เลเน่ Talk
หลังจากที่ฉันจะต้องทนนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับไอ้พี่แบล็คจนพี่โลคาเดินออกไปตอนไหนก็ไม่รู้แล้ว อีพี่มันยังมีหน้ามาทิ้งฉันไว้คนเดียวแล้วออกไปกับผู้หญิงคนที่ฉันเจอเมื่อบ่ายนั้นอีก นอกจากจะทำให้ฉันไม่ได้ไปนั่งกับพี่โลคาแล้วยังมีหน้ามาไล่ฉันกลับคณะอีกด้วยนะ
นี่ถ้าไม่ติดว่าอาจารย์เรียกประชุมคณะของฉันนะ ป่านนี้ฉันก็คงไปนั่งรอเจอพี่เขาแล้ว ว่าแต่ทำไมอาจารย์ถึงได้มานัดประชุมที่นี่ละเนี่ย ก็ที่นี่มันเป็นโดมใหญ่มาก ทั้งที่เด็กปีสองอย่างฉันก็ไม่ได้มีจำนวนคนที่เยอะอะไรขนาดจะต้องมาประชุมที่โดมนะ
“ยัยเน่มานี่เร็ว!” เพื่อนร่วมห้องของฉัน ‘ยัยพิ้ง’ โบกมือไปมา พร้อมกับกวักมือเรียกฉันด้วยสีหน้าที่ยิ้มแป้นคล้ายกับคนบ้า ฉันกับยัยนี่ก็สนิทกันพอสมควร แต่ก็ไม่ได้สนิทเหมือนที่ฉันสนิทกับยัยด้านะ ประมาณแบบว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องงี้อะ พอจบคลาสก็คือแยกกันจบอะไรแบบนี้
ทำไมยัยนี่ดูทำหน้าดีใจเกินเบอร์มาก เธอถูกหวยหรือไงถึงได้ยิ้มหน้าแป้นซะขนาดนั้น
“มีอะไรอะยัยพิ้ง ฉันเห็นแกยิ้มจนเกือบจะเห็นฟันครบ 33 ซี่ละนะ” ฉันเอ่ยแซวมันไป
“32 ซี่ย่ะ ยัยบ้า!” ฉันยิ้มแก้เกอไปเมื่อเผลอพูดอะไรที่แสดงถึงความโง่ของตัวเองออกไป มันคงไม่รู้หรอกว่าฉันคิดว่าฟันมี 33 ซี่จริง ๆ TT’
“ว่าแต่อาจารย์นัดประชุดเรื่องไรอะ ทำไมจะต้องมาประชุมที่นี่ด้วย มันไม่ใหญ่ไปสำหรับชั้นปีของเราเหรอวะแก” แต่แล้วยัยนี่ก็ยิ้มอีกรอบ แถมรอบนี้ยังยิ้มไปบิดตัวไปอีก
“นี่แกอ่านไม่ครบบรรทัดอีกแล้วใช่ไหมถึงได้ไม่รู้ว่า คณะเรากับคณะวิทย์มีประชุมร่วมกัน แถมยังประชุมทุกชั้นปีอีกด้วยนะ!”
“ฮะ!” ฉันอุทานออกมาด้วยเสียงตกใจ ยอมรับว่าฉันไม่ได้อ่านจนจบ เพราะแค่เห็นคำว่าประชุมฉันก็กดออก แล้วฉันคิดว่าแค่ประชุมน่าเบื่อ ๆ แต่ไม่คิดว่าจะได้ประชุมกับคณะวิทย์ แถมยังทุกชั้นปีอีก แบบนี้ฉันก็มีโอกาสเจอพี่โลคานะสิ!
