เสียงคำรามต่ำเงียบไปในฉับพลัน...
กลายเป็น ความเงียบงัน ที่น่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม อีธานกวาดสายตาไปรอบอุโมงค์ หอบหายใจแรง ขณะที่นีร่ากำศรแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูด ทันใดนั้น— “กรี๊ดดดดดดดดด!!” เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้นจาก เบื้องบน — เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งที่พวกเขารู้จักดีเกินไป “มาริเบล!” นีร่าตะโกน เสียงฝีเท้ากระทบไม้บันไดอย่างเร่งรีบ เธอกับอีธานวิ่งกลับขึ้นไปไม่คิดชีวิต แสงตะเกียงสั่นไหวตามแรงสะเทือน เมื่อประตูไม้บานเล็กเปิดผาง — พวกเขาพบกับ ไอล่า ยืนหน้าซีดเผือด ชุดเปื้อนเลือด แขนสั่นระริก “ข้าพยายามแล้ว…ข้าพยายามแล้วจริง ๆ นีร่า…” เสียงของเธอเหมือนคนกำลังจะขาดใจ และเบื้องหลังเธอ... คือเงาร่างของ มาริเบล — นอนแน่นิ่ง ดวงตาเบิกโพลงไม่กะพริบ เลือดไหลซึมจากหูและจมูก ราวกับถูกสะกดด้วยบางอย่าง ไม่ใช่แค่ถูกฆ่า...แต่วิญญาณของเธอ ถูกกลืนหายไป นีร่าแทบทรุดลงตรงนั้น หายใจสะดุด เธอพุ่งเข้าไปกอดร่างน้องสาวแน่น กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเกลือทะเลตลบอบอวล “มาริเบล...ไม่นะ...ไม่...” ไอล่าทรุดลงข้าง ๆ พูดเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน “มันไม่ใช่มนุษย์...มันไม่ใช่แม้แต่เงือก...ข้าไม่ทันเห็นหน้ามันเลย...แต่มาริเบล...เธอแค่ยืนมองมัน แล้วเลือดก็ไหลออกจากตาเธอ...” ศรเซรีออนในมือนีร่า...ร้อนจัดจนแทบหลอมมือ แสงสีฟ้าเจิดจ้าแทรกออกมาจากเนื้อไม้ มันตอบสนองต่อความเจ็บปวดและความโกรธของเธอเป็นครั้งแรก อีธานชะงัก ก่อนจะจับไหล่นีร่าแน่น “เราจะเอาคืนให้มาริเบล...ข้าสาบาน” ไอล่ายังนั่งนิ่ง น้ำตาไหลเงียบ ๆ ไม่กล้าขยับ อีธานค่อย ๆ ลากผ้าห่มมาคลุมร่างของมาริเบล แสงตะเกียงในห้องกระพริบราวกับจะดับ และอากาศ...หนาวเย็นขึ้นอย่างผิดปกติ นีร่ากำศรแน่นจนเส้นเลือดขึ้นบนมือ เธอเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วหันไปมองไอล่า "ตอนมันมา...มันพูดอะไรไหม" ไอล่าส่ายหน้าแรง ๆ "มันไม่ได้พูดอะไรเลย มันแค่มอง...มองด้วยตาเปล่า ๆ แค่นั้น แต่มาริเบล...เธอเริ่มร้องไห้ เลือดไหลออกจากตา เธอหายใจไม่ออก แล้วก็...ล้มลงไปต่อหน้าข้า" นีร่าเม้มปากแน่น อีธานเดินมาอยู่ข้างเธอ วางมือไว้บนไหล่เบา ๆ "นี่มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดาแล้วนีร่า มันเล่นกับจิตใจเรา...มันสื่อสารกับเราโดยไม่ต้องพูด" “ข้ามัวแต่วางแผน คิดว่ามันจะมาจากอุโมงค์...แต่มันฉลาดกว่านั้น มันส่งตัวล่อ แล้วแทรกเข้ามาอีกทาง” นีร่าหายใจลึก "ตอนนี้มันรู้แล้ว ว่าเราอยู่ที่นี่...