ตอนที่ 7 Part อดีต...เป็นแฟนกันนะ
สวนสาธารณะ 18:30 น. (สิ้นเดือน ก.ค 20XX) หลังจากกินข้าวกันเรียบร้อยแล้ว เขาก็ขับรถพาฉันมาที่สวนสาธารณะของหมู่บ้านฉัน ว่าจะมาเดินย่อยอาหาร รับลมตอนเย็นกัน วันนี้พ่อแม่ฉันท่านบอกว่าจะกลับดึกเพราะต้องไปงานสมาคมเพื่อการกุศลของเพื่อนท่าน ส่วนพี่ชายฉันก็ไม่แน่ใจว่ากลับถึงบ้านหรือยังช่วงนี้ชอบกลับบ้านดึกๆ บางวันก็ไม่กลับเลยก็มี ไม่รู้ว่าไปติดสาวที่ไหนหรือเปล่า เขาจับมือฉันเดินมาเรื่อยๆโดยไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากของเราทั้งคู่เลย แต่น่าแปลกที่มันไม่ได้รู้สึกอึดอัดเลยซักนิด อากาศยามเย็นค่อนข้างสดชื่น มีลมพัดมาตลอด ผู้คนต่างทำกิจกรรมของตัวเอง บางคนเดินออกกำลังกาย บางคนปั่นจักรยานเล่น สวนสาธารณะที่นี่ค่อนข้างกว้างขวาง มีสระน้ำเป็นคลองธรรมชาติ และมีเก้าอี้เหล็กยาวตามจุดต่างๆให้นั่งชมดื่มด่ำกับบรรยากาศ เขาจูงมือพาฉันเดินมานั่งที่เก้าอี้ริมสระน้ำ นั่งไปได้ซักครู่เขาก็พูดขึ้นมา “ในชีวิตนี้พี่อยากทำอะไรมากที่สุดครับ” ฉันหันไปมองเขาครู่นึง “อืมมม..คงอยากใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการมั้ง อยากลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ อยากแต่งตัวแบบไหนก็แต่ง ไปเที่ยว กินข้าว ดูหนัง ใช้ชีวิตได้อย่างมีอิสระเสรี แต่คงได้แค่คิดแหละ บางทีเราก็ทำอย่างที่ใจปราถนาทุกอย่างไม่ได้” ฉันยิ้มขื่นให้กับชีวิตตัวเอง แล้วหันไปมองผิวน้ำเบื้องหน้า …End Ingfah Kawintra… Dandin Jirayu talk… ผมหันไปมองเธอที่ทำหน้าซึมมองไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า แล้วถามต่อ “ทำไมถึงคิดงั้นล่ะครับ” “ก็เพราะว่าทั้งชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่จำความได้เราไม่เคยได้ใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการเลยน่ะสิ แม่สั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำตาม ห้ามถาม ห้ามสงสัยเพราะสิ่งที่ท่านเลือกให้ย่อมดีที่สุดแล้ว” เธอตอบออกมาเสียงเศร้า โดยไม่ได้หันมามองผมขณะพูด ตั้งแต่ได้รู้จักและโทรคุยกันมาตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน ถึงมันจะไม่ได้นานอะไร แต่ผมก็พอจะรู้มาบ้างว่าเธอเหนื่อย และอึดอัดแค่ไหน เธอต้องอ่านหนังสืออย่างหนักทุกวัน ต้องเรียนพิเศษทุกวัน แทบไม่มีวันได้หยุดพักสมอง ไม่ค่อยได้ไปเที่ยว ไปกินข้าวสังสรรค์กับเพื่อนฝูงเท่าไหร่ เธอเคยบอกผมว่าความจริงแล้วเธอไม่ได้อยากเป็นหมอเลย เธออยากเรียนนิเทศทำงานเบื้องหลังโฆษณา