แสงแรกของวันส่องผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ เธอรู้สึกถึงไออุ่นของแสงแดดที่ทอดผ่านม่านบางๆ ลงบนใบหน้า เสียงนกร้องแผ่วเบาในยามเช้าช่วยปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากการหลับใหล
เธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตายังปรับตัวกับแสงที่เริ่มจ้า เธอหันไปมองแมวตัวโตเต็มวัยที่นอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ใกล้โต๊ะ มันกำลังหายใจสม่ำเสมอเหมือนกำลังหลับลึก
“นี่คือผู้ช่วยของฉันเหรอจริงๆเหรอเนี่ย” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆพลางถอนหายใจ
ทันใดนั้น ดวงตาสีเหลืองทองของแมวตัวนั้นก็ลืมขึ้น และเอซก็ยืดตัวขึ้นอย่างเกียจคร้านก่อนจะหาว
“อย่าคิดว่าฉันไม่ได้ยินที่เธอพูดนะ” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่แฝงไปด้วยความขบขัน “และใช่ ฉันคือผู้ช่วยของเธอ แต่ถ้าเธอยังสงสัย ฉันก็ไม่ว่าอะไร เราจะได้พิสูจน์กันวันนี้แหละ ว่าเธอสมควรได้รับความช่วยเหลือจากฉันหรือเปล่า”
เวสเปอร์ขมวดคิ้ว เธอพยายามจะไม่ใส่ใจกับคำพูดกวนๆของเอซมากนัก และลุกขึ้นไปล้างหน้าเตรียมตัวสำหรับวันใหม่
หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย เวสเปอร์พบว่าเอซกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเล็กในท่าที่ดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง ดวงตาของมันจับจ้องเธอราวกับกำลังประเมิน
“พร้อมจะเริ่มหรือยัง” เอซถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พร้อมสิ” เวสเปอร์ตอบ แม้ในใจจะยังคงกังวล แต่เธอรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอื่น
เอซกระโดดลงจากโต๊ะ มันเดินนำเธอออกจากห้องไปยังพื้นที่ฝึกซ้อมที่ชานเมือง ซึ่งเธอเคยใช้เมื่อวานนี้
เมื่อทั้งคู่มาถึงลานกว้างที่เต็มไปด้วยเศษซากของอาคารเก่า เอซกระโดดขึ้นไปนั่งบนกำแพงที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว มันหันมามองเธอด้วยสายตาที่ดูเหมือนครูผู้เคร่งครัด
“ไปยืนกลางลาน” เอซสั่งทันทีที่ทั้งคู่เดินทางมาถึงลานฝึก
ฝึกวันที่3 แสงแดดอ่อนๆเริ่มแรงขึ้นตามกาลเวลา เวสเปอร์ยืนอยู่กลางลานกว้าง สายลมเย็นพัดเบาๆสัมผัสกับผิวหน้า เธอสูดลมหายใจลึกเพื่อสงบจิตใจ ก่อนจะเงยหน้ามองแมวลายขาวเทาที่นั่งอยู่บนกำแพงต่ำๆไม่ไกล
เอซกวาดสายตามองเธออย่างเฉยเมย ดวงตาสีเหลืองทองฉายแววเจ้าเล่ห์ มันยกขาหน้าขึ้นทำความสะอาดขนอย่างไม่รีบร้อน
“นี่ ฉันพร้อมแล้วนะ” เวสเปอร์พูดขึ้น เธอไม่อยากให้แมวตัวนี้คิดว่าเธอกำลังลังเล
“พร้อมเหรอ?” เอซหยุดเลียขนก่อนจะหันมาจ้องเธอ “ฉันไม่แน่ใจว่าเธอเข้าใจคำว่าพร้อมจริงๆหรือเปล่า”
เวสเปอร์ถอนหายใจ “อย่ากวนได้ไหม ฉันจริงจังนะ”
เอซหัวเราะเบาๆก่อนจะกระโดดลงจากกำแพงและเดินตรงมาหาเธอ “โอเค งั้นเริ่มกันเลย แต่ก่อนอื่น ฟังฉันให้ดี เพราะถ้าเธอไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันจะสอน เราจะเสียเวลากันทั้งคู่”
