น้องเพียงเริ่มเรียนออนไลน์อิสริยาจึงเลี่ยงมานอนพักเพราะเธอรู้สึกว่าตนเองคิดอะไรไม่เป็นเหตุเป็นผลพอ
‘ไม่น่ากินไวน์เลยเรา เมาง่ายก็น่าจะรู้’
เธอคิดโมโหตัวเอง โมโหมากเข้าก็หลับไปอีกครั้งแต่ก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“เอ๋ แกว่างไหมวันนี้ โทษทีนะแต่ฉันไม่รู้จะโทรหาใครจริงๆ ไอ้ติมมันกินยาตายน่ะ ฉันไปดูมันที่ห้องเพราะมันโพสแปลกๆ เลยพาส่งโรงบาลทัน”
ณาราเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกัน ที่ยังคงติดต่อกันทางไลน์กลุ่มเนืองๆ แต่ก็ห่างกันไปบ้างตั้งแต่ต่างคนต่างมีครอบครัว พูดถึงเพื่อนอีกคนคือติยากรว่าเธอกินยาเกินขนาด
อิสริยาหายงัวเงียทันที ในกลุ่มพวกเธอรู้กันดีว่าถ้าไม่หนักหนาจริงๆ จะไม่รบกวนกันแบบฉุกละหุกแบบนี้
“แกอยู่ไหน โรงพยาบาลไหนกันเดี๋ยวฉันไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
ครึ่งชั่วโมงต่อมาอิสริยาก็มาถึงโรงพยาบาลที่ติยากรพักรักษาตัว เธอพบว่าณารารออยู่แล้วด้วยอาการกระวนกระวาย เมื่อเธอไปถึงอีกฝ่ายก็โผเข้ากอดทันที
“แก หมอยังไม่ออกมาเลย ฉันกลัวไอ้ติมมันเป็นอะไรไปน่ะ”
อิสริยาลูบหลังเพื่อนพร้อมกับถามรายละเอียดทั้งหมด
“เมื่อเช้าฉันเห็นไอ้ติมมันโพสรูปโพรไฟล์เป็นสีดำสนิท ทักหามันก็ไม่อ่าน โทรหาไม่รับฉันเลยไปหามันที่คอนโดฯ”
ณาราไปแจ้งนิติบุคคลของคอนโดว่าเป็นห่วงว่าเพื่อนจะเกิดเหตุร้าย ขอคีย์การ์ดขึ้นไปเปิดห้อง เจ้าหน้าที่ที่คุ้นหน้ากันดีจึงตัดสินใจขึ้นไปด้วยโดยมีเจ้าหน้าที่ต้อนรับของคอนโดและพนักงานรักษาความปลอดภัยอีกหนึ่งคนขึ้นไปเป็นพยาน
หลังจากที่เปิดประตูห้องพักแล้วเธอเห็นเพื่อนนอนนิ่งที่โซฟา ใบหน้าขาวซีดคราบน้ำตาและมีร่องรอยถูกทำร้ายร่างกาย ไม่รู้ว่าเธอหมดสติไปนานแค่ไหนแล้ว ณาราสติแตกดีที่ยังมีเจ้าหน้าที่ที่ขึ้นไปด้วยช่วยกันนำติยากรส่งโรงพยาบาล ต่อมาจึงไล่โทรหาเพื่อนและอิสริยาเป็นคนเดียวที่เธอติดต่อได้ในขณะนั้น
“แกทำใจดีๆ ติมมันต้องไม่เป็นอะไร” อิสริยาปลอบเพื่อนทั้งที่ตัวเองก็ใจคอไม่ดี เธอไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนกันแน่
“ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คืนก่อนมันโทรหาฉันบอกว่าอยากมาหา ฉันก็ติดงานลูกค้าเลยบอกมันว่าแกก็มาสิ แต่มันก็ไม่มา” ณาราเล่าไปด้วยร้องไห้ไปด้วย อิสริยาเองก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าช่วงที่ผ่านมาเธอสนใจแต่เรื่องของตัวเอง แทบไม่ได้รู้เลยว่าชีวิตคนอื่นเป็นอย่างไร