“อย่ามัวแต่ตกใจ พี่โลคาของฉันกับแกก็เข้าร่วมประชุมด้วยนะ กรี๊ดดดดดด!” แน่นอนว่ายัยนี่ก็ชอบพี่โลคา ซึ่งฉันกับมันมักจะตบตีกันตลอดเพื่อแย่งชิงตำแหน่งว่าที่เมีย
“ของฉันย่ะ!” พูดจบฉันก็สะบัดผมใส่มันก่อนจะรีบเดินเข้าโดมที่ใช้ประชุม ส่วนมันก็ส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างโมโหก่อนจะวิ่งเข้ามาเกาะแขนฉัน
และแล้วการประชุมก็จบลง ฉันไม่คิดว่าการประชุมกับคนเยอะ ๆ แบบนี้จะกินเวลาไปเยอะพอสมควร กว่าอาจารย์จะปล่อยกลับบ้านได้ก็เล่นซะมืดค่ำเลย ส่วนหัวข้อการประชุมก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากจะพานักศึกษาไปดูงานต่างประเทศ! และที่ฉันต้องมานั่งหงอยแบบนี้ก็เพราะฉันไม่เจอพี่โลคาเลย ฮือ
แถมนักศึกษาที่เข้าประชุมก็โคตรจะเยอะ จนฉันไม่สามารถมองหาใครได้เลยนอกจากยัยพิ้ง ที่นั่งตีหน้าเศร้าเช่นเดียวกับฉัน
นอกจากจะไม่ได้เจอว่าที่สามีในอนาคตแล้ว ยังต้องมานั่งฟังอาจารย์พูดอะไรก็ไม่รู้ยาวเหยียดอีก แต่ที่น่าสนใจคือการที่จะได้ไปศึกษาดูงานต่างประเทศร่วมกับคณะวิทย์นี่แหละ กรี๊ด
เห็นว่าเด็กวิทย์จะไปดูงานพอดี อาจารย์คณะฉันเลยคิดว่าคณะของฉันก็ควรไปด้วยเหมือนกัน เพราะจะได้พัฒนาภาษาของตัวเองด้วย นั่นเลยทำให้พวกคณะของเรากับของวิทย์ต้องไปพร้อมกัน แต่ที่แย่ที่สุดน่าจะสาขาฉัน เพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะว่าฉันเรียนสาขาภาษาไทยนะสิ
แน่นอนว่าฉันโง่อังกฤษมาก แถมที่ที่เราจะไปกันคือที่อเมริกา แม้ภาษาที่ใช้จะไม่แตกต่างจากภาษาสากลอย่างภาษาอังกฤษก็จริง แต่การออกเสียงต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย ฉันจะรอดไหมเนี่ย T^T
ถึงฉันจะได้ขึ้นชื่อว่าเรียนคณะเกี่ยวกับภาษาก็เถอะ แต่สาขาที่ฉันติดดันเป็นภาษาไทย เพราะงั้นถ้าเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างสาขาเกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศษ ฯลฯ แล้วละก็ ฉันนี่โง่สุดแล้ว (ฉันหมายถึงแค่ตัวฉันนะที่โง่ภาษาสุด ๆ)
“อ่าวยัยเน่ยังไม่กลับอีกเหรอ” ฉันที่กำลังยืนคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ก็ต้องสะดุ้งตัวตกใจเล็กน้อย เมื่อยัยด้าเดินเข้ามาทักฉันแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง แต่การมาของเธอก็ทำให้ฉันใจฟู่มาก เพราะมีพี่โลคามาด้วย ><’
