@เวลาต่อมา
"ยินดีต้อนรับค่ะท่านประธาน" เสียงของพนักงานดังขึ้นพร้อมกับก้มโค้งเคารพเจ้านาย ซึ่งฉันเองก็ต้องทำตาม โดยที่ยังไม่รู้ไม่เห็นหน้าเลยด้วยซ้ำว่าท่านประธานที่พนักงานพูดถึงหน้าตาเป็นแบบไหน
"คนไหนเลขาของผม?"
"ฉะ ฉันค่ะ ฉันเอง" ฉันเอ่ยตอบรับน้ำเสียงตะกุกตะกัก
ผู้จัดการให้ฉันทำงานเป็นเลขาวันนี้และก็ตอนนี้เลยด้วย ฉันเองก็ตอบตกลงปลงใจเพราะอยากได้เงินเดือนเพิ่มจะได้ไม่ต้องไปรบกวนพี่หมอกเยอะ
"ตามผมมา"
"ค่ะ"
ฉันเดินก้มหน้าตามหลังผู้ชายคนนั้นไป ก่อนที่เขาจะเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงาน ซึ่งแม่บ้านน่าจะมาจัดเตรียมทำความสะอาดไว้ให้ตั้งแต่เช้าแล้ว
"เอาล่ะ ผมไม่ชอบเสียเวลา เอางานมาให้ผมได้เลย"
"นี่ค่ะ นี่เป็นเอกสารตั้งแต่ปีแรกจนถึงปัจจุบันค่ะ ผู้จัดการจัดเตรียมมาให้ท่านประธานเรียบร้อยแล้ว" ฉันเพิ่งเข้ามาทำงานในบริษัทไม่ได้อยู่มาตั้งแต่เปิดบริษัทเหมือนกับผู้จัดการ คนที่มีความรู้คนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดก็เห็นทีว่าจะเป็นผู้จัดการ
"ไม่ต้องเรียกผมเต็มยศขนาดนั้นก็ได้ ผมชื่อเวคิน เรียกว่าคุณคินก็พอ"
"ค่ะคุณคิน"
"คุณเพิ่งมาทำงานเหรอ?"
"ค่ะ ฉันเพิ่งมาทำงานได้ยังไม่ถึงปีเลย"
"งานที่นี่เป็นยังไงบ้าง ผมอยากรู้ว่ามันหนักไปสำหรับพนักงานหรือเปล่า"
"ไม่เลยค่ะ"
"อืม..."
"...."
"คุณออกไปทำงานของคุณเถอะ ถ้ามีอะไรผมจะเรียกใช้งานเอง"
"ค่ะ"
เป็นอย่างที่ผู้จัดการบอกเอาไว้ไม่มีผิด ท่านประธานเป็นคนที่เนี๊ยบมากๆ ถึงมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ดูก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่เรียบร้อยกับงานมากแค่ไหน นี่ถ้าฉันทำผิดมีหวังถูกด่าเปิงแน่นอน
ครืด ครืด ครืด
สายเรียกเข้า >> คุณครู
ฉันชำเลืองตามองหน้าจอโทรศัพท์ อยากจะเอามากดรับนะแต่ก็กลัวว่าคุณคินจะออกมาเห็น ที่ฉันเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนในเวลางาน
แต่บางทีคุณครูอาจจะมีเรื่องด่วนเรื่องสำคัญก็ได้ ถึงได้โทรมาหาฉันในเวลานี้
"สวัสดีค่ะ" ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย
( ใช่คุณแม่ของเด็กชายสกายหรือเปล่าคะ? )
"ใช่ค่ะ ฉันเป็นแม่ของสกายเอง"
( พอดีว่าน้องมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเพื่อนในโรงเรียนน่ะค่ะ ก็เลยอยากจะเชิญผู้ปกครองมาตักเตือน )
"วันไหนเหรอคะ?"
