LOGIN“นายยคิดว่าชีวิตนาย รักเธอคนนั้นได้แค่คนเดียวหรือไง“ “ถ้าใช่แล้วมันจะทำไม” “นายแม่ง โครตกระจอก!”
View Moreเริ่มเขียนเมื่อ 2561
สนามบิน
เฮ้อ~ ตาจะหลับให้ได้เลยอ่ะ.. ไอ้การนั่งเครื่องบินหลายๆชั่วโมงนี่ใครบอกว่าสบายกว่านั่งรถกันห๊ะ! เอาจริงๆมันก็สบายอะนะ ถ้าตาลุงคนข้างๆไม่ชิงหลับก่อนและแถมปล่อยเสียงกรนผสมกลิ่นปากแบบนั้นมาอีก ฉันต้องทรมานอดทนแค่ไหนกว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ นี่เดินตรงเป็นคนปกตินี่เก่งมากแล้วนะ ใครจะรู้ว่าตอนนี้ในโพรงจมูกฉันจะจดจำกลิ่นปากอีตาลุงนั่นได้ดีขนาดนี้เนี่ย! นั่งพักสักหน่อยดีกว่า....
ฉันลากกระเป๋าเดินทางที่ใหญ่กว่าตัวฉันอยู่หลายขุมมาวางไว้ข้างตัวก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งอย่างไม่สบอารมณ์ ครู่เดียวเท่านั้นสายตาฉันก็เหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งร่างสูงใส่เสื้อผ้าดำทั้งชุดตั้งแต่หัวจรดเท้าเขาลากกระเป๋าไซส์เล็กกว่าฉันหน่อยมานั่งบริเวณใกล้ๆกัน สวรรค์ก็นะ ลำเอียงดีจริงๆ กับบางคนนี่ให้ความสูงมามากมายซะจนเกินความจำเป็น แต่กลับ...บางคน
อย่างฉันนี่.. กลับให้มาแค่เนี่ย! ชีวิตฉันเลยต้องลำบากอาศัยพึงพาแต่รองเท้าส้นสูงแบบนี้ไง โว๊ะ! วันนี้ฉันเป็นอะไรเนี่ย! อะไรๆก็ขัดหูขัดตาไปซะหมด ฉันควรกลับห้อง! ฉันควรกลับห้อง! อยู่แบบนี้อีกหน่อยฉันว่าฉันบ้าแน่ๆ! ลุงนะลุงเพราะลุงคนเดียวเลยจริง! ว่าแล้วฉันก็ลุกพรวดแล้วลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่นี่ทันที แต่มันหนักอ่ะตอนมายังไม่หนักขนาดนี้เลยนะ จังหวะที่ฉันกำลังจะหันกลับไปดู บวกกับฉันเองก็ไม่ได้หยุดเดิน มันก็เลย!!
ผลัวะ!
“อ๊ะ!”
“นี่คุณ! ระวังหน่อย” ไม่รู้ฉันหรือเขาที่ชนกันก่อน แต่ร่างฉันถูกร่างสูงตรงหน้ารวบเอวแล้วดึงฉันกลับมาทันก่อนที่ฉันจะหน้าขมำไปกับพื้น...
“....” ชายร่างสูงชุดดำเมื่อกี้.. เขาเป็นคนช่วยฉันไว้.. จมูกโด่ง ผิวขาว ใบหน้าขาวเนียน แถมมีรอยเคราที่ถูกโกนไปแล้วขึ้นใหม่อีก... ดาราเหรอ? ไม่สิ เอ๊ะ..หรือไอดอล? ไม่อีกนั่นแหละ ถ้าใช่ฉันต้องรู้จักสิ...
“หน้าผมมีอะไรหรือไง”
“...อ๋อ! ปะ..เปล่า เปล่าค่ะ” ฉันรีบดีดตัวเองออกจากอ้อมแขนเขา อีกฝ่ายแค่ยืนนิ่งๆไม่พูดอะไร
“ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม”
“....ไม่ค่ะ” เขาไม่พูดอะไรได้แต่พยักหน้าแล้วหันไปลากกระเป๋าตัวเอง
“..เดี๋ยวก่อน!”
