เสียงดังจากข้างใน มาริเบลวิ่งออกมา พร้อมไอล่า
“อย่าเข้าใกล้นาง” ไอล่ากัดฟัน แต่ช้าไป แบร์กตันสะบัดมือ ทหารกลุ่มหนึ่งโผล่จากป่า กระชับปืนหอกทะเลในมือ เขาไม่ได้มาคนเดียว... เขาวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น ในกระท่อม นีร่าสะดุ้งตื่น ดวงตาเธอยังแดงเรืองนิด ๆ เธอรู้...พลังของเธอเรียกใครบางคนมา เสียงของแบร์กตันดังลอดเข้ามา “นีร่า — ออกมาเถอะ ข้าไม่ใช่ศัตรูของเจ้า ข้าแค่ต้องการให้เจ้าช่วย...แบ่งเลือดของเจ้าให้ข้าสักหยด” “แค่นั้นจริง ๆ ข้าสาบาน” นีร่าลุกขึ้นช้า ๆ เธอรู้ดี...เขาโกหก สายตาแบบนั้น แววโลภแบบนั้น — ไม่มีใครหยุดเพียงแค่ “หยดเดียว” นีร่าเดินออกมา เธอยืนต่อหน้ากัปตันแบร์กตัน ดวงตาเธอยังคงมีลายสีเงินอ่อน แผ่นผิวบนแขนยังเผยเกล็ดบาง ๆ “เจ้ากลัวตายงั้นหรือ?” เธอถามเบา ๆ แบร์กตันหัวเราะ “ไม่ใช่กลัว...แค่เบื่อการรอคอยอย่างไม่มีจุดจบ” เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดเรียบ ๆ “ข้าไม่ให้เลือดข้าแก่คนที่เห็นชีวิตเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน” “ข้าเกิดมาเพื่อหยุด...ไม่ใช่ส่งต่อมัน” แบร์กตันขมวดคิ้ว “งั้นข้าจะเอาเลือดเจ้าด้วยตัวข้าเอง” เขาดึงมีดออกจากข้อมือ — และทหารทั้งหมดกรูก้าวหน้า อีธานร้อง “นีร่า อย่า!” แต่สายไปแล้ว — เธอเคลื่อนไหวรวดเร็ว เข้าประชิดกัปตันแบร์กตันทันที ก่อนจะจับข้อมือเขาไว้แน่น เขาเงื้อมีดหมายฟัน แต่เธอบีบจนกระดูกข้อมือเขาหักดัง กร๊อบ เเละ อ้าปากเผยให้เห็นฟันเเหลมคมเรียงยาว พร้อมกับงับเข้าที่มือของเเบร์กตัน เสียงกรีดร้องของแบร์กตันดังก้อง “นี่...คือสิ่งที่เจ้าจะได้ หากไล่ล่าชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตัวเอง” เธอพูดหลางเช็ดเลือดที่มุมปาก กัปตันล้มลง ทหารของเขาหยุดชะงัก ก่อนจะหันหลังหนีไปทีละคน เมื่อเจอแววตาของ “นีร่า” ที่ไม่ใช่เด็กสาวอีกต่อไป คืนนั้น กัปตันแบร์กตันถูกมัดทิ้งไว้กับต้นไม้ริมฝั่ง เรือของเขาถูกไอล่าจุดไฟเผาทิ้ง อีธานนั่งข้างนีร่าท่ามกลางแสงดาวเหนือทะเล เธอหลับตา สูดกลิ่นลมทะเลลึกอย่างเงียบงัน “ข้าอาจไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา...แต่ข้ารู้แล้วว่า การเลือกจะเป็นอะไร...