แต่เธอไม่กล้าบอกครอบครัวเธอ กลัวแม่ของเธอจะผิดหวัง และหาว่าไร้สาระ เธออยากให้แม่เธอมีความสุขถึงแม้จะขัดกับความต้องการของตัวเองก็ไม่เป็นไร พอผมเห็นเธอทำหน้าเศร้าก็คิดว่าเปลี่ยนเรื่องคุยน่าจะดีกว่า “ไม่เอาละ เราไม่พูดเรื่องเศร้ากันละ เปลี่ยนเรื่องกันดีกว่าเนอะ” เธอหันมายิ้มให้ผมนิดๆ “อื้อ เอาสิคะ” “แล้วพี่เกลียดอะไรที่สุดอะครับ” ผมถามไปอย่างไม่รู้จะถามอะไร ก็อย่างที่รู้แหละผมมันเป็นคนคุยไม่ค่อยเก่ง ไม่รู้จะหาอะไรมาพูดคุยกับเธอดี ซึ่งเธอก็เป็นคนคุยไม่ค่อยเก่งเหมือนกัน ถ้าไม่ชวนคุยก่อน ทีนี้ก็ลำบากว้าวุ่นเลย ฮ่าๆ…. จริงๆผมก็อยากรู้ด้วยนั่นแหละ ผมสนใจทุกอย่างที่เป็นเธอ อยากรู้ว่าเธอชอบ หรือไม่ชอบอะไร ผมก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าจะสนใจเรื่องของเธออะไรขนาดนั้นทั้งที่เมื่อก่อนไม่ได้คิดจะชอบหรือคิดจะจีบเธอเลยด้วยซ้ำ “สิ่งที่เกลียดหรอ อืมมม” เธอทำท่าคิดครู่หนึ่ง “เราเกลียดการโดนคนไกล้ชิดหักหลังอะ เกลียดการโดนโกหก เราไม่ชอบความรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นคนโง่ เราว่าเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ เพราะเราให้ใจใครเราให้เต็มร้อยเสมอ” “แล้วถ้าโดนคนไกล้ชิดหักหลังงี้ หรือโดนโกหกพี่จะทำไงอะ จะแก้แค้นไหม?” ก็ไม่รู้เหมือนกันทำไมผมถึงถามไปแบบนั้น ก็คงอยากรู้แหละมั้ง ว่าเธอจะจัดการยังไงต่อ “เราก็คงเกลียด ไม่อยากจะพูดหรือมองหน้าคนๆนั้น และจะไม่มีวันให้อภัยคนแบบนี้เด็ดขาด ส่วนเรื่องแก้แค้นเราว่าไม่จำเป็นอะ เพราะเราไม่ได้อยากยุ่งอะไรด้วยอยู่แล้ว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ผมกลืนน้ำลายลงคอไปอึกนึง แต่ก็นะผมไม่ได้จะหักหลังหรือโกหกเธอซะหน่อย จะประหม่าตื่นกลัวไปทำไมก็ไม่รู้ “น่ากลัวจังเลยนะครับ แต่ผมสัญญานะผมจะไม่มีวันโกหกพี่เด็ดขาด….ด้วยเกียรติของลูกเสือเลยอะ” ผมยืดตัวขึ้นพร้อมชูสามนิ้วขึ้นมาทำท่ายืนยัน ท่าทางของผมทำให้เธอหลุดหัวเราะออกมา “ทำอะไรของเธอเนี่ยยย ฮ่าๆๆ” คนอะไรยิ้มแล้วสวยชะมัดผมชอบดูเวลาเธอยิ้มมากๆ จนไม่อยากละสายตาไปไหนเลย “เพราะผมคงทนไม่ได้ ถ้าพี่ต้องเกลียดผม” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและผมก็คิดแบบที่พูดจริงๆ เราสองคนสบตากันเนิ่นนาน เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งที่ตรงนี้มีแค่เราสองคน ท้องฟ้าเริ่มมืด มีเพียงแสงไฟสลัวจากหลอดไฟเล็กๆบางจุดในสวนสาธารณะที่ส่องสว่างเข้ามา พอให้ได้เห็นใบหน้าซึ่งกันและกันได้จัดเจน ผมมองริมฝีปากเธออยู่หลายครั้ง ปากเธอชมพูธรรมชาติน่าสัมผัสจังว่าจะนุ่มแค่ไหน คิดได้ดังนั้นผมก็ค่อยๆโน้มหน้าเข้าไปไกล้ใบหน้าเธอ ไกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจซึ่งกันและกัน “ผมขอจูบพี่ได้มั้ยครับ” ยังไม่ทันได้ฟังคำอนุญาตหรือปฏิเสธผมก็ขยับริมฝีปากประกบเข้ากับปากเธอ แขนข้างนึงรวบเอวบางเข้ามาแนบชิด ส่วนอีกข้างจับอยู่ที่ท้ายทอยเธอเพื่อไม่ให้ขยับหนีและปรับองศาของใบหน้าให้รับจูบได้ถนัดยิ่งขึ้น ผมขบเม้มริมฝีปากบน สลับกับล่างไปมา ก่อนจะส่งลิ้นชื้นเปิดปากบาง ค่อยๆสอดแทรกลิ้นเข้าไปควานหาความหวานจากปากของเธอ ตวัดลิ้นกวาดต้อนหยอกล้อลิ้นเธอไปทั่วโพรงปาก แล้วดูดดึงลิ้นเธอเบาๆ ‘หวานมากปากเธอชั่งหวาน นุ่ม ละมุน ชวนหลงไหลเป็นที่สุด’ ผมคิดในใจ ทั้งๆที่เธอเป็นจูบแรกของผมแต่มันทำให้ผมรู้สึกดีมาก และตราตรึงใจเป็นที่สุด “อืมมม..จุ๊บบบ..จ๊วบบบ” เราสองคนจูบกันเนิ่นนานก่อนผมจะตัดใจค่อยๆผละออกจากเธออย่างยากลำบาก อยากจูบต่ออีกแต่กลัวเธอจะขาดอากาศซะก่อน หลังจากผละจูบออกจากกัน เธอก็หันหน้าหนีและก้มหน้าลงเล็กน้อย แขนข้างเดิมผมยังคงกอดตัวนุ่มนิ่มเธอไว้อยู่ คนอะไรหอมไปหมดจนอยากกอดไว้นานๆอีกหน่อย “พี่อิงฟ้าครับ” ผมเรียกเธอพร้อมกับใช้มืออีกข้างจับคางเธอเบาๆให้หันหน้ามามองสบตากัน “เป็นแฟนกันนะครับ เป็นแฟนผมนะ” เธอมองหน้าผมเงียบๆ โดยยังไม่ได้ตอบตกลงในทันที จนผมเริ่มใจเสีย “ดินแน่ใจแล้วใช่ไหม...ถ้าเราคบกันแล้ว ดินจะไม่เปลี่ยนไปใช่ไหม แล้วดินจะมีคนอื่นอีกหรือเปล่า” เธอถามผมอย่างเนิบนาบ จ้องหน้าผมอย่างรอคำตอบ ผมส่งยิ้มอบอุ่นให้เธอก่อนจะลูบหัวเธอเบาๆ “ผมไม่เคยแน่ใจอะไรเท่านี้มาก่อนพี่คือผู้หญิงคนแรกที่ผมรู้สึกดีด้วย ผมสัญญาว่าผมจะไม่เปลี่ยนไปครับและจะมีแค่พี่คนเดียว ผมชอบพี่นะ และเหมือนจะชอบมากขึ้นไปเรื่อยๆทุกๆวัน” ผมมองตาเธอหวานซึ้งและพูดอย่างที่ใจคิด “ตกลงค่ะ เราจะเป็นแฟนกับดิน” เยสสส….ในที่สุดเธอก็ตอบตกลง พร้อมกับยิ้มออกมาเผยให้เห็นเหล็กดัดฟัน ‘น่ารัก น่ารักที่สุดเลยว่ะ ตอนนี้ในสมองผมมีแต่คำนี้เต็มหัวไปหมด’ ผมยิ้มกว้างดีใจที่เธอตอบตกลง แล้วดึงเธอมากอดไว้แนบอก ก่อนจะหอมไปที่หัวเธอ และหอมแก้มสูดเอาความหอมเข้าปอดอีกฟอดใหญ่ ’เห้อ ชื่นใจจัง’ “ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆที่ยอมตกลงเป็นแฟนผม” ผมพูดออกไปพร้อมยิ้มกว้าง หลังจากนั้นผมก็ขับรถพาเธอกลับไปส่งที่บ้านของเธอตอนพิเศษ4 เดือนผ่านไปแว๊ อุแว๊ อุแว๊!!!! แอ้!!!!!