“พลังของเธอไม่ได้เป็นเพียงแค่สกิลที่ระบบบอกให้ใช้ แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของตัวเธอ” เอซเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มันเหมือนกับการหายใจ เธอไม่จำเป็นต้องคิดถึงมัน แต่มันก็ยังเกิดขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติ”
“แต่ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย” เวสเปอร์พูดขึ้น “ทุกครั้งที่ฉันใช้พลัง มันเหมือนกับว่าฉันต้องผลักพลังออกมา มันรู้สึกเหมือนฉันกำลังบังคับบางสิ่ง”
“นั่นแหละคือปัญหา” เอซตอบทันที “เธอพยายามควบคุมพลังเหมือนมันเป็นสิ่งแปลกปลอม ทั้งที่จริงๆแล้วมันเป็นส่วนหนึ่งของตัวเธอ สิ่งที่เธอควรทำคือปล่อยให้มันไหลไม่ใช่ผลักมันออกไป”
เวสเปอร์พยักหน้า แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด
“ลองนึกถึงลมหายใจของเธอสิ” เอซกล่าวต่อ “เธอไม่จำเป็นต้องบังคับให้ตัวเองหายใจใช่ไหม พลังของเธอก็เหมือนกัน ถ้าเธอพยายามผลักมันออกไปมากเกินไป เธอจะหมดแรงเร็ว และที่แย่กว่านั้น เธอจะไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างละเอียด”
“งั้นเริ่มจากสกิลที่ง่ายที่สุดของเธอ Time Fracture” เอซพูดขณะเดินวนรอบเธอ “ฉันต้องการให้เธอใช้มัน โดยไม่ผลักพลังออกไป แต่ปล่อยให้มันไหลผ่านตัวเธอเหมือนลมหายใจ”
เวสเปอร์พยักหน้า เธอสูดลมหายใจลึก หลับตาลง และพยายามดึงสมาธิมาที่ตัวเอง
“อย่าฝืน” เสียงของเอซดังขึ้นเบาๆ “ลองรู้สึกถึงพลังในตัวเธอ มันเหมือนแม่น้ำที่ไหลผ่านตัวเธออยู่ตลอดเวลา เธอไม่จำเป็นต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่ เพราะมันมีอยู่แล้ว”
เธอพยายามทำตามคำแนะนำ แต่ความกังวลในใจทำให้เธอยังรู้สึกเหมือนต้องบังคับพลัง
“หยุดก่อน” เอซร้อง “เธอยังผลักมันออกมาอยู่ เธอรู้สึกไหมว่าพลังมันกระแทกตัวเธอเอง”
เวสเปอร์ลืมตาขึ้นและพยักหน้า “ใช่ มันเหมือนฉันกำลังฝืน”
“เพราะเธอยังไม่เข้าใจว่าเธอควรจะปล่อยไม่ใช่ดัน” เอซถอนหายใจ “ลองใหม่ คราวนี้ลืมเรื่องการควบคุมไปเลย ลองแค่รู้สึกถึงมัน”
เวสเปอร์หลับตาลงอีกครั้ง คราวนี้เธอพยายามไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น เธอปล่อยให้ลมหายใจของเธอเป็นตัวนำจังหวะ เธอรู้สึกถึงบางสิ่งในตัวเธอ มันเหมือนกระแสไฟฟ้าที่ไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด
“ดีมาก” เอซกล่าวเบาๆ “นั่นแหละ เธอเริ่มรู้สึกถึงมันแล้ว”
“Time Fracture” เธอเอ่ยคำเรียกสกิล
เวลารอบตัวเธอเริ่มช้าลงอย่างช้าๆแต่คราวนี้เธอรู้สึกได้ถึงความต่าง พลังของเธอไม่ได้ถูกผลักออกไปเหมือนเมื่อก่อน มันเหมือนกับว่าเธอเพียงเปิดประตูให้พลังไหลออกมาเอง
เธอขยับตัวไปข้างหน้า ร่างกายของเธอเบากว่าเดิม เธอสามารถเคลื่อนไหวได้แม่นยำมากขึ้น แต่เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
หลังจาก Time Fracture หมดลง เวสเปอร์ลืมตาขึ้น เธอหอบเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับหมดแรง
“นั่นแหละที่ฉันต้องการเห็น” เอซกล่าวด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ “เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่าเธอไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับพลังของตัวเอง”
“แต่มันยังไม่สมบูรณ์ใช่ไหม” เวสเปอร์ถาม
“แน่นอน ยังไม่สมบูรณ์” เอซตอบ “แต่เธอกำลังไปในทางที่ถูกต้อง การฝึกวันนี้จะช่วยให้เธอเริ่มสร้างความสัมพันธ์กับพลังของเธอ”
เวสเปอร์ยิ้มเล็กๆ เธอรู้สึกถึงความก้าวหน้าที่ชัดเจน
หลังจากที่พลัง Time Fracture หมดลง เวสเปอร์ลืมตาขึ้น เธอยืนอยู่กลางลานกว้าง ลมหายใจยังคงถี่เล็กน้อยจากการฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เธอรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้า
“ดีมาก” เอซกล่าว พลางกระโดดขึ้นไปนั่งบนก้อนหินใกล้ๆมันยกหางสะบัดไปมาอย่างพึงพอใจ ดวงตาสีเหลืองทองจ้องมองเธอเหมือนอาจารย์ที่กำลังประเมินนักเรียน
“แต่ยังไม่จบแค่นี้” เอซกล่าวต่อ “สิ่งที่เธอทำไปเมื่อกี้ก็แค่พื้นฐาน ฉันต้องการให้เธอควบคุมพลังได้ดีกว่านี้”
เวสเปอร์พยักหน้า เธอรู้ว่าความสามารถของตัวเองยังอยู่ในระดับเริ่มต้น แม้เธอจะรู้สึกถึงพลังที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเธอแล้ว แต่การใช้งานมันอย่างละเอียดและแม่นยำยังเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถทำได้
“ต่อจากนี้ไป เราจะฝึกเรื่องความแม่นยำ” เอซกล่าว พร้อมกับกระโดดลงมาจากก้อนหิน “ถ้าเธอไม่สามารถใช้พลังของเธออย่างแม่นยำ เธอก็จะไม่มีทางใช้มันในสถานการณ์จริงได้ และนั่นหมายความว่าเธอจะไม่มีทางรอดในโลกนี้”
เอซเดินวนรอบตัวเธอเหมือนนักวิเคราะห์ มันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงจัง
“ฟังนะ เวสเปอร์ พลังของเธอเป็นเรื่องของเวลา มันไม่เหมือนพลังโจมตีทั่วไปที่แค่สร้างความเสียหาย เธอต้องคิดวิเคราะห์และวางแผนทุกครั้งที่ใช้มัน”
“แต่ฉันคิดว่าฉันเริ่มเข้าใจแล้วนะ” เวสเปอร์ตอบ “เมื่อกี้ฉันก็สามารถใช้มันได้ดีขึ้นนี่นา”
เอซส่ายหัว “การชะลอเวลาแค่พอให้ตัวเองขยับได้น่ะยังไม่พอ เธอต้องสามารถกำหนดเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ควบคุมระยะเวลาและผลกระทบของมัน ไม่งั้นเธอจะเสียพลังไปเปล่าๆและในสถานการณ์จริง นั่นหมายถึงชีวิตของเธอ”
คำพูดของเอซทำให้เวสเปอร์นิ่งคิด เธอรู้ว่ามันพูดถูก
เอซเดินไปหยิบก้อนหินขนาดพอเหมาะด้วยปากและกระโดดกลับมาวางไว้ตรงหน้าเวสเปอร์
“โอเค คราวนี้ลองจับก้อนหินนี้ให้ได้ แต่มีเงื่อนไขคือ ฉันจะโยนมันขึ้นไปในอากาศ และเธอต้องใช้ Time Fracture ให้ช้าพอที่จะจับมันได้โดยไม่ทำพลังหมดเร็วเกินไป”
“มันต่างจากที่ฉันทำเมื่อกี้ยังไง” เวสเปอร์ถาม
“ต่างตรงที่ฉันจะโยนมันเร็วขึ้นกว่าเดิม และฉันจะเปลี่ยนทิศทางทุกครั้งที่โยน เธอต้องไม่เพียงแค่จับมันได้ แต่ต้องควบคุมพลังให้แม่นยำพอที่จะประหยัดพลังงานด้วย”
เวสเปอร์สูดลมหายใจลึก เธอพยักหน้าและตั้งท่าเตรียมพร้อม
เอซใช้หางของมันจับก้อนหินและโยนก้อนหินขึ้นไปบนอากาศด้วยความเร็วที่เร็วกว่าปกติ เวสเปอร์เอ่ยคำเรียกสกิลทันที
“Time Fracture!”
