ผ่านมาสองวันแล้ว ที่ฉันเอาแต่นั่งมองบานประตูห้องเช่าแห่งนี้ หวังให้มีเงาของลูกน้องคนสนิทอย่างฉิงเฉาโผล่มาบ้าง ตั้งแต่คืนนั้นที่เขาบอกจะออกไปตามหาญาติให้ฉันเขาก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
ความร้อนลุ่มในอกมันเริ่มสุมมากขึ้น ไม่อยากจะคิดไปในแง่ร้ายว่าเขาจะเป็นอันตรายอะไรหรือเปล่า แต่มันก็ห้ามใจไม่ได้สักนิด
“นายจะหลงทางหรือเปล่านะ” ฉันพยายามคิดในทางบวกเข้าไว้ แต่ดูๆ แล้วฉิงเฉาไม่น่าจะเป็นอย่างที่ฉันพูดออกไปเลยสักนิด เขาพูดไทยได้ชัดเหมือนๆ กับฉัน และดูคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าฉันเสียอีก
‘แล้วทำไมล่ะ?’ คำถามอื่นเริ่มผุดขึ้นมาในหัว คิดยังไงก็คิดไม่ตก
หรือว่าเขาจะทิ้งฉันไปแล้ว? แต่เขาจะลงทุนพาฉันมาปล่อยไว้ที่ต่างเมืองขนาดนี้เพื่ออะไรล่ะ เขาไม่น่าจะใช่คนแบบนั้น ความรู้สึกฉันมันบอกว่าเขาเป็นคนดี
“ฉันจะต้องออกตามหาเขา ใช่แล้วหงส์ เธอจะต้องออกไปตามหาเขา”
เมื่อตัดสินใจได้ ฉันเลยเก็บข้าวของซึ่งมีเพียงกระเป๋าสะพายใบเล็กๆ สีชมพูอ่อน ที่ติดตัวมาตอนที่ฉิงเฉาลากฉันเหมือนกับวิ่งหนีอะไรสักอย่างที่ฮ่องกง ในนั้นมีเงินฮ่องกงอยู่จำนวนหนึ่ง แต่รู้สึกว่าพวกบัตรอะไรต่างๆ ของฉันจะไม่มีนะ คล้ายๆ กับของในนี้เคยถูกล้วงออกไปจนหมดเหลือไว้เพียงเศษเงิน
“อ้าวแม่หนู จะออกไปข้างนอกเหรอ” ทันทีที่เดินลงมาชั้นล่าง ลุงร่างท้วมที่เป็นเจ้าของห้องก็ทักขึ้น
“เอ่อ พอดีจะออกไปข้างนอกหน่อยค่ะ” ฉันตอบไม่เต็มเสียงนักให้กับเจ้าของบ้าน ไม่ชอบสายตาโลมเลียที่เขามองมาเลย มันดูไม่น่าไว้ใจยังไงไม่รู้
“ออกไปหาผัวเหรอแม่หนู” ลุงอ้วนทุ้ยคนเดิมยังคงชวนฉันคุยต่อ
“ค่ะ ขอตัวนะคะ” ฉันไม่อยากปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่สามีของฉัน แต่บอกไปแบบนั้นน่าจะดีกว่าบอกความจริงแน่ อย่างน้อยเขาคงไม่กล้ายุ่งกับคนที่มีสามีแล้ว
หลังจากที่เดินออกมาจากบ้านเช่าหลังนั้น ฉันก็ยืนมองสี่แยกที่ตัวเองยืนอยู่ตรงกลางแบบมืดแปดด้านไปหมด ไม่รู้จะเริ่มต้นจากที่ไหนก่อน
การที่ต่างบ้านต่างเมือง แถมยังไม่รู้อีกว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วฉิงเฉาเขาออกไปตามหาญาติของแม่ที่ไหน ชื่ออะไร มันยิ่งยากกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีก
“เอาน่า! ลองหมุนตัวสักรอบสองรอบ หยุดทางไหนก็ไปทางนั้นแล้วกัน”
พูดเสร็จก็ยกมือให้กำลังใจตัวเอง ก้มลงทำท่าคล้ายจิ้งหรีดปั่นอยู่สองสามรอบ และผลปรากฏว่า
มึน!!