“ฉันเองก็ผิด ฉันมัวแต่สนใจเรื่องตัวเองไม่รู้เลยว่าติมมันมีปัญหาอะไร” อิสริยาพูดขึ้นบ้าง
คุณหมอออกมาจากห้องฉุกเฉินพอดี
“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะย้ายขึ้นไปที่ห้องพัก ญาติไปติดต่อเรื่องห้องพักได้เลย”
ต่อมาเจ้าหน้าที่ย้ายติยากรเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้ว โดยที่คนไข้ยังมีสายระโยงระยางต่อกับอุปกรณ์การแพทย์หลายอย่างและยังไม่ฟื้น ที่มุมห้องอิสริยาคุยกับณาราอย่างเคร่งเครียด
“ฉันโทรไปบอกพ่อแม่ของติมแล้ว แต่พวกเขาบอกว่ายังมาไม่ได้”
ณาราพูดเสียงเบาเกรงว่าคนป่วยจะฟื้นมาได้ยิน ส่วนอิสริยาทำสีหน้าเข้าใจโดยที่ไม่พูดอะไร พวกเธอคบกันมานานจนรู้ว่าครอบครัวของเพื่อนแต่ละคนเป็นอย่างไร สำหรับบุพการีของติยากรคงใช้คำว่าพ่อแม่รักลูกทุกคนไม่ได้เพราะพวกเธอไม่เคยสัมผัสเห็น
“ไม่เป็นไร ถ้ามาแล้วไม่ดีก็ไม่มาดีกว่า” เธอออกความเห็น ณาราพยักหน้าเห็นด้วย
“ฉันก็ว่างั้น แต่ฉันโทรไปถามที่คอนโดฯ มาเผื่อมีเบาะแสว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทางนั้นก็ตอบว่าไม่รู้เลยเพราะเมื่อคืนก็ยังเห็นติมมันเดินเข้าห้องไปกับแฟนมันปกติ”
“เออ ละนี่แฟนมันไปไหน แกติดต่อได้ไหม เขารู้หรือยังว่าติมมัน...” อิสริยานึกขึ้นได้ว่าเพื่อนมีคนรักที่คบกันมานานราวสองปี พวกเธอเคยได้เจอกันครั้งสองครั้งในงานเลี้ยงรุ่น
“ไม่รู้จะติดต่อทางไหน ฉันก็ถามไปที่คอนโดว่าติดต่อแฟนมันให้หน่อย เขาบอกว่าไม่มีคอนแท็กต์เพราะห้องนั้นเป็นห้องติมมัน มันเป็นคนติดต่อกับนิติคนเดียวตั้งแต่ทำเรื่องซื้อ ส่วนแฟนมันเพิ่งไปๆ มาๆ ปีนี้เอง”
ทั้งสองคุยมาถึงตรงนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงคิดว่าเรื่องคนรักของติยากรคงต้องปล่อยไปก่อน จังหวะนั้นเองที่โทรศัพท์ของเธอดังขึ้นเพราะสกนธีโทรเข้ามา หญิงสาวจึงนึกได้ว่าเธอบอกเขาไว้ว่าได้เรื่องอย่างไรจะโทรบอก
“ผัวโทรมาใช่ไหม ไปรับสายก่อนก็ได้ ฉันเองก็จะโทรบอกแฟนเหมือนกัน” เพราะห่วงเพื่อนณาราเองก็ลืมคนรักเช่นกัน
“ค่ะ” เธอลุกมาอีกมุมและกดรับสายสกนธี
“เอ๋อยู่ตรงไหน เพื่อนเป็นไงบ้างครับตอนนี้”
“ติมปลอดภัยแล้วค่ะ ตอนนี้เพิ่งย้ายเข้าห้องพัก”
“ห้องไหนครับ เดี๋ยวพี่ขึ้นไปหา”