เวลารอบตัวชะลอลงอีกครั้ง ก้อนหินที่พุ่งขึ้นไปในอากาศเริ่มเคลื่อนที่ช้าลง เธอพุ่งตัวไปข้างหน้าเพื่อจับมัน แต่เมื่อมือของเธอสัมผัสกับมัน สกิลก็หมดลง
“พลังเธอหมดเร็วเกินไป!” เอซตะโกน “อย่าใช้พลังเต็มที่ตั้งแต่แรก เริ่มจากการควบคุมแค่เล็กน้อยก่อน”
เวสเปอร์พยายามอีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้งเธอยังรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมพลังให้ได้นานพอ ก้อนหินมักจะตกลงก่อนที่เธอจะทันจับมันได้
“ฉันทำไม่ได้…” เธอกล่าวพร้อมกับทรุดตัวลงกับพื้น เหงื่อไหลท่วมใบหน้าด้วยความเหนื่อยล้า เพราะฝึกติดกันมาหลายชั่วโมงแล้ว
เอซเดินเข้ามาใกล้ มันจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ไม่แสดงความสงสาร “ฟังนะเวสเปอร์ การล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเธอหยุดตอนนี้เธอก็จะไม่มีวันพัฒนาเหมือนในอดีต แต่ถ้าเธอลุกขึ้นและลองใหม่ เธอจะก้าวไปอีกขั้น”
คำพูดของเอซทำให้เวสเปอร์เงยหน้าขึ้น แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่เธอก็รู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่น
ในครั้งต่อมา เวสเปอร์เริ่มเปลี่ยนวิธี เธอไม่ได้ผลักพลังออกมาเต็มที่เหมือนเดิม แต่พยายามใช้พลังเพียงบางส่วนเพื่อชะลอเวลาให้นานขึ้น
“Time Fracture”
เวลาชะลอลงอีกครั้ง เธอเห็นก้อนหินเคลื่อนที่ช้า เธอพุ่งตัวไปข้างหน้า คราวนี้เธอสามารถจับมันได้ทันก่อนที่สกิลจะหมด
เอซพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดีมาก นี่แหละคือสิ่งที่ฉันอยากเห็น เธอเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้พลังอย่างมีประสิทธิภาพ”
“ฉันทำได้แล้ว!” เวสเปอร์พูดด้วยความดีใจ
“ใช่ แต่ยังไม่พอ” เอซตอบทันที “เธอต้องทำให้มันสมบูรณ์แบบ ทุกครั้งที่เธอใช้พลัง มันต้องเป็นไปตามที่เธอตั้งใจ และต้องไม่มีความผิดพลาด”
เมื่อเวลาผ่านไป เวสเปอร์ยังคงฝึกฝนภายใต้การดูแลของเอซ เธอเรียนรู้ที่จะใช้พลังของตัวเองอย่างละเอียดขึ้น เข้าใจถึงการควบคุมและการประหยัดพลัง
ในช่วงท้ายของวัน เธอสามารถจับก้อนหินได้อย่างแม่นยำในทุกครั้งที่เอซโยน
“ดีมาก” เอซกล่าวพร้อมกับกระโดดขึ้นไปนั่งบนกำแพงอีกครั้ง “วันนี้เธอแสดงให้ฉันเห็นว่าเธอพร้อมที่จะเรียนรู้ ฉันหวังว่าเธอจะรักษาความมุ่งมั่นนี้ไว้ในวันพรุ่งนี้”
เวสเปอร์ยิ้มเล็กๆแม้จะเหนื่อยล้า แต่เธอรู้สึกถึงความก้าวหน้าที่ชัดเจน
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เวสเปอร์เดินกลับห้องเช่าพร้อมกับเอซที่เดินตามหลัง ความเหนื่อยล้าจากการฝึกฝนทั้งวันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกท้อแท้ ตรงกันข้าม มันทำให้เธอรู้ว่าเธอกำลังเดินหน้าไปในทางที่ถูกต้อง
“ขอบคุณนะ เอซ” เธอกล่าวเบาๆ
“ไม่ต้องขอบคุณ ฉันก็แค่ทำหน้าที่ของฉัน” เอซตอบ แต่ในน้ำเสียงนั้นมีความพึงพอใจแฝงอยู่
ในคืนนั้น เวสเปอร์นอนหลับไปพร้อมกับความหวังใหม่ในใจ และการรอคอยบทเรียนใหม่ในวันถัดไป
หลังจากกลับมาถึงห้องพัก เวสเปอร์และเอซต่างปล่อยตัวเองลงบนโซฟา ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการฝึกที่หนักหน่วงในวันนั้น ขณะที่เอซนั่งอยู่บนพนักโซฟา เขายังคงใช้ดวงตาสีทองอันแหลมคมจับจ้องเธอเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างเวสเปอร์หันไปมองเขาด้วยความสงสัย “นายมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า”“ฉันกำลังคิดว่า…การฝึกในลานฝึกอย่างเดียวมันไม่พอ” เอซตอบ“นายคิดว่าไม่พอเหรอ แต่ฉันรู้สึกเหมือนจะตายอยู่แล้วนะ” เวสเปอร์พูดพลางหัวเราะเบาๆ“เธออยากจะเป็นแค่ผู้อเวคแรงค์ F ไปตลอดชีวิตไหมล่ะ” เอซถามเสียงเย็นคำพูดของเขาทำให้เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ความจริงที่เจ็บปวดทำให้เธอไม่มีคำตอบ“ถ้าเธออยากพัฒนา เธอต้องก้าวออกจากเขตปลอดภัย และเผชิญหน้ากับความเป็นจริง” เอซพูดต่อ “ดันเจี้ยนคือสถานที่เดียวที่จะทำให้เธอเข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง”เวสเปอร์ถอนหายใจ เธอรู้ว่าเอซพูดถูก แม้ความคิดที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับดันเจี้ยนอีกครั้งจะทำให้เธอหวั่นใจ แต่ลึกๆแล้วเธอรู้ว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องทำ“ก็ได้…งั้นเราจะไปดันเจี้ยนกัน” เวสเปอร์ตอบในช่วงบ่ายของวันถัดมา เวสเปอร์และเอซใช้เวลาจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง พวกเขาเ
แสงอ่อนๆจากดวงอาทิตย์ในยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างห้องพัก เสียงนกร้องคลอเคล้าสายลมเย็นๆที่พัดผ่านม่าน เวสเปอร์ลืมตาขึ้นพร้อมความรู้สึกที่เต็มไปด้วยพลังใหม่ ร่างกายของเธอยังคงรู้สึกตึงเล็กน้อยจากการฝึกหนักและการต่อสู้ในดันเจี้ยนเมื่อวันก่อน แต่ในใจของเธอกลับเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นเอซที่เปลี่ยนไปเป็นร่างแมวนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ดวงตาสีทองของมันจ้องมองเธอพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ“ตื่นแล้วสินะ” เอซพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ “ฉันคิดว่าเธอคงจะนอนยาวไปทั้งวัน”เวสเปอร์หัวเราะเบาๆ “นายก็รู้ว่าฉันนอนไม่ได้นานขนาดนั้น ยังมีอะไรอีกเยอะที่ต้องทำ”“งั้นก่อนจะเริ่มวันใหม่ ลองเปิดระบบดูสิ” เอซพูดขึ้น “ฉันอยากเห็นว่าพลังของเธอเปลี่ยนไปมากแค่ไหน”เวสเปอร์พยักหน้าและยกมือขึ้นเรียกหน้าต่างระบบ ข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าที่เห็นได้ชัด[ข้อมูลผู้อเวค]ชื่อ: เวสเปอร์ มอนต์ทีร่าแรงค์: Fพลังหลัก: การควบคุมเวลา (Chronokinesis) ค่าประสบการณ์ (EXP) : 0/500พลังชีวิต (HP) : 160/160 (+20 จาก Crystal of Timeflow) พลังเวท (MP) : 400/400 (+40 จาก Crystal of Timeflow) พลังโจมตี (ATK) : 22 (+4