ว่าศรอยู่กับข้า" อีธานพยักหน้า "แล้วมันจะไม่หยุด จนกว่าจะได้มันไป หรือฆ่าเจ้าก่อน" เสียงไม้ลั่นเอี๊ยด...บานหน้าต่างสะบัดจากแรงลมทะเล ราวกับบางอย่างข้างนอกยังวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ นีร่าหยัดตัวขึ้น ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาไหล แต่ไม่ปล่อยศรจากมือเสียงคำรามต่ำเงียบไปในฉับพลัน...กลายเป็น ความเงียบงัน ที่น่าขนลุกยิ่งกว่าเดิมอีธานกวาดสายตาไปรอบอุโมงค์ หอบหายใจแรงขณะที่นีร่ากำศรแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดทันใดนั้น—“กรี๊ดดดดดดดดด!!”เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้นจาก เบื้องบน —เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งที่พวกเขารู้จักดีเกินไป“มาริเบล!” นีร่าตะโกนเสียงฝีเท้ากระทบไม้บันไดอย่างเร่งรีบเธอกับอีธานวิ่งกลับขึ้นไปไม่คิดชีวิตแสงตะเกียงสั่นไหวตามแรงสะเทือนเมื่อประตูไม้บานเล็กเปิดผาง —พวกเขาพบกับ ไอล่า ยืนหน้าซีดเผือดชุดเปื้อนเลือด แขนสั่นระริก“ข้าพยายามแล้ว…ข้าพยายามแล้วจริง ๆ นีร่า…” เสียงของเธอเหมือนคนกำลังจะขาดใจและเบื้องหลังเธอ...คือเงาร่างของ มาริเบล — นอนแน่นิ่ง ดวงตาเบิกโพลงไม่กะพริบเลือดไหลซึมจากหูและจมูก ราวกับถูกสะกดด้วยบางอย่างไม่ใช่แค่ถูกฆ่า...แต่วิญญาณของเธอ ถูกกลืนหายไปนีร่าแทบทรุดลงตรงนั้น หายใจสะดุดเธอพุ่งเข้าไปกอดร่างน้องสาวแน่น กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเกลือทะเลตลบอบอวล“มาริเบล...ไม่นะ...ไม่...”ไอล่าทรุดลงข้าง ๆ พูดเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน“มันไม่ใช่มนุษย์...มันไม่ใช่แม้แต่เงือก...ข้าไม่ทันเห็นหน้ามันเลย...แต่มาริเบล.
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...เสียงเคาะเบา ๆ ดังมาจากใต้พื้นไม้ของบ้านนีร่าอีธานหยุดมือที่กำลังพับผ้า ผินหน้าขึ้นอย่างระแวง “เจ้าได้ยินเสียงนั่นไหม?”นีร่ากำลังนั่งพิงขอบหน้าต่าง ดวงตาครุ่นคิดอยู่กับแผนการแต่พออีธานพูด เธอก็เงี่ยหูฟังทันที“...ก๊อก?”เสียงนั้นยังคงมาเป็นจังหวะ ราวกับมีใครเคาะไม้จากข้างใต้มาริเบลที่นอนขดอยู่มุมห้องเงยหน้าขึ้นดวงตาเธอเบิกกว้างทันทีที่จำเสียงได้ “ไม่ใช่เสียงหนูนะ...ข้าเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน คืนที่เรือผีโผล่ใกล้ฝั่งครั้งแรก...มันก็เริ่มแบบนี้เลย”อีธานเดินช้า ๆ ไปที่แผ่นไม้กลางพื้นมือหนึ่งเอื้อมแตะดาบที่พิงข้างผนังอีกมือค่อย ๆ เคาะกลับ — เพื่อทดสอบเงียบทุกคนกลั้นหายใจ...ทันใดนั้น...“ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก!”เสียงเคาะรัวกลับ ราวกับมีบางอย่าง “โกรธที่โดนท้าทาย”นีร่ารีบลุกขึ้น “อย่าเคาะกลับไปอีก! มันไม่ได้มาหาเพื่อน มันกำลังทดสอบว่าเรากลัวหรือไม่”ไอล่าคว้าหอกไม้ที่เธอทำขึ้นเองจากไม้ยาวกับปลายเหล็ก“มันขึ้นมาจากทะเลแน่ ๆ เจ้าเคยบอกใช่ไหมว่า...เลือดของเงือกกลายพันธุ์ปลุกสิ่งเก่าแก่ได้?” “ใช่” นีร่าพยักหน้า “แล้วข้าคิดว่ามันไม่ได้ขึ้นมาแค่ตัวเดียว”