ความรู้สึกแรกหลังจากที่หยุดหมุนมันเหมือนพื้นเอียงๆ ในหัววิ้งๆ คล้ายกับในสมองมันเคลื่อนไหวได้ ฉันเลยพยายามทรงตัวให้นิ่ง ค่อยๆ ลืมตาชั้นเดียวของตัวเองทีละนิดๆ เพื่อปรับให้รับแสงสว่างจากแดดเมืองไทยที่ค่อนข้างจ้า
“ทางนี้สินะ” ฉันสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ หลังจากได้เส้นทางที่จะเดินไปข้างหน้าแล้ว แต่ทำไมมันค่อนข้างน่ากลัวยังไงไม่รู้สิ
ยิ่งเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ สภาพแวดล้อมข้างๆ มันยิ่งมีแต่ตึกสูงร้างเต็มไปหมด “นายอยู่ที่ไหนฉิงเฉา” สองมือกำสายกระเป๋าสะพายข้างตัวเองแน่น กวาดสายตามองหาบุคคลที่กำลังตามหาไปด้วย
ขอให้เจอทีๆ ฉันท่องคำนี้ตลอดก้าวย่างที่เดิน
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้ฉันมาโผล่อยู่ที่ไหน รอบข้างเริ่มมืดเพราะท้องฟ้าเริ่มจะปิด แสงแดดที่เคยจ้าจัดตอนนี้มืดครึ้ม
น่ากลัว!
ความรู้สึกฉันบอกมาแบบนี้ ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกว่า...
‘อย่าก้าวเดินไปข้างหน้า’
กึก!!
แค่สองก้าวหลังจากที่รู้สึกใจสั่นไหวแปลกๆ จากลางสังหรณ์ก่อนหน้า ก็ทำให้สองเท้าน้อยๆ ที่สวมรองเท้าส้นสูงสองนิ้วหยุดชะงัก
น่ากลัว! สองคนนั้นน่ากลัวจัง!
เสียงในหัวกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง กับภาพชายสองคนที่กำลังมองตรงมาทางฉันด้วยสายตาเหมือนต้องตาเหยื่อชิ้นดี
“เฮ้! ดูสิพวกเราเจออะไร”
“สวยซะด้วย หุ่นแม่งน่ากินฉิบหาย”
‘หยาบคาย’ ฉันกร่นด่าให้กับผู้ชายสองคนตรงหน้าหลังจากได้ฟังคำพูดนั้น สองเท้าน้อยๆ ค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกมาทีละก้าว ทีละ...
“ว๊าย! ปล่อยนะ” เร็วเกินไปแล้ว!!
ผู้ชายร่างสูง หน้าบากๆ ผอมแห้งเหมือนพวกติดยา ตรงมาคว้าหมับเข้าที่สองมือเรียวเล็กของฉัน จับไพล่หลังไว้เหมือนตำรวจจับกุมผู้ร้าย
“จะทำอะไร ปล่อยฉันเถอะนะ ฉันแค่มาตามหาสามี” ฉันรีบเอ่ยปากร้องขอด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว
“อ้าว! มีผัวแล้วว่ะไอ้แห้ง” เสียงผู้ชายผอมๆ ที่จับฉันอยู่ร้องบอกเพื่อนอีกคนที่กำลังเดินตรงดิ่งเข้ามาหาฉัน ชื่อแห้ง แต่ทำไมตัวถึงได้อ้วน แผลเป็นเต็มตัว น่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก
“ก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องสอน ลีลาคงดี”
ฉันสั่นหัวไปมา ดีดดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการที่กำมือฉันแน่น แต่ยิ่งดิ้น เหมือนคนพันธนาการยิ่งเพิ่มแรงบีบและกดจิกเล็บลงมาแรงกว่าเดิม
“งั้นกูให้มึงก่อน กูชอบแบบลื่นๆ”
พวกนี้คุยอะไรกัน คิดว่าฉันจะยอมให้เขากระทำป่าเถื่อนกับร่างกายฉันง่ายๆ เหรอ ใครก็ได้ช่วยฉันที