( พรุ่งนี้ค่ะ ทางเราเชิญผู้ปกครองมาทั้งสองฝ่ายเลย )
"ได้ค่ะ"
ฉันกดวางสายพร้อมกับถอนหายใจออกมาแรงๆ น้องสกายเป็นอะไรทำไมถึงไปมีเรื่องกับเพื่อนที่โรงเรียนแบบนั้น แต่ฉันมั่นใจนะเพราะฉันเป็นคนเลี้ยงแกมาเองกับมือฉันรู้นิสัยของลูกดี แกไม่ใช่เด็กเกเรไม่ใช่เด็กที่ชอบรังแกเพื่อน แต่ยังไงฉันก็ต้องถามความจริงจากปากของลูกอยู่ดี
"แฮ่ม!"
"อุ้ย ขอโทษค่ะคุณคิน"
"งานของผมเสร็จหรือยัง?"
"ใกล้แล้วค่ะ เสร็จแล้วฉันจะเอาเข้าไปให้ในห้องทำงานนะคะ"
"อืม ตอนกลางวันสั่งอาหารให้ผมด้วยนะ"
"ได้เลยค่ะ ว่าแต่คุณคินจะทานอะไรเหรอคะ"
"ข้าวกล่องธรรมดาก็ได้ ผมไม่ใช่คนเรื่องมาก"
"ค่ะ"
ฉันถอนหายใจออกมาอีกครั้งแต่คราวนี้ฉันรู้สึกโล่งอกที่ไม่ได้ถูกดุเพราะใช้โทรศัพท์ในเวลางาน พรุ่งนี้ฉันคงต้องแวะไปที่โรงเรียนของน้องสกายก่อนสินะถึงจะมาทำงานได้
@เวลาผ่านไป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
"ขออนุญาตค่ะคุณคิน ฉันเอาข้าวมาส่งค่ะ"
"ด้านในเป็นอะไร?"
"เป็นผัดกระเพราไก่ไข่ดาวค่ะ"
"อืม...แล้วคุณล่ะกินแล้วเหรอ?"
"เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ"
ฉันเดินออกมาจากห้องทำงานของคุณคินก่อนจะคว้าโทรศัพท์เดินไปตรงมุมเสาแล้วกดโทรออกไปหาพี่หมอก ช่วงเวลานี้พี่หมอกก็น่าจะพักอยู่เหมือนกัน
( ว่าไง พี่กำลังกินข้าวอยู่ )
"เมื่อเช้าคุณครูประจำชั้นของน้องสกายโทรมา บอกว่าน้องสกายไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเพื่อน"
( ว่าไงนะ น้องสกายเนี่ยนะไปมีเรื่องกับเพื่อน! ) ขนาดพี่หมอกยังไม่เชื่อเลย ฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกแต่ก็ต้องไปอยู่ดี
"ค่ะ คุณครูเป็นคนบอกเอง"
( แล้วคุณครูได้บอกมั้ย ว่าสาเหตุที่น้องสกายทะเลาะกับเพื่อนเพราะอะไร )
"คุณครูไม่ได้บอกเลยพี่ ได้แต่บอกว่าจะเรียกพบผู้ปกครองเพื่อตักเตือนพรุ่งนี้"
( เราว่างมั้ยล่ะ ถ้าไม่ว่างเดี๋ยวพี่จะเป็นคนไปให้เอง )
"ไม่เป็นไรหรอกพี่หมอก เดี๋ยวมายลองลาพักกับเจ้านายครึ่งวันก่อนก็ได้"
( โอเคๆ กลับบ้านไปค่อยคุยกันแค่นี้ก่อนนะ )
"ค่ะ"
เรื่องนี้มันต้องมีสาเหตุสิ ฉันไม่เชื่ออยู่แล้วถ้าอยู่ดีๆ น้องสกายจะไปแกล้งเพื่อนหรือไปทำร้ายเพื่อนแบบนั้น ฉันเลี้ยงแกมาเองกับมือฉันรู้นิสัยของลูกดี แกไม่ใช่คนใจร้อนไม่ใช่คนอารมณ์ร้อนไม่รังแกใครก่อนด้วย
@ผ่านไปสักพัก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
"ขออนุญาตค่ะคุณคิน"
"มีอะไรหรือเปล่า"
"คือว่าพรุ่งนี้ฉันขอลางานครึ่งวันค่ะ"
"ขอสาเหตุ"
"ฉันมีธุระต้องไปทำจริงๆ ค่ะ เสร็จธุระแล้วฉันจะรีบมาเลย"
"แล้วถ้าผมไม่อนุญาตให้คุณลาล่ะ?"
"....." ฉันยืนเงียบไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป ถ้าคุณคินไม่อนุญาตให้ฉันลางานก็คงจะเป็นหน้าที่ของที่หมอกไปแทน
แต่ความจริงฉันก็อยากจะไปเองมากกว่านะ
"พรุ่งนี้ผมก็ต้องไปธุระเหมือนกัน ก็คงจะกลับมาพร้อมกันนั่นแหละ"
"คุณคินอนุญาตให้ฉันลางานได้ใช่มั้ยคะ"
"อืม"
"ขอบคุณมากๆ ค่ะ"
หลังจากที่คุยตกลงกันเสร็จเรียบร้อยแล้วฉันก็เดินออกมานั่งทำงานต่อ พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องมีงานอะไรที่มันเร่งรีบ เพราะฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเสร็จตอนไหน
@ตกเย็น
ฉันออกมายืนรอรถแท็กซี่ที่หน้าบริษัท และก็เป็นจังหวะเดียวกันที่คุณเวคินท่านประธานคนใหม่ของบริษัทขับรถออกไปพอดี คนรวยก็แบบนี้แหละเนาะมีรถหรูๆ ขับ มีบ้านหลังใหญ่ๆ มีคนใช้มีคนคอยอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่างไม่ต้องลำบาก
ไม่นานฉันก็ได้รถแท็กซี่นั่งกลับไปที่บ้านของตัวเอง ตลอดทางฉันก็ได้แต่คิดถึงเรื่องของน้องสกาย
ก็คนเป็นแม่อ่ะเนาะลูกมีเรื่องแบบนี้ในโรงเรียนก็ต้องรู้สึกเป็นห่วงเป็นธรรมดา ไม่รู้ว่าลูกต้องเจอกับอะไรทำไมแกถึงเป็นแบบนั้น
ตอนนี้ในหัวของฉันมันคิดหลายอย่างมาก คิดจนมันพันกันยุ่งเหยิงไปหมด และฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะเรียบเรียงคำพูดไหนมาคุยกับแกก่อนดี แต่คงจะไม่ใช่คำพูดที่รุนแรงเพราะฉันเข้าใจความรู้สึกของแก
6 ปีต่อมา หลังจากที่คลอดลูกคนที่ 3 ได้ 2 ปี ฉันก็มีลูกอีกคนนึงและก็ปิดอู่เรียบร้อยเลยนั่นก็คือการทำหมัน เพราะไม่อย่างนั้นคุณเวคินก็คงจะทำให้ฉันมีลูกขึ้นมาอีกชัวร์ คุณหมอก็ยังไม่อยากให้ฉันทำเพราะอายุยังน้อย แต่ถ้าฉันไม่ทำเปอร์เซ็นที่ฉันจะมดลูกแตกก็มีมากเลยทีเดียวเพราะท้องเยอะมาก ฉันก็เลยอ้อนวอนขอให้คุณหมอทำหมันให้ฉันเลยหลังจากที่ผ่าคลอดคนที่ 4 เสร็จ ตอนนี้วุ่นวายมากๆ เลย ลูกฝาแฝดทั้งสองคนตอนนี้ก็โตขึ้นมากแล้ว คนที่ 3 ก็อายุ 6 ขวบกว่าๆ น้องเล็กสุดคือ 4 ขวบกว่าเช่นกัน วัยกำลังซนเลย ลูกของพี่หมอกก็มี 2 คน อีกคนนึง 6 ขวบส่วนอีกคนนึงก็ 5 ขวบ วันไหนที่ครอบครัวของเราได้มารวมตัวกัน ฉันบอกได้เต็มปากเลยว่ามันเป็นอะไรที่วุ่นวายมากๆ จากตระกูลเล็กๆ พ่อกับแม่ของคุณเวคินก็มีเพียงคุณเวคินคนเดียว ลูกบุญธรรมอีก 1 คน แต่ในตอนนี้มีหลานวิ่งอยู่กันให้เต็มไปหมด กลายเป็นตระกูลใหญ่ที่มีลูกหลานเยอะแยะมากมายสมใจคุณปู่ที่อยากได้หลานมากๆ ในตอนนั้น ถ้าอย่างนั้นฉันขอแนะนำลูกๆ ของฉันและก็หลานในตระกูลนี้ให้ฟังทั้งหมดเลยก็แล้วกัน ฉันกับคุณเวคินมีลูกกัน 4 คน 2 คนแรกเป็นฝาแฝดกัน สกาย กับ สโนว์ คนกลางเป็นผู้ชายชื่อ
@ห้าเดือนต่อมา ตอนนี้ฉันท้องใหญ่มากๆ แต่มีลูกคนเดียวนะ และก็ไม่รู้เพศด้วยคุณหมอบอกว่าสงสัยว่าแกจะอายก็เลยไม่ยอมเปิดให้เห็นว่าเป็นเพศอะไร เพราะงั้นก็เลยต้องรอลุ้นตอนคลอดทีเดียวเลยว่าจะได้ลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชาย ส่วนคุณเวคินก็หายจากอาการแพ้ท้องบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่หายขาด เริ่มกินอะไรได้มากขึ้น ร่างกายเริ่มมีน้ำมีนวลมากขึ้นจากที่แพ้ท้องมาหลายเดือนจนร่างกายซูบไปเยอะ "กินเยอะๆ นะ ลูกจะได้แข็งแรงๆ" "ขอบคุณค่ะ" "เป็นยังไงบ้าง""ก็อึดอัดนิดหน่อยค่ะ ท้องใหญ่แบบนี้ก็อึดอัดเป็นธรรมดาแหละ" ฉันตอบ คุณเวคินเขาจะเฝ้าคอยถามแบบนี้เป็นประจำทุกวัน ว่าฉันลำบากไหม ที่ต้องอุ้มท้องใหญ่ๆ แบบนี้ แล้วก็ชอบถามถึงเรื่องเมื่อก่อนว่าตอนที่ฉันอุ้มท้องสองแฝดลำบากมากไหมฉันก็บอกไปตามตรงว่าค่อนข้างลำบาก และต้องระมัดระวังเพราะท้องแฝด และตอนนั้นฉันก็คิดหนักเลยด้วย ลูกจะได้รับสารอาหารเท่ากันไหม ลูกจะแข็งแรงไหม ลูกจะออกมาโตเท่ากันไหม เพราะเท่าที่ฉันฟังคุณหมอมา คุณหมอบอกเหมือนกันว่าท้องแฝดค่อนข้างอันตรายและต้องระวังทุกอย่าง ทั้งการกิน และการใช้ชีวิต แต่ฉันก็สามารถดูแลลูกๆ ให้คลอดออกมาอย่างปลอดภัยและครบสมบูรณ์ทั้งสองค
@ผ่านไปอาทิตย์กว่าๆ #โรงพยาบาลเอกชน คุณเวคินพาฉันมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล เขาเองก็ยังไม่หายดีหรอก แต่ก็อยากจะแน่ใจว่าฉันท้องจริงๆ หรือเปล่าก็เลยพาฉันมาตรวจที่โรงพยาบาล หลายวันมานี้คุณเวคินแพ้ท้องอย่างหนักหน่วงจริงๆ เขาดูซูบผอมลงไปเยอะเลย เพราะกินอะไรไม่ได้ ต่างจากฉันที่ไม่มีอาการอะไรเลยในครั้งนี้ แม่คุณเวคินบอกว่าคุณเวคินเป็นแทนฉันหมดทุกอย่างแล้ว อาการแพ้ท้องก็เลยรับจากฉันไปเต็มๆ "คุณมาริสาเชิญเข้าห้องตรวจค่ะ" "..." ฉันกับคุณเวคินเดินไปเข้าห้องตรวจ เมื่อคุณพยาบาลเรียกผ่านไมค์ "สวัสดีค่ะคุณหมอ//สวัสดีครับหมอ" "สวัสดีครับ" "..." ฉันหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับคุณหมอ "ตามที่ได้แจ้งเอาไว้ มาตรวจครรภ์ใช่ไหมครับ""ใช่ค่ะมาตรวจครรภ์""งั้นเดี๋ยวรบกวนคุณไปฉี่ใส่กระปุกให้พยาบาลเก็บผลตรวจหน่อยนะครับ และก็ขอตรวจเลือดของคุณทั้งสองคนด้วย" "ค่ะ" ก็เหมือนกับที่ฉันมาฝากท้องครั้งแรกนั่นแหละ คุณหมอก็ให้ฉันตรวจฉี่ตรวจเลือดตรวจหลายๆ อย่าง แต่ครั้งนั้นไม่มีคุณเวคินมาตรวจด้วย @ผ่านไปสักพัก "คุณท้องที่สองแล้วใช่ไหมครับ" "ค่ะ ท้องแรกได้ลูกแฝดสองคน" "เดี๋ยวรบกวนขึ้นไปนอนบนเตียงหน่อยนะครับ
@หนึ่งเดือนถัดมา อุ๊บบ!! โอกกก!! โอกกก!! "คุณเวคิน!?" หญิงสาวรีบวิ่งเข้ามาดูสามีของตน เมื่อเห็นเขาวิ่งเข้าออกห้องน้ำด้วยความเร็วแสงและอาเจียนออกมาจนเสียงดัง อาการแบบนี้เธอพอจะเดาออกว่าเป็นอาการอะไร บวกกับรอบเดือนตอนนี้ที่ไม่มาจนครบสองเดือนแล้ว "อืม..." ร่างหนาทิ้งตัวลงนั่งอยู่ข้างชักโครกด้วยสภาพที่อิดโรย ริมฝีปากแห้งเหือดจนซีด เขากินอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว แค่ได้กลิ่นอาหารก็ทำให้รู้สึกอยากอาเจียนแล้ว "เป็นยังไงบ้างคะ ไหวหรือเปล่า" เธอรีบเข้าไปดูอาการ ทว่า..พอเธอเดินเข้าไปถึงเวคินก็มีอาการขึ้นมาอีกครั้งเพราะกลิ่นตัวของเธอ "อึก..อุ๊บโอกก!!!" "คุณเวคิน! หวะ ไหวหรือเปล่าคะ ไปหาหมอมั้ย" เธอเอ่ยถามน้ำเสียงตะกุกตะกัก เพราะตอนที่เธอท้องอาการแพ้ท้องก็หนักพอควรเหมือนกัน แต่ก็ทุเลาลงได้เพราะยาที่หมอให้มา "ผมไหว...แต่กลิ่นตัวคุณมันเหม็นอะ ผมได้กลิ่นแล้วอยากอาเจียนไงไม่รู้" "งั้นฉันไม่อยู่ใกล้ก็ได้ คุณเดินมาเองไหวไหม ถ้าไม่งั้นฉันจะไปตามคนมาช่วย" "ไหวๆ" เวคินตอบเสียงแผ่ว ก่อนจะพยุงตัวเองเดินกลับเข้าไปในห้อง "ไปหาหมอมั้ย" "ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็หาย สงสัยผมจะพักผ่อนน้อย""นี่คุณยังไม่ร