“....?”
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไร” เขาตอบก่อนจะยิ้มมุมปากเพียงแวบเดียว.. ย้ำว่าแวบเดียวแล้วเดินจากไป เขาดูดีมากเลยนะ ดูขี้เล่นซะด้วยซ้ำไปแต่เขากลับดูเศร้าแปลกๆ.. ดวงตาของเขามัน... แล้วนี่มันใช่เรื่องที่ฉันต้องคิดตอนนี้ไหม! ตั้งสติพาส! ฉันยืนกุมหัวใจตัวเองที่เต้นเร็วอย่างเคย.. หวังว่าการที่ฉันไปรักษาตัวไกลถึงเชียงใหม่มันจะช่วยให้อาการฉันดีขึ้นนะ อย่าเป็นลมล้มพับอย่างคราวก่อนๆอีกนะ มันเหนื่อยจะแย่:( การที่มีโรคประจำตัวแปลกประหลาดแบบนี้ใช้ชีวิตอยู่กับมันไม่ง่ายเลยนะ *Heartbeat Syndrome ไอ้โรคใจเต้นแรงทุกครั้งที่ได้สัมผัสร่างกายผู้ชายแบบนี้นะ... ฉันก็อยากจะมีแฟนแบบคนอื่นบ้างอ่ะ>< อยากมีโมเมนต์แบบกระหนุงกระหนิงจับมือกันงี้อ่ะ ไม่ใช่มีแล้วต้องนั่งห่างกันเป็นโยชน์ยังกับฉันเป็นพวกแพร่เชื้อร้ายกลายพันธุ์เทือกๆนั้น เฮ้อ~
แล้วนี่ถ้าอาการมันยังไม่ดีขึ้นละก็... มีหวังฉันได้ดับทั้งๆที่เพิ่งขึ้นแท่นเน็ตไอดอลมาแรงประจำปีนี้แน่ๆ งานแสดงก็จ่อคิวรอ แต่ฉันกลับรับงานทำนองนี้ไม่ได้นะสิ กลัวจับมือพระเอกปุ๊บแล้วอีนี่สลบปั๊บแบบนี้จบกันถ้วนหน้าแน่ๆ งื้ออ~ชีวิตฉัน;(((((
__________
🚨*Heartbeat Syndrome ชื่อโรคนี้ไม่มีอยู่จริง สมมุติชื่อขึ้นมาเฉยๆจ้า แต่อาการของโรคนี้มีอยู่จริงค่ะ(แก้ไข)
เปลี่ยนบทนิดหน่อยเนอะ^^ มีใครอยากให้รักษาน้องนางพาสด้วยวิธีแปลกๆบอกได้เด้อ อิอิ
เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเซ็ตนะ เรื่องเดียวจบ แต่อยากต่อเรื่องของตัวประกอบละก็ขอไรท์คิดดูก่อน5555 เพราะเป็นคนเดาอะไรด้วยไม่ค่อยจะได้อ่ะ ฮ่า~🥰
Special Part (END)#CHAหลายปีต่อมา...“..พี่เพรส แม่อยู่ไหน~ ฮึก~”“ไม่ร้องน่า แม่ไม่สบายให้แม่นอนก่อนเถอะ”“..แต่ว่าหนู~”“ดึกขนาดนี้ทำไมไม่นอนกันเนี่ย” ผมเดินเข้ามาในห้องของเด็กๆ เพรสที่โตได้อายุ7ปี กับพริ้นท์ลูกคนเล็กของเราที่อายุ3ปี ทั้งสองคนยังไม่นอนแถมพริ้นท์ยังนั่งน้ำตาคลอปากบู้บี้“พ่อออ~ หนูอยากนอนกับแม่ ฮึก~”“อ่า แม่ไม่สบายนะลูก ให้แม่หายก่อนเนอะค่อยกลับไปนอนกับแม่^^”“T~T”“ผมพูดแบบนี้เป็นร้อยครั้งแล้วฮะพ่อ แต่น้องก็เอาแต่นั่งทำหน้าแบบนี้อ่ะ” ผมมองพริ้นท์ที่ใกล้จะร้องไห้เต็มทีจนต้องเดินเข้าไปหา เป็นอาทิตย์แล้วที่พาสไม่สบายผมเลยต้องรับหน้าที่ดูแลสองแสบนี่เต็มๆ ส่วนพาสผมให้นอนพักอยู่ที่ห้องแล้วพาสองแสบนี่มานอนกับผมที่อีกห้องนึงเพราะจะได้ไม่ติดไข้กัน“อย่าดื้อสิค่ะ อยู่กับพ่อแทนเนอะ”“...