“พี่หิวไหมคะ เดี๋ยวเน่จะได้ไปจัดโต๊ะให้” ฉันเดินเข้าช่วยพี่โลคาถอดเสื้อนอกออก จากนั้นก็ถือเสื้อนอกไว้ในมือตัวเอง พลางถามคนตรงหน้าที่เพิ่งกลับมาจากที่ทำงานเหนื่อย ๆพี่โลคาตอนนี้ขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแทนแม่พี่เขาแล้ว พ่วงด้วยดูแลมหา’ลัยแยกอีก แต่ดีที่การดูแลมหา’ลัยไม่ได้ลำบากมากนัก เพราะการเป็นอธิการบดีไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูแลทุกวันเหมือนกับโรงพยาบาล จึงไม่ใช่งานหนักอะไรพี่โลคาของฉันไม่ได้จบปริญาโทเท่านั้น แต่พี่โลคาใฝ่เรียนจนจบเด็กเตอร์เหมือนกับพ่อแม่ของตัวเองได้ในอายุที่ยังน้อย ส่วนฉันจบตรีได้ก็ถือว่าบุญมากแล้ว T^T“ครับ มานี่ก่อนเร็ว” ฉันเดินเข้าไปหาพี่โลคาด้วยสีหน้ายิ้ม ทุกครั้งที่พี่เขากลับมักจะอ้อนแบบนี้ตลอด ฉันรู้ดีว่าพี่เขาจะทำอะไร เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาพี่เขาก็มักจะทำแบบนี้เสมอเวลาที่กลับมาบ้านหรือว่าจะออกไปทำงานฟอด~ “หายเหนื่อยเลยครับ” ปากหวานตลอด ฉันไม่อยากจะบอกเลยว่ายิ่งอยู่กับพี่โลคานานขึ้นพี่โลคาก็มักจะทำอะไรที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเสมอ ไม่ว่าจะชอบชมฉัน ชอบเซอร์ไพรส์ทุกครั้งที่เป็นวันเกิดหรือวันครบรอบ เอาเป็นว่าพี่เขาโรแมนติกมากขึ้นเรื่อย ๆ เ
“รับผิดชอบยัยหนูด้วยการหมั้นไงละครับ” หมั้นอย่างนั้นเหรอ! “หา! หมะ...หมั้นเหรอคะ!” ฉันมองแม่พี่โลคากับพี่โลคาสลับกันไปมาด้วยความตกใจ “เรียนจบเมื่อไหร่แม่สัญญาว่าจะรีบจัดงานแต่งงานให้ไวที่สุดเลย เพราะงั้นหนูเลเน่รีบเรียนให้จบไว ๆ นะลูก ส่วนเรื่องมหา’ลัยถ้าหนูอยากกลับมาเรียนที่เดิมก็ไม่เป็นปัญหา แม่จะไปคุยกับพ่อพี่เขาให้เอง” เรื่องหมั้นฉันยังตกใจไม่หาย นี่มาเรื่องเรียนจบแล้วแต่งงานอีก ให้ตายเถอะ “เอ่อ...คือว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ หนูคงต้องขอคุยกับแม่ก่อนค่ะ” ฉันพูดออกไปด้วยความนอบน้อม เรื่องหมั้นเรื่องแต่งงานมันเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก แถมวันนี้แม่ฉันก็ไม่ได้มานั่งฟังด้วย เพราะงั้นฉันต้องไปเล่าให้แม่ฟังก่อน “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลย เดี๋ยวแม่จะไปคุยกับพราวเองจ้ะ” ฉันยิ้มให้แม่พี่โลคา แต่ภายในใจก็รู้สึกกังวลกลัวว่าแม่ฉันจะไม่ยอม เอาจริงแล้วฉันดีใจมากที่จะได้หมั้นกับพี่โลคา แต่แค่กลัวว่าที่พี่เขาทำแบบนี้มันจะเป็นเพราะโดนบังคับให้ทำหรือเปล่า พี่เขาเต็มใจใช่ไหม...เวลา 13.23 น. “พี่โลคาแน่ใจแล้วเหรอคะว่าอยากจะหมั้นกับเน่จริ