เธอบอกตึกและเลขห้องไปอย่างงงๆ ยังไม่ทันถามอะไรต่อสกนธีก็วางสายไป และอีกห้านาทีต่อจากนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้อง ณาราเป็นคนลุกไปดู หญิงสาวเปิดประตูเชิญให้สามีเพื่อนเข้ามาเพราะรู้จักกันดีอยู่แล้ว
“สวัสดีค่ะพี่เก่ง มารับเอ๋เหรอคะ”
“พี่มาเยี่ยมติมครับ เป็นยังไงบ้างต้องแจ้งตำรวจไหม” เขาถาม ตัวสกนธีเองก็ค่อนข้างตกใจที่ทราบเรื่อง เพราะเขาก็รู้จักติยากรมาเป็นสิบปีในฐานะเพื่อนสนิทของแฟนสาว ชายหนุ่มเดินมาหยุดยืนใกล้ๆ กับเก้าอี้ตัวที่อิสริยานั่งอยู่
“คงไม่ต้องค่ะ เพราะติมน่าจะกินยาเองหรือว่าเราควรแจ้งคะ” อิสริยาเองก็ไม่แน่ใจ ส่วนณาราเองก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อนจึงยังตัดสินใจไม่ได้
“ถ้ามีร่องรอยที่สงสัยว่าน่าจะถูกทำร้ายร่างกาย หมอคงแจ้ง แต่พี่ว่าถ้าจะให้ชัดเจนแจ้งความก่อนก็ได้ หรือว่าเราจะรอติมฟื้นก่อน”
นายแพทย์เจ้าของไข้มาพอดี สกนธีจึงปรึกษาหมอเรื่องนี้
“ถ้าญาติติดใจแจ้งความก็ได้ครับ เจ้าหน้าที่จะได้มาพิสูจน์ว่าคนไข้กินยาเองหรือว่ามีใครอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า ส่วนรอยแผล รอยช้ำตามตัวของคนไข้ ยังไม่ได้ตรวจละเอียดแต่เบื้องต้นคิดว่าน่าจะเกิดในช่วงเวลาใกล้เคียงหรือก่อนที่คนไข้กินยาไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมง”
ณาราและอิสริยามองหน้ากัน หากรอครอบครัวของติยากรพวกเธอคิดว่าคงไม่ได้เรื่อง แต่เธอจำได้ว่าคดีทำร้ายร่างกายหากไม่มีทนายจัดการให้เจ้าทุกข์ก็ต้องไปแจ้งความดำเนินคดีด้วยตัวเอง
“พี่มีทนายแนะนำเรื่องนี้ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ให้ทนายจัดการดีกว่า” สกนธีบอกออกมาในที่สุด
สิบปีต่อมา “พ่อขา หนูขอไปเรียนต่อที่มช.นะ พ่อให้หนูไปนะคะ” สุพิชชาในวัยสิบแปดปีเต็ม เธอเป็นเด็กสาวที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านเป็นผู้ใหญ่แล้วอ้อนขอบิดาในเรื่องเรียน “อืม... พ่อว่า” สกนธีคิดหนัก เขาเป็นพ่อที่ขึ้นชื่อว่าหวงลูกสาวทั้งสองคนมาก โดยเฉพาะคนโตที่กำลังเป็นสาวสะพรั่ง จะทำใจปล่อยให้ไปอยู่ไกลขนาดนั้นได้อย่างไร “หนูยื่นคะแนนผ่านแล้วหรือยังลูก” อิสริยาถามแทน“ผ่านแล้วค่ะแม่สาขาแอนนิเมชันและวิชวลเอฟเฟกต์ อาทิตย์หน้าต้องไปสัมภาษณ์ รอบรับตรงคะแนนผ่านยี่สิบคนรับสิบห้าค่ะ” “งั้นเดี๋ยวพ่อแม่ไปด้วย” สกนธีตัดสินใจ ในวัยของลูกเขาเองก็ผ่านมาแล้ว รู้ว่าไม่ควรห้ามและปิดกั้นลูกไม่ให้ออกไปเผชิญโลกภายนอก“พิงค์ไปด้วยค่ะ” สโรชาวิ่งลงมาจากบันไดทันได้ยินพอดี “ไปกันหมดบ้านล่ะ ถ้าน้องเพียงสอบผ่านเราก็หาบ้านไว้ที่นั่นสักหลังนะคะพี่เก่ง” อิสริยาสรุป“เย้... ดีใจจังเราจะมีบ้านที่เชียงใหม่แล้ว” ดูเหมือนว่าลูกสาวคนเล็กจะดีใจกว่าคนที่ขอไปเรียนเสียอีก สกนธีมองลูกแล้วส่ายหน้าไปมาด้วยความเอ็นดู แม้ว่าเขาเองจะมีความใจหายลึกๆ ว่าอีกหน่อยลูกจะโตกันหมดแล้วก็ตามห้าวันต่
หนึ่งปีต่อมา“เราจะซื้อไปทำไมคะแม่ ดอกไม้พวกนี้” น้องเพียงในวัยแปดขวบถามหลังจากที่ช่วยมารดายกถุงใส่พวงมาลัยสดขนาดยาวสามเมตรขึ้นรถ“เอาไปไหว้เหล่ากงไงลูก” น้องเพียงทำหน้านึก “อ๋อ... ไปเชงเม้งเหรอคะแม่”“ใช่จ้ะลูก บ้านเราไปกันพรุ่งนี้” เพราะว่าครอบครัวของอิสริยาเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ดังนั้นในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายนจะเป็นช่วงเทศกาลเชงเม้งหรือการไปไหว้บรรพบุรุษ สมาชิกทุกคนในครอบครัวจะต้องไปพร้อมหน้าพร้อมตากันไม่ว่าจะเป็นเสี่ยกวงและภรรยา ลูกชาย ลูกสะใภ้ ลูกเขย และบรรดาหลานๆโดยที่ปีนี้ครอบครัวของอิสริยาจะเอารถไปเอง โดยที่เธอนัดกับคนอื่นๆ ไว้ว่าให้ไปเจอกันที่สุสานที่จังหวัดสระบุรีในช่วงสายได้เลย เช้าวันนั้นเด็กๆ ตื่นเต้นที่จะได้ไปต่างจังหวัดจึงพากันตื่นเร็วทั้งพี่ทั้งน้อง อิสริยาให้พี่เลี้ยงลูกตามไปหนึ่งคนเพื่อคอยดูเด็กๆ ในช่วงที่ทำพิธีไหว้เมื่อจัดของขึ้นรถเรียบร้อยแล้วในตอนเช้า ยังไม่ถึงหกนาฬิกาดีรถยนต์เจ็ดที่นั่งก็เคลื่อนตัวออกเดินทาง สกนธีเพิ่งเปลี่ยนมาใช้รุ่นนี้เมื่อต้นปีเพราะมันเป็นรถรุ่นครอบครัว เหมาะกับบ้านที่มีสมาชิกหลายคน “ลูกอมกาแฟหน่อยไหมคะ
“คุณพ่อขา แม่จะต้องอยู่ข้างในนานไหมคะ” เด็กหญิงสุพิชชากระตุกมือคุณพ่อของเธอที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องผ่าตัด“เดี๋ยวคุณแม่ก็ออกมาลูก” สกนธีจูงมือลูกสาวพามานั่งรอด้วยกัน “หนูหิวหรือยังคะ ไปหาอะไรกินก่อนไหมพ่อพาไป” ชายหนุ่มมองเวลา จากที่คุณหมอแจ้งไว้น่าจะพอมีเวลานิดหน่อยพาลูกไปหาอะไรรับประทาน“หิวค่ะ แต่หนูอยากรอแม่” เพราะว่าเด็กหญิงเพิ่งกลับจากโรงเรียนก็ตรงมาที่โรงพยาบาลเลย “ไปกินก่อนลูก