ฮึก~ แต่หนูคิดถึงแม่ แม่ไม่สบาย ไม่มีใครเล่านิทานให้หนูฟังก่อนนอนเลย ฮึก~” พริ้นท์ขยี้ตาไปมาเอาเป็นว่าผมรู้ว่าพริ้นท์คงง่วงนอนแต่คงนอนไม่หลับ เพราะปกติพาสเป็นคนพาพริ้นท์นอนทุกคืนแล้วยังเล่านิทานให้ฟังก่อนนอน พอมาอยู่กับผมที่ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับลูกเลยไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดตรงนั้น ซึ่งมันก็ทำให
Special partหลายปีต่อมา.....#CHAฟึ่บ~ ฟึ่บ~ผมนั่งเรียงรูปที่ไปถ่ายเมื่ออาทิตย์ก่อนตอนพวกเราไปภูทับเบิก มันไม่น่าเชื่อว่าผมจะมาอยู่ในจุดนี้ จุดที่ต้องกลายเป็นคนใจเย็น เป็นสามีที่ตามใจภรรยาและเป็นพ่อที่!!“พ่ออออออ!!! พ่อสอนการบ้านผมผิดตั้งหลายข้อนะ!”!! เอ่อ... เป็นพ่อที่สอนการบ้านลูก..ไม่ค่อยจะถูก - -*“..อีกแล้วเหรอ - -*”“ก็ใช่นะสิ นี่สมัยเรียนพ่อไม่ได้ตั้งใจเรียนสิท่า”“โธ่ มันก็นานแล้วไง พ่อก็หลงๆลืมๆบ้างสิ”“แล้วทำไมแม่ไม่เคยสอนผิดเลยล่ะ! นี่ถ้าแม่อยู่สอนการบ้านผมนะ ผมได้ที่หนึ่งของห้องไปแล้วล่ะครับ!” ผมปิดอัลบั้มรูปแล้วเอาการบ้านที่ผมสอนผิดของลูก.. ลืมบอก เราได้ลูกชายเลยตั้งชื่อให้ว่า ‘เพรส’ ไม่มีความหมายของชื่อ แค่อยากจะได้ชื่อคนที่เขาไม่ค่อยแต่งกันแค่นั้น“เดี๋ยวแม่ก็กลัวมาแล้วน่า~” ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง พาสบินกลับไปที่เชียงใหม่เพื่อไปร่วมงานแต่งและแสดงความยินดีกับคุณหมอที่รักษาโรคของเธอมาตั้งแต่เริ่ม นี่ก็ได้เวลาน่าจะถึงบ้านแล้วนิ... ทำไมป่านนี้ยังไม่ถึง?“ผมจะไม่เชื่อพ่อแล้ว;(““โธ่ พ่อสัญญาคราวหน้าไม่ผิดแน่นอน^^”“..แต่ผมไม่อยากเชื่อพ่อแล้วนิ~..~”แอ๊ดดดด~ ระหว่างท
หลายเดือนต่อมา...หลังจากที่เรารู้ว่ากำลังจะมีอีกหนึ่งชีวิตเกิดขึ้นมา ชาก็จัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ เขาเคลียร์เรื่องเรียนที่เราต้องดรอป แล้วจัดการอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างจนฉันเองไม่ต้องทำอะไร นอกจากนอน นอน แล้วก็นอน บางทีมันก็เบื่ออะ อยากออกไปข้างนอกบ้างนี่ฉันอยู่แต่ที่คอนโด อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมๆถ้าชาไม่กลับมาจะทำธุระนั่นนี่ฉันก็เหมือนหมาเหงาที่คอยเฝ้าบ้านอ่ะ ฉันอยากไปเที่ยววววว>~แอ๊ดดด~ เสียงเปิดประตูดังขึ้นเหมือนทุกทีและแน่นอนไม่มีอะไรตื่นเต้นเหมือนทุกครั้งนอกจากถุงขนมพะรุงพะรังที่ชาหิ้วมา“ยังไม่นอนเหรอ”“.....”