สำคัญกว่าเกิดมาเป็นอะไร” เขากุมมือนั้นไว้แน่น หลังการต่อสู้กับกัปตันแบร์กตันผ่านไปได้สามวัน พวกเขาหลบภัยอยู่ในถ้ำริมผาชายฝั่ง ที่ซึ่งทะเลมีน้ำขึ้นสูงจนปิดทางเข้าเกือบทั้งวัน — ปลอดภัยจากทั้งทหารและสายตาผู้คน กลางคืนหนึ่ง ขณะที่อีธานและไอลาผลัดเวรกันเฝ้า นีร่ากลับนอนไม่หลับ ร่างเธอเหนื่อยอ่อน แต่ในหัว…กลับมีเสียงบางอย่าง ดังขึ้นเรื่อย ๆ เสียงต่ำทุ้มเหมือนเสียงคลื่นผ่านหิน แทรกอยู่กับเสียงหัวใจของเธอเอง “…นีร่า…” “…เลือดของเจ้าตื่นแล้ว…” เธอกุมขมับแน่น ลมหายใจเริ่มถี่ น้ำทะเลในถังข้างตัวที่ไว้แช่เท้า ก่อคลื่นเล็ก ๆ ขึ้นโดยไม่มีลม เธอก้าวไปยังปากถ้ำอย่างช้า ๆ ทะเลเบื้องล่างสงบ แต่มืดสนิทราวหลุมดำ และเสียงนั้น...ยังไม่หยุด “…ลึกลงไปกว่านั้น ยังมีผู้ที่เหมือนเจ้า…” “แต่พวกเขา...ไม่เคยเลือกจะอยู่ร่วมกับมนุษย์” “เจ้าไม่เคยอยู่คนเดียว” รุ่งเช้า นีร่าเล่าเรื่องเสียงในหัวให้พวกเขาฟัง แต่ไม่มีใครได้ยินเหมือนเธอ มาริเบลเงียบไป ก่อนพูดเบา ๆ “บางที…อาจเป็นพันธะเลือด” “เผ่าเงือกบางกลุ่มสื่อสารกันด้วยคลื่นเสียงที่มนุษย์ไม่ได้ยิน…และเงือกธรรมดาก็ไม่ได้ยินเช่นกัน” อีธานขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่าเธอ…กำลังถูกเรียก?” ไอล่าหันมามอง “หรือถูกล่อไปสู่บางอย่าง” ในคืนนั้น เสียงในหัวนีร่าชัดเจนขึ้น มันไม่ใช่คำพูดอีกต่อไป มันคือ “ทิศทาง” ภาพหนึ่งผุดขึ้นในหัวเธอ แนวหินกลางทะเลที่ห่างจากชายฝั่งไม่ไกลนัก — จุดที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เพราะคลื่นแรงและหมอกลงหนาเป็นพิเศษ แต่เธอกลับรู้…ว่ามันไม่ใช่แค่ก้อนหิน มันคือ “ประตู” เช้าวันต่อมา นีร่าตัดสินใจว่ายน้ำไปยังจุดนั้นเพียงลำพัง แม้อีธานจะพยายามรั้งไว้ เธอก็พูดเพียงเบา ๆ “ข้าไม่หนีไปไหน…แต่ข้าต้องรู้ว่าเสียงนั้นคืออะไร ก่อนมันจะควบคุมข้าแทนที่ข้าจะควบคุมมัน” อีธานมองเธอว่ายออกไปจากชายฝั่งจนกลายเป็นเงาดำเล็ก ๆ กลางทะเล นีร่าดำน้ำลงสู่แนวหินกลางทะเล แรงดันน้ำเพิ่มขึ้น เสียงในหัวเธอดังขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจเธอเต้นแรง — ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะบางอย่าง “ตื่นขึ้น” ใต้มหาสมุทรแห่งนี้ เบื้องล่างแนวหิน เธอพบโพรงใต้น้ำที่ไม่มีใครเคยเห็น คล้ายอุโมงค์ธรรมชาติจากหินลาวาเก่า ที่นำลึกลงไปอีกหลายสิบเมตร และที่นั่น… คือห้องกลมใต้น้ำ ที่ฝังอยู่กับพื้นทะเล ภายในมีแท่นหินรูปทรงวงรี รายล้อมด้วยรูปปั้นเงือก…แต่ไม่ใช่เงือกแบบเธอ รูปปั้นเหล่านั้นมีฟันแหลมคม ดวงตากลวงโบ๋ ผิวแตกกระจาย และหางที่แยกเป็นกิ่งหลายเส้นเหมือนปลาหมึกทะเลลึก นีร่าค่อย ๆ ว่ายเข้าไป แสงสีเงินจากเกล็ดเธอส่องผนัง และคำสลักภาษาดึกดำบรรพ์ก็เริ่มสว่างช้า ๆ “...