“ชะ ช่ว... อุ้บ”
จุก! กำลังจะตะโกนให้คนช่วย แต่ไอ้อ้วนที่ชื่อแห้งต่อยเข้าที่ท้องฉันหนึ่งที ให้ความรู้สึกจุกมากกว่าเจ็บสะอีก
“ฉันส่งข้อความบอกคู่หมั้นเธอแล้วว่าเธอเปลี่ยนใจจะอยู่ที่นี่ต่อ”วะ ว่าไงนะ! นี่มันมากไปแล้วนะ ฉันไปตัดสินใจแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่“มากไปแล้วนะยูกิ” ฉันเผลอตัวเรียกเขาด้วยชื่ออีกแล้วแต่แทนที่ยูกิจะใส่ใจในเรื่องนั้นเขากลับนิ่งเฉย แต่แวบหนึ่งฉันกลับเห็นความตื่นเต้นกับสิ่งที่ฉันเรียกเขาก่อนหน้าในแววตาคู่คมนั้น“มากตรงไหน ใครจะยอมให้เมียตัวเองไปกับอิแค่คู่หมั้น” ยูกิยังคงเรียกฉันด้วยสรรพนามน่าอายนั้น ตกลงเขาต้องการอะไรจากฉันกันแน่“จะให้ฉันบอกอีกกี่ครั้ง ฉันไม่...”“หรือจะให้ฉันจัดให้อีกสักครั้ง หรือจะเหมายันเช้าดี เธอจะได้จำได้สักทีว่าร่างกายของเธอเป็นของใคร”“อ๊ะ อย่าเข้ามานะ ถอยไป”ยูกิพูดจบก็คุกเข่าค่อยๆ คลานขึ้นมาบนเตียงที่มีฉันนั่งอยู่บนนี้ สายตาเขามีแววความสะใจอยู่ในนั้น เขากำลังสนุกที่ไล่ต้อนฉันได้สำเร็จ“คนไม่มีหัวใจอย่างคุณอย่าเอาคำนั้นมาเรียกคนอื่นดีกว่า” ฉันเมินหน้าไปทางอื่น ไม่อยากมองหน้าผู้ชายที่กำลังเล่นตลกกับหัวใจฉันอีกแล้วฉันมีคู่หมั้นแล้ว เมื่อวันที่อยู่โรงพยาบาลเขาก็น่าจะเห็น และอีกอย่างเฮียเทียนบอกฉันว่าเขาเล่าเรื่องฉันกับเฉินฮ่งให้ยูกิฟังแล้ว แล้วดูสิ่งที่เขากำลังทำ
“นี่จะไม่เอาอะไรไปเลยเหรอหงส์” เสียงสิตาถามฉันฉันออกมาจากโรงพยาบาลสองวันแล้วล่ะ และวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะอยู่ที่ยุกกี้คาสิโนแห่งนี้“ตอนมาก็มีแค่ตัวกับเสื้อผ้าชุดนี้ชุดเดียว อย่างอื่นมันไม่ใช่ของหงส์อยู่แล้วนี่”ถึงจะบอกสิตาไปแบบนั้น แต่ในใจฉันกลับปวดหนึบแปลกๆรู้สึกโหวงๆ เมื่อรู้ว่ากำลังจะไปจากสถานที่แห่งนี้ สถานที่ที่สอนฉันในหลายๆ อย่าง สถานที่ที่ทำให้ฉันได้เจอกับความรักครั้งใหม่ตอนที่ลืมคู่หมั้นตัวเอง และได้รับสิ่งตอบแทนที่สาสมที่บังอาจลืมแม้กระทั่งคู่หมั้นได้ลงคอ“แล้วจะกลับมาที่นี่อีกตอนไหนเหรอ” เจ๊ลิชาที่นั่งทำหน้าเศร้าอยู่ปลายเตียงถามฉันน้ำเสียงฟังดูหดหู่หลังจากที่ฉันกลับจากโรงพยาบาลฉันก็ได้คุยเรื่องเฉินฮ่งกับเฮียเทียน เขาเล่าให้ฉันฟังทุกอย่างว่าฉันกับเฉินฮ่งเราเพิ่งหมั้นกันได้หกเดือนก่อนที่ฉันจะมาอยู่ที่นี่และเขาก็ยังบอกอีกว่าที่เฉินฮ่งไม่ได้ออกตามหาฉันเพราะเขาเองก็มีเรื่องต้องทำ แต่ฉันจับผิดสีหน้าพี่ชายตัวเองได้ เหมือนเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่ฮ่องกง“ไว้มีโอกาสเรานัดเจอกันที่อื่นดีไหมคะ” ฉันเลี่ยงที่จะตอบคำถามเจ๊ลิชาบางทีการออกจากที่นี่ในวันนี้อ
“…” เจอผมด่าหน่อยทำเป็นเงียบปาก“เพราะมึงนั่นแหละ ไอ้ตัวดี” ผมชี้หน้าคาดโทษกรุงโซลสายตาดุกร้าวแม้จะสืบสาวราวเรื่องที่มาของยานรกนั่นได้แล้ว แต่พวกเราเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้อยู่ดี ผมกับไฉ่หงยังไงเราก็เป็นของกันและกันแล้ว“แล้วมึงจะเอายังไง” เฮียไททันหันไปถามไอ้เทียน“กูบอกมันแล้ว น้องกูว่าไงกูว่าตาม” ไอ้เทียนยืนยันคำเดิมที่เคยบอกผมให้ทุกคนฟัง “กูก็เคลียร์แล้ว” ผมรีบพูดออกไปคล้ายคนร้อนรน“เคลียร์? ไอ้สัส! เมื่อกี้มึงเรียกว่าเคลียร์เหรอวะ!” ไอ้เทียนขึ้นเสียงใส่ผมคำว่า ‘เคลียร์’ ของผมในสายตาไอ้เทียนคงเห็นว่าผมกำลังรังแกน้องมันอืม แต่ก็นะ เมื่อกี้ผมเกือบรังแกไฉ่หงอีกรอบอย่างที่มันคิดนั่นแหละ“เออ นั่นล่ะเรียกเคลียร์ น้องมึงยอมให้กูรับผิดชอบแล้ว”และนั่นคือบทสนทนาที่จบลงของลูกผู้ชายอย่างผม[End part]หลังจากพายุคลั่งของพวกผู้ชายหายไป ในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง มอม้ารับหน้าที่พาทิวลิปที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นตามฉันออกไปด้านนอก ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงฉันกับแก้มใสสองคน“หงส์ เจ้ขอโทษ” เสียงขอโทษที่ฉันไม่รู้ต้นสายปลายเหตุถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากอมชมพูระเรื่อ“...” ฉันเงียบแต
[Lantian’s part]“พอ แยกๆ” เสียงคมเข้มของไททันดังขึ้น“กูบอกมึงว่ายังไง กูบอกว่ายังไงห๊ะ!” ผมตะคอกหน้าไอ้ยูกิ แม้พวกเพื่อนๆ ของมันจะแยกพวกเราออกจากกันแล้วก็ตามผมว่าจะไม่ระเบิดอารมณ์กับมันแล้วนะ แต่ครั้งนี้ไม่ไหว ใครเห็นผู้ชายคนอื่นกำลังคร่อมร่างน้องสาวตัวเองอยู่จะไม่ของขึ้นได้วะ ครั้งนั้นผมไม่รู้ไม่เห็นเลยดูว่าผมใจเย็นไม่ใส่ใจอะไรใช่ไหม มันถึงได้กล้าหยามหน้าผมแบบนี้“ถุ้ย!” เสียงถ่มน้ำลายของไอ้ยูกิดังขึ้นมันยกมือเช็ดเลือดตรงมุมปากที่ปริ่มออกมาเล็กน้อยออก สองตาคมเข้มของมันยังคงจ้องมองผม ไม่ใช่แววตาเกลียด โกรธ แต่มันมองผมด้วยสายตาธรรมดาๆ เหมือนกับชอบใจที่เห็นผมระเบิดอารมณ์ใส่มันแม่งเป็นมาโซคิสหรือไงวะ สงสัยจะชอบความเจ็บปวด“มึงขัดคำสั่งกู” ผมชี้หน้ายูกิ พร้อมจะกระโจนใส่มันอีกรอบแต่ติดตรงกรุงโซลมันรั้งแขนผมไว้ ส่วนอีกข้างเป็นเอฟวัน“คุยดีๆ สิวะ กัดกันยังกับน้องมึงถูกไอ้ยูกิจับกินงั้นแหละ” เสียงไททันที่อายุเยอะสุดพูดขึ้น ไอ้ห่า! สาบานว่ามึงไม่รู้ ดันมาเสือกพูดถูกจุดมากสัสสงสัยเมื่อกี้พวกมันคงไม่ทันเห็นว่าไอ้ยูกิกำลังคร่อมน้องสาวผมอยู่เพราะผมพรุ่งปรี่เข้าไปกระชากมันลงมาก่อนล่ะมั้ง “กร