กลางทะเลต้องห้าม — คลื่นนิ่งผิดปกติ ลมก็ดันเงียบอย่างน่าผิดสังเกต กลิ่นคาวน้ำลอยขึ้นมาจากผืนน้ำที่ดำปี๋ ราวกับมันไม่ใช่น้ำทะเล...แต่เป็นเลือด กัปตันแบร์กตันยืนบนหัวเรือ เสื้อโค้ทยาวปลิวไสว ดวงตาใต้เงาหมวกมองต่ำ ข้างเขาคือ บรอล และ เดร็กซ์ ที่คอยประคองหีบไม้เก่า ๆ ใบหนึ่ง “เจ้าแน่ใจนะกัปตัน...ว่าอยากเปิดมันตรงนี้?” บรอลถามเสียงอ้อมแอ้ม “ถ้าเจ้ากลัว ก็กลับไปกอดถังเกลือบนเรือเถอะ” แบร์กตันพูดนิ่ง ๆ แล้วตวัดสายตามอง บรอลกลืนน้ำลายเงียบ ๆ เดร็กซ์หัวเราะเบา ๆ ก่อนเสริม “ของแบบนี้...แค่กลิ่นยังสั่นกระดูกคนได้” แบร์กตันยกฝาหีบขึ้น...กลิ่นสาปเน่าผสมเลือดทะเลพุ่งวาบออกมา ข้างในมีเพียงขวดแก้วใบหนึ่ง — บรรจุ เลือดของเงือกกลายพันธุ์ สีดำข้นที่ยังคุกรุ่นไปด้วยแรงสาปเก่าแก่ “ของนี่...พวกคุมกฎมันฝังลึกจนไม่มีใครกล้าแตะ” เขาเอ่ยเสียงต่ำ “แต่มันยังหายใจอยู่ ข้าได้ยินเสียงมันเรียกข้า...ตั้งแต่วันที่นีร่ารอดจากกับดักข้า” เขาเทหยดเลือดลงทะเล... ทันใดนั้น — ผิวน้ำเริ่มหมุนวน เสียงกรีดร้องบางอย่างแว่วขึ้นจากใต้ทะเล และแล้ว... บางสิ่ง ก็โผล่ขึ้นมาจากความมืด เงาร่างสูงโปร่ง
หลังแสงจางจากคันศรเซรีออน ทุกอย่างกลับมาเงียบอีกครานีร่าก้มมองศรในมือ — มันเบากว่าที่คิด แต่กลับแฝงพลังแปลกประหลาด คล้ายลมหายใจของทะเลยังไงยังงั้น“มันเหมาะกับเจ้า” โทรันเอ่ยพลางเดินเข้ามาใกล้ “ข้ามองเห็นไฟในดวงตาเจ้าแล้ว...อย่าดับมันล่ะ”อัลเธียพยักหน้าเบา ๆ ดวงตาของนางยังเศร้าเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มีแววหวังปนอยู่ด้วย“จำไว้นีร่า...เจ้าคือความหวังสุดท้ายที่โลกนี้จะมี”“ข้าจะไม่ให้ความหวังของใคร...กลายเป็นฝันร้าย” นีร่าตอบเสียงหนักแน่นโทรันยิ้มมุมปากก่อนผายมือไปยังทางออก “จงกลับไปเถิด อีกไม่นาน...ลมจะเปลี่ยนทิศ”---ด้านนอกวิหาร – ทะเลตอนเช้าแสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านผิวน้ำ นีร่ากับมาริเบลกำลังว่ายขึ้นมาจากวิหารลับไอล่ารออยู่ก่อนแล้ว บนโขดหินกลางน้ำ ตาโตเป็นไข่เป็ด“เจ้าใช้เวลานานจนนึกว่าจมน้ำตายไปแล้ว!”มาริเบลหัวเราะ “ถ้าพี่ข้าจะตาย...คงไม่ใช่ในที่ที่มีผู้คุมกฎอยู่หรอกน่า”นีร่าเหนื่อย แต่สีหน้าสงบกว่าเดิมมาก ดวงตาเธอไม่ใช่ดวงตาของเด็กสาวอีกต่อไปอีธานยืนอยู่ไม่ไกล มือจับหินขัดดาบ เขาเงยหน้าขึ้นทันทีที่เห็นนีร่าโผล่หัวขึ้น“เจ้าปลอดภัย...” เขาว่าเบา ๆ แล้วเดินเข้ามาใกล้“ข้าไม่เป็นไร” น