ซากสุดท้ายของเผ่าเงือกกินคนที่ถูกขังไว้ใต้คลื่น” “ผู้ฟังเสียงเลือด…คือผู้เปิดประตู” และประตูหิน…เปิดออกเองช้า ๆเสียงกรีดร้องดังสะท้อนมาตามลมทะเลนีร่าชะงัก…มือยังถือถ้วยซุปที่อีธานเพิ่งตักให้เมื่อครู่แววตาเธอเปลี่ยนไปทันที — ความนิ่งสงบกลายเป็นความตื่นตัว“เสียงจากหมู่บ้าน…”เธอกระซิบ เบาแต่หนักแน่นอีธานวางชามลงแทบจะพร้อมกัน“ข้าจะไปด้วย”ไอล่าลุกพรวด“เดี๋ยว! มันอาจเป็นกับดัก—”“ไม่ไปตอนนี้จะไม่มีใครให้ช่วยแล้ว!” นีร่าตอบพลางคว้าศรเซรีออน ดวงตาสีฟ้าเรืองแสงจาง ๆศรในมือเธอร้อนจัด—เหมือนมัน “เตือน” ว่า ศัตรูอยู่ใกล้---กลางหมู่บ้าน — เปลวไฟลุกโชนร่างของเงือกกลายพันธุ์ 3-4 ตัว กำลังล้อมครอบครัวหนึ่งที่เหลือเพียงพ่อกับลูกสาว พ่อพยายามยื้อไว้ แต่เด็กหญิงร้องไห้เสียงแหบก่อนที่ครีบแหลมจะฟันลงมาที่ร่างพวกเขา—“ฟึ่บ!”เสียงบางอย่างพุ่งผ่านกลางอากาศแสงฟ้ารูปเกลียว ปรากฏขึ้นกลางฝูงเงือกศรเซรีออนแทงทะลุร่างของหนึ่งในพวกมัน ร่างมันกระตุกก่อนระเบิดเป็นเถ้าทะเล“ทางนี้!” เสียงนีร่าตะโกนเธอพุ่งเข้ามาท่ามกลางเปลวเพลิง ผมยาวสยายตามลม ใบหน้าเปื้อนฝุ่น แต่ดวงตาไม่สั่นไหวศรเวทในมือเปล่งแสงจ้า ราวกับรู้หน้าที่ของมันเองอีธานกระโจนตามมา สะบัดมีดคู่แทงเข้าลำตัวเงือกอีกตัวอย่างแม่นยำ เลือดสีดำทะลัก“หนีไปทา
แสงแดดสีทองอ่อนส่องลอดบานหน้าต่างเข้ามา นีร่ากับไอล่านั่งชิดกันบนพื้นไม้ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกนาน ต่างคนต่างเงียบราวกับต้องการให้หัวใจได้พักเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นที่บันไดอีธานกลับมาแล้วเขาเปิดประตูเข้ามาช้าๆ ในมือหิ้วตะกร้าที่มีก้อนขนมปังแห้ง ผลไม้ป่า และปลาเค็มสองตัว กลิ่นคาวผสมกลิ่นเค็มทะเลโชยอ่อนๆอีธานวางตะกร้าแล้วเดินเข้ามาหาทั้งสองคน เขาสบตานีร่า สายตาคู่นั้นอ่อนโยนจนหัวใจเธอสั่นอีธาน (เสียงทุ้มแผ่ว)“พอจะมีอะไรให้พวกเราอิ่มท้องไปถึงเย็น ข้าออกไปไกลหน่อย…คิดว่าไม่น่ามีใครตามรอยมาได้”ไอล่า (น้ำเสียงยังแหบ)“ขอบคุณ…เจ้าลำบากเพราะพวกเรามากแล้ว”อีธานส่ายหน้า เขาหันไปมองนีร่าแวบหนึ่งอีธาน“พวกเจ้าสองคนคือคนสำคัญ…ไม่มีอะไรเรียกว่า ‘ลำบาก’”นีร่าเม้มริมฝีปาก เธอรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ฝืนใจไว้นีร่า“เมื่อคืน…ข้าคิดว่าเราอาจไม่รอดแล้วจริงๆ”อีธานคุกเข่าลงข้างเธอ มือใหญ่สั่นน้อยๆ ขณะเอื้อมไปแตะแก้มนีร่าอีธาน“ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ…ข้าจะไม่ยอมให้มันพรากเจ้าหรือใครไปอีก”เขาหันไปสบตาไอล่าอีธาน“ข้าสาบาน…เราจะพามาริเบลกลับไปฝังอย่างสมเกียรติ และเราจะหาทางล้างแค้นมัน”