เฮือก!สัมผัสกรุ่นร้อนจากริมฝีปากหนากำลังซุกไซ้อยู่ข้างซอกหู ความนุ่มชื้นของปลายลิ้นกำลังลากไล้ดูดดึงผิวเนื้อบริเวณลำคอระหงของฉัน“อ๊ะ! อย่าทำ อื้อ” ทั้งสั่งห้าม ทั้งข่มกลั้นเสียงครางที่น่าเกลียดของตัวเองสองตาเพ่งมองไปยังบานประตูห้องผู้ป่วย กลัวจะมีใครเปิดเข้ามาเห็นฉากที่น่าอายแบบนี้ “อื้อ เธอยังหอมเหมือนเดิม”ยูกิไม่ยอมปล่อยริมฝีปากออกจากลำคอขาวเนียนฉันตอนเอ่ยประโยคนั้น นั่นยิ่งทำให้ฉันเสียวซ่านจากการเสียดสีของริมฝีปากและลมหายใจกรุ่นร้อนที่ออกมาพร้อมคำพูดเขา“ฉันเกลียดคุณ” ข่มกัดฟันบอกเขาออกไปยูกิชะงักการกระทำ แต่ก็แค่ชั่ววินาที จากนั้นเขาก็เริ่มรวบมือทั้งสองข้างฉันไปกุมไว้ที่มือหนาเพียงข้างเดียวของเขา มือที่ว่างก็เริ่มสอดแทรกเข้ามายังชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาล“อ๊ะ ไม่” ทั้งเสียงสั่งห้าม ทั้งเสียงน่าอายหลุดรอดจากปากฉันอีกครั้งไม่ได้นะ ฉันไม่อยากให้มันจบลงเหมือนเมื่อคืนอีกแล้ว“หยุดฉันให้ได้สิไฉ่หง เก่งยั่วนักไม่ใช่ ครั้งเดียวเธอไม่นับเองนี่”งั้นสินะ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ยูกิต้องการอะไร เขาต้องการให้ฉันบอกให้เขารับผิดชอบฉันสินะไม่มีทาง! ฉันเกลียดเขาแล้ว ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมอบให้เขาม
“รีบตื่นขึ้นมาสิ มาปากเก่งด่าฉันอีกสิ ฉันอยากได้ยินเสียงด่าทอของเธอ”ความอุ่นวาบจากฝ่ามือหนาที่กำลังลูบไล้เส้นผมยาวหยักศกด้านหลังฉันช่างขัดกับคำพูดปากดีของยูกกิเสียจริง แต่การกระทำนั้นมันกำลังทำให้ความอ่อนแอเริ่มเล่นงานฉันอีกครั้งกึก พยายามกัดฟันไม่ให้เขาได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของตัวเองเมื่อหลายชั่วโมงก่อน หลังจากที่เหตุการณ์เลวร้ายจบลงไปตอนไหนไม่รู้ รู้แค่ตื่นมาอีกทีฉันกำลังนอนอยู่ในห้องของตัวเอง เนื้อตัวที่คาวไปด้วยคราบต่างๆ ก่อนที่จะหมดสติหายไปจากเรือนร่างบนตัวมีเสื้อแขนยาวของฉันเองสวมทับอยู่ บ่งบอกว่ามีคนอุ้มฉันมาที่ห้องเช็ดล้างคาบสกปรกเหล่านั้นและเปลี่ยนชุดนี้ให้ตอนนั้นความรู้สึกมันตีรวนกันไปหมด ทั้งเสียใจ ดีใจ ที่อย่างน้อยคนที่เป็นคนทำร้ายน้ำใจของฉันคือคนๆ เดียวกับที่ดูแลฉันหลังจากทำเรื่องนั้นลงไปแต่จิตใจด้านลบมันมีมากกว่า ฉันเกลียดเขาไปแล้วความตื้นตันใจที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้มันหายไปตั้งแต่เขาย่ำยีฉันเมื่อคืน ฉันจะถือซะว่าได้ตอบแทนบุญคุณเขาไปเรียบร้อยแล้ว และต่อจากนี้ไปฉันจะเลือกทางเดินของตัวเองและจะไม่กลับเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตเขาอีกทางใครทางมัน นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดได้ในต