“เป็นอะไร?” ชาวางถุงในมือลงที่โซฟาแล้วเดินมาหาฉันที่เตียง“...ฉันเบื่อ”“เบื่อ? เบื่ออะไร”“..ฉันได้แต่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมของนายอะ ฉันอยากออกไปนั่นนี่นายก็ไม่ให้ฉันไป;(““อย่างอแงสิ ก็ท้องเริ่มใหญ่แล้วจะเดินจะทำอะไรก็ต้องระวัง”“จะตอนท้องใหญ่ไม่ใหญ่นายก็ให้ฉันอยู่แต่ห้องอะ... ทุกวันนี้ฉันจะคุยกับเพดานห้องนายแล้วนะ” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ชากลับหัวเราะแล้วเขยิบตัวมานั่งข้างๆฉัน“โอเคๆ^^ อยากไปไหนบอกมาเลย”“...จริงนะ ถ้านายหลอกฉันโกรธจริงด้วย”“จริง อยากไปไหนล่ะ” ฉันนั่งคิดอยู
.....กลิ่นแบบนี้ ไม่ชอบเลย... มันเป็นกลิ่นที่ฉันไม่เคยหนีมันพ้นสักครั้ง....กลิ่นโรงพยาบาล เอ๊ะ!O..o!! ฉันอยู่ที่โรงพยาบาลจริงๆด้วย ครั้งสุดท้ายที่จำได้คือ.. ฉันเหมือนจะหน้ามืดแล้วทุกอย่างก็ดับวูบไปรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว.ฉันมองไปรอบๆห้องก่อนจะเจอชานอนอยู่ที่โซฟา ฉันค่อยๆดันตัวขึ้น ยังคงมีอาการหน้ามืดนั่นอยู่หน่อยๆกึก~ เสียงขยับตัวทำให้เตียงส่งเสียงและมันคงไวต่อประสาทสัมผัสของชามาก ชาเลยตื่นขึ้นพอเขาเห็นฉันเขาก็รีบเข้ามาหาทันที“ทำไมไม่เรียกล่ะ”“..ฉันเห็นนายนอนอยู่ เลยไม่อยากกวนนะ”“ระวังๆสิ” ชาค่อยๆประคองฉันให้นั่งพิงหัวเตียง เขาดูเป็นห่วงฉันเหมือนฉันเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายยังไงยังงั้นเลย“ฉันไม่เป็นอะไร พอได้แล้ว” ชานิ่งแล้วหันไปลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงเขาหยิบมือฉันไปกุมแล้วเหมือนพยายามจะบอกอะไรสักอย่าง“..ฉันขอโทษ”“...ขอโทษ? ขอโทษเรื่องอะไร”“ขอโทษที่ไม่รู้อะไรเลย”“...นายพูดแบบนี้ฉันกลัวนะ ฉันเป็นอะไร? ...มะเร็งเหรอ?!”“นั่นปากหรือนั่นอ่ะ” ฉันโดนเขาบ่น ก็สรุปฉันเป็นอะไรล่ะพูดแบบนี้ฉันก็ใจไม่ดีดิ“ฟังฉันนะ”“อื้ม” ฉันกลืนน้ำลายหวังแค่ว่าตัวเองจะแค่พักผ่อนไม่พอหรือรางก