เงาร่างนั้นค่อย ๆ ก้าวออกจากเงามืดผิวเธอเป็นสีมุกจางเรืองแสง ผมยาวราวกับสาหร่ายทะเลไหลลู่ไปตามกระแสน้ำเบา ๆดวงตาของเธอ...คล้ายกับนีร่า ราวกับกำลังมองตนเองในอดีตหรืออนาคต“ยินดีต้อนรับ...ทายาทแห่งสายเลือดโบราณ” เสียงของหญิงผู้นั้นหวานแต่ทรงพลัง ดังก้องไปทั่วโถงหินนีร่าใจเต้นแรง“ท่านคือใคร?”หญิงสาวยิ้มเศร้า“ข้าชื่ออัลเธีย” เธอพูดเสียงแผ่ว “ข้าคือผู้คุมกฎคนก่อน...และครั้งหนึ่ง ข้าเคยเลือกผิด”โทรันยืนเงียบ มองพวกเธอด้วยสายตาหนักแน่น“เธอ...คือผู้ที่เคยพยายามหยุดสงครามครั้งก่อน”นีร่าเม้มริมฝีปาก “แต่ท่านล้มเหลวใช่ไหม?”อัลเธียพยักหน้าเบา ๆ“ข้าลังเลเกินไป...และสุดท้ายข้ากลายเป็นหนึ่งในต้นเหตุของการล่มสลายแห่ง 'วาเลอริน' เมืองหลวงแห่งเงือก”เงียบงันก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเธอ“แต่เจ้า...ยังมีโอกาส”อัลเธียยื่นมือออกมา แล้วแสงบางอย่างก็ลอยออกจากฝ่ามือเธอมันคือ "เกล็ดแห่งสมดุล" — เกล็ดเงือกสีทองอมฟ้า ส่องแสงวูบวาบอยู่กลางอากาศ“จงรับไว้ มันจะเปิดทางให้เจ้าเห็น ‘อดีตที่ถูกลืม’ และ ‘อนาคตที่อาจเกิด’”นีร่ายื่นมือไปรับอย่างลังเลทันทีที่สัมผัสกับเกล็ดนั้น นิมิตแห่งอดีตเธอร่วงสู่โลกแห่งแสง
เสียงดาบชนดาบ ปะทะกับคำสาปและพลังโบราณท้องฟ้าถูกฉีกเป็นสองขั้วแสงและเงาผสานกันในสมรภูมิครั้งนี้“สงครามแห่งสองโลก…เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าอีธานกับนีร่าและมาริเบล รวมถึงไอล่า ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ ริมผาเสียงคลื่นกระทบโขดหินเป็นจังหวะช้า ๆ คล้ายกล่อมให้ใจเย็นลงนีร่านั่งลงบนโขดหินขรุขระ มือยังสั่นจากพลังที่ไหลเวียนในตัวผิวเกล็ดเงินยังส่องแสงริบหรี่ในความมืด“ข้าไม่เคยรู้ว่าพลังนี้จะรุนแรงขนาดนี้...” เธอพูดเสียงเบา“ทุกครั้งที่ใช้...มันเหมือนข้ากำลังสูญเสียตัวเองไปทีละน้อย”อีธานนั่งลงข้าง ๆ“ข้าเข้าใจดี...แต่เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว”เขาวางมือทาบลงบนมือของนีร่า“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”มาริเบลเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูด“พี่สาว...เรากลัวนะ กลัวว่าเจ้าอาจเปลี่ยนไปจนเราจำไม่ได้”นีร่าหันไปมองน้องสาวด้วยสายตาอบอุ่น“ข้าเองก็กลัว...กลัวว่าจะกลายเป็นสิ่งที่ข้ากลัวที่สุด”ไอล่ายืนเงียบ ๆ ข้างหลัง ก่อนพูดขึ้น“แต่ข้ารู้ว่า...พลังที่เจ้าได้รับ ไม่ใช่คำสาปอย่างเดียว มันคือโอกาส”“โอกาสอะไร?” อีธานถามด้วยความสงสัย“โอกาสที่จ