เสียงแฝดน้อยส่งเสียงร้องพร้อมกันในห้องทำงานกว้าง ซึ่งตอนนี้ได้กลายมาเป็นสถานที่เลี้ยงเด็กไปเป็นเรียบร้อยแล้ว“ ใจเย็นๆครับลูก นมหม่ำๆกำลังมาแล้วนะครับ…โอ๋ๆไม่ร้องนะคะคนสวยของพ่อจ๋า ” มือข้างนึงของผมก็อุ้มลูกสาวโยกไปมา ส่วนอีกข้างก็ไกวเปลให้ลูกชายไปด้วยที่ผมต้องพาลูกมาทำงานด้วยเพราะมีเอกสารด่วนที่ต้องเซ็น ส่วนพี่เลี้ยงสองแฝดก็ลาหยุดหนึ่งวันกลับมาตอนเย็น คุณแม่คนสวยอย่างอิงฟ้าก็มีเคสพิเศษเข้ามาพอดี อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้นใช่ไหมล่ะครับ แต่ก็นั่นแหละครับมันเป็นไปแล้วและตอนนี้ผมกำลังรอนมแม่ที่ให้ไอ้ทิวไปอุ่นอยู่ อิงฟ้าเธอค่อนข้างเก่งมาๆทีแรกน้ำนมไม่ค่อยเยอะเธอก็สรรหาของอะไรมาบำรุงเยอะแยะเต็มไปหมดผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ซักเท่าไหร่ เวลาเมียใช้ให้ไปซื้ออะไรก็หาอยู่นานทีเดียว“ ไอ้ทิวโว้ยยยย!!! ได้หรือยังวะ ลูกกูจะกินชาตินี้นะเว้ยไม่ใช่ชาติหน้า ” พอผมตะโกนว่าไอ้ทิวไปแบบนี้ลูปผมหยุดร้องไปทันที แล้วพากันมองมาที่ผมตาแป๋ว“ ได้แล้วๆ…ท่านรอง ต่อหน้าเด็กไม่ควรพูดคำหยาบนะครับ ถ้าคุณอิงฟ้ามาได้ยินท่านรองจะโดนบิดหูชาเหมือนวันนั้นนะครับ ”ใช่ครับที่
ตอนที่38 END….เจ้าสองแฝดหลังจากเพื่อนๆกลับไปกันหมดแล้ว ฉันก็มานั่งจับมือดินแล้วก็เอาไดอารี่ที่เขาเขียนไว้ขึ้นมาอ่านไปด้วยเริ่มตั้งแต่เล่มแรก เขาเป็นคนละเอียดใส่ใจเหมือนกันนะเนี่ย มีรูปฉันแปะหน้าสมุดทุกเล่มแถมมีเลขเขียนติดมาด้วยว่าเล่มไหนเป็นเล่มที่เท่าไหร่[ ถึงที่รักของดิน…อิงฟ้า]วันนี้เป็นวันที่เราตัดสินใจบอกเลิกอิงแต่รู้ไหมว่าเราเจ็บปวดมากแค่ไหนยิ่งเห็นตอนอิงร้องไห้ ใจเรามันเหมือนจะขาดตาม ที่เราพูดไปทั้งหมดวันนี้มันไม่จริงเลย อิงมีค่ากับดินมากที่สุดแต่เป็นดินเองที่ไม่ดี ดินอยากบอกให้อิงรู้ว่าอิงมีความหมายและสำคัญกับดินมากนะดินไม่เคยอยากเลิกกับอิงเลยแต่ดินไม่มีทางเลือกดินไม่อยากให้อิงเกลียดดินดินรักอิงนะ…รักมากที่สุด…รักมากกว่าชีวิต….....ดิน....ฉันอ่านไปก็ร้องไห้ไปดินเขียนไว้หมดทุกช่วงเวลาตลอด7ปีที่ผ่านมา แม้กระทั่งตอนที่เขาเรียนมหาลัยแล้วเขาเดินผ่านฉันเขาก็ยังเขียนไว้หมดเขาคงเจ็บปวดมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งฉันเองก็ไม่ต่างกัน กว่าที่ฉันจะผ่านมาได้แต่ละวันมันช่างยากลำบาก ‘และฉันไม่เคยรู้เลยว่าเขาจะรักฉันได้มากขนาดนี้ทุกเล่มที่เขียนเขามักจะลงท้ายด้วยคำว่า รักมากกว่าชีวิต ทุกหน