รุ่งสาง – บ้านไม้เก่าริมหน้าผาเสียงคลื่นยังซัดฝั่งไม่หยุด แต่แสงอาทิตย์อ่อนๆ เริ่มลอดผ่านบานหน้าต่างไม้นีร่าลืมตาช้าๆ ความเมื่อยล้าหนักอึ้งทั่วร่าง แต่ความอบอุ่นจากผ้าห่มหนายังโอบเธอไว้เธอหันไปมองข้างตัว—ที่ว่างเปล่าแล้วอีธานไม่อยู่บนฟูก แต่ผ้าห่มอีกผืนยังอุ่น เหมือนเขาเพิ่งลุกไปเมื่อไม่นานกลิ่นคาวเกลือทะเลปะปนกับกลิ่นเนื้อย่างจางๆ ลอยมาเข้าจมูกเธอยันตัวลุก รวบเสื้อคลุมมาสวม ก่อนเดินโซซัดโซเซไปเปิดประตูห้องตรงโต๊ะไม้ใกล้เตาผิง—อีธานกำลังนั่งแยกปลาออกจากก้างแผ่นหลังเขากว้างและดูสงบอย่างแปลกประหลาดใกล้ๆ กัน ไอล่านั่งห่มผ้า หน้าตาซีด แต่ตายังมองตามเขาตลอดนีร่าก้าวเข้ามาช้าๆเสียงฝีเท้าบนพื้นไม้ทำให้อีธานเงยหน้าขึ้น ยิ้มมุมปากอย่างเหนื่อยๆ“เจ้าตื่นแล้ว…”เสียงเขาแหบต่ำเหมือนเพิ่งผ่านทั้งคืนที่ไม่ได้หลับเธอพยักหน้า เอียงหน้ามองถาดปลาเค็มกับถุงสมุนไพร“เจ้าออกไปหามาตั้งแต่เมื่อไหร่”“ตอนฟ้ายังไม่สาง”อีธานตอบเรียบๆ มือยังจัดอาหารใส่ถ้วย“มีร่องรอยพวกมันอยู่แถวชายป่า…แต่คงยังไม่กล้าบุกมาตอนเช้า”นีร่านั่งลงข้างไอล่า มองเพื่อนสาวที่ยังไม่เอ่ยอะไรเธอยื่นมือแตะหลังมือไอล่าเบาๆ“เจ้
บ้านไม้เก่าริมหน้าผา – หลังเตรียมกับดักเสร็จหลังจากลากตาข่ายเหล็กมาวางประจำจุด อีธานก็ยืนนิ่งอยู่ตรงประตูมองนีร่าที่นั่งนิ่ง เหมือนคนหมดเรี่ยวแรง มือยังจับศรเซรีออนไว้ไม่ปล่อย“นีร่า…”เสียงเขาแผ่วลง“เจ้าพักเถอะ ข้าจะเฝ้ายามเอง”“ไม่…”เธอส่ายหน้า ดวงตาแดงก่ำ“ข้า…ข้าไม่กล้าหลับ ข้ากลัวมันจะมาพรากใครไปอีก”อีธานค่อยๆ ก้าวเข้ามา จนยืนตรงหน้ามือเขายื่นมาลูบแก้มที่เปื้อนคราบน้ำตาเบาๆความอบอุ่นจากฝ่ามือเขาทำให้หัวใจเธอสั่นวูบ“ไม่มีใครพรากเจ้าไปได้…ไม่มี”เสียงเขาหนักแน่น“ข้าอยู่ตรงนี้”นีร่าหลบตา แต่เขายกคางเธอขึ้นให้สบตากันตรงๆลมหายใจทั้งคู่ร้อนจัดขึ้น ในความเงียบที่มีเพียงเสียงคลื่นไกลๆ“อีธาน…”“ชู่ว…”เขาก้มลงจูบเธอเบาๆ ที่มุมปากนีร่าตัวสั่น เธอไม่รู้ว่าความอ้างว้างหรือความสูญเสียมันพาเธอถลำไปจนไหนรู้แค่ว่าตอนนี้ เธอไม่อยากเหลืออยู่ลำพังอีกแล้วริมฝีปากเขากดแนบกับของเธอ ลึกขึ้นเรื่อยๆเธอหลับตา ยอมปล่อยให้ความอ่อนแรงแตกสลายไปกับสัมผัสอุ่นจัดอีธานจับมือเธอที่ยังเกร็งอยู่ บีบแน่นจนเธอวางศรลงข้างตัวมืออีกข้างสอดเข้าผมเธอ ดึงให้จูบยิ่งล้ำขึ้นเสียงหอบหายใจผสานกันแผ่วๆ ในห้องไม