กว่าแม่จะผ่าตัดเสร็จกว่าจะขึ้นห้องพัก” ชายหนุ่มบอกลูกสาว กำลังจะพาเด็กหญิงไปชั้นล่างแต่คุณนายอิสรีย์เดินมาถึงเสียก่อน“น้องเพียงไปกับอาม่าก็ได้ลูก เก่งรอดูเอ๋เถอะเดี๋ยวแม่พาน้องเพียงไปเอง” “ขอบคุณครับม้า” สกนธีขอบคุณแม่ของภรรยาที่มาช่วยดูแลหลาน หลังจากที่อันธิกาเป็นคนไปรับหลานจากโรงเรียนมาส่งหาพ่อแม่ที่โรงพยาบาล“แล้วนี่เอ๋จะทำหมันด้วยเลยไหม” นางถามต่อ“ไม่ทำครับ เดี๋ยวผมทำเอง” แม่ยายชะงักมองหน้าลูกเขย ก่อนจะยิ้ม “ดี ทำหมันก็เจ็บตัวเพิ่มแค่ผ่าคลอดก็เจ็บพอแล้ว ขอบใจนะ” หาได้น้อยบ้านที่ผู้ชายจะยอมเป็นฝ่ายทำหมัน เนื่องจากมองกันว่าไหนๆ ฝ่ายหญิงก็คลอดลูกอยู่แล้ว ควรจะทำหมันไปด
อิสริยาและสกนธีจรดปลายปากกาลงในทะเบียนสมรสต่อหน้านายทะเบียนที่เชิญมานอกสถานที่ ทั้งสองผลัดกันเซ็นแล้วนายทะเบียนลงนามและตรวจสอบความเรียบร้อยดีแล้ว จากนั้นจึงมอบให้คู่บ่าวสาวเก็บไว้ถือคนละฉบับวันนี้เป็นวันแต่งงานอีกครั้งของสกนธีและอิสริยา ซึ่งจัดเป็นพิธีแบบครึ่งวันไม่มีงานเลี้ยงเย็นเนื่องจากเจ้าสาวตั้งครรภ์อยู่ ไม่สะดวกเข้าพิธีที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนานแขกที่พวกเขาเชิญมาร่วมงานมีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นคนสนิทหรือญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมวงการทั้งสิ้น งานจัดแบบสบายๆ เป็นงานแต่งงานในสวน ตามตารางเวลาจะมีพิธีเลี้ยงภัตตาหารและหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ พิธีส่งตัว จบที่การเชิญแขกร่วมรับประทานมื้อเที่ยงแบบเป็นกันเอง“รักกันนานๆ ดูแลกันไปตลอดนะลูก” คุณธิดาให้พรเป็นคนแรกในการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวอีกครั้งเพื่อเป็นสิริมงคลคู่บ่าวสาวในงานแต่งงานครั้งที่สองของลูกชายคนเดียว“พ่อขอให้ครอบครัวร่มเย็นเป็นสุข ทำอะไรเจริญก้าวหน้านะลูก เด็กๆ แข็งแรง พระเจ้าอวยพรลูก” ตามด้วยคุณศิริหลั่งน้ำสังข์พร้อมกับให้พรและมีเงินขวัญถุงใส่ซองให้บ่าวสาวคู่บ่าวสาวก้มลงไหว้คนทั้งสอง “ขอบคุณค่ะคุณแม่คุณพ่อ” “ขอบคุณครับพ่อแ