หลังจากที่เวสเปอร์และเอซเดินออกมาจากสนามต่อสู้อันโหดร้าย ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์และบอสในดันเจี้ยน แม้พวกเขาจะออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย แต่ความตึงเครียดยังคงลอยอยู่ในอากาศเสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากระยะไกล เงาของกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ปรากฏขึ้นภายใต้แสงจันทร์ โลโก้สีทองของ กิลด์เซเลสเทียร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิลด์ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งผู้อเวคสะท้อนกับแสงจางๆ“ให้ตายเถอะ ดันมาเจอจนได้” เอซพูดพร้อมรอยยิ้มเยาะเวสเปอร์หันไปมองกลุ่มคนที่กำลังใกล้เข้ามา ท่าทางของพวกเขาดูจริงจังและเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพท่ามกลางกลุ่มผู้อเวคที่มากับกิลด์เซเลสเทียร์ หญิงสาวคนหนึ่งดึงดูดสายตาของทุกคน เธอก้าวเดินอย่างมั่นคงด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยอำนาจและเสน่ห์ที่ไม่อาจละสายตาได้เธอคือ แคลร์ คาเซลิน ประธานของ สมาพันธ์อเวคสมาพันธ์ที่คอยควบคุมดูแลกิลด์ต่างๆทั่วโลก ความสง่างามของเธอทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างต้องหลบสายตาด้วยความเกรงขามแคลร์มีเรือนผมสีแดงสดที่ยาวสยายถึงกลางหลัง มันเปล่งประกายเหมือนเปลวไฟที่ไม่อาจดับได้ ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทำให้ผู้ที่จ้องมองรู้ส
ยามเย็นที่เงียบสงบพัดผ่านร่างของเวสเปอร์และเอซขณะที่พวกเขาเดินทางกลับห้องพัก แสงสีส้มอ่อนของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ซ่อนเร้นความลึกลับบางอย่างในเงามืด“วันนี้ฉันทำได้ดีไหม” เวสเปอร์เอ่ยถาม ขณะที่ขยับแขนที่รู้สึกเมื่อยล้าจากการฝึกหนัก“ก็ดี…ในแบบของมือใหม่” เอซตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียนกึ่งจริงจัง“ขอบคุณสำหรับคำชมที่เหมือนกำลังเหน็บแนม” เวสเปอร์พูดพร้อมกลอกตาทั้งสองเดินผ่านพื้นที่เปิดโล่งที่เป็นทางลัดกลับห้องพัก บรรยากาศดูเงียบสงบจนผิดปกติ ทันใดนั้น ลมแรงกว่าปกติพัดผ่าน ทำให้ต้นไม้รอบๆโยกไหว เสียงแหลมแปลกประหลาดดังขึ้นจากท้องฟ้ารอยแยกสีดำสนิทปรากฏขึ้นกลางอากาศ ท้องฟ้าที่เคยอบอุ่นกลับกลายเป็นมืดมน เงามืดที่แผ่ออกมาจากรอยแยกนั้นดูเหมือนจะกลืนกินทุกสิ่ง เวสเปอร์หยุดเดิน หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก“เอซ…นั่นมัน…”“ดันเจี้ยน” เอซตอบ ดวงตาสีทองของมันจับจ้องไปยังรอยแยกโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆจากรอยแยกนั้น มอนสเตอร์ตัวแรกปรากฏออกมา มันมีรูปร่างคล้ายหมาป่า ผิวหนังเป็นเงามืดที่เหมือนกับควัน ดวงตาสีแดงสดของมันจับจ้องไปที่เวสเปอร์“ครั้งแรกของฉันกับมอนสเตอร์…ดู