ผลั๊ก! เสียงกระชากเปิดประตูของฉันดังขึ้น เรียกความสนใจให้สองแม่ลูกที่นั่งอยู่ตรงโซฟาต่างหันมามองที่ฉันเป็นทางเดียว ฉันพยายามใช้มือลูบผมที่กำลังยุ่งให้ดูเรียบร้อยขึ้นแล้วเดินไปยกมือไหว้แม่พี่โลคาด้วยท่าทางเกร็ง แม่พี่โลคาเองก็พยักหน้ารับไหว้ฉันเหมือนกัน “หนะ...หนูอธิบายได้นะคะ ท่านกำลังเข้าใจผิด” ฉันพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก รีบเดินไปทางแม่พี่โลคาเพื่อจะอธิบายเรื่องนี้ไปในทางที่ดี แม้ฉันจะต้องโกหกท่านก็เถอะ แต่เพื่ออนาคตพี่เขาแล้วฉันจะทำตัวน่าสงสัยแบบนี้ไม่ได้ “ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น เห็นเต็มสองตาขนาดนี้ยังจะแก้ตัวอะไรได้อีก” แม่พี่โลคาพูดในขณะที่สายตายังคงจ้องหน้าลูกชายตัวเองด้วยความโมโห “ท่านคะ! เป็นความผิดหนูเองค่ะ คือ...คือหนูอะ...อ่อยพี่เขาค่ะ! หนูสัญญาค่ะว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก” ฉันวิ่งเข้าไปนั่งกอดขาแม่พี่โลคาพลางพูดรัวพูดมั่วไปหมด คิดอะไรได้ก็พูดเพื่อให้พี่โลคาไม่ซวย “ยัยหนู!/หนูเลเน่!” ฉันมองทั้งสองคนด้วยความงุนงง เนื่องจากทั้งสองต่างพากันเข้ามาจับฉันให้ยืนขึ้น “เลเน่ ทำไมหนูทำแบบนี้ละลูก” ฉันมึนเ
“อ๊า” ฉันนอนหอบหายใจเมื่อตัวเองได้ปลดปล่อยบางอย่างออกมา ฉันรู้สึกโล่งตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่เพียงแค่แป๊บเดียวเท่านั้น เพราะตอนนี้ฉันกำลังจะกลับมาเกร็งอีกรอบเมื่อเห็นว่าพี่โลคาขยับตัวลงมานั่งติดกับส่วนนั้นของฉัน “พะ...พี่โลคา” ฉันพูดด้วยเสียงหอบหมายจะห้ามพี่เขา แต่ทำไมเหมือนกับว่าตรงส่วนนั้นมันขยายใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมได้ล่ะ แถมมัยยังกระตุกขยับไปมาเล็กน้อยอีกด้วย “รู้ตัวไหมเวลาที่ยัยหนูนอนพูดด้วยสีหน้าแบบนั้นมันทำให้พี่มีอารมณ์มากขึ้นแค่ไหน” พี่โลคาชักรูดส่วนนั้นของตัวเองพลางมองหน้าฉันไปด้วย ไม่นานพี่โลคาก็ใช้แขนมาค้ำยันลงที่ข้างหูฉัน อีกมือก็จัดการจับเจ้าส่วนนั้นของพี่โลคามาถูที่น้องสาวสุดหวงของฉันไปด้วย “อือ ดะ...เดี๋ยวสิคะ” แม้ฉันจะร้องห้ามแต่ขาทั้งสองข้างของตัวเองกลับขยับออกห่างเองโดยอัตโนมัติ เพื่อให้สิ่งนั้นถูไถได้ง่ายขึ้น “ชอบเหรอครับ” พี่โลคายิ้มมุมปาก พลางก้มหน้าจ้องมองฉันที่กำลังใช้มือปิดปากตัวเองไว้เพราะไม่อยากส่งเสียงน่าเกลียดออกมา แต่ภายในใจจริง ๆ ก็กำลังก่นด่าตัวเองด้วยที่ดันไปขยับขาออกเพื่อรับสัมผัสอย่างน่าอับอาย “ส