คดีของติยากรคืบหน้าอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มไปในทางดี เพราะว่าทนายติดต่อไปยังอดีตแฟนสาวอีกคนของเคน และได้รับทราบถึงพฤติกรรมที่ไม่ต่างกันกับที่ติยากรได้พบ นอกจากนั้นในอีกส่วนซึ่งเป็นคดีของสกนธีเองก็มีการได้คุยกับเพื่อนร่วมวงการหลายคน และพบว่าเคนไม่ได้ทำกับสกนธีเป็นคนแรก ดังนั้นจึงมีการรวบรวมผู้เสียหายหลายคนรวมฟ้องกันเป็นหลายกระทง ต่างกรรมต่างวาระและมูลค่าความเสียหายสูงถึงหลายสิบล้านคดีของติยากรและผู้เสียหายคนอื่นๆ ที่คดีที่เกี่ยวกับการแบล็กเมล ข่มขู่ ทำร้ายร่างกายและกรรโชกทรัพย์นั้น ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วและได้ตัดสินให้เคนจำคุกทั้งหมดสี่ปีสิบสองเดือน และเสียค่าปรับอีกสามแสนบาทและมีคำสั่งห้ามเข้าใกล้โจทก์ในระยะห่างที่ศาลกำหนดจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ซึ่งศาลได้รับอุทธรณ์ตามขั้นตอน นั่นหมายความคดีจะต้องยืดเยื้อไปอีกนาน ในส่วนคดีของสกนธีศาลได้ประทับรับฟ้องเคนเป็นจำเลยที่หนึ่ง และผู้มีส่วนรู้เห็นเป็นจำเลยที่สองและสามอีกหลายคน ซึ่งคดีของสกนธีเป็นคดีที่มีมูลความผิดและอัตราโทษที่รุนแรงไม่แพ้กัน คือคดีปลอมแปลงเอกสารราชการซึ่งถือเป็นความผิดอาญามีโทษทั้งจำและปรับทีมกฎหมายของคดีที่สกน
การก่อสร้างห้างใหม่กว่าจะแล้วเสร็จใช้เวลาหนึ่งปีพอดี ในวันเปิดงานหลังเทศกาลขึ้นปีใหม่ปีถัดมา นั้นก็เป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลองเข้าศกใหม่และย้ายโกดัง สำนักงานและสินค้าทั้งหมดเข้าห้างใหม่ไปในเวลาเดียวกันกรรมการบริหาร หุ้นส่วน พนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อสร้างล้วนถูกเชิญให้มาร่วมในงานทำบุญเปิดห้างเพื่อเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นศักราชใหม่ ซึ่งรวมถึงอิสริยาและสกนธีกับทีมงานของเขาก็มาร่วมงานในวันนี้เช่นกัน“แม่ขาหนูสวยยังคะ” น้องเพียงในวัยหกขวบหมุนตัวไปมาให้มารดาดู เธอสวมชุดเจ้าหญิงฟูฟ่องสีชมพูที่เธอร้องอยากได้และคุณพ่อเป็นคนซื้อให้ตามสัญญา“สวยแล้วค่ะ อยู่นิ่งๆ ก่อนนะคะ รอพระสวดเสร็จก่อนลูก” หญิงสาวปรามลูกไม่ให้ขยับตัวไปมาเยอะจนเป็นการรบกวนคนอื่นให้เสียสมาธิในการรับพร“หนูจะไปหาคุณพ่อ” ว่าแล้วเธอก็วิ่งปรู๊ดไปหาสกนธีที่กำลังคุยกับเสี่ยกวงและอังกูร พ่อและพี่ชายของภรรยา“ขอบใจมากนะอาเก่ง ลื้อเก่งจริงๆ ดูสิเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้” เสี่ยกวงขอบใจพ่อของหลานสาวที่เป็นธุระเรื่องการสร้างห้างใหม่ให้ชายหนุ่มก้มศีรษะน้อมรับคำชมนั้น ซึ่งไม่ใช่เขาคนเดียวที่ทำให้งานสำเร็จลงได้ การก่