัวเองก็เครียดกับอาการของลูกชายคนโตมากพอสมควร“ม่อนจะไปหาคุณลอสค่ะ ถ้าม่อนได้ไปอยู่ใกล้กับเค้า เค้าอาจจะจำม่อนได้ก็ได้ค่ะ” ม่อนไหมรีบปาดน้ำตาลวกๆ และลุกขึ้นพรวดพูดกับอเลสซานโด“ตอนนี้ไม่ได้” อเลสซานโดส่ายหัว“ทะ...ทำไมคะ”“ลอสมีภาวะเครียดไม่อยากพบใคร แม้แต่ฉันก็ไม่อยากพบ” อเลสซานโดพูดเสียงอ่อน และนี่ก็เป็นสาเหตุที่พวกเขาทุกคนยังอยู่ที่นี่แม้จ
“อะ...อะไรนะคะ” ทุกคนต่างมีสีหน้าตกอกตกใจไปตามๆ กันโดยเฉพาะม่อนไหม หญิงสาวนั่งหน้าซีดเผือดพูดอะไรไม่ออกทำอะไรไม่ถูก“เก็บเสื้อผ้าไปดูอาการของลอสเดี๋ยวนี้เลยม่อน ส่วนยัยหนูเดี๋ยวน้าดูแลเองไม่ต้องห่วง” ม่านแก้วดูออกว่าหลานสาวทำอะไรไม่ถูกจึงรีบแนะแนวทางให้ ไม่ได้อยากจะคิดไปในแง่ร้ายแต่หากลอเลนโซอาการแย่ลงม่อนไหมจะได้มีเวลาได้ดูใจคนรักเป็นครั้งสุดท้าย แต่หากไม่ใช่ก็ถือว่าได้ไปดูแลกันอย่างใกล้ชิด“พวกเราก็จะช่วยดูแลด้วยไม่ต้องห่วงนะ” นิลน้ำวางมือที่หัวไหล่เพื่อนรักเบามือ“ขอบคุณทุกคนมากนะ” เธอพูดพร้อมยกมือปาดน้ำตา“น้าแก้วไปกับม่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวพวกเราปิดร้านให้” ต้นสายส่งเจ้าก้อนกลมที่ทำท่าเหมือนจะง่วงให้กับม่านแก้ว“ขอบใจนะ” ม่านแก้วรีบอุ้มไลลาเดินตามม่อนไหมที่กำลังเดินปรี่ไปที่รถและแล้วม่อนไหมก็ได้เดินทางมาถึงนครฟลอเรนซ์แคว้นคอสตานาพร้อมกับชาร์ลที่อาสามาเป็นเพื่อนกับม่อนไหมแม้จะลาออกจากตำแหน่งบอดี้การ์ดเพื่อไปแต่งงานกับพลอยพิมแล้ว“ที่นี่เป็นบ้านของคุณอเล็กซ์ครับ”“ทำไมพาฉันมาที่นี่ล่ะคะ ฉันอยากไปหาคุณลอส”“คุณอเล็กซ์บอกว่าให้คุณม่อนพักผ่อนก่อนครับ เพราะตอนนี้คุณลอสอยู่ในห้องผ่าตัดอีกหล
วันเวลาของความสุขพ้นผ่านนานร่วมหกเดือนตอนนี้ม่อนไหมท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีเดินเหินก็ไม่ค่อยสะดวกนักแต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากเพราะมีสามีอย่างลอเลนโซคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งตอนนี้พ่อและน้องของสามีก็มาเฝ้าอยู่ที่บ้านรอคอยวันที่หลานจะออกมาลืมตาดูโลกไม่ห่างอีกด้วย“คุณพ่อแข็งแรงขึ้นมากเลยนะคะ”“เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเลี้ยงหลานไง นี่ก็ใกล้เวลาที่จะคอลดแล้วใช่ไหม” อเลสซานโดเริ่มเดินเหินได้ปกติแล้วหลังจากตั้งใจทำกายภาพบำบัดมาเป็นเวลาร่วมหกเดือน ที่เขามีกำลังแรงกายแรงใจฮึดสู้เพื่อให้ตคัวเองกลับมาเดินได้อีกครั้งก็เพราะรู้ตัวว่าจะได้อุ้มหลานนี่แหละ“ค่ะ วันคลอดที่หมอกำหนดเอาไว้ประมาณอาทิตย์หน้าอาจจะคลอดก่อนกำหนดหรือถ้ายังไม่ปวดท้องคลอดภายในอาทิตย์สองอาทิตย์นี้ก็คงจะต้องผ่าคลอดค่ะ”“แล้วจะย้ายไปอิตาลีเมื่อไหร่ล่ะ ได้คิดเอาไว้แล้วหรือยัง”“คือ...เรื่องนี้เราคุยๆ กันอยู่ครับคุณพ่อ”“ค่อยๆ คิดแล้วกัน แต่ยังไงพ่อก็อยากให้เราไปอยู่ที่โน่นเป็นหลักนะ”“ครับ” สองสามีภรรยาเริ่มมองหน้ากัน เมื่อต้องพูดถึงเรื่องในอนาคต ไม่ใช่ว่าลอเลนโซจะไม่เคยคุยกันม่อนไหมเรื่องย้ายไปอิตาลี แต่เป็นเพราะตัวม่อนไหมเองที่ยัง