อีธานสบตาเธอ นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคุกเข่าลงข้างร่างมาริเบลเขาหลับตา ใช้มือข้างหนึ่งกดลงบนหน้าอกตัวเอง“ข้า…ข้าสาบานต่อวิญญาณทะเล…”เสียงเขาแผ่วแต่หนักแน่น“เราจะไม่หนี เราจะไม่หยุด จนกว่าสัตว์นั่นจะชดใช้ทุกหยดเลือดที่มันพรากไป”ไอล่าปาดน้ำตาด้วยหลังมือ แขนยังสั่นจนแทบยกไม่ขึ้นเธอกัดริมฝีปากจนเลือดซึม แต่ก็พยักหน้าช้าๆ“ข้าด้วย…ข้าจะอยู่ข้างเจ้า นีร่า…”นีร่าสูดหายใจลึก แววตาแดงก่ำเธอเงยหน้ามองหน้าต่างที่สะบัดด้วยแรงลมทะเลราวกับเงาดำข้างนอกยังวนเวียนเฝ้าดูอยู่“มันคิดว่าข้าจะกลัว…”เสียงเธอสั่นต่ำ“…แต่ข้าจะให้มันรู้ ว่าข้าสูญเสียได้มากแค่ไหน…แล้วจะไม่ยอมเสียอะไรอีก”แสงศรเซรีออนพลันสว่างจ้า ร้อนจัดจนไอล่าและอีธานต้องผงะรัศมีสีฟ้าพวยพุ่งขึ้นเพดาน ราวกับตอบสนองต่อคำสาบานของเธออีธานจับแขนเธอไว้แน่น“ถ้าเจ้าจะสู้…เราจะสู้ด้วย”ไอล่าก้าวมาจับบ่าของนีร่าอีกคน“คืนนี้…เราจะไม่ปล่อยมันเข้ามาอีก”นีร่าไม่พูดอะไรเธอก้มมองร่างน้องสาวเป็นครั้งสุดท้ายน้ำตาหยดลงบนผ้าห่มสีจาง“รอข้า…มาริเบล”เสียงเธอแหบต่ำ“รอวันที่ข้าจะตามมันไป…แล้วเอาดวงวิญญาณเจ้ากลับคืนมา”เสียงลมทะเลหอนก้องราวกับ
เสียงคำรามต่ำเงียบไปในฉับพลัน...กลายเป็น ความเงียบงัน ที่น่าขนลุกยิ่งกว่าเดิมอีธานกวาดสายตาไปรอบอุโมงค์ หอบหายใจแรงขณะที่นีร่ากำศรแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดทันใดนั้น—“กรี๊ดดดดดดดดด!!”เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้นจาก เบื้องบน —เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งที่พวกเขารู้จักดีเกินไป“มาริเบล!” นีร่าตะโกนเสียงฝีเท้ากระทบไม้บันไดอย่างเร่งรีบเธอกับอีธานวิ่งกลับขึ้นไปไม่คิดชีวิตแสงตะเกียงสั่นไหวตามแรงสะเทือนเมื่อประตูไม้บานเล็กเปิดผาง —พวกเขาพบกับ ไอล่า ยืนหน้าซีดเผือดชุดเปื้อนเลือด แขนสั่นระริก“ข้าพยายามแล้ว…ข้าพยายามแล้วจริง ๆ นีร่า…” เสียงของเธอเหมือนคนกำลังจะขาดใจและเบื้องหลังเธอ...คือเงาร่างของ มาริเบล — นอนแน่นิ่ง ดวงตาเบิกโพลงไม่กะพริบเลือดไหลซึมจากหูและจมูก ราวกับถูกสะกดด้วยบางอย่างไม่ใช่แค่ถูกฆ่า...แต่วิญญาณของเธอ ถูกกลืนหายไปนีร่าแทบทรุดลงตรงนั้น หายใจสะดุดเธอพุ่งเข้าไปกอดร่างน้องสาวแน่น กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเกลือทะเลตลบอบอวล“มาริเบล...ไม่นะ...ไม่...”ไอล่าทรุดลงข้าง ๆ พูดเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน“มันไม่ใช่มนุษย์...มันไม่ใช่แม้แต่เงือก...ข้าไม่ทันเห็นหน้ามันเลย...แต่มาริเบล.