@หนึ่งเดือนต่อมา #งานแต่งสุดหรูในโรงแรมห้าดาว เจ้าบ่าวและเจ้าสาวเดินเคียงคู่กันมาในชุดสีขาวสวยงามสง่า แขกที่มาร่วมงานต่างปรบมือรัวๆ ให้จนเกิดเสียงดังขึ้นชั่วขณะ ทั้งสองสวยและหล่อเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ลูกฝาแฝดทั้งสองก็ใส่ชุดไทยชายหญิงน่ารักสมวัย "คนเยอะจังเลยคุณ ไหนบอกว่าคนไม่เยอะไง" หญิงสาวกระซิบถามคนข้างๆ เพราะเข้าใจว่างานแต่งจัดเป็นงานเล็กๆ เชิญแขกเหรื่อมาไม่กี่คน แต่ไม่คิดว่าจะมีคนมาร่วมงานเยอะขนาดนี้ และแต่ละคนก็เป็นนักธุรกิจระดับแนวหน้าทั้งนั้น "นี่แค่คนรู้จักที่สนิทกันนะ พ่อผมแค่จัดให้เบาะๆ ไม่ใหญ่โตมาก" "นี่น่ะเหรอที่เรียกว่าไม่ใหญ่โต" มายบ่นพึมพำ สำหรับพวกเขาอาจจะไม่ใหญ่โตอะไร สำหรับเธอมันใหญ่โตมาก คนมาร่วมงานแต่งนี้เยอะมากๆ มองไปทางไหนก็เจอแต่คนทางนั้น "ลูกชายเจ้าของอสังหาริมทรัพย์แต่งงานทั้งทีก็ต้องให้สมฐานะหน่อยสิ จะให้น้อยหน้าคนอื่นได้ยังไง" เวคินบอก ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับแขกที่มาร่วมงาน ก็นั่นน่ะสินะ ลูกชายเจ้าของอสังหาริมทรัพย์จะแต่งงานทั้งทีก็ต้องจัดให้สมฐานะหน่อยสิ ไหนจะเปิดตัวหลานฝาแฝดอีก งานนี้พ่อของเวคินจัดหนักจัดเต็มเลย มายเคยเห็นแต่ในทีวีกับการจั
@วันต่อมา มายตื่นแต่เช้าเพราะเมื่อคืนได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มแต่เวคินยังไม่ตื่นเธอเลยถือโอกาสนี้ออกไปเดินเล่นที่ริมชายหาดคนเดียว เพราะเมื่อวานมาถึงก็มืดแล้ว กว่าจะจัดของเตรียมของเข้าที่ก็ดึกแล้ว เลยไม่มีเวลาออกมาดูบรรยากาศริมทะเล “บรรยากาศดีจัง” ฉันพูดขึ้นเบาๆ พร้อมกับอ้าแขนกว้างเหมือนนกกางปีก รับลมทะเลที่แสนจะสดชื่นในตอนเช้าๆ “ตื่นแล้วไม่ปลุกผมเลยนะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังของฉัน ก่อนที่จะถูกเจ้าของเสียงนั้นเข้ามาสวมกอด “เห็นคุณนอนหลับสบายฉันก็ไม่อยากกวนค่ะ” ฉันตอบ “ที่นี่เงียบสงบดีนะ ว่ามั้ย” “ค่ะ เงียบสงบมากเลย บรรยากาศก็ดีด้วย” มันนานแค่ไหนแล้วนะที่ฉันไม่มีโอกาสได้มาเที่ยวพักผ่อนแบบนี้ ครั้งล่าสุดที่มาก็แทบจะไม่ได้พักเพราะวุ่นวายอยู่กับสองแฝดมากเลย “หิวยัง”“ไม่ค่ะ”“ถ้าคุณไม่หิวข้าว ผมก็มีอย่างอื่นให้คุณกินนะ” เขามองหน้าฉันพร้อมกับส่งสายตาเจ้าเล่ห์ใส่ “บ้า! พูดแบบนี้อีกแล้วนะคุณ!” ฉันแหวใส่เขาเสียงดัง จะมีสักครั้งไหมที่ไม่พูดเรื่องใต้สะดือกัน รู้แล้วล่ะว่าอยากมีลูก แต่ก็ไม่น่าจะหื่นขนาดนี้นะ “ผมยังไม่ไดพูดเลยนะว่ามันคืออะไร คุณคิดไปเองทั้งนั้น”“…” ถึงจะพูดแบบนั้