ตอนที่37 บันทึกแดนดิน3วันต่อมาฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับภาพเหตุการณ์นั้นย้อนกลับเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ มันทำให้ฉันรู้ว่าฉันได้เสียเขาไปแล้วตลอดกาลจริงๆ ‘แดนดิน จิรายุ’ ผู้ชายคนเดียวที่ฉันรักหมดหัวใจ และไม่รู้ว่าจะสามารถรักใครได้เท่าเขาอีกหรือเปล่า แล้วเขายังฝากตัวแทนของเขาอีกหนึ่งชีวิตไว้กับฉันด้วย“ดิน ฮึก” ฉันตื่นขึ้นมามองไปบนเพดานห้องถึงได้รู้ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงคนไข้ที่โรงพยาบาล“อิงฟ้าลูก ฟื้นแล้วหรอ” ทันทีที่แม่กับพ่อเห็นฉันขยับตัวก็รีบลุกจากโซฟามาดูฉันทันที“แม่คะ ฮือออ พ่อคะ…ดินอยู่ไหนคะ ฮึก”“ใจเย็นๆนะลูกร่างกายเพิ่งจะฟื้นตัวอย่าขยับเยอะ ไม่ห่วงตัวเองก็เป็นห่วงหลานแม่กับพ่อบ้าง”“พะ พ่อแม่รู้แล้วหรอคะ?” ฉันเบิกตากว้าง เงยหน้ามองพ่อกับแม่“ใช่…พ่อเป็นหมอนะทำไมพ่อจะไม่รู้” พ่อลูบหัวฉันพูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม“ลูกท้องกับดินใช่ไหม หลานแม่ไม่ใช่ลูกของเสือใช่ไหมยัยอิง” แม่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่มีดุหรือด่าเลยซักคำ“...” ฉันได้แต่ก้มหน้าร้องไห้เงียบๆ แต่ทันใดนั้นก็มีคน เคาะประตู แล้วเปิดเข้ามา ฉันเคยเห็นพวกเขาผ่านจอทีวีมาบ้าง แต่ยังไม่เคยเจอตัวจริงก็อกๆ ก็อกๆ คลืดดดดดดเป็นพ่อ แม่ น้องช
ตอนที่36 ขอร้อง ได้โปรดกลับมา“เห้ยยย ไอ้ดิน / อ๊ายยย / กรี๊ดดด” เสียงผู้คนอื้ออึงหลากหลายเสียง แต่สำหรับฉันเหมือนโลกแตกสลายหูดับไปชั่วขณะ“ไม่ๆๆ ดินทำแบบนี้ทำไม มาบังอิงไว้ทำไม ฮือๆๆ” ฉันร้องไห้นั่งกอดเขาราวกับจะขาดใจ“ไอ้คินเอารถออกเร็ววว” เสียงพี่เสือวิ่งมาหาฉัน “อิงๆเป็นอะไรรึเปล่า” พี่เสือถามด้วยความร้อนรน“มะ ไม่ค่ะ แต่ดิน ฮืออ! ดินลืมตามามองอิงก่อนนะห้ามหลับเด็ดขาดเลยนะ”แล้วพวกเพื่อนดินก็พากันมาแบกดินขึ้นรถ ฉันก็นั่งไปกับเขาโดยที่เขาหนุนตักฉัน“ไม่ เป็นไร นะ ดะ ดินไม่เจ็บเลย อย่าร้องไห้ เพราะ ดินอีกเลย นะ” ดินเอ่ยด้วยน้ำเสียงพร่าเบาหวิวเอ่ยปลอบฉันที่เอาแต่กอดเขาร้องไห้“ไม่นะดิน ดินห้ามเป็นอะไรไปเด็ดขาด อิงยังรักดินอยู่นะ รักมาตลอด ดินห้ามตายไม่งั้นอิงจะไม่รักดินแล้ว ฮึก ฮือออ”“ดิน ก็ รักอิงนะ อิงฟ้า ระ รักมากกว่า ชะ ชี…” เสียงเขาขาดห้วงไปในตอนท้ายมือของเขาจากที่จับแก้มฉันอยู่ก็ตกลงข้างลำตัวนิ่งสนิทไป“ไม่ๆๆไม่นะดิน ลืมตามาคุยกับอิงสิ ฮือๆ แล้วอิงจะอยู่ยังไง ลูกของเราเค้าก็ต้องการดินนะ ฮือๆๆ!” ฉันเพิ่งตรวจพบเมื่อวานนี้เอง ว่าฉันท้อง น่าจะได้เดือนกว่าๆแล้ว เพราะตั้งแต่วันนั้น