แสงแดดอ่อนๆของเช้าวันใหม่ส่องผ่านหน้าต่างเล็กๆ เช่นทุกวัน เสียงนกร้องรับอรุณผสานกับสายลมเย็นที่พัดเบาๆทำให้เธอลืมตาตื่นขึ้นจากการหลับใหลเธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตายังปรับตัวกับแสงที่เริ่มเจิดจ้า เธอเห็นเอซนอนขดตัวอยู่บนโต๊ะเล็กข้างหน้าต่าง มันดูเหมือนกำลังหลับสนิท แต่ทันทีที่เธอขยับตัว เสียงหาวเบาๆของมันก็ดังขึ้น“เช้านี้ตื่นช้าจังนะ” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียนกึ่งจริงจังเวสเปอร์ยกคิ้วพลางยืดแขนออก “ฉันไม่ได้ขี้เกียจนะ นายเองต่างหากที่ดูเหมือนจะชอบตื่นก่อนฉันทุกวัน”“แน่นอน หน้าที่ของฉันคือเฝ้าดูว่าเธอจะขี้เกียจหรือเปล่า” เอซตอบด้วยรอยยิ้มกวนๆเธอหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินไปล้างหน้าล้างตา เมื่อเธอจัดการตัวเองเรียบร้อย เอซก็เดินนำเธอออกจากห้องเพื่อไปยังลานฝึกที่พวกเขาใช้เป็นประจำเมื่อมาถึงลานฝึก เวสเปอร์สังเกตว่าบรรยากาศวันนี้ดูแปลกไปเล็กน้อย อาจเป็นเพราะความเงียบสงบที่เหมือนจะซ่อนพลังงานบางอย่างเอาไว้ หรืออาจเป็นเพราะสายตาของเอซที่ดูจริงจังผิดปกติ“วันนี้นายดูเอาจริงเอาจังเป็นพิเศษนะ” เวสเปอร์กล่าวขณะวางกระเป๋าของเธอลง“แน่นอน” เอซตอบขณะเดินขึ้นไปนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ “วันนี้เธอจะ
เสียงนกร้องรับแสงแรกของวันดังก้องอยู่ในอากาศ เวสเปอร์ตื่นขึ้นจากการหลับใหลด้วยความเมื่อยล้าจากการฝึกหนักในวันก่อน แต่เมื่อเธอหันไปมองเห็นเอซกำลังนั่งบนโต๊ะเล็กใกล้หน้าต่าง ดวงตาสีเหลืองทองของมันจ้องมองเธอราวกับกำลังบอกว่าการพักผ่อนของเธอสิ้นสุดลงแล้ว“ตื่นได้แล้ว เวสเปอร์” เอซพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เร่งเร้า แต่ฟังดูมีความจริงจังพอที่จะทำให้เธอลุกจากเตียงเธอลุกขึ้นและยืดร่างกายเบาๆก่อนจะเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำเล็กๆขณะมองตัวเองในกระจก เธอเห็นดวงตาที่อ่อนล้า แต่กลับมีแววของความมุ่งมั่นหลังจากจัดการตัวเองเสร็จ เธอก็พบว่าเอซได้ออกมายืนรออยู่ตรงประตูทางออกของห้องเช่า“วันนี้ฉันคิดว่าเธอจะตื่นสายกว่านี้เสียอีก” เอซพูดพลางหาวเบาๆ “โชคดีที่เธอยังรู้หน้าที่”“อย่ากวนได้ไหม ฉันก็ลุกขึ้นมาพร้อมแล้วนี่ไง” เวสเปอร์ตอบกลับเอซยิ้มเย้ยๆก่อนจะเดินนำเธอไปยังลานฝึกลานฝึกยามเช้านั้น แสงแดดอ่อนๆที่สาดส่องลงมายังลานฝึกทำให้พื้นที่รกร้างดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย เศษซากอาคารเก่ายังคงอยู่ที่เดิม แต่ต้นไม้เล็กๆรอบข้างดูเหมือนจะเขียวชอุ่มขึ้นเอซกระโดดขึ้นไปนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ตรงกลางลานก่อนจะหันมามองเวสเป