“ปล่อย” ฉันพูดด้วยเสียงนิ่งและจริงจังเพื่อให้อีกคนรับรู้ว่าฉันไม่ได้พูดเล่น ส่วนพี่โลคานางก็เลิกยุกยิกกับฉันเลยเมื่อเห็นว่าฉันเริ่มจะไม่มีท่าทีเล่นแล้ว “ยัยหนู...” พี่โลคากอดเอวฉันจากทางด้านหลังไว้หลวม ๆ พลางเกยคางไว้บนไหล่ของฉัน จากนั้นนางก็เริ่มเรียกฉันแบบที่ชอบเรียกด้วยเสียงอ้อน “ออกไป เน่ขอร้อง” เสียงของฉันเริ่มจะสั่นเครือแล้ว ความรู้สึกของฉันมันเริ่มจะไม่เชื่อฟังตัวฉันซะแล้ว ยอมรับเลยว่าวันนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมาก แต่มันเป็นความสุขที่ฉันจะต้องเก็บเอาไว้ภายใต้จิตใจของฉัน ฉันพยายามแสดงออกให้พี่เขาเห็นมากที่สุดว่าฉันไม่ต้องการกลับไปยุ่งกับพี่เขาแล้ว “อย่าไล่พี่ ยัยหนูไม่รักพี่แล้วงั้นเหรอ” ฉันจุกกับคำพูดของพี่เขาจนตัวเองนั่งนิ่งเงียบไป ไม่รักงั้นเหรอ เหอะ! ถ้าฉันไม่รักพี่เขาฉันก็คงไม่ยอมให้ตัวเองมาทรมานแบบนี้หรอก “…” พี่โลคาจับฉันให้นั่งหมุนตัวหันไปตรงหน้าพี่เขา เราสองคนต่างมองตากันด้วยความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าอีกคนคิดอย่างไรกับเรา ใบหน้าพี่เขาเริ่มเลื่อนเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อย ๆ “คิดถึง” พี่
กลับไปก็ต้องรีบไปทำควิซอีก เพื่อเก็บคะแนนตรงนี้ให้เป็นคะแนนช่วยเวลาที่คะแนนสอบออกมาได้ไม่ดีอะไรแบบนี้ วิชานี้เป็นวิชาที่ยากมากพอสมควรเลยคอนโดเลเน่ พอฉันเปิดประตูเข้าไป จมูกก็ได้กลิ่นหอมออกมาจากทางห้องครัว ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ว่าใครเข้ามาในห้องของฉันถ้าไม่ใช่พี่โลคา ส่วนที่นางเข้ามาได้อย่างไรอันนี้ฉันคงไม่ต้องไปคิดให้ปวดหัว คงจะใช้อำนาจอีกนั่นแหละ “กลับมาแล้วเหรอครับ หิวไหม?” พี่โลคาหันกลับมามองฉันที่เดินตามกลิ่นหอมยั่วยวนนี้เข้ามาในห้องครัว ฉันแอบตกใจและแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นพี่โลคาในมุมที่ใส่ชุดแบบนี้ พี่เขาสวมผ้ากันเปื้อนลายกระต่ายสีชมพูของฉันอยู่นะสิ อยากขำนะแต่ต้องเก๊กหน้านิ่งเอาไว้ก่อน “ใครอนุญาตให้พี่เข้ามาทำอาหารในนี้กันคะ” ฉันยืนกอดอกพูดกับพี่เขาด้วยน้ำเสียงเข้มแบบที่พี่เขาเคยทำใส่ฉัน “พี่อนุญาตตัวเอง ไปนั่งรอก่อนจะเสร็จแล้ว” คนหน้ามึนพูดจบก็หันกลับไปทำกับข้าวต่อโดยไม่สนใจเลยว่าฉันยืนจ้องตาเขม็ง สุดท้ายฉันก็ต้องยอมแพ้ออกมานั่งเปิดโน้ตบุ๊กเพื่อทำควิซแทน “ยากจัง” ฉันนั่งทำควิซมาได้สักพักแล้วแต่ก็ยังไม่เ