ตอนที่35 ทำไมทำแบบนี้วันนี้เป็นวันเลี้ยงฉลองก่อนวันหมั้นจะเกิดขึ้นในอีกสองวันของฉัน และพี่เสือ ซึ่งฉันก็ได้เชิญเพื่อนทุกคนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมและมหาลัย วันนี้เป็นงานเลี้ยงแบบปิดรู้กันเฉพาะเพื่อนและคนรู้จักเท่านั้น เรามาจัดกันที่ผับของพี่คินกัน ถึงจะเป็นงานเลี้ยงแบบปิดแต่คนก็ยังเยอะอยู่ดีมีประมาณ 30 กว่าคนทั้งเพื่อนฉันเพื่อนพี่เสือ แล้วฉันก็ยังเชิญกลุ่มของน้องกันต์มาด้วย ซึ่งในนั้นก็มีแดนดิน แต่ไม่รู้ว่าเขาจะมาหรือเปล่านะ“ยินดีด้วยค๊าาเพื่อนสาว เผลอแปปๆก็จะมีสามีก่อนเพื่อนคนอื่นๆซะแล้ว” พวกเพื่อนฉันต่างมายืนล้อมวงชนแก้วฉัน“ยังๆ สามงสามีอะไร คู่หมั้นก็พอไหม แกก็เวอร์เกิน” ฉันว่าให้ยัยกิ๊ฟ ที่พอเมาแล้วพูดเก่งกว่าใครเพื่อนเลย“เอาน่าอีกไม่กี่เดือนก็เป็นสามีแล้ว” ใช่ค่ะ ที่เพื่อนพูดก็มีส่วนถูก เพราะเราหมั้นกัน แล้วอีกสามเดือนก็จะเกิดงานแต่งขึ้นซึ่งมันไวมาก จนฉันก็แทบจะตั้งรับไม่ทันเพราะพวกผู้ใหญ่เค้าคุยและจัดการกันเองฉันเพิ่งจะมารู้เรื่องก็วันที่แม่โทรมาบอกให้ฉันไปลองชุดงานหมั้นที่บ้านนั่นเอง “เฮ้อ!!” ฉันได้แต่ถอนหายใจ“เป็นไรแก ไม่มีควาทสุขหรอจะได้หมั้นกับพ่อหนุ่มเทพบุตรเชียวนะ” ยัยแ
ตอนที่34 ทรมานจนไม่รู้จะอยู่ยังไงหลังจากปรับความเข้าใจกับอิงฟ้า ผมก็หอบสังขารกับใจที่แตกสลายกลับมาบ้านด้วยใจที่แสนจะเจ็บปวด ผมไม่มีวันได้เธอคืนมาจริงๆแล้วสินะ เธอใจแข็งกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ ผมคิดว่าถ้าผมได้บอกความจริงกับเธอไปแล้ว เธอจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ผมคิดผิด เธอยังคงยืนยันจะหมั้นกับผู้ชายคนนั้น ผมก็คงทำได้เพียงแค่ยินดีกับเธอขอให้เธอไม่เจ็บปวดเหมือนตอนคบกับผม และดูจากสายตาทุกครั้งที่ผู้ชายคนนั้นมองอิงฟ้ามันเต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น หวังว่าเขาจะทำให้เธอมีความสุขมากกว่าคนอย่างผมมาถึงบ้านผมก็หมกตัวอยู่แต่บนห้องนอน ในห้องผมจะมีห้องทำงานแยกออกไปอีก มีโซฟากลางห้องและมีทีวีจอยักติดผนังอยู่ซึ่งผมก็นั่งตรงนั้น ตรงโซฟาตัวยาวกลางห้องทำงาน จอภาพยังคงฉายวนซ้ำๆกับคลิปวิดิโอต่างๆที่ผมชอบถ่ายเก็บไว้เวลาผมกับอิงฟ้าใช้เวลาอยู่ด้วยกัน วันๆผมก็มักจะมาหมกตัวอยู่แต่ในห้องนี้ตลอด และเขียนไดอารี่ถึงเธอทุกครั้งที่คิดถึงผมนั่งกระดกเหล้าลงคอไม่รู้เป็นแก้วที่เท่าไหร่แล้ว เหม่อมองวิดิโอตอนที่เราไปเที่ยวทะเลและเล่นน้ำด้วยกันซ้ำๆ มันเล่นวนไปมาตั้งแต่เมื่อคืนจนตอนนี้ก็เช้าแล้ว ผมก็ยังไม่ลุกไปไหน[ ถึงท